เมื่อพูดถึงคำสุดท้ายเฉินฝานหายใจมิทั่วท้องแล้วลอบก่นด่าอยู่ในใจบัดซบ!คิดมิถึงว่าจะใช้พิษ? ช่างไร้จรรยาบรรณในการต่อสู้เสียจริงและเป็นความสะเพร่าของเขาเช่นกันมิได้คำนึงถึงการป้องกันพิษ“มิได้ขอรับ ร่างกายของใต้เท้ารับมิไหว ต้องพักผ่อน!” หมอเยี่ยนสีหน้าจริงจังขึ้นมาทันที มิมีท่าทีจะยอมโอนอ่อนให้แม้แต่น้อย “การสู้รบเป็นเรื่องของท่าน ท่านติดพิษได้รับบาดเจ็บ ก็เป็นคนป่วยแล้ว ต้องเชื่อฟังข้า“หมอเยี่ยน เฉินฝานยิ้มอย่างอ่อนแรง “ข้ามิได้บอกว่าข้าจะมิพักผ่อน จัดแจงในรถม้าให้ดีเสียหน่อย บนรถม้าปูผ้าที่หนาขึ้น หลังจากนั้น ท่าน...ก็คอยดูแลตลอดทาง ก็ใช้ได้แล้วมิใช่หรือ?”“เช่นนั้นก็มิได้ขอรับ!” หมอเยี่ยนยังคงมีท่าทียืนหยัดในความพูดของตนเองโดยมิสนใจสิ่งใดทั้งสิ้น“เช่นนั้นหลังจากที่กลับเมืองหลวงแล้ว ข้าจะบอกหมอหลวงสวีว่า วิชาการแพทย์ของเจ้าใช้มิได้ พิษเพียงเล็กน้อย ข้านั่งอยู่บนรถม้า เจ้าก็ยังรักษามิได้”คำพูดของเฉินฝานนี้ ครึ่งหนึ่งคือการล้อเล่น อีกครึ่งหนึ่งคือจริงจังต้องใช้โอกาสนี้เพื่อไล่ล่าเอาชนะ มิสามารถให้อ๋องเจิ้งหนานมีโอกาสให้พักหายใจได้เฉินฝานมิอยากสู้รบในเขตต้าชิ่งจริง
ประตูเมืองเหล็กที่หนักและแน่นหนา ค่อยๆเปิดออก“แปร๊ด~~~~”เสียงสัตว์ที่แปลกประหลาดดังขึ้น“นั้น นั้นคืออะไรกัน?”“ไยจมูกถึงยาวเพียงนี้? รูปร่างใหญ่โตมโหฬาร พยัคฆ์สิบตัวก็ยังเทียบมิได้”“เป็นสัตว์ประหลาดหรือกระไร?”“อ๋องเจิ้งหนานสู้รบมิไหว จึงใช้สัตว์ประหลาดมาจัดการพวกเรางั้นหรือ?”สิ่งของที่มิรู้จัก ผู้คนมักจะเกิดความหวาดกลัวในใจเสมอทหารแนวหน้าหวาดผวา ตื่นตกใจเฉินฝานรีบร้อนเปิดผ้าม่านขึ้นเดินออกไปเสียงร้องของสัตว์ประหลาดนั้น เฉินฝานจำได้คือช้างเมืองเตียนตูตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ ในเขตแดนมีป่าเขตร้อนจำนวนมาก มีช้างโคลงใหญ่อาศัยอยู่ในตอนแรก เฉินฝานกังวลว่าในกองกำลังเตียนตูจะมีฝูงช้าง อ๋องเจิ้งหนานจะใช้ฝูงช้างต่อกรกับพวกเขาหากช้างที่รวมตัวเป็นกลุ่มบุกเข้าโจมตีกองกำลังลาดตระเวน คงจะรับมือได้ยากจริงๆเดินออกมาจากรถม้า เห็นว่าในประตูเมืองมีช้างเพียงหนึ่งตัว หัวใจที่สั่นไหวไปมาของเฉินฝานในที่สุดก็สงบลงเขายืนอยู่ที่คนขับรถม้า ยกมือสองข้างขึ้น ตะโกนเสียงดัง “ทุกคนมิต้องตื่นตระหนก นั่นมิใช่สัตว์ประหลาด นั่นคือช้าง ช้างไม่กินมนุษย์ เพียงแค่พวกเราไม่ทำให้มันตกใจ มันก
......เครื่องแต่งกายของสตรีเหล่านั้น ทำให้เฉินฝานนึกถึงสาวงามมณฑลหนึ่งทางตะวันตกเฉียงใต้ในประเทศยุคปัจจุบันของเขาด้านหลังของสตรีเหล่านั้น ตามมาด้วยนักดนตรีสิบกว่าคน นักดนตรีทุกคนล้วนมีเครื่องดนตรีหนึ่งชิ้น บรรเลงท่วงทำนองที่งดงามซาบซึ้งกินใจกลุ่มสาวงามด้านหน้าช้าง เข้าใกล้เฉินฝานขึ้นเรื่อย ๆ“ทุกคนจงเตรียมรับมือ ระวังกับดัก!”“ปกป้องใต้เท้าให้ดี!”เหอจื่อหลินออกคำสั่งทันที ทุกคนล้วนวางมือไว้บนด้ามดาบมิต้องพูดถูกบริเวณโดยรอบของเฉินฝาน มีการคุ้มกันอย่างแน่นหนาท่วงทำนองที่ไพเราะ ดังราวกับบรรเลงอยู่ในโสตประสาทแล้วคิดว่าขบวนช้างคงจะอยู่มิไกลแล้วน่าเสียดาย...เฉินฝานมองไปด้านนอกรถม้าที่นายทหารคุ้มกันอย่างแน่นหนา ถอดหายใจออกมาเล็กน้อยเหอจื่อหลินวิตกกังวลเกินไปแล้ว คนมากมายเพียงนั้นล้อมไว้ เขาอยากดูก็ทำมิได้สาวงามที่นั่งอยู่หลังช้าง เขาเคยเห็นในละครยุคปัจจุบันมิใช่องค์หญิงก็เป็นพระชายาองค์หญิงหรือพระชายาต่างเผ่า เขาอยากจะเห็นอย่างมากผ่านการป้องกันของนายทหารที่แน่นหนา เฉินฝานชะเง้อมองที่นั่งมีร่มบังอันงดงามบนหลังช้างอย่างทุลักทุเลขบวนช้างเคลื่อนมาถึงด้านหน้ากองกำลัง
ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือ บนศีรษะนางมีเครื่องหัวรูปร่างเจดีย์สีทองแวววับ และใบหูสองข้างยังใส่ต่างหูบุปผาสีทองแวววับเหมือนกันดวงตากลมโตสีน้ำตาลอ่อนที่น่าหลงใหล สันจมูกที่โด่งและเรียวเล็ก ริมฝีปากที่อวบอิ่มแวววับบนไหล่ผ้าคลุมไว้เพียงหนึ่งข้าง ผ้าคุลมไหล่ลายปักบุปผา ล้วนใช้ไหมสีทองในการถักทอผ้าคาดอกบนเรือนร่าง ยังคงทองประกายแวววับบนสะดือที่งดงาม มีอัญมณีที่เปล่งประกายฝังอยู่แสงตะวันสาดส่องไปที่เรือนร่างของนาง เปล่งประกายแสงสีทองออกมา“ว้าว!”“สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็นจริงๆ”“งาม ช่างงามเหลือเกิน”กองกำลังลาดตระเวนพากันชื่นชม ถึงขั้นมีคนเริ่มวิพากษ์วิจารณ์อ๋องเจิ้งหนาน“มีภรรยาที่สูงสง่างดงามเพียงนั้น ไยต้องก่อกบฏ?”“ช่างเป็นการโลภมากลาภหายเสียจริง!”การวิพากษ์วิจารณ์ของกองกำลังลาดตระเวน สาวใช้ของพระชายาเหล่านั้นมิได้สนใจ พวกนางเริ่มปูพรมตั้งแต่ข้างช้างจนไปถึงด้านข้างรถม้าของเฉินฝาน พระชายาเดินตามแนวพรมไปหาเฉินฝานทีละก้าวเอวเรียวเล็กอ่อนหวานปานน้ำผึ้ง เคลื่อนย้ายไปมา ยอดประทุมถันที่ตั้งตระหง่านบนเรือนร่าง ส่ายไปมาเล็กน้อย นางมิได้สวมรองเท้า กระดิ่งบนกำไลเท้า ดั
“นั่งช้างของเจ้าเข้าเมืองงั้นหรือ?”เรื่องนี้ทำให้เฉินฝานประหลาดใจอย่างมาก“ถูกต้องเพคะ ใต้เท้า พื้นเพหม่อมฉันเป็นคนแคว้นเหมี่ยน การนั่งช้างเข้าเมืองเป็นพิธีการปฏิบัติต่อแขกที่สูงสุดของพวกเราแคว้นเหมี่ยนเพคะ”“โอ้ เป็นเช่นนี่นี้เอง”ระหว่างที่เฉินฝานพูด กำลังจะลุกขึ้นลงจากรถม้า เท้ายังมิทันได้ขยับเขยื้อน พระชายาก็พูดขึ้นอีกครั้ง“ใต้เท้า ท่านโปรดถอดรองเท้า รับพิธีการจุมพิตจากหม่อมฉันด้วยเพคะ”ถอดรองเท้ารับ...พิธีการจุมพิต!นี่มันอะไรกันเนี่ย?ถึงแม้จะฉงนสงสัย เฉินฝานก็ยอมทำ“......” เฉินฝานก้มหน้า ดวงตาเบิกโพลงองครักษ์ด้านข้างเขาชักดาบออกมาอีกครั้ง หากไม่ใช่เพราะเฉินฝานห้ามปรามอย่างรวดเร็ว พวกเขาคงจะพุ่งตัวใส่ไปแล้วในตอนนี้...บนฝ่าเท้า มีความรู้สึกร้อนผ่าวและนุ่มนวลพระชายาโน้มตัวมาจุมพิตเท้าของเฉินฝาน“.......”เฉินฝานจับผมของตนเองด้วยความเขินอายเล็กน้อย สองสามวันมานี้ยุ่งอยู่กับการสู้รบกับอ๋องเจิ้งหนานมาโดยตลอด มิได้ใส่ใจชำระร่างกายให้ดีคาดว่า เท้าของเขา...ตอนนี้คงจะมีกลิ่นแปลก ๆจุมพิตอย่างน้อยสิบวินาที ริมฝีปากของพระชายาจึงถอนจากฝีเท้าของเฉินฝานออกไปมิรู่ว่าเป็
ระหว่างที่ปะทะกับกองกำลังเมืองเตียนตูอย่างดุเดือด ถึงแม้เฉินฝานได้รับชัยชนะมาอย่างขาดลอย ทว่าก็สูญเสียกำลังคนไปมิน้อยตอนนี้กองกำลังลาดตระเวนและกองกำลังรักษาเมือง จำนวนคนรวมกันแล้วมีสองหมื่นห้าพันกว่าคนเหอจื่อหลินนำกองกำลังหนึ่งหมื่นคนเข้าเมืองไปพร้อมกับเฉินฝาน ที่เหลืออีกหนึ่งหมื่นห้าพันคน ตั้งค่ายไว้ด้านนอกเมืองป้องกันมิให้อ๋องเจิ้งหนานหลบหนีหลังที่เข้าเมืองไปแล้ว เหอจื่อหลินพาคนไปตรวจค้นทุกครัวเรือนทันทีป้องกันมิให้อ๋องเจิ้งหนานใช้เส้นทางลับหลบหนีออกเมืองเฉินฝานนั่งอยู่หลังช้าง เข้าจวนอ๋องเจิ้งหนานไปพร้อมกับพระชายาจวนของอ๋องเจิ้งหนานแตกต่างจากจวนอ๋องที่เฉินฝานเคยที่เคยเห็นที่เมืองหลวงเหล่านั้นอย่างสิ้นเชิงเหลืองอร่ามแวววาว เปล่งประกายวิบวับกำแพงตกแต่งด้วยผงทองคำ ทางเดินใช้อิฐสีทองในการปูพื้น เครื่องเรือนล้วนเคลือบทองทั้งหมดแม้กระทั่งเชือกจูงสุนัขก็ยังทำมาจากทองคำเฉินฝานอดมิได้ที่จะลอบตกตะลึงอยู่ในใจมิแปลกที่อ๋องเจิ้งหนานจะเอาเงินสองแสนตำลึงทางมาเป็นรางวัลอย่างมิกังวลอันใดและมิแปลกที่ต้าชิ่งที่มีจำนวนผู้ชายน้อย ทว่าอ๋องเจิ้งหนานมีกองกำลังหนึ่งแสนสามหมื่นคนได้
แววตาสีน้ำตาลอ่อนของพระชายาคู่นั้น พลันปรากฏความตกใจเฉินฝานมิเข้าใจ ไยพระชายาต้องตกใจ“นี่เป็นหน้าที่ของหม่อมฉัน ใต้เท้ามิต้องกล่าวขอบคุณหรอกเพคะ ใต้เท้าเชิญรับประทานอาหารเถิด”“ช้าก่อน!”หมอเยี่ยนวิ่งเข้ามา ใช้เข็มเงินทดสอบอย่างถี่ถ้วน หลังจากที่แน่ใจว่าอาหารมิมีพิษแล้ว จึงกล่าวว่า “ใต้เท้า สามารถรับประทานอย่างไร้กังวลได้แล้วขอรับ”“กินข้าว ๆ!”เฉินฝานพับแขนเสื้อขึ้นอย่างอดใจมิไหว ในความจริง เขาหิวจนทนไม่ไหวแล้ว......เฉินฝานที่ก้มหน้าพับแขนเสื้อ ตกตะลึงในบัดดลตะเกียบล่ะ?ไยเขาไม่เห็นตะเกียบ?ตอนที่เฉินฝานกำลังหาตะเกียบ พระชายาด้านข้างเขาก็หยิบใบไม้สีเขียวขึ้นหนึ่งใบ ต่อจากนั้นก็ใช้มือหยิบข้าวสวยเล็กน้อยและอาหารสองสามชนิด วางไว้บนใบไม้ ม้วนให้เป็นก้อน ใช้มือสองข้างยกไปที่ปากของเฉินฝาน“ใต้เท้า โปรดรับประทาน”“......” เฉินฝานยังคงมิได้สติกลับมา“ใต้เท้า โปรดรับประทาน”พระชายากล่าวติดกันสามครั้ง เฉินฝานจึงอ้าปากเพราะถ้าเขายังมิอ้าปากอีก พระชายาผู้นี้ก็จวนจะร้องไห้แล้ว“อื้ม” เฉินฝานเคี้ยวอาหารไปพลางส่งเสียงพอใจไปพลางพระชายารีบกล่าวถามรสชาติอาหารกับเฉินฝานอย่างรีบร
มิรู้ว่าเพราะความเขินอายหรืออันใด พระชายาอ๋องเจิ้งหนานเพิ่งลงไปในน้ำ ก็ดำดิ่งลงไปใต้น้ำทันทีพระชายาที่อยู่ใต้น้ำ ไร้ซึ่งความขวยเขินเมื่อครู่ นางแหวกว่ายไปมารอบเฉินฝานราวกับมัจฉา และมียังลูกไม้หลากหลายรูปแบบ เอาอกเอาใจให้เฉินฝานมีความสุขเห็นว่าเฉินฝานยิ้มออกมาแล้ว นางยิ่งหาญกล้ามากขึ้น ว่ายใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ท่วงท่าก็ทวีความเย้ายวนเช่นกันม้วนตัวไปมา เป่าฟองอากาศ เอนกายไปมาเฉินฝานมองดูอย่างชอบใจ หัวเราะเสียงดังขึ้นเรื่อย ๆระหว่างที่เฉินฝานหัวเราะเสียงดัง พระชายาใต้น้ำถีบทั้งสองข้างทันที แหวกว่ายมาด้านหน้าเขาราวกับปลากระโทงดาบเฉินฝานรู้สึกเพียงตรงขาน่องมีความรู้สึกเจ็บแสบเล็กน้อย“ท่านหญิง ต้องการเอาใจข้า ก็เอาใจตรงๆสิ มิต้องเสแสร้งเล่นกลอันใด”เฉินฝานลากคอพระชายาขึ้นมาจากในน้ำ“อื้อ~”ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่ทำให้คนหลงใหลคู่นั้น น้ำตาคลอเบ้า ขนตาที่เรียวยาวสั่นเทาเล็กน้อยแสดงถึงความเจ็บปวดดูแล้วช่าง...น่าสงสารจับใจนางอ้าริมฝีปากสีชาดเล็กน้อย ตรงกลางระหว่างฟันกัด——ขนหน้าแข้งเส้นหนึ่งไว้เฉินฝานปราดตามองก็รู้ทันทีว่านั้นคือขนของเขา เฉินฝานปล่อยนางลง “นี่หมายความว่าเยี่ย
“อะไรนะ!?”“ตอนนี้องค์หญิงเสี่ยวฉู่พาฝ่าบาทไปที่ประตูอู่แล้วขอรับ เจ้าสิ่งนั้น ปะ ปะ...”“ปืนไรเฟิล”“ใช่ ๆ ปืนไรเฟิล ปากกระบอกปืนไรเฟิลจ่อพระเศียรของฝ่าบาทอยู่เลยขอรับ!”“หา นี่เป็นเพราะอะไรกัน?”บรรดาพี่สาวน้องสาวตระกูลฉินได้ยินข่าวขึ้นมา“กราบทูลบรรดาองค์หญิง ข้อเรียกร้องขององค์หญิงเสี่ยวฉู่คืออยากให้ท่านอัครเสนาบดีกับฝ่าบาทอภิเษกสมรสกันเดี๋ยวนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ”“เหลวไหล!”เฉินฝานพุ่งตัวออกไปราวกับพายุเวลานี้บรรดาพี่น้องตระกูลฉินที่เพิ่งแสดงท่าทีรีบร้อนทำหน้าร้อนใจกลับมีสีหน้าแจ่มใส ถึงขนาดที่นั่งลงปรึกษาหารือกันฉินเย่ว์โหรว “พี่หญิงรอง ท่านมีฝีมือดี ท่านรีบไปขวางอยู่ที่หอด้านบนประตูอู่ อย่าให้นายท่านลงมา” ฉินเย่ว์เจียว “ไม่มีปัญหา พอถึงเวลานั้นข้าจะเรียกน้องหวั่นเอ๋อร์ นายท่านหนีไม่รอดแน่”ฉินเย่ว์ฉิน “เช่นนั้นข้าจะให้พี่น้องในวังเซียวเหยาก่อนหน้านี้ไปเดินเล่นแถว ๆ ประตูอู่ให้หมดเลย จะต้องครึกครื้นเป็นแน่ รับรองว่าพี่น้องทหารองครักษ์พวกนั้นจะต้องมองสาวงามอย่างไม่หวาดไม่ไหว”สามพี่น้อง “ความปรารถนาของเสี่ยวฉู่ พวกเราในฐานะพี่สาวจะต้องช่วยอย่างเต็มที่!”เมื่อมองถนนละแวกป
“ข้าไม่ได้ขัดขืนจริง ๆ” เย่ลวี่เลี่ยก้มหน้าลง ชายสูงแปดฉื่อทำสีหน้าที่เต็มไปด้วยความท้อแท้ใจ เขาอยากขัดขืนอยู่แล้ว แต่ฉินเย่ว์ฉู่ไม่ได้ให้โอกาสนั้นกับเขาเลยตอนที่ฉินเย่ว์ฉู่บุกเข้ามาในกระโจมใหญ่ของเย่ลวี่เลี่ย ก็ยิงปืนกำจัดองครักษ์ของเย่ลวี่เลี่ยก่อนพูดแล้วก็น่าอับอาย เย่ลวี่เลี่ยที่เคยผ่านศึกมาอย่างโชกโชนตกใจกลัวรูเลือดตรงกลางหน้าผากขององครักษ์ เขาไม่เคยเห็นอาวุธที่รวดเร็วขนาดนี้มาก่อนเลยได้ยินแค่เสียงดังปัง หน้าผากขององครักษ์ก็มีรูเลือดใหญ่ขนาดนี้แล้ว ความเร็วที่แม้แต่เทพเซียนก็ทำไม่ได้ ความแม่นยำที่แม้แต่เทพเซียนก็ยังทำไม่ได้ในตอนที่ฉินเย่ว์ฉู่ยกปืนขึ้นแล้วลั่นไกอีกครั้ง เมื่อเย่ลวี่เลี่ยได้ยินเสียง เขาก็ตกใจจนสลบไปทันที หลับไปตื่นหนึ่งถึงค่อยพบว่าฉินเย่ว์ฉินยิงใส่หมวกเล็กของเขาเท่านั้นตกใจสาวน้อยจนสลบไป ไม่ว่าสือจิ่งซานผู้นี้จะถามอย่างไร เย่ลวี่เลี่ยก็ไม่บอกเขา .....ในคืนที่เย่ลวี่เลี่ยถูกจับ ข่าวก็ไปถึงเมืองหลวงแล้ว “เครื่องอัดเสียงพลังงานแสงอาทิตย์ เครื่องเสียง...” ขณะที่ฉินเย่ว์เหมยอ่านคำเหล่านี้ก็ถามเฉินฝานด้วยความมึนงงว่า “จดหมายของเสี่ยวฉู่บอกว่า นางแค่อาศ
“นางไม่รู้หรือว่าพวกเราไม่อยากลงมือจริงจัง?” “พอไปถึงค่ายทหารของชาวหู ไม่ใช่แค่โดนฆ่าธรรมดาแบบนั้นหรอกนะ” ชาวหูไม่มีทางปล่อยสตรีชาวต้าชิ่งใด ๆ ที่ตกอยู่ในมือพวกเขา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสตรีชาวต้าชิ่งที่หน้าตางดงามฐานะสูงศักดิ์อย่างฉินเย่ว์ฉู่ พฤติกรรมของพวกเขาใช้คำว่าเดรัจฉานมาอธิบายยังไม่พอเลย สือจิ่งซานสะบัดแขนเสื้อ “พอได้แล้ว สตรีนางเดียวไม่มีค่าพอให้เราต้องใส่ใจหรอก นางอยากตายก็ปล่อยนางไปเถิด โจวจวี่ เจ้าส่งคนไปบอกเยลวี่เลี่ยว่าให้พวกเขาเหลือศพไว้ครบถ้วน ข้าจะซื้อศพไว้ใช้ประโยชน์” ไม่ต้องให้สือจิ่งซานรอนานเกินไป วันรุ่งขึ้นทหารลาดตระเวนก็มารายงาน “ว่าไงนะ? เยลวี่เลี่ยมาด้วยตนเอง?”“ท่านแม่ทัพใหญ่ หากพูดให้ตรงคือเยลวี่เลี่ยโดนฮูหยินเล็กของท่านอัครเสนาบดีจับกุมมาขอรับ”“เจ้าพูดอีกทีสิ?”ทหารลาดตระเวนพูดซ้ำถึงสามรอบเต็ม ๆ สือจิ่งซานก็ยังไม่เชื่อไม่ใช่แค่สือจิ่งซานที่ไม่เชื่อ ต่อให้เป็นผู้ถูกจับกุมอย่างเยลวี่เลี่ยก็ไม่เชื่อเช่นกัน เขาจะโดนสตรีนางเดียวจับกุมได้อย่างไรยิ่งไปกว่านั้นสตรีผู้นี้ยังอายุน้อย พาทหารหญิงรุ่นราวคราวเดียวกันมาแค่ร้อยกว่าคนเมื่อฉินเย่ว์ฉู่พาเยลวี่เล
สือจิ่งซานยกมุมปากยิ้มคลุมเครือ “แปรพักตร์อันใดกัน ฝ่าบาทกับท่านอัครเสนาบดีเห็นอกเห็นใจกองทัพหมาป่าเรา จึงส่งสะใภ้คนเล็กมา เช่นนั้นกองทัพหมาป่าเราย่อมต้องต้อนรับสะใภ้ท่านนี้ให้ดี ๆ”“แม่ทัพใหญ่กล่าวถูกต้อง พวกเราต้อง ‘ต้อนรับ’ ให้ดี ๆ!” โจวจวี่พูดคล้อยตามทันที ไม่นานนักก็มีคำสั่งจากในกระโจมใหญ่ ให้ทหารแม่ทัพทั้งหมดของกองทัพหมาป่าเปลือยท่อนบนยุคโบราณที่จารีตเคร่งครัดอย่างยิ่ง การเปลือยท่อนบนเช่นนี้เป็นพฤติกรรมดูหมิ่นไม่ให้ความกียรติสตรีอย่างรุนแรงยิ่งกว่านั้นฉินเย่ว์ฉู่เป็นภรรยาเอกของอัครเสนาบดีขั้นหนึ่ง องค์หญิงแห่งต้าชิ่ง พระขนิษฐาแท้ๆ ของฮ่องเต้หญิงหากฉินเย่ว์ฉู่เป็นเพียงสตรีทั่วไปในยุคนี้ เกรงว่ามีแต่จะตกใจจนมือไม้อ่อนไปหมดทหารแม่ทัพทั้งหมดของกองทัพหมาป่าเปลือยท่อนบนออกจากกระโจม รอดูท่าทางตกใจกลัวจนร้องไห้โฮยกใหญ่ของฉินเย่ว์ฉู่“ผู้ชายมากมายถึงเพียงนี้ข่มขู่เด็กสาวคนเดียวจะไม่เกินไปหน่อยหรือ” มีบางคนรู้สึกว่าแบบนี้ไม่ค่อยดีนัก แต่คำพูดของเขาก็โดนคนอื่นสวนกลับทันที “เกินไปอันใดเล่า เฉินฝานเป็นคนส่งมา ให้เขาหยามพวกเราได้เท่านั้น แต่ไม่ยอมให้พวกเราตอบโต้คืนหรือ? เปลือย
เย่ว์หนูได้รับบาดเจ็บในระหว่างที่ปกป้องเฉินฝานครั้งหนึ่ง ร่างกายของนางตอนนี้จึงไม่แข็งแรงเหมือนเมื่อก่อน เดิมทีเฉินฝานอยากให้หวงหวั่นเอ๋อร์ตามฉินเย่ว์ฉู่ไป มีหวงหวั่นเอ๋อร์อยู่ อย่างน้อยที่สุดก็ไม่มีปัญหาเรื่องความปลอดภัยของฉินเย่ว์ฉู่ ผลปรากฏว่าฉินเย่ว์ฉู่ปฏิเสธแม้กระทั่งหวงหวั่นเอ๋อร์ด้วยฉินเย่ว์ฉู่พาทหารหญิงไปหนึ่งร้อยกว่าคน มุ่งตรงสู่ทางเหนือ บุกไปยังกองทัพหมาป่าอย่างกล้าหาญ “เจ้าปล่อยให้นางไปเช่นนี้หรือ?” คนที่ตำหนิเฉินฝาน ไม่ใช่แค่พี่น้องตระกูลฉินทั้งสามคนในจวนสกุลเฉิน แม้แต่ฉินเย่ว์เหมยที่อยู่ในวังหลวงก็รีบออกมาเช่นกันนางคิดว่าไม่ว่าอย่างไร อย่างน้อยที่สุดเฉินฝานต้องให้ฉินเย่ว์ฉู่นำกองพลมือปืนไป“เย่ว์ฉู่เป็นน้องเล็กของพวกเจ้า น้องเล็กของพวกเจ้ามีนิสับแบบไหน พวกเจ้าไม่รู้เลยหรือไร?” คำพูดประโยคเดียวของเฉินฝานทำให้พวกนางสำลักแล้วแม้ว่าฉินเย่ว์ฉู่จะเป็นน้องเล็กสุดในตระกูลฉิน ทว่าตั้งแต่เด็กจนโต นางมีความคิดของตัวเองมากที่สุด ขอเพียงเป็นเรื่องที่นางตัดสินใจแล้ว ไม่มีใครสามารถทำให้นางเปลี่ยนใจได้“แต่ว่า...” ฉินเย่ว์โหรวที่เป็นคนกังวลใจมากที่สุด ขมวดคิ้วมุ่น ดูกลัดกล
การปรากฏตัวของนาง ทำให้ทุกคนรู้สึกปีติยินดีกันมากแต่ฉินเย่ว์เจียวกลับถลึงมองสตรีผู้นั้น “พอได้แล้ว เสี่ยวฉู่เจ้าเด็กตัวแสบ แสร้งทำตัวเป็นผู้ใหญ่อันใด ยังไม่รีบเข้ามาอีก?” ฉินเย่ว์ฉู่ขี่ม้าเข้ามา ขณะที่นางผ่านฉินเย่ว์เจียวยังไม่ลืมเถียงกลับว่า “พี่หญิงรอง ข้าอายุยี่สิบแล้ว เป็นผู้ใหญ่ตั้งนานแล้วนะ”ฉินเย่ว์เจียวเชิดหน้าขึ้นสูง “ไม่ว่าเจ้าจะอายุเท่าไหร่ ถึงอย่างไรในสายตาข้า เจ้าก็เป็นเด็กตลอดกาล” ฉินเย่ว์ฉู่ควบม้าตรงมาหาเฉินฝาน แล้วฟ้องเขาว่า “นายท่านดูสิเจ้าคะ พี่หญิงรองรังแกข้าอีกแล้ว นางรังแกข้ามาตลอด ท่านไม่จัดการนางบ้างหรือ?”เฉินฝานมองฉินเย่ว์ฉู่ที่สดใสมั่นใจในตัวเองตรงหน้า ภาพที่เขาเห็นฉินเย่ว์ฉู่ครั้งแรกเมื่อสิบปีก่อนฉายขึ้นมาในสมอง เกิดความรู้สึกราวกับว่าเวลาผ่านไปชาติหนึ่งเด็กสาวที่ขี้กลัวในวันวาน บัดนี้กลายเป็นโฉมสะคราญที่มีสง่าราศี เฉินฝานรู้สึกภาคภูมิใจเล็กน้อย“เหตุใดที่กลับมาตอนนี้ ไม่ต้องเข้าเรียนแล้วหรือ?” เฉินฝานถามตั้งแต่ฉินเย่ว์ฉู่อายุสิบห้า เฉินฝานก็ส่งนางไปเรียนที่โรงเรียนสตรีในเมืองเซียนตู“นายท่าน ข้าน้อยเรียนจบแล้วเจ้าค่ะ”“เรียนจบแล้ว?”“ข้าน้อยเ
วันนี้เป็นวันหยุดพักผ่อน ซึ่งทั้งเดือนจะมีเพียงวันเดียวเท่านั้น นี่เป็นวันที่หาได้ยาก ในฐานะที่ฉินเย่ว์โหรวเป็นภรรยาเอกที่ดูแลบ้านย่อมไม่ปล่อยให้หลุดมือไปง่าย ๆ นางได้เตรียมการไว้ล่วงหน้าหลายวันแล้วว่าวันนี้พวกเขาจะไปเที่ยวเล่นกินอาหารที่ชานเมืองกันทั้งครอบครัวนี่เป็นสิ่งที่เฉินฝานเสนอขึ้นเมื่อหลายปีก่อน หลังจากครั้งนั้น ฉินเย่ว์โหรวก็หลงใหลอยู่สุดซึ้ง ขอเพียงเฉินฝานมีวันหยุด นางจะต้องออกไปให้ได้สถานที่เที่ยวเล่นกินอาหารกันในครั้งนี้มีทิวทัศน์งดงามราวกับภาพวาดเหมือนเช่นเคยเฉินฝานนั่งอยู่บนเก้าอี้พนักพิง กินผลไม้มองบุตรชายบุตรสาวเล่นกันอย่างสนุกสนานบนทุ่งหญ้า ส่วนบรรดาภรรยาก็ยุ่งอยู่กับการเตรียมอาหารกลางวันกลิ่นอาหารที่เฉินฝานชอบลอยอยู่ในอากาศอาหารของพวกเขาทั้งหมดเป็นรูปแบบยุคปัจจุบัน เนื้อแกะย่างทั้งตัว สเต๊กซี่โครงย่าง หมูสามชั้นย่าง ปีกไก่ย่าง กระดูกอ่อนย่าง... ยังมีหม้อไฟทะเล และผลไม้แช่เย็นต่าง ๆ นานา“อืม~” เฉินฝานสูดจมูก แล้วแค่นเสียงเบา ๆ ด้วยความพึงพอใจ เขาหลับตาพักผ่อน พักผ่อนสักพักก็เริ่มกินได้แล้ว“ฮี่!”เฉินฝานเพิ่งจะนอนหลับก็ตกใจตื่นกับเสียงร้องฮี่ของม้า “
หลังจากสือจิ่งซานควบคุมกองทัพหมาป่า เขาก็เปลี่ยนตัวแม่ทัพก่อนหน้านี้ทั้งหมด ตอนนี้ทหารเหล่านี้ล้วนเชื่อฟังสือจิ่งซานเท่านั้น“ใครบังอาจวิจารณ์ฝ่าบาทและท่านอัครเสนาบดีที่นี่?”สือจิ่งซานตวาดอย่างเย็นชา เขาเดินแหวกแม่ทัพเหล่านั้นพร้อมกับเอ่ยวาจา หลังจากนั้นก็หันกาย สายตากวาดมองไปบนร่างแม่ทัพเหล่านั้นห“ข้าน้อยไม่บังอาจวิจารณ์ เดิมทีสิ่งที่ข้าน้อยพูดก็เป็นความจริง หากไม่มีกองทัพหมาป่าของเรา ไม่มีท่านแม่ทัพใหญ่ ต้าชิ่งจะสงบสุขเหมือนทุกวันนี้ได้อย่างไร เวลานี้กลับให้เฉินฝานผู้นั้นยึดความดีความชอบทั้งหมดไว้เพียงผู้เดียว” “ถูกต้อง พวกเรารู้สึกว่าไม่ยุติธรรมกับท่านแม่ทัพใหญ่เลย”แม้ว่าเสียงของพวกแม่ทัพจะเบาลงแล้ว แต่ความโกรธเกรี้ยวและความไม่พอใจในคำพูดกลับยิ่งรุนแรงขึ้น “เหลวไหล เดิมทีความสงบสุขของต้าชิ่งก็เป็นหน้าที่ของกองทัพหมาป่าเรา ในฐานะที่ข้าเป็นแม่ทัพใหญ่ของกองทัพหมาป่ายิ่งต้องทำเช่นเดียว ต่อไปหากมีใครกล้าบังอาจวิจารณ์ฝ่าบาทกับอัครเสนาบดีอีก ลงโทษโบยด้วยไม้พลองทหาร!”“ท่านแม่ทัพใหญ่...”“ทหาร!” สือจิ่งซานตัดบทคนผู้นั้น “นำตัวสวี่ต๋าออกไปโบยด้วยไม้พลองทหารห้าสิบที!” ไม่นานนัก
ตอนนี้น่าจะถือว่ารักษาสัญญาแล้วกระมังฉินเย่ว์เหมยรับประทานอาหารค่ำที่จวนสกุลเฉิน พี่น้องทั้งห้าคุยเล่นกันในห้องจนดึกดื่น หลี่เต๋อฉวนเร่งอยู่หลายครั้ง ฉินเย่ว์เหมยถึงค่อยอำลาบรรดาน้องสาวของตนด้วยความอาลัยอาวรณ์“พี่หญิงใหญ่ ท่านถอนรับสั่งได้หรือไม่?”เมื่อเห็นฉินเย่ว์เหมยกำลังจะจากไป ฉินเย่ว์ฉินก็รีบเอ่ยขึ้นมา“รับสั่งใดเล่า?” ฉินเย่ว์เหมยหันหน้ากลับมาถาม“ก็เรื่อง ก็เรื่อง...” เสียงของฉินเย่ว์ฉินแผ่วเบา หน้าแดงเล็กน้อย “เข้าหอในวันนี้”แม้ยามนี้ฉินเย่ว์ฉินไม่รังเกียจเฉินฝานแล้ว แต่นางยังไม่ได้เตรียมใจแต่งงานกับเฉินฝาน “เหตุใดต้องถอนคืนด้วย เจ้าเองก็อายุไม่น้อยแล้ว ควรจะมีทายาทให้สามีของเจ้าได้แล้ว เช้านี้ข้าตรวจดูปฏิทินโหรแล้ว วันนี้เป็นวันดี ไม่อนุญาตให้ปฏิเสธอีก”นี่ก็คือการปราบปรามโดยสายเลือด ก่อนที่ฉินเย่ว์เหมยจะมา พวกฉินเย่ว์เจียวไม่อาจเอ่ยถึงเรื่องเข้าหอได้เลย เวลานี้เมื่อฉินเย่ว์เหมยเอ่ย ฉินเย่ว์ฉินไม่อาจโต้แย้งได้แม้แต่คำเดียว “ยังจะว่าข้าอีก ท่านก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ ไม่ใช่ว่าท่านเองก็หาเหตุผลต่าง ๆ เพื่อหนีนายท่านหรือไร” ขณะที่ฉินเย่ว์เหมยหันกายเดินจากไป ฉินเย่ว์ฉ