บทที่ 19 จิตรกรเอกแห่งยุคหลังจากที่นางเอกได้มาถึงเมืองอวี้ไห่ พวกเขาก็หาบ้านเช่าระหว่างที่รอให้บ้านของตัวเองที่ซื้อที่และกำลังก่อสร้าง ซึ่งท่านเจ้าเมืองเองก็เป็นผู้เสนอว่าให้พวกนางหาที่พักชั่วคราวก่อน นางจึงยินดีรับข้อเสนอและเลือกบ้านเช่าที่อยู่ไม่ไกลจากที่ดินที่พวกนางกำลังก่อสร้าง การเช่าเป็นเพียงแค่ระยะเวลาชั่วคราวเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับบ้านใหม่ที่จะสร้างขึ้นในไม่ช้านี้เมื่อได้ที่พักเรียบร้อยแล้ว เจียงหย่าเสวี่ยและครอบครัวก็ตัดสินใจที่จะออกเดินดูเมืองอวี้ไห่ นางอยากจะสัมผัสกับวิถีชีวิตของชาวเมืองและสำรวจสถานที่สำคัญต่างๆ ที่นี่เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาและผู้คนที่มีน้ำใจ ร้านค้าต่าง ๆ ตั้งเรียงรายตามท้องถนน มีทั้งร้านขายอาหาร ร้านขายผ้า และร้านขายเครื่องประดับ ทั้งหมดเต็มไปด้วยสีสันและความสดใสของเมืองท่าแห่งนี้ในขณะที่นางกำลังเดินไปตามท้องถนนกับท่านแม่ป้าจวงและเสี่ยวลิ้ว นางก็พบกับร้านหนึ่งที่แตกต่างจากร้านอื่นๆ หน้าร้านที่มีแผ่นป้ายแขวนอยู่ด้านหน้าเป็นรูปพู่กันและกระดาษ แผ่นป้ายสีทองถลอกๆ นั้นมีตัวอักษรที่เขียนไว้อย่างสวยงาม "ร้านศิลป์เฉินหรู"เจียงหย่าเสวี่ยหยุดเดินและมองเข้าไปใน
บทที่ 20 คลอดก่อนกำหนดหลังจากที่ออกจากร้านขายภาพ ท่านแม่บอกว่าจะไปที่จวนท่านเจ้าเมืองเพราะว่าวันก่อนนั้นฮูหยินท่านเจ้าเมืองได้ส่งคนมาแจ้งว่าให้ไปดื่มน้ำชาที่จวน เจียงหย่าเสวี่ยและคณะหลังจากเดินดูร้านรวงครู่หนึ่งก็ได้เดินทางมาที่จวนของท่านเจ้าเมือง และขอเข้าพบกับฮูหยินตามนัดหมาย ทั้งหมดต่างมีท่าทางผ่อนคลายและยิ้มแย้มแต่ทันทีที่เข้ามาถึงประตูหน้าจวน ท่าทีผ่อนคลายกลับเปลี่ยนไปเป็นความตึงเครียด เมื่อเสียงโหวกเหวกของบ่าววิ่งมาทางพวกนาง พร้อมกับเสียงตะโกนดังขึ้นอย่างเร่งด่วน“ช่วยด้วย! ฮูหยิน! ฮูหยินกำลังจะคลอด! ไปตามหมอตำแยเร็วเข้า!! มีใครว่างรีบไปเร็ว” เสียงของบ่าวรับใช้คนสนิทของฉินฮูหยินที่มีใบหน้าเต็มไปด้วยความวิตกกังวลทำให้ทุกคนหยุดชะงัก“เกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ?" เจียงหย่าเสวี่ยเอ่ยถามบ่าวรับใช้คนที่นางพบที่เมืองชิงเฉิน“คุณหนูคือว่าฮูหยินของบ่าวถูกกระแทกหกล้มเจ้าค่ะ ดูเหมือนว่านางจะคลอดแล้ว ข้า ข้าเห็นมีน้ำและเลือดไหลออกมา ช่วยด้วยเจ้าค่ะ ช่วยฮูหยินของบ่าวด้วย”สาวใช้นั้นจำได้ว่าพวกนางเคยช่วยชีวิตฉินฮูหยินเอาไว้ที่เมืองชิงเฉินครั้งนั้นนางจึงได้เอ่ยออกไปเพราะว่าไม่รู้จะทำอย่างไร“แล้
บทที่ 21 ข้าต้องการหย่าภายในห้องพักที่เงียบสงบแต่เต็มไปด้วยความหม่นหมอง ฉินหลินเหม่ยนั่งอยู่บนเตียงโดยมีลูกสาวน้อยที่เพิ่งเกิดนอนอยู่ข้าง ๆ นางมองลูกน้อยด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรักและความเศร้า น้ำตาไหลลงมาจากดวงตาของนางอย่างไม่อาจหยุดยั้งได้ ความคิดและความทรงจำหลากหลายถาโถมเข้ามาในใจของนาง ภาพของท่านเจ้าเมืองที่เมินเฉยต่อความรู้สึกของนาง ภาพของครอบครัวของเขาที่ไม่เคยยอมรับนางในฐานะภรรยา ไม่ว่านางจะพยายามเอาอกเอาใจพวกเขามากแค่ไหน เพราะความรู้สึกผิดที่ทำให้ครอบครัวของเขาอับอาย “ลูกน้อยของแม่...” นางกระซิบเบา ๆ ขณะที่ลูบศีรษะทารกน้อยอย่างอ่อนโยน“แม่เสียใจที่แม่ไม่สามารถมอบครอบครัวที่อบอุ่นให้เจ้าได้ แม่ทำให้เจ้าต้องเกิดมาในสถานการณ์เช่นนี้ แม่ช่างเป็นหญิงร้ายกาจ ไร้ยางอายสิ้นดี…”ความทรงจำในวันที่นางวางยาและมอมเหล้าท่านเจ้าเมืองผุดขึ้นมาในหัวของนาง นางยิ้มเยาะตัวเองด้วยความขมขื่น “ข้าช่างเป็นหญิงที่ไร้ค่า สิ่งเดียวที่ข้าทำได้คือใช้เล่ห์เหลี่ยมเพื่อให้ได้สิ่งที่ข้าต้องการ แต่สุดท้ายแล้ว ข้าก็ไม่เหลืออะไรเลยนอกจากความเจ็บปวด และตอนนี้แม้แต่ชีวิตของตัวเองก็เกือบจะเสียไป…”น้ำตาของฉิน
บทที่ 22 ท่านต้องเดินออกมาอย่างยิ่งใหญ่ท่านเจ้าเมืองนั่งอยู่ในศาลาหลังเล็กที่จัดเตรียมไว้สำหรับการเจรจาเรื่องหย่าร้าง ความเงียบงันครอบคลุมทั้งห้อง ความรู้สึกสองจิตสองใจผุดขึ้นในใจของเขา คิดแล้วคิดอีก ว่าจะยอมให้ฉินหลินเหมย หย่าไปจริงหรือไม่ เพราะนางเป็นแม่ของลูกสาวเขา เด็กน้อยคนนั้นเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเขาเอง คิดถึงสิ่งเหล่านี้ ทำให้เขาชะงักการลงมือเซ็นหนังสือหย่าแต่ทว่าความทรงจำเกี่ยวกับวีรกรรมต่าง ๆ ตลอดหลายปีของฉินหลินเหมยผุดขึ้นมาในใจของเขา ภาพของนางที่ตามตื้อเขาไปทุกหนทุกแห่ง ไม่ว่าจะเป็นงานสังคมหรือแม้กระทั่งเวลาที่เขาต้องการความเป็นส่วนตัว นางก็มักจะปรากฏตัวตรงหน้าเขาเสมอ ด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ นางพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้เขายอมรับ ตั้งแต่การดักรออยู่หน้าจวน ไปจนถึงการส่งของขวัญและอาหารมาให้ไม่หยุดหย่อน นางเป็นหญิงที่มีความงดงามอย่างยิ่ง ใบหน้าของนางเรียวเล็ก ดวงตากลมโตและฉายแววความมุ่งมั่น ผิวขาวดุจหยก ริมฝีปากสีแดงสดที่มักแต้มรอยยิ้มเล็ก ๆ อย่างท้าทาย ความงามของนางไม่เพียงดึงดูดสายตาของผู้คน แต่ยังทำให้หลายคนหลงใหลได้อย่างง่ายดาย ความงามนั้นกลับกลายเป็นเสน่ห์ท
บทที่ 23 พวกเราต้องแข็งแกร่ง / บอกความลับหลังจากที่กลุ่มของเจียงหย่าเสวี่ยออกมาจากจวนท่านเจ้าเมืองอย่างเอิกเกริก พวกเขาเดินทางกลับมายังบ้านพักที่เช่าเอาไว้ เมื่อมาถึงบ้านพักสองแม่ลูกอ่อนนั้นดูเหมือนจะอ่อนเพลียมากอาจจะอ่อนเพลียทั้งตัวและหัวใจทำให้มันแสดงออกมาอย่างชัดเจนนั้นคือใบหน้าแสนเศร้าของหลินเหมย ป้าจวงจึงไปดูแลจัดห้องให้สองแม่ลูกพร้อมกับบ่าวที่ติดตามมาด้วยให้ทั้งสามคนได้เข้าพักเรียบร้อย และให้อาหงและเสี่ยวจิวมาค่อยดูว่าพวกเขาขาดเหลืออะไรให้ค่อยช่วยเหลือไปก่อน หลังจากที่ทุกอย่างเข้าที่ครอบครัวของเจียงหย่าเสวี่ยจึงได้นั่งปรึกษากันต่อทันทีในห้องรับแขกที่เงียบสงบ มีเพียงแสงแดดที่ส่องผ่านหน้าต่างเข้ามา"ตอนนี้สิ่งที่เราต้องทำ คือสร้างบ้านของเราเองและตั้งตระกูลของเราขึ้นมาใหม่"เจียงหย่าเสวี่ยเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น นัยน์ตาของนางฉายแววความหวังอย่างแรงกล้า นางมองหน้าท่านแม่ของนางและมองหน้าป้าจวงเจียงซิ่วเหยามองหน้าลูกสาวก่อนจะถอนหายใจเบาๆ"แต่ลูก...แม่เกรงว่าเราจะต้องพบเจออุปสรรคมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตอนนี้เรามีเรื่องกับท่านเจ้าเมืองแล้ว ถ้าเขานำเรื่องส่วนตัวมาปน
บทที่ 24 ผงปรุงรส น้ำปลา ซอสหอยนางรมหลังจากเจียงหย่าเสวี่ยอธิบายให้ป้าจวงและทุกคนฟังเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่เรียกว่า 'น้ำปลา' และ 'ซอสหอยนางรม' รวมถึงผงปรุงรส ป้าจวงและเหล่าผู้ติดตามยังคงมีท่าทางงุนงงและสงสัย เจียงหย่าเสวี่ยจึงตัดสินใจวาดภาพสิ่งเหล่านี้เพื่ออธิบายเพิ่มเติม"น้ำปลาคือของเหลวที่ได้จากการหมักปลากับเกลือ มีรสชาติเค็มและหอมเหมาะกับการปรุงอาหารให้มีรสชาติเข้มข้น ส่วนซอสหอยนางรมคือเครื่องปรุงที่ทำจากหอยนางรม มีความเหนียวข้นและรสชาติหวานเค็ม ซึ่งจะทำให้อาหารมีกลิ่นหอมอร่อย" เจียงหย่าเสวี่ยอธิบายพลางวาดภาพของน้ำปลาและซอสหอยนางรม นางวาดรูปขวดน้ำปลาที่มีสีน้ำตาลเข้มและขวดซอสหอยนางรมที่มีลักษณะเหนียวข้น พร้อมกับผงปรุงรสที่มีลักษณะเป็นผงละเอียดจากนั้นนางจึงตัดสินใจที่จะนำเครื่องปรุงเหล่านี้มาแสดงฝีมือในการทำอาหาร ด้วยการสร้างเมนูอาหารที่หลากหลายให้ทุกคนได้ชิม เพื่อให้เข้าใจถึงความสำคัญและรสชาติที่โดดเด่นของเครื่องปรุงเหล่านี้เจียงหย่าเสวี่ยให้อาหงและอาหานไปที่ตลาดและซื้อพวกผักสดและเนื้อสัตว์อาหารทะเลสดมา เพื่อที่จะใช้ทำอาหาร ความจริงนางสามารถวาดออกมาได้หมดแต่ว่าทุกคนไม่ได้รู้ถึงคว
บทที่ 25 คนของข้าย่อมได้รับสิ่งที่ดีที่สุดเสมอ ท่านเจ้าเมืองอวี้ไห่เดินทางมาพร้อมกับเจ้าหน้าที่สองคนเพื่อมาพบเจียงซิ่วเหยา โดยท่าทีของเขานั้นดูเป็นทางการ แต่ก็แฝงไปด้วยความกังวลใจบางอย่าง ทันทีที่เดินเข้ามาในห้องรับรอง กลิ่นหอมของอาหารที่กำลังถูกยกออกมาวางเต็มโต๊ะก็ทำให้เขาและเจ้าหน้าที่สองคนหยุดนิ่งไปชั่วครู่อาหารมากมายหลายรายการบนโต๊ะนั้นส่งกลิ่นหอมกระจายไปทั่วทั้งห้อง ท่านเจ้าเมืองอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายเงียบๆ ขณะที่ท้องของเขาและเจ้าหน้าที่สองคนก็ส่งเสียงร้องเบาๆ ด้วยความหิวโหยออกมาแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ตั้งใจมาที่นี่เพื่อรับประทานอาหาร แต่เมื่อได้เห็นอาหารมากมายและกลิ่นที่หอมกรุ่นเช่นนั้น ทำให้ท่านเจ้าเมืองอดรู้สึกกระอักกระอ่วนไม่ได้ เขากระแอมเบาๆ และกล่าวทักทายเจียงซิ่วเหยาและคุณหนูเจียงที่นั่งอยู่ข้างๆ "แม่นางเจียงซิ่วเหยา ข้าหวังว่าพวกท่านคงจะพักผ่อนได้เต็มที่แล้ว ข้าต้องขออภัยจริงๆ ที่ต้องรบกวนในเวลานี้ แต่ข้ามีเรื่องสำคัญที่ต้องการปรึกษากับพวกท่านขอรับ" ท่านเจ้าเมืองเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูสุภาพแต่แฝงไว้ด้วยความกระอักกระอ่วน จะไม่ให้เขาเป็นแบบนั้นได้อย่างไร เขาเพิ่งจะประทั
บทที่ 26 เหลียนฮวาแม่ดอกบัวขาวท่านเจ้าเมืองเดินเข้ามาในห้องของฮูหยินผู้เฒ่าฉิน ใบหน้าของเขามีร่องรอยความเหน็ดเหนื่อยและกังวลใจ ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของการขอโสมจากหลินเหมยเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะงานของเขาด้วย เพราะได้รับความกดดันเกรงว่าท่างเจียงซิ่วเหยาจะเปลี่ยนใจย้ายไปอยู่เมืองอื่นหากว่าพวกนางไม่พอใจที่เขาไปวุ่นวายมาก"อะไรนะ นางไม่ยอมแบ่งให้เจ้าอย่างนั้นหรือ เจ้าได้บอกหรือไม่ว่าข้าไม่สบาย" เสียงของฮูหยินผู้เฒ่าฉินดังลั่นไปทั่วห้องหลังจากที่ท่านเจ้าเมืองมาบอกว่าไม่ได้โสมมา นางโมโหจนมือไม้สั่นไปหมด ใบหน้าของนางแดงก่ำด้วยความโกรธที่ไม่อาจเก็บงำได้"เออ ท่านแม่ขอรับ นางเพิ่งจะคลอดลูก โสมนั้นนางจะต้องเอาไว้บำรุงร่างกาย เออ ข้า...ข้า" ท่านเจ้าเมืองพยายามอธิบายให้แม่ของเขาฟัง เสียงของเขากลับแผ่วเบา เพราะรู้ดีว่าข้อแก้ตัวนี้อาจไม่ได้ช่วยบรรเทาความโกรธของมารดาและเขาไม่สามารถบอกว่าได้เขาไม่ได้พบหน้าหลินเหมยด้วยซ้ำ เพราะมีมังกร…เออ.. เพราะว่ามีหญิงชราคนนั้นเฝ้าอยู่ เฮ้ออแม้แต่จะเถียงนางเขายังสู้ไม่ได้ไหนเลยจะกล้าขอเข้าไปพบเหล่า อีกอย่างเขานั้นไม่รู้ว่าแม่ของเขานั้นป่วยจริงหรือว่าแค่อยากจะได้โส
บทที่ 131 ผู้ถือครองพู่กันมังกรดำคนใหม่ / ป้ายทองเว้นโทษตายพู่กันมังกรดำส่องประกายวูบวาบ ก่อนจะพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าและมุ่งหน้าตรงไปที่แคว้นต้าโจวมันพุ่งอย่างเร็วและแรงเลยผ่านหลายเมืองของแคว้นต้าโจวไม่ว่าจะเป็นดินแดนทางเหนือเลยผ่านเมืองหลวง และมุ่งหน้าลงใต้และในที่สุดมันก็สิ้นสุดลงที่่เมืองอวี้ไห่จากนั้นก็ค่อยๆ ลอยไปที่คฤหาสน์หลังใหญ่ของตระกูลเฟิงที่ตอนนี้มีผู้ที่อยู่ที่นั่นมีเพียงแค่หลินเหมยและเฟิงซินซินลูกสาวตัวน้อยของนางนั้นเองในห้องที่อบอุ่นของคฤหาสน์ตระกูลเฟิง เฟิงซินซินน้อยเพิ่งดื่มนมมารดาเสร็จ ดวงตากลมโตเริ่มหรี่ลงด้วยความง่วง ริมฝีปากน้อยๆ ยังเปื้อนรอยนม หลินเหมยได้อุ้มลูกน้อยไปนอนในเปลและเมื่อเห็นว่าลูกน้อยหลับนางจึงได้ออกจากห้องไปแต่แล้วลมเย็นก็พัดผ่านเข้ามาในห้อง พู่กันมังกรดำลอยเข้ามาอย่างเงียบเชียบ มันวนเวียนอยู่เหนือเปลเด็ก ปลายพู่กันแตะเบาๆ ที่ปลายจมูกเล็กๆ ของเฟิงซินซินเด็กน้อยขยับตัว มือป้อมๆ ยกขึ้นปัดราวกับกำลังขับไล่แมลงหรือสิ่งก่อกวนที่ไม่พึงปรารถนาแต่แค่มือเล็กนุ่มนิ่มของนางปัดเบาๆ ของเด็กน้อยคราวนี้กลับสัมผัสเข้ากับด้ามพู่กันที่เย็นเยียบเป็นพู่กันมังกรดำโบราณท
บทที่ 130 การต่อสู้ครั้งสุดท้ายของมังกรทองเสียงหยดน้ำที่กระทบพื้นหินดังสะท้อนก้องภายในถ้ำมืดมิดราวกับโถงใต้พิภพที่ไร้จุดสิ้นสุด บรรยากาศชวนให้หัวใจเต้นระส่ำราวกับมีมือที่มองไม่เห็นกำลังบีบรัดอยู่รอบคอ ทุกคนค่อยๆ ก้าวลึกเข้าไปทีละน้อยอย่างระแวดระวัง เสียงสวดที่ดังก้องอยู่รอบข้างฟังดูเหมือนเสียงครวญครางของวิญญาณซึ่งโหยหาการปลดปล่อย เสียงหอบหายใจของเหล่าทหารและคนในคณะเดินทางประสานเข้ากับเสียงน้ำหยด ท่ามกลางความมืดที่สลัว แสงจากคบเพลิงสาดส่องให้เห็นภาพวาดโบราณบนผนังถ้ำ เป็นภาพของมังกรดำกำลังกลืนกินดวงจันทร์อย่างดุร้าย สะท้อนให้เห็นร่องรอยความน่าสะพรึงในอดีตที่เคยถูกผนึกไว้ในถ้ำแห่งนี้กลางโถงถ้ำกว้าง เหวินเทียนหลงผู้ถูกครอบงำด้วยพลังมืดแห่งพู่กันมังกรดำกำลังตกอยู่ในสภาพอันชวนขนลุก ร่างกายของเขาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นร่างครึ่งมังกร เกล็ดสีดำทะมึนขึ้นปกคลุมเนื้อหนัง ลามไปถึงใบหน้าจนเห็นเค้าโครงแทบไม่เหลือเค้าคนเดิม ดวงตาสีแดงฉานเบิกกว้างดุจสัตว์ร้ายที่กระหายเลือด เสียงหัวเราะของเขาแหลมสูงสะท้อนก้องราวกับภูตผีที่อาละวาดในคืนเดือนมืด"หยุดเดี๋ยวนี้!" ฮ่องเต้เจิ้งอี้หลงตรัส "เจ้ากำลังทำลายชีวิตผู้บ
บทที่ 131 ถ้ำศักดิ์สิทธิ์ตระกูลเหวิน"เป็นแค่งู จะสู้มังกรได้อย่างไร? ชิงหลง!!"เฟิงหย่าเสวี่ยตะโกนขึ้นมายกพู่กันขึ้นตวัดวาดอักขระด้วยจังหวะที่สงบนิ่ง แต่เต็มไปด้วยพลังที่ซ่อนอยู่ แสงสีเงินเริ่มเปล่งประกายจากพู่กัน และทันใดนั้น เสียงคำรามแผ่วลึกก็ดังก้องไปทั่วป่า มังกรที่นางวาดคราวนี้ไม่ใช้มังกรทองแต่ทว่าเป็นมังกรเหล็กขนาดมหึมาปรากฏขึ้นจากแสงอักขระ ร่างของมันแวววาวด้วยเกล็ดโลหะคมกริบ ดวงตาสีแดงเพลิงจับจ้องไปยังงูยักษ์มังกรเหล็กพุ่งเข้าโจมตีอย่างดุเดือด กรงเล็บและหางของมันกวาดผ่านนางพญางูยักษ์ เกล็ดแข็งของงูไม่อาจต้านทานพลังอันมหาศาลนี้ได้ เสียงคำรามของงูดังสะท้อนป่า ขณะที่มังกรเหล็กใช้กรงเล็บจับงูไว้แน่น ก่อนที่มันจะอ้าปากพ่นไฟสีเงินบริสุทธิ์ที่ในเปลวไฟนั้นเป็นพิษที่เหมือนกับตะกั่วใส่ร่างของนางพญางูยักษ์ภายในพริบตา นางพญางูยักษ์ก็ถูกพิษตะกั่วลามไปทั่วทั้งร่างไม่สามารถขยับตัวได้ จากนั้นมังกรเหล็กก็ใช้หางฟาดอย่างแรงไปที่ร่างของมันทำให้มันแตกเป็นเสี่ยงๆ ราวกับกระจกแตกและในที่สุดก็สลายเป็นเถ้าถ่านกระจายไปในอากาศทันที เฟิงหยวนเจี๋ยลดพู่กันลง มังกรเหล็กยังคงลอยอยู่บนท้องฟ้าจากนั้นก็ค่อยล
บทที่ 128 ป่าพิษกับนางพญางูยักษ์คณะของเฟิงหย่าเสวี่ยค่อยๆ เดินทางมาเรื่อยๆ ระหว่างทาง เฟิงหย่าเสวี่ยสังเกตเห็นเมฆดำก่อตัวเหนือยอดเขาที่เป็นจุดหมายปลายทาง นางรู้สึกถึงลางสังหรณ์บางอย่าง... บางสิ่งที่ชั่วร้ายกำลังรอคอยพวกเขาอยู่...คณะเดินทางมุ่งหน้าไปตามเส้นทางที่ปรากฏในแผนที่ เมื่อพระอาทิตย์คล้อยต่ำ เฟิงหยวนเจี๋ยสังเกตเห็นสัญลักษณ์แปลกๆ สลักอยู่บนก้อนหินริมทาง"หยุดก่อน!" เขาร้องเตือน "ตรงนี้มีค่ายกลซ่อนอยู่"แม่ทัพเว่ยสิง เดินเข้าไปตรวจสอบสัญลักษณ์อย่างละเอียด “มันคล้ายกับค่ายกล” เขาเอ่ยขึ้นมา"เป็นค่ายกลนำทาง" เฟิงหย่าเสวี่ยกล่าว นางจ้องมองสัญลักษณ์บนก้อนหิน "ถ้าเราเดินผ่านไปโดยไม่ทำตามที่มันบอก จะเจอกับดัก"เฟิงหยวนเจี๋ยพยักหน้า "และดูเหมือนว่าจะมีคนผ่านมาที่นี่ไม่นานมานี้" เขาชี้ไปที่รอยเท้าบนพื้น "รอยเท้าเหล่านี้ยังใหม่มาก""เหวินเทียนหลงและพรรคพวก" ฮ่องเต้เจิ้งอี้หลงกล่าว ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่รอยเท้า "พวกเขาต้องมุ่งหน้าไปที่ถ้ำแน่นอน""ทูลฝ่าบาท" ทหารนายหนึ่งชี้ไปที่เส้นทางข้างหน้า "มีควันลอยขึ้นมาจากทางนั้น"ทุกคนมองไปตามทิศทางที่ทหารชี้ เห็นควันบางๆ ลอยขึ้นมาจากป่าทึบ กลิ่น
บทที่ 121 เดินทางสู่ถ้ำศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลเหวินแสงแรกของวันทอดผ่านบานหน้าต่างพระราชวัง เฟิงหย่าเสวี่ยมองออกไปยังลานกว้างเบื้องล่าง ใจหนึ่งยังคงหนักอึ้งเมื่อครุ่นคิดถึงเรื่องราวที่เพิ่งค้นพบเกี่ยวกับพู่กันมังกรดำ แต่ในขณะเดียวกันนั้น ก็มีความอบอุ่นบางอย่างก่อเกิดขึ้นภายในใจ ทุกครั้งที่นางละสายตาจากภาพยามเช้า นางจะพบว่าฮ่องเต้เจิ้งอี้หลงยืนอยู่ไม่ไกล ราวกับต้องการคุ้มกันนางอย่างเงียบ ๆ“เมื่อคืนเจ้าคงหลับไม่ค่อยสนิทกระมัง” เสียงทุ้มของฮ่องเต้เจิ้งอี้หลงเอ่ยถาม เขาเดินมายืนข้าง ๆ เฟิงหย่าเสวี่ยพยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็ยื่นแก้วกาแฟดำที่ตอนนี้ได้กลายเป็นเครื่องดื่มที่เจิ้งอี้หลงนั้นชื่นชอบมากที่สุดก็ว่าได้ ข้างๆ นั้นเฟิงหยวนเจี๋ยกำลังดื่มนมผสมช็อกโกแลตที่พี่ใหญ่วาดออกมาให้เขาเช่นกัน และแน่นอนว่ามันคือเครื่องดื่มที่เขานั้นชอบมากที่สุดในตอนนี้ “เพคะ” นางพยักหน้า ก่อนจะกล่าวอย่างจริงจัง “เรื่องพู่กันมังกรดำทำให้หม่อมฉันเป็นกังวล มันน่าหวั่นเกรงกว่าที่เคยรู้มาเสียอีก”เจิ้งอี้หลงรับฟังด้วยสีหน้าเรียบขรึม จากนั้นก็เหล่ตามองเจ้าเจี๋ยหยวนที่กำลังก้มหน้าก้มตาดื่มนมช็อกโกแลตของตัวเองอยู่ ก่อนจะโน
บทที่ 120 ความลับของพู่กันมังกรดำและก่อนที่พวกเขาจะกลับออกมา เฟิงหยวนเจี๋ยได้พบประตูเล็กๆ อีกบานที่อยู่ด้านหลังค่ายอาคมที่เพิ่งระเบิดไป เมื่อเขาเดินไปดูใกล้ๆ ก็เห็นว่าประตูยังปิดสนิทอยู่ เขาค่อยๆ ยกพู่กันมังกรหยกของตัวเองขึ้นมาและใช้มันเหมือนกับกระบี่ที่ค่อยๆ ดันให้ประตูเปิดออก ฮ่องเต้เจิ้งอี้หลงและเฟิงหย่าเสวี่ยหันไปมองทันทีที่ได้ยินเสียงประตูเปิด พวกเขามองหน้ากัน จากนั้นก็เดินตามเจ้าเล็กเข้าไปเมื่อประตูห้องถูกเปิดออก กลิ่นหมึกและกระดาษเก่าโชยออกมา ภายในห้องมืดสนิท เฟิงหย่าเสวี่ยจึงให้ฮ่องเต้เจิ้งอี้หลงวาดไฟฉาย LED ขนาดใหญ่ขึ้นมา และจัดการห้อยไว้ตรงประตูทางเข้า ห้องที่เคยมืดสนิทเมื่อเจอแสงสว่างจากหลอด LED เข้าก็ไม่มีส่วนใดมืดมิดอีกต่อไป พวกเขาจึงสามารถมองเห็นทั้งห้องได้อย่างชัดเจน ภายในห้องมีชั้นหนังสือสูงจรดเพดาน แสงจากไฟฉายเผยให้เห็นโต๊ะไม้แกะสลักตัวใหญ่ตั้งอยู่กลางห้อง พวกเขาทั้งสามเดินดูรอบๆ ห้องทันทีพวกเขาหยิบคัมภีร์เหล่านั้นมาดู มีบันทึกเก่าและวิชาของตระกูลเหวินมากมายอยู่บนนั้น รวมทั้งคาถา บันทึกการเดินทางของบรรพบุรุษ และการวางค่ายกลต่างๆ ที่ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ตระกูลเหวินส
บทที่ 119 ขุมทรัพย์ตระกูลเหวินหลังจากที่คณะของแม่ทัพซู่หลิงและชินอ๋องช่วยเหลือจนสามารถกวาดล้างเหล่าผู้ทรยศได้ พวกเขาก็กลับแคว้นต้าโจวพร้อมกับสองพี่น้องจวงและพระชายาเฟิง ซึ่งหากว่าชินอ๋องและแม่ทัพใหญ่แห่งต้าโจวอยู่ด้วยคงจะไม่ดีนักในสายตาของเหล่าขุนนางของแคว้นต้าหมิง ส่วนเฟิงหย่าเสวี่ยและเฟิงหยวนเจี๋ยนั้นยังคงอยู่ที่แคว้นต้าหมิงเพื่อช่วยเหลือองค์ชายอี้หลงให้ขึ้นครองบัลลังก์ก่อนเสียงฝีเท้าเร่งรีบดังก้องในท้องพระโรง ร่างของทหารนายหนึ่งวิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก เลือดไหลซึมจากแผลบนแขนของเขา"ทูลฝ่าบาท! มีเหตุด่วนที่จวนตระกูลเหวินพะยะค่ะ!" ทหารคุกเข่าลงรายงาน "ค่ายอาคมที่ซ่อนอยู่ในจวนได้ทำให้นายทหารของเราบาดเจ็บสาหัสไปสิบนายแล้วพะยะค่ะ และอีกหลายคนได้ดูเหมือนว่าจะรับพิษพะยะค่ะ"เจิ้งอี้หลงทรงขมวดคิ้ว"เกิดอะไรขึ้น?""นายทหารหนึ่งกองร้อยได้ตรงไปที่จวนตระกูลเหวินเพื่อทำการยืดทรัพย์สินของพวกเขาเป็นของแผนดินตามพระราชบัญชา พอถึงประตูจวนพวกเราก็ไม่สามารถเข้าไปได้อย่างง่ายดาย มีนายทหารเริ่มบาดเจ็บและเมื่อเข้าไปได้ พวกเราพยายามค้นห้องลับตามที่ได้รับรายงานพะยะค่ะ แต่พบว่าทั่วทั้งจวนมีกับดักและ
บทที่ 118 การชำระล้างราชวงค์ต้าหมิงเสียงคำรามสุดท้ายของมังกรดำทั้งเก้าดังก้องไปทั่วผืนฟ้า ก่อนที่ร่างของพวกมันจะสลายกลายเป็นละอองแสงสีทองที่ลอยหายไป เฟิงหยวนเจี๋ยยังคงยืนนิ่งกลางวงเวท ร่างเล็กๆ ของเขาส่องแสงอ่อนๆ จากพลังน้ำทิพย์ที่ยังหลงเหลืออยู่ในมือ ทุกสายตาในลานพิธีจับจ้องเขาด้วยความเคารพและทึ่งในความกล้าหาญเฟิงหยวนเจี๋ยนั้นมองไปที่เงาดำมรณะที่เมื่อร่างของฮองไทเฮาสลายไปพวกมันยังคงพยายามที่จะต่อสู้ เขาจึงยกพู่กันขึ้นและตวัด2-3 ครั้งร่างของพวกเขาก็สลายกลายเป็นเถ้าตามฮองไทเฮาไป ส่วนทหารที่เหลือเมื่อเห็นว่าฝ่ายตนนั้นพ่ายแพ้พวกเขาต่างก็รีบหันหลังและวิ่งหนีไปฮ่องเต้เจิ้งหลี่เฟิงก็เหมือนกันที่เห็นว่าตอนนี้พวกเขานั้นพ่ายแพ้แล้วกำลังอาศัยช่วงชุลมุนหลบหนีออกไปโดยการช่วยเหลือของคนของเขา องค์ชายเจิ้งอี้หลงนั้นไม่ได้ติดไปเขาไป แต่เลือกใช้พู่กันชิงหลงวาดอักขระควบคุมวิญญาณแทน แสงสีฟ้าสายหนึ่งพุ่งตรงไปยังร่างของเจิ้งหลี่เฟิงอย่างแม่นยำ รอยอักขระลึกลับเรืองแสงขึ้นบนหน้าผากของอดีตฮ่องเต้หนุ่ม ก่อนที่เขาจะหายลับเข้าไปในความมืด"ข้าคิดว่าเขาจะกลับไปหากองกำลังที่หลงเหลือของอดีตฮองไทเฮา" องค์ชายเจิ้ง
บทที่ 117 การปลดปล่อยมังกรโบราณทั้ง 9 EP 2เขามองดูขวดน้ำทิพย์ในมือ ความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องราวโบราณที่เคยได้ยินผุดขึ้นมา เรื่องของมังกรที่ถูกกักขัง ถูกทรมาน ถูกบังคับให้กลายเป็นอาวุธแห่งความมืด พวกเขาไม่ได้ต้องการการทำลาย แต่ต้องการการไถ่บาป ต้องการคนที่เข้าใจและยอมรับในตัวตนที่แท้จริงของพวกเขา"น้ำยานี้..." เขากระซิบ มองดูของเหลวใสที่เรืองแสงในขวดหยก"มันไม่ควรเป็นอาวุธ แต่ควรเป็นน้ำแห่งการชำระล้างและการปลดปล่อย มันควรจะเป็น น้ำทิพย์!!"เขากัดริมฝีปากความคิดหนึ่งผุดขึ้นในใจ หากเลือดบริสุทธิ์ของเด็กสามารถเปลี่ยนน้ำยาในขวดหยกนี้ให้กลายเป็นน้ำแห่งการไถ่บาปได้... และหากเขาใช้มันไม่ใช่เพื่อทำร้าย แต่เพื่อปลดปล่อยพวกเขาเล่า เด็กน้อยเงยหน้าขึ้นมองเหล่ามังกรดำที่กำลังส่งเสียงคำรามก้องไปทั่วไป ราวกับว่าพวกมันกำลังเรียกร้องหา…อิสรภาพ!!!.."ข้าเข้าใจแล้ว..." เขาลุกขึ้นยืน ดวงตาเปล่งประกายด้วยความหวัง "ศึกครั้งนี้ไม่ใช่การต่อสู้ แต่เป็นการช่วยเหลือ ไม่ใช่การทำลาย แต่เป็นการปลดปล่อย..."เด็กน้อยกัดปลายนิ้ว เลือดสีแดงหยดลงในน้ำยาภายในขวดหยก น้ำยาที่เคยใสกลับเปล่งประกายเรืองรองเป็นสีทองทันที คลื่