บทที่ 107 อาหารแห่งมิตรภาพหลังจากงานอภิเษกสมรสอันยิ่งใหญ่ผ่านไปสองวัน ชินอ๋องโอหยางจิ้นหลงและพระชายาเฟิงซิ่วเหยายังคงอยู่ในตำหนัก ไม่ยอมออกมาพบผู้ใด การเข้าหอของทั้งคู่ดูจะเป็นช่วงเวลาที่ล้ำค่าดั่งทองพันชั่งสำหรับพวกเขา เฟิงหย่าเสวี่ยและเฟิงหยวนเจี๋ยจึงได้ย้ายไปอยู่ตำหนักอีกหลังที่ชินอ๋องจัดเตรียมไว้ให้ ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากตำหนักขององค์หญิงเฟยเหยาองค์หญิงเฟยเหยาผู้มีใบหน้างดงามอ่อนหวามงดงามดุจบุปผาแรกแย้ม เดินไปยังตำหนักของบิดาในเช้าวันที่สองด้วยความหวังจะได้พบหน้าชินอ๋องผู้เป็นเสด็จพ่อ แต่ขันทีชรากลับเข้ามาขวางและเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า“องค์หญิง โปรดประทานอภัย ชินอ๋องยังทรงพักผ่อนกับพระชายาอยู่พะยะค่ะ”คำตอบนั้นทำให้องค์หญิงเฟยเหยาเม้มริมฝีปากแน่น ความน้อยใจปะทุขึ้นในใจ"แต่ว่านี่มันสองวันแล้วนะเหตุใดเสด็จพ่อยังไม่ยอมออกมาอีก"นางไม่อยากให้ใครเห็นสีหน้าที่บ่งบอกถึงความน้อยใจนี้ จึงหันหลังเดินจากไประหว่างที่กำลังเดินผ่านสวนดอกไม้ในตำหนักใกล้เคียง นางก็หยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ ของเด็กสาวและเด็กชาย นางมองเข้าไปในสวนด้วยความอยากรู้ และสายตาก็พบกับเฟิงหย่าเสวี่ยและเฟิ
บทที่ 108 2 วัน 2คืนที่เข้าหอยังคงมีค่าดั่งทองพันชั่งแสงแดดยามใกล้ค่ำสีทองนวลละมุนสาดส่องไปทั่วห้องหอที่ประดับประดาด้วยผ้าแพรสีแดงชาด กลิ่นหอมของธูปและดอกเหมยที่วางอยู่ในแจกันกระเบื้องเคลือบลายมังกรลอยละล่องอยู่ในอากาศชินอ๋องจิ้นหลงนั่งอยู่บนเก้าอี้แกะสลักไม้จันทน์ ดวงตาคมกริบจับจ้องไปที่ร่างบางที่สวมผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวเป็นผ้าลูกไม้ฝรั่งเศสสีแดงที่สามารถมองทะลุได้คลุมหน้าอยู่ เฟิงซิ่วเหยายืนก้มหน้างุด สองแก้มภายใต้ผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวแดงระเรื่อดั่งกลีบดอกโบตั๋น ม่านแพรบางเบาพลิ้วไหวตามสายลมราตรีที่พัดผ่านหน้าต่าง"ซิ่วเหยา..พระยาชาเจ้าช่างงดงามเหมือนเกิน." เสียงทุ้มนุ่มของจิ้นหลงเอ่ยเบาๆ พลางลุกขึ้นยืน ก้าวเท้าเข้าไปหาภรรยาคนงาม แต่ละก้าวช้าและมั่นคง ราวกับกำลังล่าเหยื่อที่รออยู่เฟิงซิ่วเหยาเงยหน้าขึ้นมองสามี ดวงตากลมโตฉายแววเขินอาย ริมฝีปากอิ่มสีชมพูระเรื่อสั่นน้อยๆ "ชินอ๋องเพคะ..."จิ้นหลงค่อยๆ ยกมือขึ้นปลดปิ่นทองที่ประดับผมของนางและพร้อมกับเส้นผมดำขลับยาวสลวยไหลลงมาดั่งสายน้ำ กลิ่นหอมอ่อนๆ ของน้ำมันหอมจากเส้นผมลอยมาเตะจมูก ทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้น เขาทิ้งผ้าคลุมหน้าสีแดงเอาไว้ย
บทที่ 109 พันธมิตรที่แข็งแกร่งผู้ใดที่ควรเข้าหอก็เข้าไป ผู้ใดที่ควรสร้างมิตรภาพระหว่างพี่น้องก็ทำไป แต่ขบวนการที่แผนการแรกล้มเหลวก็ได้รวมตัวกันอีกครั้ง..ภายในห้องประชุมลับใต้ดินที่ถูกซ่อนเร้นจากสายตาผู้คน บรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียด เสียงหอบหายใจหนักหน่วงสลับกับเสียงไอแห้ง ๆ ดังสะท้อนผนังหินเย็นชื้น ทุกคนที่ร่วมการสมคบคิดกับอัครมหาเสนาบดีหลิวต่างอยู่ในสภาพไม่สู้ดีนัก บางคนเหงื่อชุ่มเต็มใบหน้า บางคนหน้าซีดขาวราวกระดาษ ร่องรอยความอ่อนล้าและความทุกข์ทรมานแสดงออกอย่างชัดเจนจากผลของค่ายกลสะท้อนจิตที่เฟิงหย่าเสวี่ยได้วางไว้ในงานอภิเษกสมรสบนโต๊ะไม้เก่าแก่มูลค่าสูงล้ำกลางห้อง เต็มไปด้วยแผนที่และเอกสารที่ถูกกระจัดกระจาย อัครมหาเสนาบดีหลิวนั่งนิ่ง สีหน้าเครียดขึง มือข้างหนึ่งกำจอกชาที่ลืมไปแล้วว่ามันเย็นชืด ดวงตาคมกริบของเขากวาดมองเหล่าขุนนางที่ร่วมขบวนการต่างนั่งกุมขมับด้วยความอ่อนล้าพวกเขาเพิ่งฟื้นตัวจากอาการป่วยไข้แสนประหลาดก็ได้รวมตัวกันอีกครั้ง ตอนนี้สภาพของพวกเขาทุกคนนั้นถือได้ว่าย่ำแย่พอสมควร ซึ่งพวกเขาก็หาสาเหตุไม่ได้ว่าเพราะเหตุใดถึงได้ล้มป่วยลงพร้อมกันเช่นนี้ ราชครูหลิ่วที่นั่
บทที่ 110 ใช้แผนศัตรูมาทำลายศัตรูขณะที่คณะพันธมิตรที่คิดกบฏบ้านเมืองกำลังประชุมคิดอ่านแผ่นการร้ายที่จะทำลายแคว้นของตัวเองอยู่นั้น พวกเขาหารู้ไม่ว่าอักขระสีดำที่ปรากฎบนหน้าผากของพวกเขาเมื่อหลายวันก่อนนั้นหาได้เลือนรางไม่ มันยังคิดติดอยู่ที่หน้าผากของพวกเขาและจะติดอยู่ตลอดไป จนกว่าความคิดอ่านที่อยากจะคิดร้ายผู้อื่นจะหายไป ซึ่งตอนนี้ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่มันจะหายไปแล้ว แต่มันกลับจะฝังลึกเข้าไปในผิวหนังมากขึ้น และความสามารถอย่างหนึ่งที่ชิงหลงได้บอกกับเฟิงหย่าเสวี่ยนั้นคือ หากว่ามีอักขระนี้ติดตัวผู้ใด นางสามารถที่จะรับรู้ความคิดความอ่านของพวกเขาได้นั้นเอง ขึ้นอยู่กับว่านางต้องการที่จะทราบความคิดของผู้ใด ซึ่งตอนนี้สิ่งที่พวกเขาทั้งหมดที่ประชุมลับสุดยอดกันอยู่นั้นเฟิงหย่าเสวี่ยได้รับรู้แล้วนั้นเอง….เฟิงหย่าเสวี่ยนั่งอยู่ในห้องของตน นางหยิบพู่กันขึ้นมาและเริ่มเขียนสิ่งที่เหล่าพันธมิตรปลวกเหล่านั้นคิดแผนการที่ทำลายแคว้นและก่อการกบฏออกมา“อีกสามวันพวกเจ้าจะลงมือเช่นนั้นหรือ!!”แต่งงานของท่านแม่ของนางนั้นเพิ่งจะผ่านพ้นไปไม่นานและการที่นางไม่ลงมือจัดพวกเขาในวันนั้นก็เพราะไม่อยากจะสร้างความวุ่นวายแ
บทที่ 111 ข้อแม้ข้อที่สอง!เฟิงหย่าเสวี่ยกลับมาที่จวนแม่ทัพซู่หลิงด้วยความคิดที่สับสนวุ่นวาย การได้รู้ว่าอี้หลงเป็นองค์ชายแห่งแคว้นต้าหมิงนั้นทำให้นางต้องคิดทบทวนทุกอย่างอีกครั้ง แต่ที่น่าแปลกใจคือเหตุใดเขาจึงยินดีช่วยเหลือนางในการทำลายแคว้นของตัวเอง"เป็นอย่างไรบ้าง?" ป้าจวงถามทันทีที่นางก้าวเข้ามาในห้อง"องค์ชายอี้หลงตกลงที่จะช่วยพวกเราเพคะ แต่..." นางหยุดชั่วครู่ "พระองค์คือองค์ชายแห่งแคว้นต้าหมิง เป็นพระอนุชาขององค์รัชทายาท""อะไรนะ!?" แม่ทัพซู่หลิงอุทานด้วยความตกใจ "แล้วเหตุใดเขาจึงยินดีช่วยเรา?""เพราะองค์รัชทายาทเป็นผู้ส่งคนมาสังหารพระองค์มาโดยตลอดเพคะ" นางตอบ "และดูเหมือนว่าจะมีเรื่องราวลึกซึ้งมากกว่านั้น แต่พระองค์ยังไม่ได้เล่าให้หม่อมฉันฟังทั้งหมด""น่าสนใจ" ป้าจวงเอ่ยขึ้น ดวงตาฉายแววครุ่นคิด "การมีองค์ชายแห่งต้าหมิงอยู่ฝ่ายเราอาจเป็นประโยชน์มากกว่าที่คิด""แต่เราจะไว้ใจได้หรือ?" ชินอ๋องถาม น้ำเสียงระแวง "เขาอาจจะแกล้งเข้ามาสืบความลับก็ได้"เฟิงหย่าเสวี่ยส่ายหน้า "หม่อมฉันไม่คิดเช่นนั้นเพคะ ในดวงตาขององค์ชายอี้หลง หม่อมฉันเห็นความเจ็บปวดและแค้นเคืองที่มีต่อองค์รัชทายาทพระอง
บทที่ 112 จุดเปลี่ยนแห่งโชคชะตา"ข้าต้องการให้ท่านช่วยข้าขึ้นครองราชย์"“อะไรนะเพคะ!!”"อักขระที่เราเพิ่งเขียนเสร็จ..." เจิ้งอี้หลงชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้า "มันไม่เพียงแต่จะควบคุมจิตใจของผู้ที่ต้องการทำร้ายแคว้นต้าโจว แต่ยังสามารถใช้กับผู้ที่อยู่ในวังหลวงแคว้นต้าหมิงได้ด้วย"ดวงตาของเฟิงหย่าเสวี่ยเบิกกว้าง เริ่มเข้าใจแผนการของเขา"ใช่แล้ว" องค์ชายอี้หลงพยักหน้า "เราสามารถใช้อักขระนี้ควบคุมจิตใจของคนในวังหลวง ทำให้พวกเขาหันมาสนับสนุนข้า แต่ข้าจะไม่ทำร้ายผู้บริสุทธิ์ ข้าจะใช้มันเฉพาะกับผู้ที่กุมอำนาจและสร้างความเดือดร้อนให้ราษฎรเท่านั้น""แต่ถ้าเราทำเช่นนั้น..." นางลังเลที่จะพูดต่อ"ใช่ มันอาจจะดูเหมือนว่าเราใช้วิธีการที่ไม่ต่างจากพวกเขา" เจิ้งอี้หลงยอมรับ "แต่บางครั้งเราต้องเลือกความชั่วร้ายที่น้อยกว่าเพื่อยุติความชั่วร้ายที่ยิ่งใหญ่กว่า ข้าสัญญาว่าจะใช้อำนาจนี้เพื่อสร้างสันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองให้กับทั้งสองแคว้น"เฟิงหย่าเสวี่ยมองไปยังผู้ที่ยืนรออยู่ไกลๆ - ท่านแม่ น้องชาย ป้าจวง แม่ทัพซู่หลิง และชินอ๋อง พวกเขาทุกคนต่างรอฟังการตัดสินใจของนาง"ชิงหลง..." นางเรียกในใจ "ท่านคิดอย่างไร?""
บทที่ 113 จวงหลิวเฟิงและพู่กันเฟิงหวงเสียงหัวเราะของจวงหลิวเฟิงสะท้อนไปทั่วสวนราวกับเสียงระฆังที่ดังกังวาน นางเดินเข้ามาใกล้ป้าจวงด้วยท่าทางที่สง่างาม ใบหน้าของนางงดงามราวกับนางสวรรค์ ผิวขาวนวลเปล่งประกายราวกับหยก ดวงตาสีทองสว่างเจิดจ้าแฝงด้วยความเฉียบคม ทว่าผมของนางกลับเป็นสีขาวบริสุทธิ์ที่พลิ้วไหวราวกับเส้นไหมต้องแสงอาทิตย์ แสงเปลวเพลิงสีทองที่ลุกโชนอยู่รอบกายยิ่งขับให้นางดูราวกับเทพธิดาแห่งเปลวเพลิงผู้สูงศักดิ์และน่าเกรงขาม"จวงหลิวอวี้ เจ้าทำเป็นจำพี่สาวคนนี้ไม่ได้เช่นนั้นรึ เจ้าเด็กร้ายกาจ หนีออกจากบ้านมาเป็นสิบๆ ปีไม่คิดจะกลับไป?" จวงหลิวเฟิงยิ้มบาง แววตาของนางเต็มไปด้วยความเฉียบคมเข้มงวด"แต่นั่นก็ไม่สำคัญ เพราะว่าในที่สุดข้าก็ตามหาเจ้าจนพบแล้ว"ป้าจวง หรือจวงหลิวอวี้ พยายามยืนเผชิญหน้ากับนางอย่างไม่หวั่นเกรง แต่ในดวงตาของนางกลับมีความลังเลเล็กน้อยที่ใครบางคนสังเกตเห็นได้"ข้าไม่ได้ทิ้งอะไรไว้ พวกเราไม่รู้จักกัน" ทุกคนต่างก็ถอนหายใจมองป้าจวงอย่างระอาเล็กน้อย อยากจะปฏิเสธก็น่าจะดูใบหน้าของท่านด้วยท่านป้าจวง!! ใบหน้าที่แกะออกมาจากเบ้าเดียวกันขนาดนั้น!ก่อนที่ป้าจวงจะกระแอมสองสา
บทที่ 114 การเซ่นสังเวยเสียงคำรามต่ำลึกดังขึ้นจากมุมลึกของตำหนักที่มืดมิด สายลมเย็นยะเยือกพัดวูบผ่าน พลังมืดที่หมุนวนอยู่รอบภาพมังกรดำในกระดาษเริ่มแผ่ซ่านออกมาสู่ความเป็นจริง เสียงหัวเราะของฮองไทเฮาและชายร่างสูงที่ก้องอยู่ในตำหนักพลันแปรเปลี่ยนเป็นเสียงแหลมสูงเหมือนเสียงกรีดร้องของมัจจุราช"พี่ใหญ่ นี่คือพลังที่แท้จริงของหมึกดำที่วาดมังกรดำตัวนี้เช่นนั้นหรือ!" ฮองไทเฮากล่าว ดวงตาสีดำของนางจับจ้องไปที่หมึกสีดำทึบที่วาดลงบนกระดาษ หมึกนั้นดูราวกับมีชีวิต แสงสีดำหม่นที่แผ่ออกมาสั่นสะเทือนราวกับจะระเบิด พลังอันชั่วร้ายของมันกระจายตัวอยู่ในอากาศราวกับเงามรณะพร้อมจะกลืนกินทุกสิ่งในครรลองสายตาชายร่างสูงยกพู่กันขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะตวัดมันในอากาศ เส้นสายพลังสีดำก่อตัวเป็นวงเวทที่ลอยเหนือพื้น ตรงกลางวงเวทนั้น มังกรดำตัวมหึมาค่อยๆ โผล่ออกมาจากเงามืด มันแผ่พลังที่เยือกเย็นและน่าสะพรึงกลัว ราวกับตัวตนที่ไม่ควรปรากฏในโลกนี้"มังกรดำตัวนี้..." ชายร่างสูงลูบภาพที่กำลังเคลื่อนไหว ดวงตาสีแดงเข้มวาววับในความมืด "ถูกวาดด้วยหมึกที่ข้าเรียกว่า เลือดมังกรแห่งความมืดมันไม่ใช่หมึกธรรมดา แต่ถูกสร้างจากการหลอม
บทที่ 162 พี่ใหญ่...ท่านผิดสัญญาเช่นนั้นหรือ?“จบแล้ว...” เฟิงหย่าเสวี่ยพึมพำ เสียงแผ่วบางราวกับสายลมที่พัดผ่านใบไม้ร่วง ร่างบางของนางค่อยๆ ทรุดลงกับพื้นอย่างช้าๆ ราวกับวิญญาณที่กำลังหลุดลอยไปจากโลกนี้“คุณหลีหนิง!” เสียงของเจิ้งอี้หลงดังขึ้นด้วยความตกใจ พระองค์รีบพุ่งเข้ามาประคองร่างของนางไว้ในอ้อมพระกร พระพักตร์ซีดเผือด น้ำพระเนตรเอ่อคลอ “คุณหลีหนิง! ลืมตาขึ้นมา! อย่าทิ้งข้าไปแบบนี้!”ดวงตาของเฟิงหย่าเสวี่ยค่อยๆ เปิดขึ้นอย่างยากลำบาก เปลือกตาที่หนักอึ้งเผยให้เห็นดวงตาที่แฝงไว้ด้วยความอ่อนล้าและเศร้าสร้อย ริมฝีปากซีดเผือดสั่นระริก “อี้หลง... ข้า... ข้าเหนื่อยเหลือเกิน...”“ไม่เป็นไร ข้าอยู่ตรงนี้” เจิ้งอี้หลงพูดด้วยน้ำเสียงสั่น มือหนาลูบใบหน้าซีดขาวของนางอย่างอ่อนโยน ราวกับพยายามปลอบประโลมความเจ็บปวดของนาง “เจ้าอย่าพูดแบบนี้ เจ้าจะไม่เป็นอะไร ข้าสัญญา...”เฟิงหย่าเสวี่ยพยายามยกมือที่อ่อนแรงขึ้นแตะใบหน้าที่แสนหล่อเหลาของเจิ่งอี้หลง มือที่เย็นเฉียบสั่นระริกจนเจิ้งอี้หลงรู้สึกได้ถึงความสิ้นหวัง “ข้า... ใช้พลังทั้งหมดแล้ว... ทุกหยด... ตอนนี้ข้ารู้สึกเหมือน... เหมือนวิญญาณกำลังหลุดลอย
บทที่ 161 ข้าได้บอกเจ้าหรือยังว่าอาจารย์ของข้าคือ จวงหลิวเฟิง!!!เฟิงหย่าเสวี่ยถูกกับไป่เหลียนใช้มีดจี้ที่คอและถูกจับเอาไว้ พยายามนิ่งมากที่สุดแม้ว่าตอนนี้นางแmบจะไม่มีแรงที่จะยืนแล้ว ขณะนั้นเองมือขวากำเข็มเงินแน่น สายตาจับจ้องทุกการเคลื่อนไหวของอีกตนที่ตอนนี้ทุกคนต่างก็ล้อมไป่เหลียนเอาไว้ ทุกทางส่วนกองทัพเด็กของนางนั้นต่างก็ถูกช่วยเหลือและพาออกจากสถานที่นี้แล้ว ทำให้ตอนนี้กลางลานนั้นมีเพียงนางเท่านั้นที่ยังคงยืนหยัดอยู่พร้อมกับตัวประกันของนางที่เป็นคนที่สำคัญที่สุดด้วย"เจ้าคิดว่าตัวเองจะหยุดข้าได้หรือ?" ไป่เหลียนเอ่ยเสียงเย็น พลางหันมองดวงหน้าที่งดงามของนังเด็กบ้าผู้นี้…เหตุใดนางถึงได้งดงามเช่นนี้แม้ว่าตอนนี้หน้าของนางจะซีดเซียวมากก็ตาม ไป่เหลียนคิด ดวงตาฉายแววอำมหิตขึ้นมาอีกครั้ง "เด็กน้อยอย่างเจ้า ช่างงดงามเสียจริงหากว่าความงามของเจ้าเป็นของข้าคงจะดีไม่น้อย ฮ่าฮ่าฮ่า!" นางพูดขึ้นมา พลางพยักหน้ากับความคิดของตัวเอง และคิดหาทางที่จะใช้ประโยชน์จากความเยาว์วัยนี้ให้ได้"ข้ารู้ว่าท่านกำลังทำผิด" เฟิงหย่าเสวี่ยตอบเสียงมั่นคง มือยังคงกำเข็มเงินแน่น "ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด การทำร้ายผู้บริสุท
บทที่ 160 เจ้าแพ้แล้ว!!จวงหลิวอวี้จ้องมองเหตุการณ์ที่เบื้องหน้าอย่างแน่นิ่ง สายตาของนางจับจ้องเฟิงหย่าเสวี่ยที่ยกพู่กันชิงหลงขึ้นมา เสียงหัวใจเต้นหนักหน่วงในอกบอกให้นางรู้ว่าสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไปนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก นางรีบพุ่งตัวเข้าหาหลานสาวทันที มือแข็งแรงคว้ามือที่กำพู่กันไว้แน่นก่อนที่จะทันได้วาดอะไรลงในอากาศ“อะไรก็ตามที่เจ้าคิดจะทำและเสียสละ...จงหยุดมันเดี๋ยวนี้!!!” จวงหลิวอวี้เอ่ยเสียงดัง สายตาของนางเต็มไปด้วยความกังวลและห่วงใยเฟิงหย่าเสวี่ยเงยหน้าขึ้นมองป้าจวง ดวงตาคู่นั้นเปี่ยมไปด้วยความรักและเคารพที่นางมีต่อผู้ที่คอยปกป้องและดูแลมาตลอด ทว่าในแววตานั้นกลับแฝงไว้ด้วยความมุ่งมั่นที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลง“ท่านป้า...” เฟิงหย่าเสวี่ยพูดเสียงสั่น ดวงตาเริ่มเอ่อคลอด้วยหยาดน้ำตา “ข้าขอโทษ...” คำพูดนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและความอาลัยจวงหลิวอวี้มองหลานสาวอย่างตกตะลึง นางยื่นมือไปจับใบหน้าของเฟิงหย่าเสวี่ย “เสวี่ยเออร์... เจ้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ เจ้าคือความหวังของตระกูลเฟิง! ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าเสียสละตัวเองเด็ดขาด เจ้านึกถึงท่านแม่และน้องชายของเจ้าสิพวกเขาจะเป็นอย่างไร หากว่า
บทที่ 159 ฉันขอทำหน้าที่ของฮองเฮาที่กล้าเสียสละเพื่อลูกหลาน"และนี่คือผลงานชิ้นเอกของข้า!" ไป่เหลียนผายมือไปที่เด็กๆ "พิษที่ไม่เพียงทำลายร่างกาย แต่ยังบดขยี้จิตวิญญาณ ทำให้พ่อแม่ต้องเห็นลูกของตัวเองกลายเป็นเครื่องมือสังหาร! ความทรมานทั้งผู้ใช้และผู้ถูกใช้ นี่คือสิคือสิ่งที่เรียกว่าพิษที่ดีที่สุดที่ที่ข้าสามารถสร้างขึ้นมาได้ ไม่เพียงทำลายหนึ่งแต่ทำลายได้ทั้งครอบครัวฮ่าฮ่าฮ่า!" เสียงหัวเราะของนางดังลั่นไปทั่วเฟิงซินซินร้องไห้จ้า มือน้อยๆ กำพู่กันแน่นดวงตาเล็กๆ ของนางมองไปที่เหล่าเด็กๆ ที่ถูกทำให้กลายเป็นหุ่นเชิดเป็นร่างที่ไร้ชีวิต"นางสละความเป็นมนุษย์... แลกกับพลังแห่งความชั่วร้าย ยิ่งมีผู้ถูกพิษตาย พิษก็ยิ่งแข็งแกร่ง ยิ่งมีผู้ทุกข์ทรมาน พิษก็ยิ่งร้ายกาจ... วงจรแห่งความชั่วร้ายที่ไม่มีวันสิ้นสุด!"จวงหลิงเฟิงสะท้านเฮือก "นี่มัน... เกินกว่าที่มนุษย์คนใดจะทำได้ไป่เหลียนเจ้านี่มันกู่ไม่กลับจริงๆ ไม่เคยสำนึกถึงความผิดของตัวเอง..""ฮ่าฮ่าฮ่า!!!นี่เจ้ารู้ได้อย่างไรเพื่อนรักว่าข้าไม่ใช่มนุษย์แล้ว!" ไป่เหลียนตะโกนก้องและหันมาจ้องมองเพื่อนรักในอดีตที่ได้กลายมาเป็นศัตรูคู่แค้น และเพราะความแค้น
บทที่ 158 กองทัพของไป่เหลียนเฟิงหย่าเสวี่ยรีบวิ่งไปที่โต๊ะทดลอง หยิบสมุนไพรและอุปกรณ์ต่างๆ ออกมาอย่างรวดเร็ว จวงหลิงเฟิงวางเฟิงซินซินลงบนเก้าอี้นุ่มและเดินมายืนข้างนาง"เร็วเข้า!" เสียงตะโกนดังมาจากด้านนอก "ประตูวังจะพังแล้ว!""ศิษย์มีความคิดหนึ่ง" เฟิงหย่าเสวี่ยเงยหน้าขึ้นมองอาจารย์ "แต่อาจจะเสี่ยงเกินไป""ว่ามา""ถ้าเราใช้พู่กันจุ่มน้ำยาและวาดในอากาศให้มันไปสัมผัสบนร่างของผู้ติดเชื้อโดยตรง..." นางกลืนน้ำลาย "มันอาจจะช่วยให้ยาออกฤทธิ์ได้เร็วขึ้น"จวงหลิงเฟิงขมวดคิ้ว "แต่นั่นหมายความว่า...""ใช่" เฟิงหย่าเสวี่ยพยักหน้า "พวกเราต้องใช้พู่กันทั้งสามด้านพร้อมกัน""อา!" เฟิงซินซินปรบมือ พู่กันในมือส่องแสงวูบวาบ ราวกับเห็นด้วยกับแผนนี้เสียงระเบิดดังสนั่น ประตูวังถูกพังทลาย ร่างของผู้ติดเชื้อทะลักเข้ามาราวกับคลื่นยักษ์ ส่วนเหล่านายทหารก็พยายามที่จะต่อสู้ แม้ว่าจะไม่ทำให้ตายแต่ทำให้บาดเจ็บก็ยังเป็นการชะลอการบุกของพวกเขาได้บ้าง"ไม่มีเวลาแล้ว" จวงหลิงเฟิงอุ้มเฟิงซินซินขึ้น "พร้อมหรือไม่?"เฟิงหย่าเสวี่ยกระชับขวดยาในมือ "พร้อมแล้ว!""อึก!" เฟิงซินซินชี้พู่กันไปที่กลุ่มผู้ติดเชื้อที่กำลังบุกเข
บทที่ 157 ท่านอาจารย์พานางมาด้วยเพราะเหตุใดเจ้าคะ??ที่กำแพงเมืองด้านตะวันออก ภาพที่เห็นช่างน่าสยดสยอง กลุ่มผู้ติดเชื้ออักขระมารนับร้อยกำลังปีนป่ายกำแพงเมืองด้วยพละกำลังเหนือมนุษย์ ดวงตาสีดำสนิทและลายอักขระที่เรืองแสงบนผิวหนังส่งเสียงครวญครางน่าสะพรึงกลัว"ยิง!" เสียงแม่ทัพเว่ยตะโกนสั่ง ลูกธนูนับพันพุ่งใส่ผู้ติดเชื้อ แต่พวกเขากลับไม่สะทกสะท้าน ยังคงปีนป่ายต่อแม้ร่างจะถูกธนูปักเต็มไปหมด"ไม่ได้ผล!" ทหารตะโกนอย่างหวาดกลัว "พวกมันไม่รู้สึกเจ็บ!“แย่แล้ว!! พิษที่พวกเขาได้รับกลายพันธ์ุอย่างที่แม่นางเฟิงบอกเสียแล้ว” แม่ทัพเว่ยสิงขมวดคิ้วและเอ่ยขึ้นมา ภาพที่เขาเห็นตอนนี้นั้นคือ เหล่าผู้ที่ติดพิษนั้นราวกับหุ่นเชิดที่ไร้ความรู้สึก ดวงตาไร้แวว และมุ่งแต่จะเดินไปข้างหน้าเพื่อที่จะปล่อยพิษที่อยู่ในตัวพวกเขาให้มากที่สุด…ภายในห้องทดลองของเฟิงหย่าเสวี่ย เสียงร้องไห้จ้าของเด็กน้อยดังก้องไปทั่วห้องทดลอง เฟิงหย่าเสวี่ยหันขวับไปมอง เห็นจวงหลิงเฟิงอุ้มเด็กหญิงตัวน้อยที่กำลังร้องไห้งอแงเข้ามา พร้อมกับพู่กันโบราณที่แผ่รัศมีสีดำออกมาเป็นระลอก"อาจารย์!" เฟิงหย่าเสวี่ยรีบเดินเข้าไปต้อนรับ แต่ต้องชะงักเมื่อเ
บทที่ 156 ศึกต้านพิษและอักขระควบคุมวิญญาณ EP 2การทดลองดำเนินไปอย่างเข้มข้นตลอดทั้งคืน เฟิงหย่าเสวี่ยทุ่มเทสุดความสามารถในการปรุงยา ใช้ความรู้ทั้งจากยุคปัจจุบันและโบราณผสานเข้าด้วยกัน ท่ามกลางแสงจันทร์เต็มดวง นางนำพืชวิญญาณมาสกัดร่วมกับสมุนไพรอื่นๆ จนได้ยาเม็ดที่เปล่งแสงสีฟ้าอ่อนๆเมื่อถึงเวลา ฮ่องเต้เจิ้งอี้หลงพร้อมเหล่าขุนนางและป้าจวงก็มาถึงห้องทดลอง ทุกคนต่างรอดูผลการทดลองด้วยความคาดหวัง ผู้ป่วยระยะสามที่อาการหนักที่สุดถูกนำเข้ามา ร่างของเขาอ่อนแรงจนแทบจะไร้ลมหายใจ แต่ลายอักขระสีดำบนร่างกลับเต้นรัวเหมือนมันยังคงต่อสู้"มาถึงเวลาทดสอบแล้ว" เฟิงหย่าเสวี่ยพูดขึ้น เสียงของนางมั่นคงแม้หัวใจจะเต้นแรง นางค่อยๆ ป้อนยาเม็ดให้ผู้ป่วย และเริ่มฝังเข็มทองคำตามจุดสำคัญบนร่างกายเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า เสียงครางของผู้ป่วยดังขึ้นแผ่วเบา ก่อนจะกลายเป็นเสียงกรีดร้องอันเจ็บปวด ร่างของเขาสั่นเทาจนเกือบจะหลุดจากเตียง อักขระสีดำบนผิวเริ่มเรืองแสงจ้า ทุกคนในห้องต่างถอยห่างด้วยความตกใจ"หย่าเสวี่ย... หรือมันจะไม่ได้ผล?" ป้าจวงถามด้วยเสียงสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความกังวล เมื่อเห็นว่
บทที่ 155 ศึกต้านพิษและอักขระควบคุมวิญญาณ EP 1เสียงครวญครางแผ่วเบาดังแว่วมาตามสายลมยามใกล้รุ่งสาง ภายในค่ายรักษาริมกำแพงพระราชวังต้าหมิง เฟิงหย่าเสวี่ยยืนนิ่ง ดวงตาอิดโรยจับจ้องไปยังร่างของผู้ป่วยที่นอนทุรนทุรายอยู่เบื้องหน้า ลายอักขระสีดำทะมึนเลื้อยไปตามผิวหนังของพวกเขา ส่งเสียงครางน่าสะพรึงกลัวราวกับมีชีวิต"อย่าให้พวกเขาหลุดออกไปจากค่ายเด็ดขาด!" เสียงตะโกนของป้าจวงดังก้องขึ้น ขณะที่นางและทหารอาสาพยายามควบคุมผู้ป่วยที่กำลังดิ้นรนอย่างบ้าคลั่งเฟิงหย่าเสวี่ยกัดริมฝีปากแน่น สายตาจับจ้องไปที่ลายอักขระสีดำบนร่างผู้ป่วยที่ขดตัวทุรนทุรายบนพื้น ลายอักขระนั้นเต้นเป็นจังหวะ ราวกับมีชีวิต เส้นสายของมันเลื้อยไปทั่วร่างผู้ป่วย ส่งเสียงครางแผ่วเบาที่ฟังดูน่าขนลุกนางสูดหายใจลึกพยายามสงบจิตใจ แม้จะเคยเผชิญหน้ากับสถานการณ์เลวร้ายมาก่อน แต่ครั้งนี้ต่างออกไป พิษที่ไป่เหลียนสร้างขึ้นมานั้นไม่เพียงแต่เป็นพิษธรรมดา หากยังผสานกับอักขระโบราณที่มีพลังควบคุมจิตใจผู้ป่วยได้โดยสมบูรณ์ ความคิดของนางย้อนกลับไปยังยุคปัจจุบันเมื่อครั้งที่นางเคยดูภาพยนตร์เกี่ยวกับอาวุธชีวภาพ"มันเหมือนอาวุธชีวภาพในยุคของข้า" นาง
บทที่ 154 “บังอาจทำข้าเจ็บ… ข้าจะเอาบัลลังก์ของมันเป็นการชดใช้!”สายลมรัตติกาลหอบเอาความเยียบเย็นปกคลุมปากถ้ำอันลึกลับที่ตั้งอยู่บนภูเขาสูงชัน แม้จะมีเพียงแสงคบเพลิงอ่อน ๆ ส่องลอดออกมาจากด้านใน แต่ก็พอจะเห็นคราบเลือดสีดำสนิทหยดตามทาง บ่งบอกว่าผู้ที่มาถึงนี้อาการสาหัสเพียงใดร่างบอบบางสวมอาภรณ์สีม่วงเปรอะเปื้อนรอยเลือดและฝุ่นโคลนพิงผนังถ้ำหอบหายใจแรงๆ อยู่..ไป่เหลียน นางพญาพิษผู้สร้างหายนะให้ผู้บริสุทธิ์ชาวต้าหมิงมากมายนั้นเอง หลังโดนอาวุธลับของจวงหลิวอวี้ยิงไหล่ซ้าย นางลอบหนีออกจากค่ายรักษาทันแบบฉิวเฉียด ทิ้งไว้แต่เสียงหัวเราะอันเยียบเย็นให้เฟิงหย่าเสวี่ยและเหล่าทหารได้ยิน“อั่ก… ไอ้พวกโง่นั่น กล้าทำข้าได้ถึงเพียงนี้หรือ…จวงหลิวอวี้นังบ้านั้นด้วย..เจ้าต้องชดใช้”เสียงครวญเบา ๆ สะท้อนก้องไปทั่วผนังถ้ำ ไป่เหลียนกัดริมฝีปากตัวเองจนเลือดซึม นางพยายามกลั้นความเจ็บขณะเดินเซเข้ามาถึงห้องโถงกลางเขตลับในถ้ำที่เป็นกบดานของนาง แสงคบเพลิงหลายดวงถูกจุดเรียงไว้ มองเห็นโต๊ะหินสำหรับปรุงพิษ และกรงขังเล็ก ๆ สำหรับกักตัว เหยื่อทดลองเรียงรายอยู่ภายใน นางเดินเข้าไปในสุดของห้อง“นายหญิง!” เสียงชายหนุ่มในช