“ไม่อาจเป็นเพราะเฉินฝานยังไม่มีลูกชั่วคราว แล้วรังแกกันแบบนี้กระมัง”“ให้โอกาสเฉินฝานได้อธิบาย”“ให้โอกาสเฉินฝานได้อธิบาย”ชาวบ้านเดือดพล่าน จางเจิ้งห้าวไม่อาจไม่ให้โอกาสเฉินฝานจางเจิ้งห้าวพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เฉินฝาน เจ้าตั้งใจทำร้ายดวงตาของชางเฟยอวี่ เป็นเรื่องที่แน่ชัดแล้ว แต่ว่า เพื่อความยุติธรรม ข้าจะให้โอกาสเจ้าในการอธิบาย”คำพูดของจางเจิ้งห้าวทำให้คนมากมายรู้สึกไม่ยุติธรรม พวกเขาเริ่มไม่พอใจ“ตั้งใจ? ทั้งยังเป็นเรื่องที่แน่ชัดแล้ว? คำพูดของนายอำเภอเกินไปแล้วกระมัง เอนเอียงไปทางตระกูลชางชัดเจนเกินไปแล้ว”“ถูกต้อง ภรรยาพูดจาล่วงเกิน เฉินฝานเพียงสั่งสอนเท่านั้น ใครจะคิดว่าไข่มุกพุ่งเข้าตาชางเฟยอวี่”“เรื่องนี้ ข้าว่าจะโทษก็โทษชางเฟยอวี่เอง เขาอยากจะล่วงเกินภรรยาของคนอื่น ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ หากเขาไม่ยื่นหน้าเข้าไปใกล้แบบนั้น ไข่มุกจะพุ่งใส่ตาเขาได้อย่างไร”นายท่านชางเริ่มรู้สึกผิดปกติ แต่ผิดปกติอย่างไร เขาไม่อาจอธิบายได้“ใต้เท้าขอรับ!” เฉินฝานเริ่มอธิบาย “ข้าน้อยไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ขอรับ”“เจ้าแก้ตัว เห็นชัดว่าเจ้าออกแรงมากไปจึงทำให้ไข่มุกกระเด็นเข้าตาข้า!” เห็นสถานการณ
“คุณชายชางอย่าโมโหเช่นนั้นขอรับ รีบไปหาหมอดีกว่า มิเช่นนั้นจะตาบอดแล้วจริงๆ”คำพูดของเฉินฝานเตือนสติคุณท่านชาง เขาตะคอกพ่อบ้าน “บ่าวแก่ไร้ความรับผิดชอบในหน้าที่ ยังยืนนิ่งอยู่ทำไม รีบพาคุณชายไปหาหมอเร็วเข้า!”“เฉินฝาน เจ้าตั้งใจทำร้ายดวงตาลูกชายข้าแน่นอน อีกทั้งนายอำเภอก็ยังร่วมมือกับเจ้า” ตอนเดินผ่านเฉินฝาน คุณท่านชางพูดเสียงเหี้ยมเวลานี้เขาค่อยรู้ตัวว่า เหตุใดเฉินฝานจึงบอกว่าเขาสนิทสนมกับจางเจิ้งห้าว จางเจิ้งห้าวชักสีหน้าให้เฉินฝานทันที ทั้งยังทำร้ายภรรยาของเฉินฝานเขาคิดว่าจางเจิ้งห้าวอยู่ในกำมือของเขาแล้ว แต่สุดท้ายอีกฝ่ายเพียงให้ความร่วมมือในการแสดงเท่านั้น เพื่อให้ชาวบ้านเดือดดาลแล้วเอนเอียงไปทางเฉินฝานเฉินฝานพูดเสียงแผ่วเบา “ถูกต้อง!”ชางเส้าอวี่กัดฟันแน่น “เฉินฝาน เจ้าคอยดูเถอะ!”“ได้ ข้าจะรอนะ แต่ว่าคุณชายชางรีบไปรักษาดวงตาของท่านก่อนเถอะ”ตอนกลางคืนครอบครัวของเฉินฝานเพิ่งรับประทานอาหารค่ำเสร็จ จางเจิ้งห้าวก็มา เขายืนอยู่หน้าโต๊ะหนังสือของเฉินฝาน มองอีกฝ่ายด้วยความระมัดระวังเฉินฝานทำราวกับไม่เห็นจางเจิ้งห้าวอย่างไรอย่างนั้น ก้มหน้าก้มตาดูบัญชี“ว่าไปแล้ว” หลี่ซา
“ได้ยินหรือไม่ ข้าจะพักผ่อนแล้ว พวกท่านทั้งสองรีบออกไปซะ!” เฉินฝานไล่แขก ภรรยาตัวน้อยของเขาร้อนใจอยากทำลูกกับเขาไม่รู้ว่าเป็นเพราะช่วงไข่ตกหรือเปล่า ตลอดทั้งคืนคล้ายสาวน้อยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ฉินเย่ว์โหรวแนบชิดกับเฉินฝานไม่หยุดเฉินฝานไม่ตามใจนาง ทำให้นางหมดเรี่ยวแรง อ้อนวอนร้องขอเขาค่อยปล่อยตัวนางครุ่นคิด นางเหนื่อยตลอดทั้งคืนแล้ว ต้องนอนถึงเที่ยงค่อยตื่นเป็นแน่แท้ เฉินฝานจึงบอกให้พวกสุ่ยเซียนมาสายหน่อยคิดไม่ถึง วันรุ่งขึ้นฟ้ายังไม่สว่าง เฉินฝานยังไม่ตื่น ฉินเย่ว์โหรวที่นอนอยู่ข้างกายเขาตื่นนอน นางไม่เพียงตื่นนอนคนเดียว ยังปลุกเฉินฝานตื่นด้วย“ฟ้ายังไม่สว่าง ตื่นเช้าเช่นนี้ทำไม?” เฉินฝานยังคงหลับตา มือโอบเอวบางของฉินเย่ว์โหรว กดร่างบางกลับเข้ามาในผ้าห่มเหมือนว่านางยังเหนื่อยไม่พอ ต้องให้นางเหนื่อยอีกสักหน่อยเฉินฝานงุดหน้าไปที่ซอกคอของฉินเย่ว์โหรว กัดผ้าผูกเสื้อตัวของนางฉินเย่ว์โหรวเป็นคนบ้าจี้ เฉินฝานทำเช่นนี้นางจึงหัวเราะไม่หยุด นางผลักเฉินฝาน ร้อนรนเล็กน้อย “นายท่าน ไม่ได้เจ้าค่ะ ต้องรีบตื่น มิเช่นนั้นจะไม่ทัน...อื้ม”ริมฝีปากดอกท้อถูกเฉินฝานครอบครองถึงขั้นนี้แล้ว
เฉินฝานเอื้อมมือเปิดม่านรถ มือของเขาเพิ่งสัมผัสโดนม่านฉินเย่ว์โหรวก็จับมือเขาแล้วดึงเขากลับมา“นายท่าน ไม่ต้องถามพี่สามเจ้าค่ะ ข้ารู้ว่าควรไปที่ใด”“ไปที่ใดรึ?” เฉินฝานหันกลับมาถาม“ไปวัดเทพอัปสรภูเขาจ้วงติงเจ้าค่ะ”“วัดเทพอัปสรภูเขาจ้วงติง?” เฉินฝานยิ่งงงงวย “แค่ไปวัด เหตุใดจึงรีบร้อนเช่นนี้?”“นายท่าน ท่านจำไม่ได้อีกแล้วหรือเจ้าคะ!” เสียงใสชัดของฉินเย่ว์ฉู่ดังขึ้น นางเอียงศีรษะเล็กของนาง “เทพอัปสรในวัดเป็นเทพที่ประทานบุตรโดยเฉพาะ วันที่หนึ่งเดือนห้าของทุกปีเป็นวันที่เทพอัปสรเสด็จลงมายังโลกเพื่อประทานบุตร หากไปสักการะวันนี้ก็จะมีลูกชายในปีหน้าเจ้าค่ะ”เฉินฝาน: “......”เดิมทีเขาคิดจะตอบโต้ฉินเย่ว์ฉู่ โดยพูดว่าเขาสามารถมีลูกชายได้หรือไม่เป็นเรื่องของผู้ชาย ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเทพเจ้าแต่อย่างใด แต่เมื่อเห็นใบหน้าที่เคร่งครัดของนาง เฉินฝานก็ไม่ได้พูดอะไรคนในยุคนี้ยังไม่มีความคิดเชิงวิทยาศาสตร์ ดังนั้น ก็ให้ความคาดหวังที่สวยงามอยู่ในใจนางแล้วกันฉินเย่ว์โหรวผู้อ่อนโยนพลันพูดกับเฉินฝานสีหน้าจริงจัง “วัดเทพอัปสรศักดิ์สิทธิ์มาก คนที่ให้กำเนิดบุตรชายล้วนไปขอพรที่วัดเทพอัปสรในวันที
ฉินเย่ว์โหรวเจ็บจี๊ดในใจ นางจำความขมขื่นและความน้อยใจของการไปวัดเทพอัปสรเพื่อแย่งชิงที่นั่งเมื่อปีที่แล้ววันนี้ของปีที่แล้ว เพิ่งถึงเวลาเหม่า[footnoteRef:1] นางโจวก็รีบเร่งพาพวกนางไปแย่งชิงที่นั่งในวัดเทพอัปสร [1: เวลาเหม่า หมายถึง ช่วงเวลา 05:00-07:00เช้า] เวลาเหม่าก็คือเวลาระหว่างห้าถึงหกโมงเช้าตระกูลผู้ดีมีอำนาจล้วนค่อนข้างเกียจคร้าน พวกเขาอยากขอพรเรื่องลูก แต่ไม่อยากตื่นเช้าเกินไป ขณะเดียวกันพวกเขาก็ต้องการให้แน่ใจว่าจะไม่ถูกเบียดออกไป จึงไปกดดันมัคานายกของวัดเทพอัปสร เมื่อทนแรงกดดันของผู้มีอำนาจเหล่านั้นไม่ได้ มัคนายกจึงประกาศเทพอัปสรผู้ประทานบุตรมีข้อกำหนด ผู้ที่เข้าแถวล่วงหน้าล้วนไม่เคร่งครัดพอ เฉพาะผู้ศรัทธาที่ออกเดินทางเวลาเหม่ากับสิบห้านาทีเท่านั้นจึงจะมีสิทธิ์เข้าวัดเพื่อขอบุตรได้ฉินเย่ว์โหรวสุขภาพไม่ดี ฉินเย่ว์เจียวจึงแบกนางวิ่งทางเขาเมื่อนางวิ่งมาถึงวัดเทพอัปสร เท้าของฉินเย่ว์เจียวก็เต็มไปด้วยแผลพุพองถึงกระนั้น สองพี่น้องก็ยังรู้สึกว่ามันคุ้มค่า เพราะพวกนางแย่งที่นั่งไว้ได้แต่ไม่คาดคิด เมื่อพวกนางเข้าแถวรอเข้าวัดเทพอัปสรอย่างมีความสุข นางโจวที่มาถึงทีหลัง
นั่นเป็นรถม้าม้าสี่ตัว ยิ่งไปกว่านั้นม้าทั้งสี่ตัวไม่มีตัวไหนไม่อ้วนท้วนและแข็งแรงเสียงกึกก้องดังขึ้นเรื่อย ๆ ฝุ่นและควันที่ลอยขึ้นจากถนนที่ม้าเหยียบย่ำนั้นเริ่มซัดเข้ามาในรถม้าม้าสี่ตัวคันนั้นม่านถูกเปิดออก เผยให้เห็นหน้าของชางเฟยอวี่ ดวงตาข้างขวาของเขาปิดไว้ด้วยผ้าปิดตาสีดำ ดังที่เฉินฝานพูดว่าตาของเขาใช้ไม่ได้แล้วชางเฟยอวี่เยาะเย้ยเฉินฝานอย่างภาคภูมิใจ “เฉินฝาน เจ้าไม่ได้มีอำนาจและร่ำรวยมากนักหรือ? ทำไมถึงมีรถม้าม้าสองตัวล่ะและยังเป็นม้าธรรมดา โถ ๆ ๆ ม้าแบบนี้ของเจ้า จะวิ่งเร็วสู้ม้าของข้าได้อย่างไรกันเล่า”“แต่ว่า แม้จะวิ่งช้าเกินไปและเข้าแถวเข้าวัดเทพอัปสรไม่ได้ก็ไม่มีผลกระทบใดกับเจ้าหรอก เพราะต่อให้เจ้าไปถึงคนแรกก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความจริงที่ว่าเจ้าเป็นไอ้อ่อน/หัดได้ ฮ่า ๆ ๆ!” เสียงหัวเราะเยาะทำให้ใบหน้าของชางเฟยอวี่ดูน่าเกลียดเล็กน้อย“นี่! ตอนแรกก็ดี แต่ตอนนี้น่าเกลียดมาก!” เฉินฝานส่ายหัวและถอนหายใจเมื่อเห็นว่าเฉินฝานไม่เพียงแต่ไม่โกรธ แต่ยังพูดว่าเขาน่าสงสาร ชางเฟยอวี่ก็โกรธเคือง “เจ้าพูดว่าใครน่าเกลียด”เฉินฝานยิ้มเหยาะ “ข้ารู้สึกเสียดายกับนายน้อยชาง เจ้าเคยมีร
“ชาติหน้าอะไร ข้าอยากมีลูกและมีความสุขร่วมกับพวกเจ้าชาตินี้”“และเจ้าเสี่ยวฉู่ อายุเท่าข้า? หยุดคิดได้แล้ว จงเติบโตให้ดีแล้วมอบลูกสาวที่น่ารักอย่างเจ้าให้ข้า”เฉินฝานดึงฉินเย่ว์โหรวและฉินเย่ว์ฉู่ออกจากตัวเขาเปิดม่านรถม้าและก้าวเท้ากว้างมาอยู่ข้าง ๆ ฉินเย่ว์เจียว“นี่เจ้าทำอะไร จะบังคับรถม้าเองรึ? เฉินฝาน ข้าจะบอกให้ หยุดต่อสู้ที่ไร้จุดหมายเถอะ ฮ่า ๆ ๆ!” เสียงหัวเราะของชางเฟยอวี่ชวนขนลุกรถม้าของเฉินฝานถูกเบียดมาถึงขอบหน้าผา หากล้อขยับออกไปอีกเล็กน้อยสามารถตกเขาได้ทันที“สวบ!”เฉินฝานดึงลูกธนูสองดอกออกจากกระบอกบนหลังฉินเย่ว์เจียว“ลูกธนู! ฮ่า ๆ ๆ” ชางเฟยอวี่กล่าวดูถูก “เจ้าคิดว่ายังตายไม่เร็วมากพองั้นรึ?”ระยะห่างระหว่างรถม้าสองคันไม่ถึงครึ่งเมตร หากเฉินฝานทำร้ายม้าด้วยลูกธนูตอนนี้ ม้าต้องตกใจกลัวและตื่นตัวแน่ ไม่ต้องใช้คนขับรถม้าก็สามารถชนเฉินฝานตกเขาได้ทันที“เฉินฝาน โปรดอย่าต่อสู้ที่ไร้จุดหมายและยอมรับความตายซะเถอะ ไม่ต้องกังวล ถ้าเจ้าไม่ขัดขืน ข้า ชางเฟยอวี่จะช่วยเจ้าจัดพิธีที่ยิ่งใหญ่และฝังศพของเจ้ากับภรรยาของเจ้าอย่างสมเกียรติ”ชางเฟยอวี่เหลือบมองฉินเย่ว์เจียวด้วยสีหน้
“ท่านผู้ใดคือกฎของคาน?” ฉินเย่ว์เจียวที่มีบุคลิกตรงไปตรงมาขานเรียกโดยตรงเฉินฝานไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดีจึงดึงฉินเย่ว์เจียว “เย่ว์เจียว อย่าตะโกน กฎของคานไม่ใช่คน”“ไม่ใช่คน?” ใบหน้าของฉินเย่ว์เจียวเต็มไปด้วยความประหลาดใจ “ไม่ใช่คนแล้วจะช่วยพวกเราได้อย่างไรเจ้าคะ?”“ข้ารู้แล้ว!” ฉินเย่ว์ฉู่พูดอย่างมั่นใจ ตอนที่นายท่านตกลงไปในหุบเขา ท่านก็ไปถึงโลกที่เหมือนสวรรค์ไม่ใช่หรือเจ้าคะ? กฎของคานนี่ต้องเป็นเพื่อนของนายท่านที่อยู่ที่นั่นแน่ ๆ”“เอ่อ......” เฉินฝานเกาหัว “จะว่าอย่างนั้นก็ได้!”“เอ้อ พวกเราต้องรีบไปขอประทานบุตรไม่ใช่เหรอ? ถ้าช้ากว่านี้พวกเราจะไม่ทันเข้าแถวนะ” เฉินฝานรีบเปลี่ยนเรื่องเพราะกลัวว่าพี่น้องตระกูลฉินยังสับสนกับปัญหานี้“ใช่ ๆ พวกเราต้องรีบไปแล้ว!”ออกเดินทางแต่เช้า หลังจากเกือบถูกรถม้าคันอื่นชนถึงสามครั้งตลอดทางเดิน พวกเฉินฝานเพิ่งมาถึงวัดเทพอัปสรที่อยู่บนภูเขาจ้วงติงคนที่ต่อแถว หากใช้คำว่าฟาดฟันตลอดทางก็ไม่มากเกินไป ทุกคนต่างเหนื่อยกับการเดินทาง หลายคนยังมีเลือดเปื้อนตามร่างกายคนที่รู้ว่ามาขอบุตรนั้นแล้วไป แต่คนที่ไม่รู้ คงคิดว่าคนเหล่านี้หนีมาจากสนามรบใ
“อะไรนะ!?”“ตอนนี้องค์หญิงเสี่ยวฉู่พาฝ่าบาทไปที่ประตูอู่แล้วขอรับ เจ้าสิ่งนั้น ปะ ปะ...”“ปืนไรเฟิล”“ใช่ ๆ ปืนไรเฟิล ปากกระบอกปืนไรเฟิลจ่อพระเศียรของฝ่าบาทอยู่เลยขอรับ!”“หา นี่เป็นเพราะอะไรกัน?”บรรดาพี่สาวน้องสาวตระกูลฉินได้ยินข่าวขึ้นมา“กราบทูลบรรดาองค์หญิง ข้อเรียกร้องขององค์หญิงเสี่ยวฉู่คืออยากให้ท่านอัครเสนาบดีกับฝ่าบาทอภิเษกสมรสกันเดี๋ยวนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ”“เหลวไหล!”เฉินฝานพุ่งตัวออกไปราวกับพายุเวลานี้บรรดาพี่น้องตระกูลฉินที่เพิ่งแสดงท่าทีรีบร้อนทำหน้าร้อนใจกลับมีสีหน้าแจ่มใส ถึงขนาดที่นั่งลงปรึกษาหารือกันฉินเย่ว์โหรว “พี่หญิงรอง ท่านมีฝีมือดี ท่านรีบไปขวางอยู่ที่หอด้านบนประตูอู่ อย่าให้นายท่านลงมา” ฉินเย่ว์เจียว “ไม่มีปัญหา พอถึงเวลานั้นข้าจะเรียกน้องหวั่นเอ๋อร์ นายท่านหนีไม่รอดแน่”ฉินเย่ว์ฉิน “เช่นนั้นข้าจะให้พี่น้องในวังเซียวเหยาก่อนหน้านี้ไปเดินเล่นแถว ๆ ประตูอู่ให้หมดเลย จะต้องครึกครื้นเป็นแน่ รับรองว่าพี่น้องทหารองครักษ์พวกนั้นจะต้องมองสาวงามอย่างไม่หวาดไม่ไหว”สามพี่น้อง “ความปรารถนาของเสี่ยวฉู่ พวกเราในฐานะพี่สาวจะต้องช่วยอย่างเต็มที่!”เมื่อมองถนนละแวกป
“ข้าไม่ได้ขัดขืนจริง ๆ” เย่ลวี่เลี่ยก้มหน้าลง ชายสูงแปดฉื่อทำสีหน้าที่เต็มไปด้วยความท้อแท้ใจ เขาอยากขัดขืนอยู่แล้ว แต่ฉินเย่ว์ฉู่ไม่ได้ให้โอกาสนั้นกับเขาเลยตอนที่ฉินเย่ว์ฉู่บุกเข้ามาในกระโจมใหญ่ของเย่ลวี่เลี่ย ก็ยิงปืนกำจัดองครักษ์ของเย่ลวี่เลี่ยก่อนพูดแล้วก็น่าอับอาย เย่ลวี่เลี่ยที่เคยผ่านศึกมาอย่างโชกโชนตกใจกลัวรูเลือดตรงกลางหน้าผากขององครักษ์ เขาไม่เคยเห็นอาวุธที่รวดเร็วขนาดนี้มาก่อนเลยได้ยินแค่เสียงดังปัง หน้าผากขององครักษ์ก็มีรูเลือดใหญ่ขนาดนี้แล้ว ความเร็วที่แม้แต่เทพเซียนก็ทำไม่ได้ ความแม่นยำที่แม้แต่เทพเซียนก็ยังทำไม่ได้ในตอนที่ฉินเย่ว์ฉู่ยกปืนขึ้นแล้วลั่นไกอีกครั้ง เมื่อเย่ลวี่เลี่ยได้ยินเสียง เขาก็ตกใจจนสลบไปทันที หลับไปตื่นหนึ่งถึงค่อยพบว่าฉินเย่ว์ฉินยิงใส่หมวกเล็กของเขาเท่านั้นตกใจสาวน้อยจนสลบไป ไม่ว่าสือจิ่งซานผู้นี้จะถามอย่างไร เย่ลวี่เลี่ยก็ไม่บอกเขา .....ในคืนที่เย่ลวี่เลี่ยถูกจับ ข่าวก็ไปถึงเมืองหลวงแล้ว “เครื่องอัดเสียงพลังงานแสงอาทิตย์ เครื่องเสียง...” ขณะที่ฉินเย่ว์เหมยอ่านคำเหล่านี้ก็ถามเฉินฝานด้วยความมึนงงว่า “จดหมายของเสี่ยวฉู่บอกว่า นางแค่อาศ
“นางไม่รู้หรือว่าพวกเราไม่อยากลงมือจริงจัง?” “พอไปถึงค่ายทหารของชาวหู ไม่ใช่แค่โดนฆ่าธรรมดาแบบนั้นหรอกนะ” ชาวหูไม่มีทางปล่อยสตรีชาวต้าชิ่งใด ๆ ที่ตกอยู่ในมือพวกเขา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสตรีชาวต้าชิ่งที่หน้าตางดงามฐานะสูงศักดิ์อย่างฉินเย่ว์ฉู่ พฤติกรรมของพวกเขาใช้คำว่าเดรัจฉานมาอธิบายยังไม่พอเลย สือจิ่งซานสะบัดแขนเสื้อ “พอได้แล้ว สตรีนางเดียวไม่มีค่าพอให้เราต้องใส่ใจหรอก นางอยากตายก็ปล่อยนางไปเถิด โจวจวี่ เจ้าส่งคนไปบอกเยลวี่เลี่ยว่าให้พวกเขาเหลือศพไว้ครบถ้วน ข้าจะซื้อศพไว้ใช้ประโยชน์” ไม่ต้องให้สือจิ่งซานรอนานเกินไป วันรุ่งขึ้นทหารลาดตระเวนก็มารายงาน “ว่าไงนะ? เยลวี่เลี่ยมาด้วยตนเอง?”“ท่านแม่ทัพใหญ่ หากพูดให้ตรงคือเยลวี่เลี่ยโดนฮูหยินเล็กของท่านอัครเสนาบดีจับกุมมาขอรับ”“เจ้าพูดอีกทีสิ?”ทหารลาดตระเวนพูดซ้ำถึงสามรอบเต็ม ๆ สือจิ่งซานก็ยังไม่เชื่อไม่ใช่แค่สือจิ่งซานที่ไม่เชื่อ ต่อให้เป็นผู้ถูกจับกุมอย่างเยลวี่เลี่ยก็ไม่เชื่อเช่นกัน เขาจะโดนสตรีนางเดียวจับกุมได้อย่างไรยิ่งไปกว่านั้นสตรีผู้นี้ยังอายุน้อย พาทหารหญิงรุ่นราวคราวเดียวกันมาแค่ร้อยกว่าคนเมื่อฉินเย่ว์ฉู่พาเยลวี่เล
สือจิ่งซานยกมุมปากยิ้มคลุมเครือ “แปรพักตร์อันใดกัน ฝ่าบาทกับท่านอัครเสนาบดีเห็นอกเห็นใจกองทัพหมาป่าเรา จึงส่งสะใภ้คนเล็กมา เช่นนั้นกองทัพหมาป่าเราย่อมต้องต้อนรับสะใภ้ท่านนี้ให้ดี ๆ”“แม่ทัพใหญ่กล่าวถูกต้อง พวกเราต้อง ‘ต้อนรับ’ ให้ดี ๆ!” โจวจวี่พูดคล้อยตามทันที ไม่นานนักก็มีคำสั่งจากในกระโจมใหญ่ ให้ทหารแม่ทัพทั้งหมดของกองทัพหมาป่าเปลือยท่อนบนยุคโบราณที่จารีตเคร่งครัดอย่างยิ่ง การเปลือยท่อนบนเช่นนี้เป็นพฤติกรรมดูหมิ่นไม่ให้ความกียรติสตรีอย่างรุนแรงยิ่งกว่านั้นฉินเย่ว์ฉู่เป็นภรรยาเอกของอัครเสนาบดีขั้นหนึ่ง องค์หญิงแห่งต้าชิ่ง พระขนิษฐาแท้ๆ ของฮ่องเต้หญิงหากฉินเย่ว์ฉู่เป็นเพียงสตรีทั่วไปในยุคนี้ เกรงว่ามีแต่จะตกใจจนมือไม้อ่อนไปหมดทหารแม่ทัพทั้งหมดของกองทัพหมาป่าเปลือยท่อนบนออกจากกระโจม รอดูท่าทางตกใจกลัวจนร้องไห้โฮยกใหญ่ของฉินเย่ว์ฉู่“ผู้ชายมากมายถึงเพียงนี้ข่มขู่เด็กสาวคนเดียวจะไม่เกินไปหน่อยหรือ” มีบางคนรู้สึกว่าแบบนี้ไม่ค่อยดีนัก แต่คำพูดของเขาก็โดนคนอื่นสวนกลับทันที “เกินไปอันใดเล่า เฉินฝานเป็นคนส่งมา ให้เขาหยามพวกเราได้เท่านั้น แต่ไม่ยอมให้พวกเราตอบโต้คืนหรือ? เปลือย
เย่ว์หนูได้รับบาดเจ็บในระหว่างที่ปกป้องเฉินฝานครั้งหนึ่ง ร่างกายของนางตอนนี้จึงไม่แข็งแรงเหมือนเมื่อก่อน เดิมทีเฉินฝานอยากให้หวงหวั่นเอ๋อร์ตามฉินเย่ว์ฉู่ไป มีหวงหวั่นเอ๋อร์อยู่ อย่างน้อยที่สุดก็ไม่มีปัญหาเรื่องความปลอดภัยของฉินเย่ว์ฉู่ ผลปรากฏว่าฉินเย่ว์ฉู่ปฏิเสธแม้กระทั่งหวงหวั่นเอ๋อร์ด้วยฉินเย่ว์ฉู่พาทหารหญิงไปหนึ่งร้อยกว่าคน มุ่งตรงสู่ทางเหนือ บุกไปยังกองทัพหมาป่าอย่างกล้าหาญ “เจ้าปล่อยให้นางไปเช่นนี้หรือ?” คนที่ตำหนิเฉินฝาน ไม่ใช่แค่พี่น้องตระกูลฉินทั้งสามคนในจวนสกุลเฉิน แม้แต่ฉินเย่ว์เหมยที่อยู่ในวังหลวงก็รีบออกมาเช่นกันนางคิดว่าไม่ว่าอย่างไร อย่างน้อยที่สุดเฉินฝานต้องให้ฉินเย่ว์ฉู่นำกองพลมือปืนไป“เย่ว์ฉู่เป็นน้องเล็กของพวกเจ้า น้องเล็กของพวกเจ้ามีนิสับแบบไหน พวกเจ้าไม่รู้เลยหรือไร?” คำพูดประโยคเดียวของเฉินฝานทำให้พวกนางสำลักแล้วแม้ว่าฉินเย่ว์ฉู่จะเป็นน้องเล็กสุดในตระกูลฉิน ทว่าตั้งแต่เด็กจนโต นางมีความคิดของตัวเองมากที่สุด ขอเพียงเป็นเรื่องที่นางตัดสินใจแล้ว ไม่มีใครสามารถทำให้นางเปลี่ยนใจได้“แต่ว่า...” ฉินเย่ว์โหรวที่เป็นคนกังวลใจมากที่สุด ขมวดคิ้วมุ่น ดูกลัดกล
การปรากฏตัวของนาง ทำให้ทุกคนรู้สึกปีติยินดีกันมากแต่ฉินเย่ว์เจียวกลับถลึงมองสตรีผู้นั้น “พอได้แล้ว เสี่ยวฉู่เจ้าเด็กตัวแสบ แสร้งทำตัวเป็นผู้ใหญ่อันใด ยังไม่รีบเข้ามาอีก?” ฉินเย่ว์ฉู่ขี่ม้าเข้ามา ขณะที่นางผ่านฉินเย่ว์เจียวยังไม่ลืมเถียงกลับว่า “พี่หญิงรอง ข้าอายุยี่สิบแล้ว เป็นผู้ใหญ่ตั้งนานแล้วนะ”ฉินเย่ว์เจียวเชิดหน้าขึ้นสูง “ไม่ว่าเจ้าจะอายุเท่าไหร่ ถึงอย่างไรในสายตาข้า เจ้าก็เป็นเด็กตลอดกาล” ฉินเย่ว์ฉู่ควบม้าตรงมาหาเฉินฝาน แล้วฟ้องเขาว่า “นายท่านดูสิเจ้าคะ พี่หญิงรองรังแกข้าอีกแล้ว นางรังแกข้ามาตลอด ท่านไม่จัดการนางบ้างหรือ?”เฉินฝานมองฉินเย่ว์ฉู่ที่สดใสมั่นใจในตัวเองตรงหน้า ภาพที่เขาเห็นฉินเย่ว์ฉู่ครั้งแรกเมื่อสิบปีก่อนฉายขึ้นมาในสมอง เกิดความรู้สึกราวกับว่าเวลาผ่านไปชาติหนึ่งเด็กสาวที่ขี้กลัวในวันวาน บัดนี้กลายเป็นโฉมสะคราญที่มีสง่าราศี เฉินฝานรู้สึกภาคภูมิใจเล็กน้อย“เหตุใดที่กลับมาตอนนี้ ไม่ต้องเข้าเรียนแล้วหรือ?” เฉินฝานถามตั้งแต่ฉินเย่ว์ฉู่อายุสิบห้า เฉินฝานก็ส่งนางไปเรียนที่โรงเรียนสตรีในเมืองเซียนตู“นายท่าน ข้าน้อยเรียนจบแล้วเจ้าค่ะ”“เรียนจบแล้ว?”“ข้าน้อยเ
วันนี้เป็นวันหยุดพักผ่อน ซึ่งทั้งเดือนจะมีเพียงวันเดียวเท่านั้น นี่เป็นวันที่หาได้ยาก ในฐานะที่ฉินเย่ว์โหรวเป็นภรรยาเอกที่ดูแลบ้านย่อมไม่ปล่อยให้หลุดมือไปง่าย ๆ นางได้เตรียมการไว้ล่วงหน้าหลายวันแล้วว่าวันนี้พวกเขาจะไปเที่ยวเล่นกินอาหารที่ชานเมืองกันทั้งครอบครัวนี่เป็นสิ่งที่เฉินฝานเสนอขึ้นเมื่อหลายปีก่อน หลังจากครั้งนั้น ฉินเย่ว์โหรวก็หลงใหลอยู่สุดซึ้ง ขอเพียงเฉินฝานมีวันหยุด นางจะต้องออกไปให้ได้สถานที่เที่ยวเล่นกินอาหารกันในครั้งนี้มีทิวทัศน์งดงามราวกับภาพวาดเหมือนเช่นเคยเฉินฝานนั่งอยู่บนเก้าอี้พนักพิง กินผลไม้มองบุตรชายบุตรสาวเล่นกันอย่างสนุกสนานบนทุ่งหญ้า ส่วนบรรดาภรรยาก็ยุ่งอยู่กับการเตรียมอาหารกลางวันกลิ่นอาหารที่เฉินฝานชอบลอยอยู่ในอากาศอาหารของพวกเขาทั้งหมดเป็นรูปแบบยุคปัจจุบัน เนื้อแกะย่างทั้งตัว สเต๊กซี่โครงย่าง หมูสามชั้นย่าง ปีกไก่ย่าง กระดูกอ่อนย่าง... ยังมีหม้อไฟทะเล และผลไม้แช่เย็นต่าง ๆ นานา“อืม~” เฉินฝานสูดจมูก แล้วแค่นเสียงเบา ๆ ด้วยความพึงพอใจ เขาหลับตาพักผ่อน พักผ่อนสักพักก็เริ่มกินได้แล้ว“ฮี่!”เฉินฝานเพิ่งจะนอนหลับก็ตกใจตื่นกับเสียงร้องฮี่ของม้า “
หลังจากสือจิ่งซานควบคุมกองทัพหมาป่า เขาก็เปลี่ยนตัวแม่ทัพก่อนหน้านี้ทั้งหมด ตอนนี้ทหารเหล่านี้ล้วนเชื่อฟังสือจิ่งซานเท่านั้น“ใครบังอาจวิจารณ์ฝ่าบาทและท่านอัครเสนาบดีที่นี่?”สือจิ่งซานตวาดอย่างเย็นชา เขาเดินแหวกแม่ทัพเหล่านั้นพร้อมกับเอ่ยวาจา หลังจากนั้นก็หันกาย สายตากวาดมองไปบนร่างแม่ทัพเหล่านั้นห“ข้าน้อยไม่บังอาจวิจารณ์ เดิมทีสิ่งที่ข้าน้อยพูดก็เป็นความจริง หากไม่มีกองทัพหมาป่าของเรา ไม่มีท่านแม่ทัพใหญ่ ต้าชิ่งจะสงบสุขเหมือนทุกวันนี้ได้อย่างไร เวลานี้กลับให้เฉินฝานผู้นั้นยึดความดีความชอบทั้งหมดไว้เพียงผู้เดียว” “ถูกต้อง พวกเรารู้สึกว่าไม่ยุติธรรมกับท่านแม่ทัพใหญ่เลย”แม้ว่าเสียงของพวกแม่ทัพจะเบาลงแล้ว แต่ความโกรธเกรี้ยวและความไม่พอใจในคำพูดกลับยิ่งรุนแรงขึ้น “เหลวไหล เดิมทีความสงบสุขของต้าชิ่งก็เป็นหน้าที่ของกองทัพหมาป่าเรา ในฐานะที่ข้าเป็นแม่ทัพใหญ่ของกองทัพหมาป่ายิ่งต้องทำเช่นเดียว ต่อไปหากมีใครกล้าบังอาจวิจารณ์ฝ่าบาทกับอัครเสนาบดีอีก ลงโทษโบยด้วยไม้พลองทหาร!”“ท่านแม่ทัพใหญ่...”“ทหาร!” สือจิ่งซานตัดบทคนผู้นั้น “นำตัวสวี่ต๋าออกไปโบยด้วยไม้พลองทหารห้าสิบที!” ไม่นานนัก
ตอนนี้น่าจะถือว่ารักษาสัญญาแล้วกระมังฉินเย่ว์เหมยรับประทานอาหารค่ำที่จวนสกุลเฉิน พี่น้องทั้งห้าคุยเล่นกันในห้องจนดึกดื่น หลี่เต๋อฉวนเร่งอยู่หลายครั้ง ฉินเย่ว์เหมยถึงค่อยอำลาบรรดาน้องสาวของตนด้วยความอาลัยอาวรณ์“พี่หญิงใหญ่ ท่านถอนรับสั่งได้หรือไม่?”เมื่อเห็นฉินเย่ว์เหมยกำลังจะจากไป ฉินเย่ว์ฉินก็รีบเอ่ยขึ้นมา“รับสั่งใดเล่า?” ฉินเย่ว์เหมยหันหน้ากลับมาถาม“ก็เรื่อง ก็เรื่อง...” เสียงของฉินเย่ว์ฉินแผ่วเบา หน้าแดงเล็กน้อย “เข้าหอในวันนี้”แม้ยามนี้ฉินเย่ว์ฉินไม่รังเกียจเฉินฝานแล้ว แต่นางยังไม่ได้เตรียมใจแต่งงานกับเฉินฝาน “เหตุใดต้องถอนคืนด้วย เจ้าเองก็อายุไม่น้อยแล้ว ควรจะมีทายาทให้สามีของเจ้าได้แล้ว เช้านี้ข้าตรวจดูปฏิทินโหรแล้ว วันนี้เป็นวันดี ไม่อนุญาตให้ปฏิเสธอีก”นี่ก็คือการปราบปรามโดยสายเลือด ก่อนที่ฉินเย่ว์เหมยจะมา พวกฉินเย่ว์เจียวไม่อาจเอ่ยถึงเรื่องเข้าหอได้เลย เวลานี้เมื่อฉินเย่ว์เหมยเอ่ย ฉินเย่ว์ฉินไม่อาจโต้แย้งได้แม้แต่คำเดียว “ยังจะว่าข้าอีก ท่านก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ ไม่ใช่ว่าท่านเองก็หาเหตุผลต่าง ๆ เพื่อหนีนายท่านหรือไร” ขณะที่ฉินเย่ว์เหมยหันกายเดินจากไป ฉินเย่ว์ฉ