“ท่านผลัดวันมิยอมมาหา คุณหนูตระกูลลู่ร้องไห้น้ำตาอาบหน้าทั้งวัน ถามข้าน้อยหลายคราว่าท่านมิต้องการนางแล้วหรือกระไร นางยังคงเป็นหญิงที่ขึ้นคาน...”“เย่ว์เจียว ๆ” เฉินฝานรีบปิดปากฉินเย่ว์เจียวอย่างลนลาน “เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องในครอบครัว มิต้องเอามาพูด”“เป็นเพราะข้าน้อยถูกอบรมสั่งสอนมิเข้มงวด ทำให้ทุกท่านหัวเราะเยาะเสียแล้ว”“ข้าน้อยพูดสิ่งที่ทุกคนต่างก็รู้กันอยู่แล้ว!” ฉินเย่ว์เจียวนิสัยใจร้อน ผนวกกับการที่นางกลัวจริง ๆ ว่าเฉินฝานจะยอมรับเงื่อนไขของอ๋องเจิ้งหนาน ดังนั้นจึงร้อนใจเล็กน้อย“ท่านมักจะไม่กลับที่พำนัก ตอนนี้ก็ยังจะรับสาวงามจากท่านอ๋องจำนวนมากมายเพียงนั้นอีก จากที่ข้าน้อยดู หลังจากนี้เหล่าพี่น้องที่ร่ำไห้ทุกค่ำคืนคงจะมีมากขึ้นกว่าเดิมแล้วล่ะ”“นายท่าน ท่านมิกลัวว่า น้ำตาของพวกนาง จะท่วมจวนตระกูลเฉินหรือกระไร?”ฉินเย่ว์เจียวที่ยิ่งพูดยิ่งกลัว ถึงขั้นที่ว่าเริ่มใช้ปากกัดเฉินฝานหากเฉินฝานทำตามอ๋องเจิ้งหนานจริง ๆ เช่นนั้นพี่สาวที่นั่งอยู่บัลลังก์มังกรนั้นจะทำเยี่ยงไร “นี่ ๆ เย่ว์เจียว เจ้ารีบปล่อยข้าเดี๋ยวนี้! เงื่อนไขที่อ๋องเจิ้งหนานเสนอเหล่านั้น ล้วนเป็นเรื่องสมมติหา
หลี่หงโห่วรีบร้อนตอบกลับ “มีเพียงในจวนข้าเท่านั้น ข้าน้อยตรวจสอบและค้นหาอย่างละเอียดรอบคอบ ให้สายตรวจลักลอบขุดเส้นทางลับ”“นี่ เจ้าเมืองหลี่ ข้าขอเตือนเจ้าเสียหน่อย!” เฉินฝานพูดจากด้านหลัง “คำพูดของเจ้าจะฟันธงเช่นนั้นมิได้ อย่างเช่นค่ายทหารที่สกปรกรกรุงรังทางตะวันตกของเมืองที่เจ้าไม่ยอมไปนั้น ที่แห่งนั้นเจ้ามิได้ไปตรวจสอบ”“ปกป้องท่านอ๋อง ๆ กองกำลังลาดตระเวนมาแล้ว!”แม่ทัพกองกำลังเมืองเตียนตูที่เลือดท่วมร่างคนหนึ่งพุ่งตัวเข้ามา พูดจบไปได้มินาน ศีรษะถึงพื้นก็สิ้นลมไป“กองกำลังลาดตระเวน?”“กองกำลังลาดตระเวน!ตื่นตระหนก มิน่าเชื่อ!คลังเก็บอาหารในเมืองหรงตูถูกเผาทำลายไปแล้ว ในเมืองเกิดความโกลาหลวุ่นวาย เส้นทางลับออกจากเมืองของหลี่หงโห่วเส้นนั้น ทางเข้าก็ถูกปิดผนึกไว้แล้ว และยังมีทหารป้องกันอย่างแน่นหนากองกำลังเมืองเตียนตูออกจากเมืองไปได้อย่างไรกัน?“เฮ้อ!” เฉินฝานถอดหายใจเสียงดัง “เมื่อครู่ข้าก็เตือนแล้ว เจ้าเมืองหลี่มิได้ไปตรวจสอบค่ายทหาร ค่ายทหารแห่งนั้นยังมีลู่ทางที่สามารถออกจากเมืองได้ พวกเราก็ออกจากเมืองโดยใช้เส้นทางนั้น หลังจากผลัดเปลี่ยนกลับมาโอบล้อมศัตรู”“อ๋องเจิ้งหน
เฉินฝานนั่งไขว่ห้าง น้ำเสียงยังคงเรียบนิ่ง แหงนหน้ารับแสงตะวัน“แสงตะวันของวันนี้ช่างผ่อนคลายเสียจริง สหายกองกำลังลาดตระเวนคงจะไม่ต้องกังวลว่าเลือดที่อาบมีดดาบจะแข็งตัวแล้ว”“คิดจริงๆหรือว่าเจ้ารู้วิธีประดิษฐ์โถระเบิดสุราแล้ว ข้าจะมิสังหารเจ้า”อ๋องเจิ้งหนานกัดฟันกรอด สีหน้าดุร้ายโหดเหี้ยม“ข้าเปลี่ยนใจแล้ว จากจับเป็นเจ้าได้รับหนึ่งแสนตำลึงทอง เปลี่ยนเป็นรอให้เหล่าทหารของข้าเหล่านั้นกลับมา ข้าจะให้พวกเขาบรรจงขูดเลือดเนื้อเจ้าออกมา ผู้ใดขูดออกมาได้มาก ข้าก็จะให้ตำลึงมากเช่นกัน นำเงินหนึ่งแสนตำลึงทองนั้นแบ่งให้หมด”“ท่านอ๋อง แม่ทัพกองกำลังที่สองกลับมาแล้วขอรับ!”ด้านนอกค่ายทหารมีคนตะโกนเสียงดังความดีใจมหาศาลทำให้ใบหน้าของอ๋องเจิ้งหนานบิดเบี้ยวจนน่าสะพรึงกลัว เขามองไปที่เฉินฝานอย่างดีอกดีใจ“ดูสิ คนของข้ากลับมาแล้ว เจ้าต้องชดใช้ให้กับความอวดดีของเจ้า”อ๋องเจิ้งหนานเพิ่งจะพูดจบ มีบุคคลที่สวมชุดสีแดงปรากฏตัวต่อสายตาสาธารณชน“ท่าน...แค่ก!”คนผู้นั้นเพิ่งจะเริ่มพูด ก็กระอักเลือดออกมาอย่างรุนแรง ล้มลงกับพื้นมิสามารถลุกขึ้นมาได้อีกตอนนี้ ฝูงชนจึงได้สติกลับมา เสื้อผ้าที่เขาใส่มิใช่
ไม่นานนัก...“ตู้ม!”เสียงระเบิดอึกทึกครึกโครมที่รวดเร็วดังออกมาจากในค่ายทหารร่างเงาหนึ่งล้มตัวเหยียดตรงลงกับพื้น“เย่ว์เจียว ๆ!”เฉินฝานอุ้มฉินเย่ว์เจียวที่ล้มลงกับพื้นขึ้นมา“เหยียนเชียง ๆ!”อ๋องเจิ้งหนานลนลานนั่งยองลงไป มองไปที่เหยียนเชียงที่นอนแน่นิ่งด้วยความตื่นกลัวอย่างท่วมท้นตาทั้งสองของเหยียนเชียงตาเบิกโพลง ตรงกลางหน้าผากของเขา มีรอยแผลลึกที่ชุ่มไปด้วยเลือด เหมือนกับหน้าผากเหยียนอิงมิมีผิดอ๋องเจิ้งหนานเงยหน้ามองเฉินฝานอย่างมึนงงเมื่อครู่เขาเห็นเพียงในมือเฉินฝานกำสิ่งสีดำทมิฬไว้ในมือ ตอนที่เขามือขึ้นเสียงระเบิดดังขึ้นทว่ามิเห็นระเบิดในตอนนั้นอ๋องเจิ้งหนานคิดว่าเป็นที่ดังมาจากด้านนอกเสียด้วยซ้ำ ปรากฏว่าผ่านไปครู่เดียว เหยียนเชียงที่พุ่งตัวมาบังราวด้านหน้าเขาราวเสาไม้ ล้มตัวเหยียดตรงลงไปกับพื้นตกลงแล้วในมือของเฉินฝานเป็นอาวุธวิเศษอันใด? ไยจึงน่ากลัวเช่นนั้นด้านเฉินฝาน เขามองสตรีที่หลับตาปิดแน่นทั้งสองข้างในอ้อมอก“ถ้ายังมิลืมตาอีก วันนี้จะมิไปห้องเจ้าแล้วนะ”ตอนที่อ๋องเจิ้งหนานง้างกระบี่ลงมา สถานการณ์คับขัน เฉินฝานใช้เท้าถีบฉินเย่ว์เจียวที่ปกป้องเขาให้ล้
เมื่อพูดถึงคำสุดท้ายเฉินฝานหายใจมิทั่วท้องแล้วลอบก่นด่าอยู่ในใจบัดซบ!คิดมิถึงว่าจะใช้พิษ? ช่างไร้จรรยาบรรณในการต่อสู้เสียจริงและเป็นความสะเพร่าของเขาเช่นกันมิได้คำนึงถึงการป้องกันพิษ“มิได้ขอรับ ร่างกายของใต้เท้ารับมิไหว ต้องพักผ่อน!” หมอเยี่ยนสีหน้าจริงจังขึ้นมาทันที มิมีท่าทีจะยอมโอนอ่อนให้แม้แต่น้อย “การสู้รบเป็นเรื่องของท่าน ท่านติดพิษได้รับบาดเจ็บ ก็เป็นคนป่วยแล้ว ต้องเชื่อฟังข้า“หมอเยี่ยน เฉินฝานยิ้มอย่างอ่อนแรง “ข้ามิได้บอกว่าข้าจะมิพักผ่อน จัดแจงในรถม้าให้ดีเสียหน่อย บนรถม้าปูผ้าที่หนาขึ้น หลังจากนั้น ท่าน...ก็คอยดูแลตลอดทาง ก็ใช้ได้แล้วมิใช่หรือ?”“เช่นนั้นก็มิได้ขอรับ!” หมอเยี่ยนยังคงมีท่าทียืนหยัดในความพูดของตนเองโดยมิสนใจสิ่งใดทั้งสิ้น“เช่นนั้นหลังจากที่กลับเมืองหลวงแล้ว ข้าจะบอกหมอหลวงสวีว่า วิชาการแพทย์ของเจ้าใช้มิได้ พิษเพียงเล็กน้อย ข้านั่งอยู่บนรถม้า เจ้าก็ยังรักษามิได้”คำพูดของเฉินฝานนี้ ครึ่งหนึ่งคือการล้อเล่น อีกครึ่งหนึ่งคือจริงจังต้องใช้โอกาสนี้เพื่อไล่ล่าเอาชนะ มิสามารถให้อ๋องเจิ้งหนานมีโอกาสให้พักหายใจได้เฉินฝานมิอยากสู้รบในเขตต้าชิ่งจริง
ประตูเมืองเหล็กที่หนักและแน่นหนา ค่อยๆเปิดออก“แปร๊ด~~~~”เสียงสัตว์ที่แปลกประหลาดดังขึ้น“นั้น นั้นคืออะไรกัน?”“ไยจมูกถึงยาวเพียงนี้? รูปร่างใหญ่โตมโหฬาร พยัคฆ์สิบตัวก็ยังเทียบมิได้”“เป็นสัตว์ประหลาดหรือกระไร?”“อ๋องเจิ้งหนานสู้รบมิไหว จึงใช้สัตว์ประหลาดมาจัดการพวกเรางั้นหรือ?”สิ่งของที่มิรู้จัก ผู้คนมักจะเกิดความหวาดกลัวในใจเสมอทหารแนวหน้าหวาดผวา ตื่นตกใจเฉินฝานรีบร้อนเปิดผ้าม่านขึ้นเดินออกไปเสียงร้องของสัตว์ประหลาดนั้น เฉินฝานจำได้คือช้างเมืองเตียนตูตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ ในเขตแดนมีป่าเขตร้อนจำนวนมาก มีช้างโคลงใหญ่อาศัยอยู่ในตอนแรก เฉินฝานกังวลว่าในกองกำลังเตียนตูจะมีฝูงช้าง อ๋องเจิ้งหนานจะใช้ฝูงช้างต่อกรกับพวกเขาหากช้างที่รวมตัวเป็นกลุ่มบุกเข้าโจมตีกองกำลังลาดตระเวน คงจะรับมือได้ยากจริงๆเดินออกมาจากรถม้า เห็นว่าในประตูเมืองมีช้างเพียงหนึ่งตัว หัวใจที่สั่นไหวไปมาของเฉินฝานในที่สุดก็สงบลงเขายืนอยู่ที่คนขับรถม้า ยกมือสองข้างขึ้น ตะโกนเสียงดัง “ทุกคนมิต้องตื่นตระหนก นั่นมิใช่สัตว์ประหลาด นั่นคือช้าง ช้างไม่กินมนุษย์ เพียงแค่พวกเราไม่ทำให้มันตกใจ มันก
......เครื่องแต่งกายของสตรีเหล่านั้น ทำให้เฉินฝานนึกถึงสาวงามมณฑลหนึ่งทางตะวันตกเฉียงใต้ในประเทศยุคปัจจุบันของเขาด้านหลังของสตรีเหล่านั้น ตามมาด้วยนักดนตรีสิบกว่าคน นักดนตรีทุกคนล้วนมีเครื่องดนตรีหนึ่งชิ้น บรรเลงท่วงทำนองที่งดงามซาบซึ้งกินใจกลุ่มสาวงามด้านหน้าช้าง เข้าใกล้เฉินฝานขึ้นเรื่อย ๆ“ทุกคนจงเตรียมรับมือ ระวังกับดัก!”“ปกป้องใต้เท้าให้ดี!”เหอจื่อหลินออกคำสั่งทันที ทุกคนล้วนวางมือไว้บนด้ามดาบมิต้องพูดถูกบริเวณโดยรอบของเฉินฝาน มีการคุ้มกันอย่างแน่นหนาท่วงทำนองที่ไพเราะ ดังราวกับบรรเลงอยู่ในโสตประสาทแล้วคิดว่าขบวนช้างคงจะอยู่มิไกลแล้วน่าเสียดาย...เฉินฝานมองไปด้านนอกรถม้าที่นายทหารคุ้มกันอย่างแน่นหนา ถอดหายใจออกมาเล็กน้อยเหอจื่อหลินวิตกกังวลเกินไปแล้ว คนมากมายเพียงนั้นล้อมไว้ เขาอยากดูก็ทำมิได้สาวงามที่นั่งอยู่หลังช้าง เขาเคยเห็นในละครยุคปัจจุบันมิใช่องค์หญิงก็เป็นพระชายาองค์หญิงหรือพระชายาต่างเผ่า เขาอยากจะเห็นอย่างมากผ่านการป้องกันของนายทหารที่แน่นหนา เฉินฝานชะเง้อมองที่นั่งมีร่มบังอันงดงามบนหลังช้างอย่างทุลักทุเลขบวนช้างเคลื่อนมาถึงด้านหน้ากองกำลัง
ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือ บนศีรษะนางมีเครื่องหัวรูปร่างเจดีย์สีทองแวววับ และใบหูสองข้างยังใส่ต่างหูบุปผาสีทองแวววับเหมือนกันดวงตากลมโตสีน้ำตาลอ่อนที่น่าหลงใหล สันจมูกที่โด่งและเรียวเล็ก ริมฝีปากที่อวบอิ่มแวววับบนไหล่ผ้าคลุมไว้เพียงหนึ่งข้าง ผ้าคุลมไหล่ลายปักบุปผา ล้วนใช้ไหมสีทองในการถักทอผ้าคาดอกบนเรือนร่าง ยังคงทองประกายแวววับบนสะดือที่งดงาม มีอัญมณีที่เปล่งประกายฝังอยู่แสงตะวันสาดส่องไปที่เรือนร่างของนาง เปล่งประกายแสงสีทองออกมา“ว้าว!”“สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็นจริงๆ”“งาม ช่างงามเหลือเกิน”กองกำลังลาดตระเวนพากันชื่นชม ถึงขั้นมีคนเริ่มวิพากษ์วิจารณ์อ๋องเจิ้งหนาน“มีภรรยาที่สูงสง่างดงามเพียงนั้น ไยต้องก่อกบฏ?”“ช่างเป็นการโลภมากลาภหายเสียจริง!”การวิพากษ์วิจารณ์ของกองกำลังลาดตระเวน สาวใช้ของพระชายาเหล่านั้นมิได้สนใจ พวกนางเริ่มปูพรมตั้งแต่ข้างช้างจนไปถึงด้านข้างรถม้าของเฉินฝาน พระชายาเดินตามแนวพรมไปหาเฉินฝานทีละก้าวเอวเรียวเล็กอ่อนหวานปานน้ำผึ้ง เคลื่อนย้ายไปมา ยอดประทุมถันที่ตั้งตระหง่านบนเรือนร่าง ส่ายไปมาเล็กน้อย นางมิได้สวมรองเท้า กระดิ่งบนกำไลเท้า ดั
“ผู้จัดสรร มิสามารถแบ่งให้คนนอกที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้าเช่นนี้ได้เด็ดขาด!”“ถูกต้องแล้ว แบ่งให้คนที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้ามิได้!”คนรับใช้สองสามคนข้างกายเหลยหย่งอัน พูดเสริมทันที“เช่นนั้นนายน้อยเหลยคิดว่าผู้ใดเป็นผู้จัดสรรจึงจะเหมาะสม?”มีคนตะโกนถามท่ามกลางผู้เหลือรอดเหลยหย่งอันเลิกคิ้วขึ้นทันที ประโยคที่เขารอก็คือประโยคนี้ผู้นั้นเพิ่งจะกล่าวจบ เหลยหย่งอันก็ส่งสายตาไปที่คนรับใช้ข้างกายทันที“ร้านค้าตระกูลเหลยมากมายมหาศาล นายน้อยของพวกเราก็มีส่วนร่วมดูแล ไปตรวจสอบที่ร้านค้าทุกเดือน”ตรวจสอบแบบใดกัน ไปเกี้ยวพาราสีสตรีในร้านเสียมากกว่าเรื่องนี้ทุกคนในเมืองเซียนตูทราบดี เพียงแต่มิอยากให้เหลยหย่งอันมิพอใจ จึงมิมีผู้ใดกล้าพูดเปิดโปง“ดังนั้น...” คนใช้ผู้นั้นกล่าวต่อ “ผู้จัดสรรนี้ นายน้อยของข้าเป็นคนที่เหมาะสมที่สุด “ทุกคนลงเรือลำเดียวกันแล้ว พวกเจ้า...” เหลยหย่งอันยกมือขึ้นทำท่าทางแบกรับรับความผิดชอบไว้เพียงผู้เดียว “คนที่ร่วมทุกข์กับข้าทุกคน ขอเพียงแค่สามารถมีชีวิตรอดออกไปได้ ก็สามารถไปรับเงินหนึ่งร้อยตำลึงได้ที่ตระกูลเหลยของพวกเรา”เพื่อที่จะได้ตำแหน่งผู้จัดสรรนี้ เหลยห
“ต่อให้เสบียงอาหารทั้งหมดต้องถูกจัดสรรปันส่วนอย่างเท่าเทียม เช่นนั้นไฉนอำนาจในการจัดการจัดแบ่งต้องเป็นเจ้าคนเดียวงั้นหรือ? เจ้าเป็นใครกัน?”ชายหนุ่มที่สวมชุดผ้าไหมอย่างดี ศีรษะสวมหมวกสีทองประดับด้วยไข่มุกเดินเข้ามากล่าวถามเฉินฝานด้วยท่าทีโอหังบุคคลนี้คือลูกชายคนโตของตระกูลเหลยเก่าแก่อันดับหนึ่งของเมืองเซียนตู เหลยหย่งอันด้วยความที่ชาติตระกูลมีเงินและอำนาจ เหลยหย่งอันได้รับสมญานามให้เป็นอันธพาลอันดับหนึ่งในเมืองเซียนตู ปกติก็มักจะรังแกผู้ชายข่มเหงผู้หญิง กระทำชั่วทุกรูปแบบสำหรับวีรกรรมของเหลยหย่งอันแล้ว เจ้าเมืองซื่อต้าเผิงต้องยอมปล่อยผ่านไปเหลยหย่งอันรู้สึกว่ามิถูกชะตาเฉินฝานอยู่ก่อนแล้วเรือนเซียนผาสุกมีกฎว่านอกจากผู้ฟังโชคดี่ถูกเมี่ยวอวี่สุ่มเลือกมา บุคคลที่ให้เงินรางวัลจำนวนมากที่สุด เมี่ยวอวี่ก็จะบรรเลงพิณเป็นการส่วนตัวเช่นกันทว่า ทุกปีจะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นต้นปีเหลยหย่งอันก็เริ่มให้เงินรางวัลจำนวนมหาศาล ในที่สุดเมื่อมาถึงเดือนท้ายปีก็ได้ลำดับที่หนึ่งมาครองเห็นว่าตนเองสามารถเข้าไปในกระท่อมหิมะพบกับเมี่ยวอวี่ ได้ฟังพิณที่นางบรรเลงให้ตนเองโดยเฉพาะ กลับคาดมิถึงว่าอย
เรือนเซียนผาสุกมีชื่อเสียงเงินทองมหาศาลดังคาด จำนวนเสบียงที่กักตุนไว้ตอนฤดูหนาว มากกว่าเสบียงครึ่งปีของครอบครัวสามัญชนเสียอีกตรงข้ามกับผู้เหลือรอดเหล่านั้น เฉินฝานยิ่งฟัง คิ้วยิ่งขมวดหนักขึ้นเรื่อย ๆน้อยไป น้อยเกินไปแล้วคนสามร้อยกว่าคน ต่อให้กินอาหารวันละหนึ่งมื้อ เสบียงอาหารเหล่านี้ก็หมดเกลี้ยงเพียงในพริบตาเดียว“เสบียงอาหารของกระท่อมหิมะนำออกมาไว้ที่แห่งนี้ทั้งหมดแล้วใช่หรือไม่?” เฉินฝานหันหน้ากล่าวถามเมี่ยวอวี่“กระท่อมหิมะแห่งนี้ของข้ามิได้ใหญ่โตเสียหน่อย ตุนไว้จำนวนมากเพียงนั้น ยังมินับว่าเยอะอีกหรือ?” เมี่ยวอวี่ย้อนถามเฉินฝาน“ก็จริง” เฉินฝานหัวเราะสมเพชตนเองในส่วนลึกของหัวใจ หวังว่าจะมีเยอะกว่านี้“ตอนนี้นับเสบียงเรียบร้อยแล้ว รีบแบ่งให้ทุกคนเถอะ”มีคนเร่งเร้าหิวจนทนมิไหวแล้วจริง ๆ“แบ่งมิได้!” เฉินฝานกล่าว“มิแบ่งงั้นหรือ?”สายตาสามร้อยกว่าคนจับจ้องไปที่เฉินฝานอย่างพร้อมเพียงมิเข้าใจ มิเชื่อเสบียงอาหารทั้งหมดถูกขนย้ายออกมานับจำนวนแล้ว ไม่เพียงแต่จำนวนเสบียงเท่านั้น จำนวนคนก็นับแล้วเช่นกันทำถึงเพียงนี้แล้ว เฉินฝานกลับกล่าวว่ามิแบ่งแล้ว“เจ้าหมายความว่าอย
เขายืนกรานไม่ยอมนำเสบียงออกมามิใช่หรือ ไฉนตอนนี้ต้องการเอาออกมา และยังต้องนำออกมาทั้งหมดอีกด้วยเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่กันแน่?“ทำไมล่ะ? แม่นางเมี่ยวอวี่มิเห็นด้วยงั้นหรือ?” เฉินฝานกล่าวถาม“โอ้ ไม่ใช่หรอก!” เมี่ยวอวี่กล่าวอย่างรีบร้อน “แน่นอนว่าข้าต้องเห็นด้วยอยู่แล้ว เจ้ารีบพาคนไปนำเสบียงอาหารในคลังออกมาทั้งหมด”“ช้าก่อน!” เฉินฝานเรียกยายจ้าวไว้ “เพื่อให้มั่นใจว่าเสบียงอาหารทั้งหมดจะถูกขนย้ายออกมา เย่ว์เจียวเจ้าไปตามยายจ้าวไปด้วย พวกเจ้า... ”เฉินฝานหันไปกล่าวกับผู้เหลือรอดเหล่านั้น “ก็ส่งหนึ่งคนตามไปด้วย”ผ่านไปครู่เดียว เสบียงอาหารทั้งหมดในกระท่อมหิมะถูกขนมาไว้ด้านหน้าฝูงชนเฉินฝานมองดูเสบียงอาหารที่กองเป็นพะเนินด้านหน้า กล่าวอย่างเนิบนาบ “โอ้ จำนวนมิน้อยเลยนะเนี่ย”“อากาศเย็น คร้านออกไปจับจ่าย ดังนั้นจึงซื้อจำนวนมากในคราวเดียว” เมี่ยวอวี่กล่าวอย่างมิใส่ใจมากนักเสบียงอาหารเหล่านั้นมีจำนวนมากก็จริงทว่าเป็นเรื่องยากที่จะทำให้คนจำนวนมากเพียงนี้อยู่รอด!ท้ายที่สุด ก็ยังคงต้องตายอยู่ดีเหล่าผู้เหลือรอด มิได้มองการณ์ไกลเช่นนั้น พวกเขาที่หิวมาหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว มองเสบียงอาห
เมื่อมีคนเปิดประเด็นแล้วคนอื่นก็พากันทำตาม คนกลุ่มใหญ่จำนวนมหาศาลคุกเข่าต่อหน้าเฉินฝานเฉินฝานมิได้กล่าวอันใด เมี่ยวอวี่ที่อยู่ด้านข้างชิงพูดก่อน“เหอะ!” เมี่ยวอวี่เยาะเย้ยออกมาทันที กล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ช่างเป็นชายที่ใจดำอำมหิตเสียจริง คิดว่าตนเองมีผู้มากฝีมือที่เก่งกาจอยู่ข้างกาย ก็สามารถมิสนใจชีวิตของผู้คนรอบตัว แม้กระทั่งเด็กและคนชราก็ยังมิยอมช่วย”เมี่ยวอวี่จงใจกล่าวเช่นนี้จงใจที่พัดความโมโหของฝูงชนให้ลุกฮือดังคาด...“เขาใจดำอำมหิตเพียงนั้น แม้กระทั่งเด็กน้อยคนแก่ก็ยังมิยอมให้อาหารกินแม้แต่น้อย เช่นนั้นเรายังต้องกลัวสิ่งใดอีก?”เมื่อมีคนเริ่มก็มีคนตาม“ถูกต้อง อย่างไรเสียก็ถูกขังจนตายอยู่ที่นี้อยู่ดี ก่อนที่จะจากโลกนี้ไป ทุกคนต้องได้กินให้อิ่มท้อง!”“พวกเรามิต้องมาอ้อนวอนอยู่ตรงนี้และ ไปสืบเสาะ ไปค้นหา กระท่อมหิมะอาจจะใหญ่ไปเสียหน่อย แต่พวกเรามีจำนวนคนเยอะจะหาที่ซ่อนของเสบียงอาหารมิได้เชียวหรือ?”กลุ่มคนจำนวนมหาศาลในกระท่อมแต่เดิม รีบออกไปอย่างรวดเร็วราวกับกระแสน้ำลงของมหาสมุทร“เจี้ยนฮวง!” เฉินฝานกล่าวเกรงว่าเซียนเจี้ยนหวงจะเข้าใจผิด เฉินฝานจึงพูดเสริมอีกห
เซียนเจี้ยนหวงมิลงมือทำร้ายสามัญชน ชายรอยบาดแผลคิดว่าชื่อเสียงของเซียนเจี้ยนหวงเป็นสิ่งจอมปลอม และเขาคิดว่าตนเองมีจำนวนมากมาย ต่อให้เซียนเจี้ยนหวงจะเก่งกาจเพียงใดก็มิสามารถลุยเดี่ยวกับคนหนึ่งร้อยคนได้และเฉินฝานก็ดูจะเป็นคนสุภาพเรียบร้อย ดังนั้นชายรอยบาดแผลมิได้รู้สึกเกรงกลัวอันใด ท่าทียโสโอหังยิ่งเขาต้องการเสบียงอาหารในกระท่อมหิมะทั้งหมด และประสงค์ที่จะคุมชะตาคนหลายคนไว้ในกำมือ ในขณะเดียวกันก็สามารถช่วยเมี่ยวอวี่ให้หลุดพ้นได้ด้วยอำนาจ สาวงาม เสบียงอาหารเขาต้องการทั้งหมดเฉินฝานเงยหน้าขึ้น เหลือบมองชายรอยบาดแผลอย่างเรียบนิ่ง “ดูเจ้าพูดเข้าสิ เจ้าเก่งกาจมากสินะ”“เยี่ยนหลิ่งผู้ยิ่งใหญ่!” ชายรอยบาดแผลวางท่าทีใหญ่โต“ว้าว!” เฉินฝานยกนิ้วโป้ง “ชื่อนี้ช่างน่าเกรงขามเสียจริง!”สุดยอด!เซียนเจี้ยนหวงต้องเก็บอาการอยู่ด้านข้างนี่คงจะเป็นความสนุกเพียงอย่างเดียวตอนที่ถูกกักขังอยู่ที่แห่งนี้ดูคนโง่ ที่จริงแล้วก็เป็นเรื่องที่น่าสนุก“เพียงแต่...” เฉินฝานเปลี่ยนเรื่องทันที “มิทราบว่าชื่อที่น่าเกรงขามเช่นนี้ จะชำนาญในการต่อสู้หรือไม่?”ระหว่างที่พูด เฉินฝานหันไปด้านข้างเล็กน้อย “
“ตุ้บ ๆ ๆ ๆ!”เสียงทุบประตูหน้าต่างด้านนอกดังขึ้นเรื่อย ๆ เซียนเจี้ยนหวงฝึกวรยุทธ์จนชำนาญแล้ว สถานการณ์ฝั่งเขานั้นค่อนข้างไปในทิศทางที่ดีฝั่งฉินเย่ว์เจียวและเย่ว์หนูนี้ค่อนข้างลำบาก“เย่ว์หนู เจ้ากันไว้ก่อน ข้าจะไปย้ายเตียงมากันไว้!”“มิจำเป็นหรอก!” เฉินฝานโบกมือเล็กน้อย เขาให้ฉินเย่ว์เจียวและเย่ว์หนูเปิดประตูออก“เปิดประตูงั้นหรือ?” ฉินเย่ว์เจียวส่ายหน้าทันที “ไม่ได้เจ้าค่ะ นายท่าน”คนด้านนอกทุกคนล้วนโกรธเฉินฝานจนกัดฟันกรอด ตะโกนอย่างดุเดือดเพื่อให้ต้องการพวกเขาผ่านเข้าไป เฉินฝานเสี่ยงอันตรายเกินไปแล้ว“พวกเจ้าสามารถกันไว้ได้หนึ่งชั่วยาม จะสามารถกันได้ถึงสองชั่วยามงั้นหรือ?”เมื่อคนตกอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงตาย มิว่าสิ่งใดก็สามารถทำได้ความเลวทรามของมนุษย์ เป็นสิ่งที่น่าหวาดกลัวที่สุดในโลกใบนี้“นายท่าน ขอเพียงข้ายังอยู่ ข้าก็จะยังคงกันต่อไปเรื่อย ๆ จะมิยอมให้คนด้านนอกเหล่านั้นทำร้ายท่านแม้แต่ปลายเล็บ”ฉินเย่ว์เจียวกำหมัดไว้แน่นขนัดเฉินฝานมองท่าทีที่เศร้าสลดทว่าเข้มแข็งของฉินเย่ว์เจียว รู้สึกซาบซึ้งและหงุดหงิด“นายท่าน บ่าวก็เช่นกันเจ้าค่ะ”เย่ว์หนูเพิ่มแรงในการกันประต
ฉินเย่ว์เจียวง้างมือขึ้นทันที เดิมทีต้องการจะตบหน้าเมี่ยวอวี่เป็นครั้งที่สองพลันยั้งมือกะทันหันกลั้นหายใจ รอฟังคำตอบของเมี่ยวอวี่ด้วยความกังวลเฉินฝานก็อดมิได้ที่จะเงี่ยหูฟังจะรู้ร่องรอยของเย่ว์ฉินแล้ว รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย“หยกห้อยเอวชิ้นนี้...”“ตุ้บ!”อยู่ ๆ ก็มีก้อนหิมะลอยก้อนหนึ่งลอยทะลุหน้าต่างเข้ามา“โอ๊ย!”เมี่ยวอวี่อยู่ใกล้หน้าต่างอย่างมาก ก้อนหิมะขว้างโดนหัวหน้า ทำให้นางตกใจจึงร้องออกมาทันที“ตุ้บ”ครั้งนี้สิ่งที่ขว้างมาคือก้อนหิน“ระวัง!”เมี่ยวอวี่รู้สึกเพียงว่าร่างกายทรงตัวมิอยู่ ตัวไปชนกับอ้อมอกที่ล่ำสันหัวสมองว่างเปล่าราวกับถูกจี้จุด เมี่ยวอวี่มองเฉินฝานด้วยความมึนงงดวงตากลมโตที่เปล่งประกายแวววับดังดวงดารา สภาพอารมณ์แปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็วหาคำตอบมิได้ มิเชื่อ มิเข้าใจ“เจ้า...” เมี่ยวอวี่กลอกตาไปมา “ไยเจ้าจึงช่วยข้า?”หากมิใช่เฉินฝานดึงนางหลบได้ทัน ตอนนี้นางก็คงหัวแตกเลือดไหลนองไปนานแล้วเฉินฝานผลักเมี่ยวอวี่ในอ้อมอกออก เขาที่พลังภายในยังฟื้นฟูมิสมบูรณ์เอนตัวล้มพิงเรือนร่างของฉินเย่ว์เจียว น้ำเสียงเยือกเย็น “อย่าคิดเข้าตัวเอง ข้าทำไปตามสัญชาตญาณเท
ถึงแม้ในทุกวันนางมักจะรับคำเยินยอจากบุรุษเพศอยู่แล้ว ทว่าท่าทางที่รักใคร่หวานยิ่งกว่าน้ำผึ้งราวภาพวาดนี้ นางมิเคยพบเห็นมาก่อนเมี่ยวอวี่ที่สงสัยว่าตัวเองมองผิดไป จึงตั้งใจหันกลับไปดูอีกครั้งภาพที่เฉินฝานช่วยปัดไรผมบนหน้าผากของฉินเย่ว์เจียวออก และฉินเย่ว์เจียวยิ้มตอบกลับให้เฉินฝานอย่างหวานหยาดเยิ้ม เมี่ยวอวี่เหลือบไปเห็นพอดีไม่จริงหรอก!เมี่ยวอวี่รีบหันหน้ากลับไปด้วยความรวดเร็ว ตีหน้าอกตนเองเบา ๆสองสามทีคาดมิถึงว่าจะเป็นเรื่องจริงใต้หล้านี้มีสามีภรรยาที่รักใคร่กันเช่นนี้จริงหรือ ? เป็นเรื่องจริงหรือว่าผู้ชายจะอ่อนโยนกับภรรยาตนเองได้เพียงนั้น?เฉินฝานเป็นชายที่เลวทรามต่ำช้ามิใช่หรือ?เย่ว์หนูชะเง้อมองมาจากทางเข้าเห็นว่าเฉินฝานตื่นแล้ว รีบวิ่งกลับไปที่ในห้อง ยกโจ๊กครึ่งชามที่วางไว้ในห้องไปอุ่นที่ห้องครัว หลังจากที่อุ่นจนร้อนแล้วก็วิ่งกลับมา“โจ๊กมาแล้วเจ้าค่ะ”“เอามาให้ข้า!” ฉินเย่ว์เจียวรับโจ๊กในมือเย่ว์หนูมาทันที“ลำบากเจ้าแล้ว” เฉินฝานหันไปพยักหน้ากับเย่ว์หนู“บ่าวมิลำบากเลยเจ้าค่ะ ขอเพียงนายท่านหายดีก็เพียงพอแล้ว” เย่ว์หนูหน้าแดง ส่ายหน้าอย่างแรงกล่าวว่าตนเองมิลำ