หลังจากวันนั้น ทุกๆ วันก็เหมือนมีภาพซ้ำที่ขุนเขาต้องทนเห็น — ปานวาดเข้ามาเล่น พูดคุย และนั่งทานข้าวกับเขื่อนแทบทุกมื้อ สหัสวรรษเพียงอธิบายสั้นๆ ว่า “คนนี้รู้จักกันมานานแล้ว พึ่งกลับจากเรียนต่อในเมืองหลวง” ขุนเขาไม่เคยปริปากถามอะไรอีก แค่ยิ้มรับเงียบๆ แม้ในใจจะเจ็บทุกครั้งที่เห็นภาพสองคนนั้นหัวเราะกันอย่างเป็นธรรมชาติ ปานวาดจะโผล่มาเฉพาะเวลาที่เขื่อนอยู่บ้านเท่านั้น หากเขื่อนไม่อยู่ เธอก็จะไม่เข้ามา กระทั่งวันหนึ่ง — ขุนเขากำลังกวาดพื้นและทำความสะอาดอยู่ที่ห้องครัวอย่างเงียบเชียบ มือเล็กๆ กำลังจับไม้กวาด ปัดฝุ่นที่เกาะตามพื้นไม้อย่างตั้งอกตั้งใจ เสียงสั่งการก็ดังขึ้นจากโซฟา “นี่! เอาน้ำมานี่ที หิวจะแย่แล้ว!” ขุนเขาเงยหน้าขึ้น ก็พบปานวาดนั่งหันหลังให้ ก้มหน้าจิ้มโทรศัพท์มือถืออย่างไม่ใส่ใจสิ่งรอบตัว “นี่!! ฉันบอกให้หยิบน้ำมา!!” เสียงตะคอกดังขึ้นอีกครั้ง ขุนเขาขบกรามแน่น ก่อนจะวางไม้กวาดกับที่ตักขยะลงแรงๆ จนมันล้มดัง กึก ร่างบางเดินอย่างเอื่อยเฉื่อยไปหยิบเหยือกน้ำและแก้ว ก่อนจะเดินกลับมาวางมันลงบนโต๊ะไม้หน้าสุดของโซฟา อย่างแรง จนน้ำในเหยือกกระเพื่อม ปานวาดกำมือแน่น สีหน้าเร
เสียงคลื่นกระทบชายฝั่งดังเบา ๆ อยู่ไกล ๆ เมื่อสหัสวรรษยืนพิงราวระเบียง มองออกไปยังห้องนอนผ่านกระจกบานใส มือหนึ่งถือโทรศัพท์แนบหู อีกมือวางแนบชายโครงอย่างเงียบงัน แสงจากหลอดไฟนวลตาในห้องนอนลอดผ้าม่านออกมาแผ่วเบา “กูก็บอกแล้วไงว่ากูรู้สึกผิดแล้ว มึงยังจะด่ากูอีก” เสียงเขาแหบพร่ากึ่งหงุดหงิด เมื่อเอ่ยกับปลายสาย “กูไม่รู้ว่ะ ปานวาดเขาเข้ามากระทันหันจนกูตั้งหลักไม่ทัน” เขื่อนตอบเสียงพูดของเขาแทรกด้วยเสียงจุดไฟแช็ก แล้วตามด้วยกลิ่นควันบุหรี่จาง ๆ ในลมหายใจของอีกฝ่าย ‘มันไม่ใช่ข้ออ้างสักนิดไอสัด’ เสียงของเจริญชัยพูดสวนขึ้นมาทางปลายสาย ‘มึงไปคิดเองเหอะ เว้นระยะห่างกับปานวาดเขาบ้าง มึงก็มีคนของมึงอยู่แล้วนะ’ ‘ดูแลเขาให้ดี ๆ เพราะฝั่งนั้นแม่งเริ่มไหวตัวแล้ว’ ‘สุดท้าย คนที่มึงควรไว้ใจไม่ใช่เธอแต่คือคนที่มึงยอมให้นอนห้องนอนเดียวกัน ไอ้ควาย’ สิ้นเสียงเพื่อนซี้ด่าเสร็จก็ได้ตัดสายไป… คำพูดของเพื่อนสนิทสะกิดแทงลึกเข้ากลางอก เขื่อนนิ่งเงียบ รู้ดีว่าเจริญชัยพูดถูก—เขาแคร์ปานวาดมากเกินไป จนลืมไปว่าขุนเขาก็เจ็บเหมือนกัน และที่ยิ่งน่าสงสัยคือการกลับมาของปานวาด ทั้งที่พ่อแม่ของเธอเสียชีวิตไปแล้ว แต
ในพื้นที่ตอนใต้ของประเทศ ที่ซึ่งท้องทะเลเป็นสีครามลึกและเสียงคลื่นกระทบฝั่งดังก้องสะท้อนกับผาหิน — นั่นคือที่ตั้งของอาณาจักร “สัมปทานรังนก” ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ และชายผู้ควบคุมทุกเกาะ ทุกนก และทุกเส้นทางการค้าคือ เขื่อน สหัสวรรษ บดินทร์ขุนทศ ชายหนุ่มวัยสามสิบกลางๆ เจ้าของสัมปทานรังนกทั้งหมดสามเกาะใหญ่ และยังเป็นเจ้าของรีสอร์ตบนเกาะเล็กเกาะน้อยที่ถูกเนรมิตให้กลายเป็นสวรรค์ของนักท่องเที่ยว เขื่อนสูงถึง 190 เซนติเมตร ผิวแทนเข้มจากการใช้ชีวิตกลางแดด ใบหน้าคมเข้มดุดันจนบางคนไม่กล้าสบตา กล้ามเนื้อแน่นตึงบ่งบอกถึงความแข็งแรงและวินัยในการดูแลตัวเองอย่างต่อเนื่อง แม้จะเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ แต่เขาก็ไม่เคยทอดทิ้งความผูกพันกับธรรมชาติ โดยเฉพาะ “แมว” ที่เขาเลี้ยงไว้ถึงสองตัวบนเกาะเล็กๆ ที่ชื่อว่า “เกาะปันรัก” แห่งนี้ เกาะซึ่งแม่ของเขาทิ้งไว้ก่อนจะเสียชีวิตจากโรคร้ายเมื่อหลายปีก่อน เมื่อครั้งยังวัยรุ่น เขื่อนใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวง เรียนหนังสือและทำงานในบริษัทของพ่อ ตนทำทุกวิธีเพื่อรักษาแม่ แต่สุดท้ายเมื่อแม่จากไป เขาก็เลือกกลับมายังบ้านเกิด สานต่อกิจการและดูแลเกาะที่แม่รักที่สุด
แสงแดดยามเช้าสาดส่องลอดผ้าม่านลงมาแตะต้องใบหน้าเรียวบาง ทำให้ร่างบนเตียงขยับตัวเล็กน้อย แต่เพียงขยับนิดเดียวก็รู้สึกเจ็บจี๊ดไปทั้งร่าง เปลือกตาที่ปกคลุมด้วยแพขนตาหนาค่อย ๆ กระพริบ ก่อนที่ดวงตาสุกใสจะเปิดขึ้นมาอย่างช้า ๆ เพดานสีขาวสะอาดตาไม่ใช่ภาพที่เจ้าตัวคุ้นเคย—นี่…ยังไม่ตายงั้นเหรอ? หัวกลม ๆ หันซ้ายหันขวาไปรอบห้องเพื่อมองหาใครบางคนแต่กลับไม่พบใครเลย “ขุนเขา ปลายขอบฟ้า”—ชื่อที่คนคนหนึ่งเคยตั้งให้ด้วยความรัก ชื่อนี้สะท้อนอยู่ในใจเมื่อเขานึกถึงเจ้าของเสียงหัวใจ ขุนเขานอนมองเพดานต่ออีกครู่ ก่อนจะได้ยินเสียงประตูระเบียงเปิดออก เขาหันไปตามเสียงแล้วต้องเบิกตากว้าง ชายแปลกหน้ารูปร่างสูงใหญ่ในเสื้อกล้ามสีขาวเดินเข้ามา ใบหน้าเรียบเฉยแต่ดวงตาคมกริบทำให้ขุนเขารู้สึกตื่นตะลึง ไหนจะกล้ามแขนและแผงอกที่เห็นชัดผ่านเนื้อผ้านั่นอีก ชายคนนั้นเดินมาตรงข้างเตียง พร้อมกับเอ่ยเสียงทุ้ม “ชื่อ?” ขุนเขาเบิกตาเล็กน้อย ก่อนจะตอบเสียงอ้อมแอ้มพลางก้มหน้ามองมือตัวเอง “ข…ขุนเขา…” อีกฝ่ายพยักหน้าเบา ๆ แล้วเดินไปหยิบเสื้อเชิ้ตจากราวมาสวม ก่อนจะคว้าถุงเสื้อผ้าที่ดูเหมือนเตรียมไว้ให้เรียบร้อย แล้วยื่นให้
หลายวันผ่านไป ความเคยชินค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นระหว่างเขื่อนกับขุนเขา ทั้งสองต่างไม่ได้มีบทสนทนาหวานซึ้งหรือใกล้ชิดแบบคู่รัก แต่กลับอยู่ร่วมบ้านกันได้อย่างแนบเนียนราวกับเป็นเรื่องปกติ เหมือนคนสองคนที่เคยมีชีวิตคู่มาก่อน แล้วกลับมาใช้ชีวิตร่วมกันอีกครั้งอย่างเงียบงัน ทุกเช้าเขื่อนออกจากบ้านโดยไม่ลืมทิ้งคำสั่งหรือคำเตือนบางอย่างไว้ให้ขุนเขาเสมอ แล้วขึ้นสปีดโบ๊ทลำเดิมในเวลา 10 โมงตรง กลับมาอีกทีราวบ่ายสาม ขุนเขาที่เริ่มจำเวลาเหล่านี้ได้ขึ้นใจ เริ่มสังเกตและตั้งคำถาม—แบบที่ไม่เคยกล้าถามออกไปตรง ๆ ประมง? เขาไม่เคยเห็นตาข่าย ไม่เคยเห็นปลา ไม่เคยได้กลิ่นคาวทะเลสักครั้ง… หรือเขาแค่ไม่รู้ว่าประมงในที่แห่งนี้ มันไม่ใช่แค่การหาปลา บ่ายวันนี้ ขุนเขาออกมานั่งหน้าบ้าน อากาศเย็นสบาย ลมทะเลพัดอ่อน ๆ ผ่านผิวกาย เสื้อยืดสีขาวบางแนบเนื้อโชว์ไหล่ลาดและช่วงคอขาวเนียน กางเกงผ้าลื่นสีฟ้าอ่อนแนบเรียวขาอย่างไม่ตั้งใจ แต่เพียงพอจะดึงดูดสายตาคนงานละแวกนั้นให้เผลอเหลือบมองเป็นระยะ เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ใต้ร่มผ้าใบข้างบ้าน เปลถักใกล้กันแกว่งเบา ๆ ไปตามลม หน้าบ้านที่ปูด้วยหินกรวดสีขาวสะอาดยิ่งทำให้ร่างบางของเ
ริมฝีปากเขื่อนสัมผัสกับของขุนเขาอีกครั้ง—อ่อนโยนเหมือนสายลมยามเช้า ละมุนละไมจนแทบทำให้ร่างบางละลายอยู่ตรงนั้น จูบนั้นเริ่มจากเพียงแค่แตะเบาๆ กลายเป็นร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ… เสียงจูบเปียกชื้น,ลิ้นร้อนตวัดหาความหวานของกันและกัน น้ำรักที่เปรอะออกมาจากริมฝีปากของขุนเขา สหัสวรรษดูดเม้มราวกับว่านี่คือน้ำผึ้งเดือนห้า สลับกับลมหายใจที่ถี่กระชั้นทำให้บรรยากาศในห้องเต็มไปด้วยความร้อนรุ่ม เสียงเบาๆ จากห้องข้างๆ ดังลอดมาเป็นจังหวะที่ไม่ควรได้ยิน… กลับยิ่งกระตุ้นให้ทุกการสัมผัสของเขื่อนทวีความรุนแรงในแบบทนุถนอม ร่างสูงคร่อมเหนือคนตัวเล็ก มือหนาที่เคยจับพวงมาลัยเรือ แกร่งแต่ก็แฝงด้วยความอ่อนโยน ลูบผ่านแผ่นหลังบางจนเจ้าของร่างสะดุ้งเล็กน้อย ลูบไล้ผ่านเอวบาง สหัสวรรษคิดว่าอีกคนว่าเอวเล็กแล้ว แต่ไม่คิดว่าจะเล็กถึงขนาดที่ตนรวบมือเดียวยังได้ “ตรงนี้…ได้ไหม” เขื่อนกระซิบเบา มือข้างหนึ่งลูบไล้ทั่วร่างขาวไปจนหยุดตรงตุ่มไตสีสวยบนอก ปากก็ว่ามือก็ลูบไล้ เสียงแหบพร่าข้างใบหู ทำเอาร่างใต้ร่างใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ขุนเขาพยักหน้าเบาๆ แม้อีกคนจะขออนุญาตเขาหลังจากที่มือนั้นไปหยุดอยู่ตรงเนินเล็กของขุนเขา ดวงตาฉ่
เสียงคลื่นกระทบชายฝั่งดังเบา ๆ อยู่ไกล ๆ เมื่อสหัสวรรษยืนพิงราวระเบียง มองออกไปยังห้องนอนผ่านกระจกบานใส มือหนึ่งถือโทรศัพท์แนบหู อีกมือวางแนบชายโครงอย่างเงียบงัน แสงจากหลอดไฟนวลตาในห้องนอนลอดผ้าม่านออกมาแผ่วเบา “กูก็บอกแล้วไงว่ากูรู้สึกผิดแล้ว มึงยังจะด่ากูอีก” เสียงเขาแหบพร่ากึ่งหงุดหงิด เมื่อเอ่ยกับปลายสาย “กูไม่รู้ว่ะ ปานวาดเขาเข้ามากระทันหันจนกูตั้งหลักไม่ทัน” เขื่อนตอบเสียงพูดของเขาแทรกด้วยเสียงจุดไฟแช็ก แล้วตามด้วยกลิ่นควันบุหรี่จาง ๆ ในลมหายใจของอีกฝ่าย ‘มันไม่ใช่ข้ออ้างสักนิดไอสัด’ เสียงของเจริญชัยพูดสวนขึ้นมาทางปลายสาย ‘มึงไปคิดเองเหอะ เว้นระยะห่างกับปานวาดเขาบ้าง มึงก็มีคนของมึงอยู่แล้วนะ’ ‘ดูแลเขาให้ดี ๆ เพราะฝั่งนั้นแม่งเริ่มไหวตัวแล้ว’ ‘สุดท้าย คนที่มึงควรไว้ใจไม่ใช่เธอแต่คือคนที่มึงยอมให้นอนห้องนอนเดียวกัน ไอ้ควาย’ สิ้นเสียงเพื่อนซี้ด่าเสร็จก็ได้ตัดสายไป… คำพูดของเพื่อนสนิทสะกิดแทงลึกเข้ากลางอก เขื่อนนิ่งเงียบ รู้ดีว่าเจริญชัยพูดถูก—เขาแคร์ปานวาดมากเกินไป จนลืมไปว่าขุนเขาก็เจ็บเหมือนกัน และที่ยิ่งน่าสงสัยคือการกลับมาของปานวาด ทั้งที่พ่อแม่ของเธอเสียชีวิตไปแล้ว แต
หลังจากวันนั้น ทุกๆ วันก็เหมือนมีภาพซ้ำที่ขุนเขาต้องทนเห็น — ปานวาดเข้ามาเล่น พูดคุย และนั่งทานข้าวกับเขื่อนแทบทุกมื้อ สหัสวรรษเพียงอธิบายสั้นๆ ว่า “คนนี้รู้จักกันมานานแล้ว พึ่งกลับจากเรียนต่อในเมืองหลวง” ขุนเขาไม่เคยปริปากถามอะไรอีก แค่ยิ้มรับเงียบๆ แม้ในใจจะเจ็บทุกครั้งที่เห็นภาพสองคนนั้นหัวเราะกันอย่างเป็นธรรมชาติ ปานวาดจะโผล่มาเฉพาะเวลาที่เขื่อนอยู่บ้านเท่านั้น หากเขื่อนไม่อยู่ เธอก็จะไม่เข้ามา กระทั่งวันหนึ่ง — ขุนเขากำลังกวาดพื้นและทำความสะอาดอยู่ที่ห้องครัวอย่างเงียบเชียบ มือเล็กๆ กำลังจับไม้กวาด ปัดฝุ่นที่เกาะตามพื้นไม้อย่างตั้งอกตั้งใจ เสียงสั่งการก็ดังขึ้นจากโซฟา “นี่! เอาน้ำมานี่ที หิวจะแย่แล้ว!” ขุนเขาเงยหน้าขึ้น ก็พบปานวาดนั่งหันหลังให้ ก้มหน้าจิ้มโทรศัพท์มือถืออย่างไม่ใส่ใจสิ่งรอบตัว “นี่!! ฉันบอกให้หยิบน้ำมา!!” เสียงตะคอกดังขึ้นอีกครั้ง ขุนเขาขบกรามแน่น ก่อนจะวางไม้กวาดกับที่ตักขยะลงแรงๆ จนมันล้มดัง กึก ร่างบางเดินอย่างเอื่อยเฉื่อยไปหยิบเหยือกน้ำและแก้ว ก่อนจะเดินกลับมาวางมันลงบนโต๊ะไม้หน้าสุดของโซฟา อย่างแรง จนน้ำในเหยือกกระเพื่อม ปานวาดกำมือแน่น สีหน้าเร
เสียงประตูห้องปิดลงเบาๆ แต่ภายในใจของขุนเขากลับดังก้องไปด้วยความรู้สึกมากมายจนแทบกลั้นไม่อยู่ เขาทรุดตัวลงบนเตียงกว้างที่ยังมีกลิ่นของเขื่อนอวลอยู่บนหมอน ดวงตากลมมองออกไปนอกหน้าต่าง ริมฝีปากเม้มแน่น รู้ทั้งรู้ว่าไม่ควรคิดมาก ไม่ควรรู้สึกอะไรแบบนี้ เพราะคนคนนั้นก็คงเป็นแค่ ‘อดีต’ แต่… ทำไมมันหน่วงไปหมดแบบนี้นะ “ก็แค่คนของเขาเอง” เขาพึมพำกับตัวเองเบาๆ พยายามไล่ความรู้สึกเจ็บออกไปจากอก แต่ภาพที่อีกฝ่ายยืนอยู่หน้าบ้าน ยิ้มให้เขื่อนแบบนั้น มือที่แตะไหล่เขื่อนเหมือนเจ้าของ ไม่สิ…เหมือนคนที่เคยมีสิทธิ์ในตัวเขื่อนมาก่อน—มันทำให้ขุนเขาเจ็บจุกยังไงไม่รู้ เขาไม่อยากยอมรับหรอกว่ากำลังหึง กำลังน้อยใจ หรือกลัว… กลัวว่าจะมีใครบางคนที่เขื่อนเคยรัก มาก่อนเขา และอาจจะยังมีผลอยู่ เสียงประตูเปิดดังขึ้นเบาๆ ขุนเขาหันไปมอง เห็นร่างสูงของเขื่อนเดินเข้ามาช้าๆ มือถือแก้วน้ำกับนมอุ่นหนึ่งแก้ว “นมอุ่น จะไ
ริมฝีปากเขื่อนสัมผัสกับของขุนเขาอีกครั้ง—อ่อนโยนเหมือนสายลมยามเช้า ละมุนละไมจนแทบทำให้ร่างบางละลายอยู่ตรงนั้น จูบนั้นเริ่มจากเพียงแค่แตะเบาๆ กลายเป็นร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ… เสียงจูบเปียกชื้น,ลิ้นร้อนตวัดหาความหวานของกันและกัน น้ำรักที่เปรอะออกมาจากริมฝีปากของขุนเขา สหัสวรรษดูดเม้มราวกับว่านี่คือน้ำผึ้งเดือนห้า สลับกับลมหายใจที่ถี่กระชั้นทำให้บรรยากาศในห้องเต็มไปด้วยความร้อนรุ่ม เสียงเบาๆ จากห้องข้างๆ ดังลอดมาเป็นจังหวะที่ไม่ควรได้ยิน… กลับยิ่งกระตุ้นให้ทุกการสัมผัสของเขื่อนทวีความรุนแรงในแบบทนุถนอม ร่างสูงคร่อมเหนือคนตัวเล็ก มือหนาที่เคยจับพวงมาลัยเรือ แกร่งแต่ก็แฝงด้วยความอ่อนโยน ลูบผ่านแผ่นหลังบางจนเจ้าของร่างสะดุ้งเล็กน้อย ลูบไล้ผ่านเอวบาง สหัสวรรษคิดว่าอีกคนว่าเอวเล็กแล้ว แต่ไม่คิดว่าจะเล็กถึงขนาดที่ตนรวบมือเดียวยังได้ “ตรงนี้…ได้ไหม” เขื่อนกระซิบเบา มือข้างหนึ่งลูบไล้ทั่วร่างขาวไปจนหยุดตรงตุ่มไตสีสวยบนอก ปากก็ว่ามือก็ลูบไล้ เสียงแหบพร่าข้างใบหู ทำเอาร่างใต้ร่างใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ขุนเขาพยักหน้าเบาๆ แม้อีกคนจะขออนุญาตเขาหลังจากที่มือนั้นไปหยุดอยู่ตรงเนินเล็กของขุนเขา ดวงตาฉ่
หลายวันผ่านไป ความเคยชินค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นระหว่างเขื่อนกับขุนเขา ทั้งสองต่างไม่ได้มีบทสนทนาหวานซึ้งหรือใกล้ชิดแบบคู่รัก แต่กลับอยู่ร่วมบ้านกันได้อย่างแนบเนียนราวกับเป็นเรื่องปกติ เหมือนคนสองคนที่เคยมีชีวิตคู่มาก่อน แล้วกลับมาใช้ชีวิตร่วมกันอีกครั้งอย่างเงียบงัน ทุกเช้าเขื่อนออกจากบ้านโดยไม่ลืมทิ้งคำสั่งหรือคำเตือนบางอย่างไว้ให้ขุนเขาเสมอ แล้วขึ้นสปีดโบ๊ทลำเดิมในเวลา 10 โมงตรง กลับมาอีกทีราวบ่ายสาม ขุนเขาที่เริ่มจำเวลาเหล่านี้ได้ขึ้นใจ เริ่มสังเกตและตั้งคำถาม—แบบที่ไม่เคยกล้าถามออกไปตรง ๆ ประมง? เขาไม่เคยเห็นตาข่าย ไม่เคยเห็นปลา ไม่เคยได้กลิ่นคาวทะเลสักครั้ง… หรือเขาแค่ไม่รู้ว่าประมงในที่แห่งนี้ มันไม่ใช่แค่การหาปลา บ่ายวันนี้ ขุนเขาออกมานั่งหน้าบ้าน อากาศเย็นสบาย ลมทะเลพัดอ่อน ๆ ผ่านผิวกาย เสื้อยืดสีขาวบางแนบเนื้อโชว์ไหล่ลาดและช่วงคอขาวเนียน กางเกงผ้าลื่นสีฟ้าอ่อนแนบเรียวขาอย่างไม่ตั้งใจ แต่เพียงพอจะดึงดูดสายตาคนงานละแวกนั้นให้เผลอเหลือบมองเป็นระยะ เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ใต้ร่มผ้าใบข้างบ้าน เปลถักใกล้กันแกว่งเบา ๆ ไปตามลม หน้าบ้านที่ปูด้วยหินกรวดสีขาวสะอาดยิ่งทำให้ร่างบางของเ
แสงแดดยามเช้าสาดส่องลอดผ้าม่านลงมาแตะต้องใบหน้าเรียวบาง ทำให้ร่างบนเตียงขยับตัวเล็กน้อย แต่เพียงขยับนิดเดียวก็รู้สึกเจ็บจี๊ดไปทั้งร่าง เปลือกตาที่ปกคลุมด้วยแพขนตาหนาค่อย ๆ กระพริบ ก่อนที่ดวงตาสุกใสจะเปิดขึ้นมาอย่างช้า ๆ เพดานสีขาวสะอาดตาไม่ใช่ภาพที่เจ้าตัวคุ้นเคย—นี่…ยังไม่ตายงั้นเหรอ? หัวกลม ๆ หันซ้ายหันขวาไปรอบห้องเพื่อมองหาใครบางคนแต่กลับไม่พบใครเลย “ขุนเขา ปลายขอบฟ้า”—ชื่อที่คนคนหนึ่งเคยตั้งให้ด้วยความรัก ชื่อนี้สะท้อนอยู่ในใจเมื่อเขานึกถึงเจ้าของเสียงหัวใจ ขุนเขานอนมองเพดานต่ออีกครู่ ก่อนจะได้ยินเสียงประตูระเบียงเปิดออก เขาหันไปตามเสียงแล้วต้องเบิกตากว้าง ชายแปลกหน้ารูปร่างสูงใหญ่ในเสื้อกล้ามสีขาวเดินเข้ามา ใบหน้าเรียบเฉยแต่ดวงตาคมกริบทำให้ขุนเขารู้สึกตื่นตะลึง ไหนจะกล้ามแขนและแผงอกที่เห็นชัดผ่านเนื้อผ้านั่นอีก ชายคนนั้นเดินมาตรงข้างเตียง พร้อมกับเอ่ยเสียงทุ้ม “ชื่อ?” ขุนเขาเบิกตาเล็กน้อย ก่อนจะตอบเสียงอ้อมแอ้มพลางก้มหน้ามองมือตัวเอง “ข…ขุนเขา…” อีกฝ่ายพยักหน้าเบา ๆ แล้วเดินไปหยิบเสื้อเชิ้ตจากราวมาสวม ก่อนจะคว้าถุงเสื้อผ้าที่ดูเหมือนเตรียมไว้ให้เรียบร้อย แล้วยื่นให้
ในพื้นที่ตอนใต้ของประเทศ ที่ซึ่งท้องทะเลเป็นสีครามลึกและเสียงคลื่นกระทบฝั่งดังก้องสะท้อนกับผาหิน — นั่นคือที่ตั้งของอาณาจักร “สัมปทานรังนก” ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ และชายผู้ควบคุมทุกเกาะ ทุกนก และทุกเส้นทางการค้าคือ เขื่อน สหัสวรรษ บดินทร์ขุนทศ ชายหนุ่มวัยสามสิบกลางๆ เจ้าของสัมปทานรังนกทั้งหมดสามเกาะใหญ่ และยังเป็นเจ้าของรีสอร์ตบนเกาะเล็กเกาะน้อยที่ถูกเนรมิตให้กลายเป็นสวรรค์ของนักท่องเที่ยว เขื่อนสูงถึง 190 เซนติเมตร ผิวแทนเข้มจากการใช้ชีวิตกลางแดด ใบหน้าคมเข้มดุดันจนบางคนไม่กล้าสบตา กล้ามเนื้อแน่นตึงบ่งบอกถึงความแข็งแรงและวินัยในการดูแลตัวเองอย่างต่อเนื่อง แม้จะเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ แต่เขาก็ไม่เคยทอดทิ้งความผูกพันกับธรรมชาติ โดยเฉพาะ “แมว” ที่เขาเลี้ยงไว้ถึงสองตัวบนเกาะเล็กๆ ที่ชื่อว่า “เกาะปันรัก” แห่งนี้ เกาะซึ่งแม่ของเขาทิ้งไว้ก่อนจะเสียชีวิตจากโรคร้ายเมื่อหลายปีก่อน เมื่อครั้งยังวัยรุ่น เขื่อนใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวง เรียนหนังสือและทำงานในบริษัทของพ่อ ตนทำทุกวิธีเพื่อรักษาแม่ แต่สุดท้ายเมื่อแม่จากไป เขาก็เลือกกลับมายังบ้านเกิด สานต่อกิจการและดูแลเกาะที่แม่รักที่สุด