บทที่ 111 ข้อแม้ข้อที่สอง!เฟิงหย่าเสวี่ยกลับมาที่จวนแม่ทัพซู่หลิงด้วยความคิดที่สับสนวุ่นวาย การได้รู้ว่าอี้หลงเป็นองค์ชายแห่งแคว้นต้าหมิงนั้นทำให้นางต้องคิดทบทวนทุกอย่างอีกครั้ง แต่ที่น่าแปลกใจคือเหตุใดเขาจึงยินดีช่วยเหลือนางในการทำลายแคว้นของตัวเอง"เป็นอย่างไรบ้าง?" ป้าจวงถามทันทีที่นางก้าวเข้ามาในห้อง"องค์ชายอี้หลงตกลงที่จะช่วยพวกเราเพคะ แต่..." นางหยุดชั่วครู่ "พระองค์คือองค์ชายแห่งแคว้นต้าหมิง เป็นพระอนุชาขององค์รัชทายาท""อะไรนะ!?" แม่ทัพซู่หลิงอุทานด้วยความตกใจ "แล้วเหตุใดเขาจึงยินดีช่วยเรา?""เพราะองค์รัชทายาทเป็นผู้ส่งคนมาสังหารพระองค์มาโดยตลอดเพคะ" นางตอบ "และดูเหมือนว่าจะมีเรื่องราวลึกซึ้งมากกว่านั้น แต่พระองค์ยังไม่ได้เล่าให้หม่อมฉันฟังทั้งหมด""น่าสนใจ" ป้าจวงเอ่ยขึ้น ดวงตาฉายแววครุ่นคิด "การมีองค์ชายแห่งต้าหมิงอยู่ฝ่ายเราอาจเป็นประโยชน์มากกว่าที่คิด""แต่เราจะไว้ใจได้หรือ?" ชินอ๋องถาม น้ำเสียงระแวง "เขาอาจจะแกล้งเข้ามาสืบความลับก็ได้"เฟิงหย่าเสวี่ยส่ายหน้า "หม่อมฉันไม่คิดเช่นนั้นเพคะ ในดวงตาขององค์ชายอี้หลง หม่อมฉันเห็นความเจ็บปวดและแค้นเคืองที่มีต่อองค์รัชทายาทพระอง
บทที่ 112 จุดเปลี่ยนแห่งโชคชะตา"ข้าต้องการให้ท่านช่วยข้าขึ้นครองราชย์"“อะไรนะเพคะ!!”"อักขระที่เราเพิ่งเขียนเสร็จ..." เจิ้งอี้หลงชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้า "มันไม่เพียงแต่จะควบคุมจิตใจของผู้ที่ต้องการทำร้ายแคว้นต้าโจว แต่ยังสามารถใช้กับผู้ที่อยู่ในวังหลวงแคว้นต้าหมิงได้ด้วย"ดวงตาของเฟิงหย่าเสวี่ยเบิกกว้าง เริ่มเข้าใจแผนการของเขา"ใช่แล้ว" องค์ชายอี้หลงพยักหน้า "เราสามารถใช้อักขระนี้ควบคุมจิตใจของคนในวังหลวง ทำให้พวกเขาหันมาสนับสนุนข้า แต่ข้าจะไม่ทำร้ายผู้บริสุทธิ์ ข้าจะใช้มันเฉพาะกับผู้ที่กุมอำนาจและสร้างความเดือดร้อนให้ราษฎรเท่านั้น""แต่ถ้าเราทำเช่นนั้น..." นางลังเลที่จะพูดต่อ"ใช่ มันอาจจะดูเหมือนว่าเราใช้วิธีการที่ไม่ต่างจากพวกเขา" เจิ้งอี้หลงยอมรับ "แต่บางครั้งเราต้องเลือกความชั่วร้ายที่น้อยกว่าเพื่อยุติความชั่วร้ายที่ยิ่งใหญ่กว่า ข้าสัญญาว่าจะใช้อำนาจนี้เพื่อสร้างสันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองให้กับทั้งสองแคว้น"เฟิงหย่าเสวี่ยมองไปยังผู้ที่ยืนรออยู่ไกลๆ - ท่านแม่ น้องชาย ป้าจวง แม่ทัพซู่หลิง และชินอ๋อง พวกเขาทุกคนต่างรอฟังการตัดสินใจของนาง"ชิงหลง..." นางเรียกในใจ "ท่านคิดอย่างไร?""
บทที่ 113 จวงหลิวเฟิงและพู่กันเฟิงหวงเสียงหัวเราะของจวงหลิวเฟิงสะท้อนไปทั่วสวนราวกับเสียงระฆังที่ดังกังวาน นางเดินเข้ามาใกล้ป้าจวงด้วยท่าทางที่สง่างาม ใบหน้าของนางงดงามราวกับนางสวรรค์ ผิวขาวนวลเปล่งประกายราวกับหยก ดวงตาสีทองสว่างเจิดจ้าแฝงด้วยความเฉียบคม ทว่าผมของนางกลับเป็นสีขาวบริสุทธิ์ที่พลิ้วไหวราวกับเส้นไหมต้องแสงอาทิตย์ แสงเปลวเพลิงสีทองที่ลุกโชนอยู่รอบกายยิ่งขับให้นางดูราวกับเทพธิดาแห่งเปลวเพลิงผู้สูงศักดิ์และน่าเกรงขาม"จวงหลิวอวี้ เจ้าทำเป็นจำพี่สาวคนนี้ไม่ได้เช่นนั้นรึ เจ้าเด็กร้ายกาจ หนีออกจากบ้านมาเป็นสิบๆ ปีไม่คิดจะกลับไป?" จวงหลิวเฟิงยิ้มบาง แววตาของนางเต็มไปด้วยความเฉียบคมเข้มงวด"แต่นั่นก็ไม่สำคัญ เพราะว่าในที่สุดข้าก็ตามหาเจ้าจนพบแล้ว"ป้าจวง หรือจวงหลิวอวี้ พยายามยืนเผชิญหน้ากับนางอย่างไม่หวั่นเกรง แต่ในดวงตาของนางกลับมีความลังเลเล็กน้อยที่ใครบางคนสังเกตเห็นได้"ข้าไม่ได้ทิ้งอะไรไว้ พวกเราไม่รู้จักกัน" ทุกคนต่างก็ถอนหายใจมองป้าจวงอย่างระอาเล็กน้อย อยากจะปฏิเสธก็น่าจะดูใบหน้าของท่านด้วยท่านป้าจวง!! ใบหน้าที่แกะออกมาจากเบ้าเดียวกันขนาดนั้น!ก่อนที่ป้าจวงจะกระแอมสองสา
บทที่ 114 การเซ่นสังเวยเสียงคำรามต่ำลึกดังขึ้นจากมุมลึกของตำหนักที่มืดมิด สายลมเย็นยะเยือกพัดวูบผ่าน พลังมืดที่หมุนวนอยู่รอบภาพมังกรดำในกระดาษเริ่มแผ่ซ่านออกมาสู่ความเป็นจริง เสียงหัวเราะของฮองไทเฮาและชายร่างสูงที่ก้องอยู่ในตำหนักพลันแปรเปลี่ยนเป็นเสียงแหลมสูงเหมือนเสียงกรีดร้องของมัจจุราช"พี่ใหญ่ นี่คือพลังที่แท้จริงของหมึกดำที่วาดมังกรดำตัวนี้เช่นนั้นหรือ!" ฮองไทเฮากล่าว ดวงตาสีดำของนางจับจ้องไปที่หมึกสีดำทึบที่วาดลงบนกระดาษ หมึกนั้นดูราวกับมีชีวิต แสงสีดำหม่นที่แผ่ออกมาสั่นสะเทือนราวกับจะระเบิด พลังอันชั่วร้ายของมันกระจายตัวอยู่ในอากาศราวกับเงามรณะพร้อมจะกลืนกินทุกสิ่งในครรลองสายตาชายร่างสูงยกพู่กันขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะตวัดมันในอากาศ เส้นสายพลังสีดำก่อตัวเป็นวงเวทที่ลอยเหนือพื้น ตรงกลางวงเวทนั้น มังกรดำตัวมหึมาค่อยๆ โผล่ออกมาจากเงามืด มันแผ่พลังที่เยือกเย็นและน่าสะพรึงกลัว ราวกับตัวตนที่ไม่ควรปรากฏในโลกนี้"มังกรดำตัวนี้..." ชายร่างสูงลูบภาพที่กำลังเคลื่อนไหว ดวงตาสีแดงเข้มวาววับในความมืด "ถูกวาดด้วยหมึกที่ข้าเรียกว่า เลือดมังกรแห่งความมืดมันไม่ใช่หมึกธรรมดา แต่ถูกสร้างจากการหลอม
บทที่ 115 เส้นทางหยินหยาง“พวกเรามีเวลาเพียงหนึ่งวันที่ก่อนที่แผนการโจมตีกลับไปที่ต้าหมิงจะเริ่มขึ้น หากว่าต้องการที่จะทำตามแผนเดิม นั้นคือจำเป็นต้องทำลายพิธีกรรมการปลุกพลังนั้นให้ได้ หาไม่แล้วหายนะ จะต้องเกิดหายนะขึ้นอย่างแน่นอน แต่การที่เราจะทำลายพิธีกรรมนั้น เราจำเป็นต้องไปให้ใกล้สถานที่นั้นให้มากที่สุดและใช้อักขระถึงจะสำเร็จ แต่ว่าแคว้นต้าหมิงนั้นอยู่ไกล แม้จะใช้เจ้าม้านิลมังกรและไป่อวิน ไป่หลิวก็ยังคงจะต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2 วันถึงจะถึงที่นั่น” ป้าจวงเอ่ยขึ้นมา เพราะนางรู้ความเร็วของม้าทั้งสามดีจวงหลิวเฟิงมองหน้าพวกเขาที่ร่วมมือร่วมใจกันที่อยากจะหยุดยั้งหายนะในครั้งนี้และเอ่ยขึ้นมาเบาๆ ว่า“ยังมีอีกทางที่สามารถไปให้ถึงแคว้นต้าหมิงในเวลาเพียง 1 ชั่วยาม” ทุกคนเมื่อได้ยินเช่นนั้นต่างก็หันมองหน้านางทันที และเอ่ยขึ้นมาพร้อมกันว่า“เป็นเส้นทางใด!!”“เส้นทางนี้เป็นเส้นทางที่ไม่ใช่เส้นทางคนธรรมดาที่คนเป็นจะใช้เดินทางได้ หรือเรียกง่ายๆ ก็คือการใช้เส้นทางของเหล่าวิญญาณภูติผีในการเดินทาง ซึ่งแน่นอนว่าขึ้นชื่อว่าเส้นทางวิญญาณมันก็ย่อมเต็มไปด้วยเหล่าวิญญาณที่สัญจร” นางเอ่ยเสร็จก็หันมองหน้าพว
บทที่ 116 การปลดปล่อยมังกรโบราณทั้ง 9 EP 1 “มาแล้วรึ องค์ชาย 11 ข้านึกว่าเจ้าจะหดหัวหนีไปตลอดชีวิตที่น่าสมเพชของเจ้าเสียอีก ฮ่าฮ่าฮ่า” เจิ้งหลี่เฟิงหรือตอนนี้คือฮ่องเต้ของแคว้นต้าหมิงค่อยยืนขึ้น ข้างๆ ฮองไทเฮามารดาของเขา…เจิ้งอี้หลงไม่ได้สนใจเสียงนกเสียงกา…กาฝากเสียด้วย เขามองภาพตรงหน้าด้วยสายตาที่เศร้าสลด เหตุใดคนๆ หนึ่งถึงได้โหดเหี้ยมได้เพียงนี้ เพียงเพื่อต้องการที่จะเอาชนะและอำนาจ… เขาหันมองรอบลานอีกครั้งที่ตอนนี้เหล่าทหารที่ทรยศต่อแผ่นดินกำลังยืนอยู่และพร้อมจะลงมือสังหารเด็กๆ ได้ทุกเมื่อ เขายกพู่กันขึ้นและสะบัดเบาๆ เหล่าทหารที่ยืนอยู่ต่างก็กระเด็นตกจากแท่นพิธีทั้งหมดแขนขาหัก ร้องโอดโอย เหล่าพ่อแม่ที่เห็นพวกทหารที่โหดร้ายกระเด็นตกลงและแขนขาหักร้องอยู่ก็ต่างมองด้วยความสะใจ พวกเราเพียงแขนขาหักก็ร้องขนาดนี้ แล้วพวกเขาที่ลูกๆ กำลังจะถูกพวกเจ้าเข่นฆ่าเล่าจะไม่เจ็บปวดกว่าพวกเขาหรือ….ไม่มีผู้ใดสงสารเหล่าทหารที่นอนกองอยู่เลยสักคน จากนั้นเจิ้งอี้หลงก็สะบัดพู่กันอีกครั้งกรงที่ขังเหล่าประชาชนเอาไว้แตกออกเป็นเสี่ยงๆ พวกเขาต่างก็กรูกันออกมาและวิ่งหาลูกหลานของตัวเองทันที“พวกเจ้าหลบไปหาที่ปลอ
บทที่ 117 การปลดปล่อยมังกรโบราณทั้ง 9 EP 2เขามองดูขวดน้ำทิพย์ในมือ ความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องราวโบราณที่เคยได้ยินผุดขึ้นมา เรื่องของมังกรที่ถูกกักขัง ถูกทรมาน ถูกบังคับให้กลายเป็นอาวุธแห่งความมืด พวกเขาไม่ได้ต้องการการทำลาย แต่ต้องการการไถ่บาป ต้องการคนที่เข้าใจและยอมรับในตัวตนที่แท้จริงของพวกเขา"น้ำยานี้..." เขากระซิบ มองดูของเหลวใสที่เรืองแสงในขวดหยก"มันไม่ควรเป็นอาวุธ แต่ควรเป็นน้ำแห่งการชำระล้างและการปลดปล่อย มันควรจะเป็น น้ำทิพย์!!"เขากัดริมฝีปากความคิดหนึ่งผุดขึ้นในใจ หากเลือดบริสุทธิ์ของเด็กสามารถเปลี่ยนน้ำยาในขวดหยกนี้ให้กลายเป็นน้ำแห่งการไถ่บาปได้... และหากเขาใช้มันไม่ใช่เพื่อทำร้าย แต่เพื่อปลดปล่อยพวกเขาเล่า เด็กน้อยเงยหน้าขึ้นมองเหล่ามังกรดำที่กำลังส่งเสียงคำรามก้องไปทั่วไป ราวกับว่าพวกมันกำลังเรียกร้องหา…อิสรภาพ!!!.."ข้าเข้าใจแล้ว..." เขาลุกขึ้นยืน ดวงตาเปล่งประกายด้วยความหวัง "ศึกครั้งนี้ไม่ใช่การต่อสู้ แต่เป็นการช่วยเหลือ ไม่ใช่การทำลาย แต่เป็นการปลดปล่อย..."เด็กน้อยกัดปลายนิ้ว เลือดสีแดงหยดลงในน้ำยาภายในขวดหยก น้ำยาที่เคยใสกลับเปล่งประกายเรืองรองเป็นสีทองทันที คลื่
บทที่ 118 การชำระล้างราชวงค์ต้าหมิงเสียงคำรามสุดท้ายของมังกรดำทั้งเก้าดังก้องไปทั่วผืนฟ้า ก่อนที่ร่างของพวกมันจะสลายกลายเป็นละอองแสงสีทองที่ลอยหายไป เฟิงหยวนเจี๋ยยังคงยืนนิ่งกลางวงเวท ร่างเล็กๆ ของเขาส่องแสงอ่อนๆ จากพลังน้ำทิพย์ที่ยังหลงเหลืออยู่ในมือ ทุกสายตาในลานพิธีจับจ้องเขาด้วยความเคารพและทึ่งในความกล้าหาญเฟิงหยวนเจี๋ยนั้นมองไปที่เงาดำมรณะที่เมื่อร่างของฮองไทเฮาสลายไปพวกมันยังคงพยายามที่จะต่อสู้ เขาจึงยกพู่กันขึ้นและตวัด2-3 ครั้งร่างของพวกเขาก็สลายกลายเป็นเถ้าตามฮองไทเฮาไป ส่วนทหารที่เหลือเมื่อเห็นว่าฝ่ายตนนั้นพ่ายแพ้พวกเขาต่างก็รีบหันหลังและวิ่งหนีไปฮ่องเต้เจิ้งหลี่เฟิงก็เหมือนกันที่เห็นว่าตอนนี้พวกเขานั้นพ่ายแพ้แล้วกำลังอาศัยช่วงชุลมุนหลบหนีออกไปโดยการช่วยเหลือของคนของเขา องค์ชายเจิ้งอี้หลงนั้นไม่ได้ติดไปเขาไป แต่เลือกใช้พู่กันชิงหลงวาดอักขระควบคุมวิญญาณแทน แสงสีฟ้าสายหนึ่งพุ่งตรงไปยังร่างของเจิ้งหลี่เฟิงอย่างแม่นยำ รอยอักขระลึกลับเรืองแสงขึ้นบนหน้าผากของอดีตฮ่องเต้หนุ่ม ก่อนที่เขาจะหายลับเข้าไปในความมืด"ข้าคิดว่าเขาจะกลับไปหากองกำลังที่หลงเหลือของอดีตฮองไทเฮา" องค์ชายเจิ้ง
บทที่ 136 ปรับความเข้าใจในเวลาเดียวกันที่วังหย่งเฮ่า องค์หญิงเฟยเหยาเองก็ต้องเผชิญกับความจริงที่น่าผิดหวังเกี่ยวกับตระกูลของราชครูหลิ่ว ซึ่งเป็นตระกูลฝั่งมารดาของนาง ซึ่งนางเคยเคารพและเชื่อฟังเป็นอย่างมากมาตลอดหลายปี เมื่อนางได้รู้ว่าตระกูลของราชครูหลิ่วได้คิดกบฏและขายชาติ ความรู้สึกผิดหวังและเสียใจถาโถมเข้ามาในจิตใจของนาง แม้ในเวลาที่ตระกูลหลิ่วกำลังจะถูกเนรเทศ ท่านยายของนางยังให้บ่าวคนสนิทมาหานางเพื่อขอความช่วยเหลือ“องค์หญิงเพคะ ท่านยายฝากให้หม่อมฉันนำจดหมายนี้มาให้องค์หญิง…” บ่าวคนสนิทคุกเข่าต่อหน้าองค์หญิงพร้อมยื่นจดหมาย นางลังเลเล็กน้อยก่อนจะเปิดอ่าน เมื่ออ่านข้อความจบลง นางถอนหายใจยาว“บอกท่านยายเถิด ข้าไม่อาจช่วยอะไรได้ คดีของพวกเขาหนักหนานัก แม้แต่ข้าก็ไม่อาจฝืนกฎหมายของบ้านเมือง…” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า ก่อนจะเรียกนางกำนัลคนสนิทเข้ามา“เจ้าจงนำตั๋วเงินสามพันตำลึงไปมอบให้ท่านยาย บอกนางว่าเก็บไว้ให้ดี อย่าได้แสดงออกมาให้ใครเห็นในระหว่างเดินทาง เข้าใจหรือไม่?” องค์หญิงเฟยเหยาสั่งอย่างเด็ดขาด แม้จะรู้สึกสะเทือนใจ แต่สิ่งเดียวที่นางทำได้คือช่วยให้พวกเขามีทุนในการดำรงชีวิตร
บทที่ 135 ปลอบใจข้าหน่อยข้าขวัญหายเพราะพี่สาวของเจ้า..ในค่ำคืนที่บรรยากาศเงียบสงบ รอบนอกจวนแม่ทัพซู่หลิงมีเพียงเสียงแมลงกลางคืนและสายลมบาง ๆ พัดโชย แสงจันทร์ขับให้น้ำค้างบนใบไม้ทอประกายวิบวับ ดูเหมาะแก่การพักผ่อนยิ่งนักแม่ทัพซู่หลิง ที่สวมเสื้อคลุมหลังจากอาบน้ำอาบท่าเสร็จกลับนั่งอย่างกระสับกระส่ายอยู่ตรงห้องนอน สีหน้าเขาฉายแววเหมือนคนเพิ่งผ่านศึกสำคัญมา แต่ไม่ใช่ศึกกลางสนามรบ หากเป็น “ศึก” ที่มี พี่สาวภรรยา เป็นตัวการ"อวี้เออร์… ค่ำมืดแล้ว เหตุใดเจ้าถึงยังไม่มาปลอบข้าอีก” มีเขาผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถเรียกจวงหลิวอวี้ว่าอวี้เออร์เขาพึมพำแผ่วเบาด้วยความเฝ้ารอ พลางยกชาอุ่นขึ้นจิบครั้งแล้วครั้งเล่า ทว่ารสชาติของชาในปากกลับจืดชืด ไม่อาจบรรเทาจิตใจให้สงบลงได้ หลังจากที่โดน จวงหลิวเฟิง พี่สาวของภรรยาระเบิดรูปปั้นสิงโตใส่ไปสองตัว ด้วยโทสะเมื่อช่วงกลางวัน ความหวาดกลัวปนความอายก็เล่นงานแม่ทัพหนุ่มไม่เลิก และเขาก็คิดว่านี่คือความผิดของภรรยาของเขานางจะต้องมาปลอบใจปลอบขวัญเขาเพราะว่าพี่สาวของนางทำให้เขาขวัญกระเจิงหมด..ใช่แล้วความผิดของหญิงชราของเขา นางต้องรับผิดชอบบบ!!! ความคิดของแม่ทัพซู่หล
บทที่ 134 ประหาร / เนรเทศในขณะที่ ฮ่องเต้เจิ้งอี้หลง กำลังทรงงานหนักในการแจกข้าวสารอาหารแห้งให้แก่ประชาชนในแคว้นต้าหมิง เพื่อบรรเทาความอดอยากที่โหมกระหน่ำทั่วแผ่นดินนั้น—อีกฟากหนึ่งของยุทธภพ ณ เมืองหลวงของ แคว้นต้าโจว กลับเกิดเหตุการณ์สะเทือนขวัญที่เกี่ยวข้องกับคนที่สองพี่น้องตระกูลเฟิงรู้จักดีเฟิงหย่าเสวี่ย และ เฟิงหยวนเจี๋ย เดินทางกลับมาถึง เมืองหลวงแคว้นต้าโจว หลังผ่านการผจญภัยทั้งร้อนและหนาว พวกเขาคิดว่าจะได้พักผ่อนสักระยะ ทว่าเมื่อก้าวเข้าประตูเมืองได้เพียงไม่นาน สองพี่น้องกลับพบเห็นภาพขบวนเชลยที่กำลังถูกคุมตัวไปยัง ลานประหาร โดยมีฝูงชนเบียดเสียดมุงดูอยู่รายรอบ ใบหน้าของผู้คนเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวและสาปแช่งเสียงแหลม สายตาของสองพี่น้องกวาดไปยังเหล่านักโทษในชุดผ้าขาดรุ่ยสกปรก มีทั้งขุนนางเก่าและบ่าวไพร่ที่ทรยศแผ่นดิน ทั้งหมดถูกตีตรวนตรึงมือไพล่หลังไว้แน่นเสียงโซ่ตรวนดังกรุ๋งกริ๋งบนถนนหลวง เมื่อขบวนนักโทษทรยศถูกนำตัวมุ่งหน้าสู่ลานประหาร แดดยามสายแผดเผาไร้ความปรานี เหงื่อไหลอาบใบหน้าของเหล่านักโทษแผ่นดินที่เดินตามกันไปสู่ลานประหารทว่ามีร่างหนึ่งที่ทั้งเฟิงหยวนเจี๋ยและเฟิงหย่าเ
บทที่ 133 ใต้ร่มพระบารมีของฮ่องเต้ผู้ทรงเมตตาตรงลานกว้างตอนนี้ถูกจัดให้เป็นที่ตั้งโต๊ะสำหรับวางอาหารถึงห้าร้อยโต๊ะเรียงรายจนสุดลูกหูลูกตา เสียงแม่ครัวและนายทหารขะมักเขม้นตระเตรียมหม้อโจ๊กขนาดใหญ่ กลิ่นของข้าวตุ๋นที่เดือดปุด ๆ ส่งไอร้อนฉุยขึ้นสู่ยอดผ้าใบกันแดด จนใครที่เดินผ่านก็อดกลืนน้ำลายไม่ได้ ขณะเดียวกัน กลิ่นร้อนกรุ่นของซาลาเปาหอม ๆ ก็ลอยอบอวลกระตุ้นความหิวโหยในหัวใจผู้คนหลายพันชีวิตที่รอต่อคิวอยู่ ทั้งเด็กตัวน้อยที่มีตาโหลลึก และคนเฒ่าคนแก่ที่นั่งพิงไม้เท้า ต่างพากันขยี้ตาเพราะคิดว่าตัวเองกำลังฝันไป ซาลาเปาเป็นพันเป็นหมื่นลูกจะมีจริง ๆ หรือ!เหนือศีรษะ หลักไม้ถูกตั้งเรียงเป็นแนวค้ำผ้าใบขนาดใหญ่เพื่อกันแดด แต่ก็ทำได้เพียงบรรเทาความร้อนแผดเผาลงมาเล็กน้อย บางคนมีเหงื่อไหลอาบจนเสื้อผ้าติดเนื้อ บ้างหน้ามืดแสบตาเพราะไม่ได้กินข้าวมาหลายมื้อ แต่ถึงกระนั้นก็ยังอดทนต่อแถวอย่างเป็นระเบียบเพื่อหวังจะได้รับเสบียงอาหารอันล้ำค่านี้องค์ฮ่องเต้เจิ้งอี้หลง ประทับยืนอยู่ด้านหน้าสุด ตรงโต๊ะไม้ตัวใหญ่ที่ทีมงานใช้เป็นจุดศูนย์กลางในการแจกจ่ายเสบียง พระองค์ฉลองพระองค์อย่างเรียบง่ายในโทนสีอ่อน แฝงไว้ด
บทที่ 132 พระราชามาแจกอาหารยามอรุณรุ่ง แสงสีทองบางเบาแตะแต้มผืนฟ้าเหนือค่ายพักแรม เหล่าทหารและขุนนางของแคว้นต้าหมิงเริ่มเคลื่อนไหวเพื่อเริ่มต้นวันใหม่ สายลมอ่อนโยนพัดผ่านพุ่มไม้และผืนหญ้า ส่งกลิ่นดินชื้นหลังการต่อสู้มาเหนื่อยหนักหลายคืน เมื่อยามราตรีถูกแทนที่ด้วยแสงของอรุณ วันใหม่ก็เริ่มต้นขึ้น โดยมีร่องรอยของอดีตเป็นเครื่องเตือนว่าการฟื้นฟูแคว้นนี้ยังอีกยาวไกลท่ามกลางลานกว้างในค่ายพักแรม ฮ่องเต้เจิ้งอี้หลงยืนอยู่เบื้องหน้า สายพระเนตรจับจ้องไปยังสองพี่น้องตระกูลเฟิงที่ยืนสงบนิ่งเบื้องพระพักตร์ พวกเขาเป็นแขกผู้มาเยือนจากแคว้นต้าโจว แต่กลับต้องต่อสู้ร่วมกันเพื่อปกป้องผู้บริสุทธิ์ จากอำนาจอันโหดร้ายของอดีตฮองเฮาเหวินลี่หรงและเหล่าบริวารที่กดขี่ราษฎรมานานแสนนาน หลังจากที่สองพี่น้องตระกูลเฟิงได้ช่วยเหลือฮ่องเต้เจิ้งอี้หลงจัดการกับเหวินเทียนหลงและจัดการระเบิดถ้ำแห่งนั้นแล้วทั้งสองก็จะกลับมาแคว้นต้าโจวก่อนจากกันเฟิงหย่าเสวี่ยและเฟิงหยวนเจี๋ยยืนอยู่ตรงหน้าฮ่องเต้เจิ้งอี้หลง ท่ามกลางสายลมยามเช้าที่พัดโชยเฟิงหยวนเจี๋ยและเฟิงหย่าเสวี่ยสวมเสื้อผ้าเดินทางอย่างเรียบง่าย ทว่าท่วงท่าของทั้งคู่เต็ม
บทที่ 131 ผู้ถือครองพู่กันมังกรดำคนใหม่ / ป้ายทองเว้นโทษตายพู่กันมังกรดำส่องประกายวูบวาบ ก่อนจะพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าและมุ่งหน้าตรงไปที่แคว้นต้าโจวมันพุ่งอย่างเร็วและแรงเลยผ่านหลายเมืองของแคว้นต้าโจวไม่ว่าจะเป็นดินแดนทางเหนือเลยผ่านเมืองหลวง และมุ่งหน้าลงใต้และในที่สุดมันก็สิ้นสุดลงที่่เมืองอวี้ไห่จากนั้นก็ค่อยๆ ลอยไปที่คฤหาสน์หลังใหญ่ของตระกูลเฟิงที่ตอนนี้มีผู้ที่อยู่ที่นั่นมีเพียงแค่หลินเหมยและเฟิงซินซินลูกสาวตัวน้อยของนางนั้นเองในห้องที่อบอุ่นของคฤหาสน์ตระกูลเฟิง เฟิงซินซินน้อยเพิ่งดื่มนมมารดาเสร็จ ดวงตากลมโตเริ่มหรี่ลงด้วยความง่วง ริมฝีปากน้อยๆ ยังเปื้อนรอยนม หลินเหมยได้อุ้มลูกน้อยไปนอนในเปลและเมื่อเห็นว่าลูกน้อยหลับนางจึงได้ออกจากห้องไปแต่แล้วลมเย็นก็พัดผ่านเข้ามาในห้อง พู่กันมังกรดำลอยเข้ามาอย่างเงียบเชียบ มันวนเวียนอยู่เหนือเปลเด็ก ปลายพู่กันแตะเบาๆ ที่ปลายจมูกเล็กๆ ของเฟิงซินซินเด็กน้อยขยับตัว มือป้อมๆ ยกขึ้นปัดราวกับกำลังขับไล่แมลงหรือสิ่งก่อกวนที่ไม่พึงปรารถนาแต่แค่มือเล็กนุ่มนิ่มของนางปัดเบาๆ ของเด็กน้อยคราวนี้กลับสัมผัสเข้ากับด้ามพู่กันที่เย็นเยียบเป็นพู่กันมังกรดำโบราณท
บทที่ 130 การต่อสู้ครั้งสุดท้ายของมังกรทองเสียงหยดน้ำที่กระทบพื้นหินดังสะท้อนก้องภายในถ้ำมืดมิดราวกับโถงใต้พิภพที่ไร้จุดสิ้นสุด บรรยากาศชวนให้หัวใจเต้นระส่ำราวกับมีมือที่มองไม่เห็นกำลังบีบรัดอยู่รอบคอ ทุกคนค่อยๆ ก้าวลึกเข้าไปทีละน้อยอย่างระแวดระวัง เสียงสวดที่ดังก้องอยู่รอบข้างฟังดูเหมือนเสียงครวญครางของวิญญาณซึ่งโหยหาการปลดปล่อย เสียงหอบหายใจของเหล่าทหารและคนในคณะเดินทางประสานเข้ากับเสียงน้ำหยด ท่ามกลางความมืดที่สลัว แสงจากคบเพลิงสาดส่องให้เห็นภาพวาดโบราณบนผนังถ้ำ เป็นภาพของมังกรดำกำลังกลืนกินดวงจันทร์อย่างดุร้าย สะท้อนให้เห็นร่องรอยความน่าสะพรึงในอดีตที่เคยถูกผนึกไว้ในถ้ำแห่งนี้กลางโถงถ้ำกว้าง เหวินเทียนหลงผู้ถูกครอบงำด้วยพลังมืดแห่งพู่กันมังกรดำกำลังตกอยู่ในสภาพอันชวนขนลุก ร่างกายของเขาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นร่างครึ่งมังกร เกล็ดสีดำทะมึนขึ้นปกคลุมเนื้อหนัง ลามไปถึงใบหน้าจนเห็นเค้าโครงแทบไม่เหลือเค้าคนเดิม ดวงตาสีแดงฉานเบิกกว้างดุจสัตว์ร้ายที่กระหายเลือด เสียงหัวเราะของเขาแหลมสูงสะท้อนก้องราวกับภูตผีที่อาละวาดในคืนเดือนมืด"หยุดเดี๋ยวนี้!" ฮ่องเต้เจิ้งอี้หลงตรัส "เจ้ากำลังทำลายชีวิตผู้บ
บทที่ 129 ถ้ำศักดิ์สิทธิ์ตระกูลเหวิน"เป็นแค่งู จะสู้มังกรได้อย่างไร? ชิงหลง!!"เฟิงหย่าเสวี่ยตะโกนขึ้นมายกพู่กันขึ้นตวัดวาดอักขระด้วยจังหวะที่สงบนิ่ง แต่เต็มไปด้วยพลังที่ซ่อนอยู่ แสงสีเงินเริ่มเปล่งประกายจากพู่กัน และทันใดนั้น เสียงคำรามแผ่วลึกก็ดังก้องไปทั่วป่า มังกรที่นางวาดคราวนี้ไม่ใช้มังกรทองแต่ทว่าเป็นมังกรเหล็กขนาดมหึมาปรากฏขึ้นจากแสงอักขระ ร่างของมันแวววาวด้วยเกล็ดโลหะคมกริบ ดวงตาสีแดงเพลิงจับจ้องไปยังงูยักษ์มังกรเหล็กพุ่งเข้าโจมตีอย่างดุเดือด กรงเล็บและหางของมันกวาดผ่านนางพญางูยักษ์ เกล็ดแข็งของงูไม่อาจต้านทานพลังอันมหาศาลนี้ได้ เสียงคำรามของงูดังสะท้อนป่า ขณะที่มังกรเหล็กใช้กรงเล็บจับงูไว้แน่น ก่อนที่มันจะอ้าปากพ่นไฟสีเงินบริสุทธิ์ที่ในเปลวไฟนั้นเป็นพิษที่เหมือนกับตะกั่วใส่ร่างของนางพญางูยักษ์ภายในพริบตา นางพญางูยักษ์ก็ถูกพิษตะกั่วลามไปทั่วทั้งร่างไม่สามารถขยับตัวได้ จากนั้นมังกรเหล็กก็ใช้หางฟาดอย่างแรงไปที่ร่างของมันทำให้มันแตกเป็นเสี่ยงๆ ราวกับกระจกแตกและในที่สุดก็สลายเป็นเถ้าถ่านกระจายไปในอากาศทันที เฟิงหยวนเจี๋ยลดพู่กันลง มังกรเหล็กยังคงลอยอยู่บนท้องฟ้าจากนั้นก็ค่อยลด
บทที่ 128 ป่าพิษกับนางพญางูยักษ์คณะของเฟิงหย่าเสวี่ยค่อยๆ เดินทางมาเรื่อยๆ ระหว่างทาง เฟิงหย่าเสวี่ยสังเกตเห็นเมฆดำก่อตัวเหนือยอดเขาที่เป็นจุดหมายปลายทาง นางรู้สึกถึงลางสังหรณ์บางอย่าง... บางสิ่งที่ชั่วร้ายกำลังรอคอยพวกเขาอยู่...คณะเดินทางมุ่งหน้าไปตามเส้นทางที่ปรากฏในแผนที่ เมื่อพระอาทิตย์คล้อยต่ำ เฟิงหยวนเจี๋ยสังเกตเห็นสัญลักษณ์แปลกๆ สลักอยู่บนก้อนหินริมทาง"หยุดก่อน!" เขาร้องเตือน "ตรงนี้มีค่ายกลซ่อนอยู่"แม่ทัพเว่ยสิง เดินเข้าไปตรวจสอบสัญลักษณ์อย่างละเอียด “มันคล้ายกับค่ายกล” เขาเอ่ยขึ้นมา"เป็นค่ายกลนำทาง" เฟิงหย่าเสวี่ยกล่าว นางจ้องมองสัญลักษณ์บนก้อนหิน "ถ้าเราเดินผ่านไปโดยไม่ทำตามที่มันบอก จะเจอกับดัก"เฟิงหยวนเจี๋ยพยักหน้า "และดูเหมือนว่าจะมีคนผ่านมาที่นี่ไม่นานมานี้" เขาชี้ไปที่รอยเท้าบนพื้น "รอยเท้าเหล่านี้ยังใหม่มาก""เหวินเทียนหลงและพรรคพวก" ฮ่องเต้เจิ้งอี้หลงกล่าว ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่รอยเท้า "พวกเขาต้องมุ่งหน้าไปที่ถ้ำแน่นอน""ทูลฝ่าบาท" ทหารนายหนึ่งชี้ไปที่เส้นทางข้างหน้า "มีควันลอยขึ้นมาจากทางนั้น"ทุกคนมองไปตามทิศทางที่ทหารชี้ เห็นควันบางๆ ลอยขึ้นมาจากป่าทึบ กลิ่น