นายกองทหารพิทักษ์เมืองอย่างเขาไม่ได้แย่ไปกว่าทหารในกองทัพของนายพล“ใต้เท้า!”จางหย่งชุนยังไม่ทันตอบหลี่หงโห่ว รองนายกองทหารของเขาก็วิ่งเข้ามา รองนายกองทหารผู้นั้นเนื้อตัวดำปี๋จากหมอกควัน ท่าทางดูแล้วทุลักทุเลมาก“คราวนี้โจรพวกนั้นไม่ได้ยิงธนูหรือผลักก้อนหินขอรับ พวกมันกลิ้งลูกไฟที่ลุกโชนจากประตูค่ายลงมาขอรับ ทหารที่อยู่แนวหน้าต่างก็ลุกเป็นไฟ พวกเราสูญเสียอย่างหนักและไม่สามารถโจมตีได้ขอรับ!”“ลูกไฟ?” จางหย่งชุนขมวดคิ้ว เขากัดฟันและกล่าว “ไอ้พวกโจรบัดซบ เจ้าเล่ห์ยิ่งนัก!”สองสามครั้งล่าสุดที่จางหย่งชุนมาปราบโจร โจวลี่เหรินไม่เคยใช้ไฟโจมตี เหตุฉะนั้นจางหย่งชุนจึงไม่เคยเห็นวิธีการแบบนี้“อ๊าก!”“อ๊าก ๆ!”เสียงกรีดร้องบนภูเขายังดังอย่างต่อเนื่อง“จางหย่งชุน เกิดอะไรขึ้นกันแน่? เจ้าไม่ได้บอกข้าหรือว่าครั้งนี้จะไม่มีอะไรผิดพลาด?” หลี่หงโห่วโกรธมากนายพลกำลังเฝ้าดูอยู่ด้านข้าง ครั้งนี้จางหย่งชุนทำได้เพียงประสบความสำเร็จ ห้ามล้มเหลว“ใต้เท้า อย่าเพิ่งร้อนใจ ข้าน้อยยังมีวิธีขอรับ!”จางหย่งชุนพูดและหันไปออกคำสั่งกับรองนายกองทหาร “ให้พี่น้องแนวหน้าถอยกลับมาทันที ให้ฝ่ายยิงธนูเปลี่ยนลู
มังกรตาเดียวพาโจรส่วนใหญ่เฝ้าอยู่รอบกำแพงของค่าย และฆ่าทหารที่ปีนขึ้นมาจากบันไดบนท้องฟ้า ลูกธนูที่ยิงขึ้นมาจากเชิงเขายังคงลอยมาราวกับเทพธิดาโปรยดอกไม้เมื่อปกป้องด้วยโล่ ลูกธนูเหล่านี้จึงไม่ได้สร้างความเสียหายให้กับพวกมังกรตาเดียวมากนักแต่ทว่าก้อนหินที่โยนออกมาจากเครื่องโยนหินจะแตกต่างออกไป ก้อนหินเหล่านั้นไม่เพียงแต่จะแม่นยำมากกว่าเดิม แต่ยังมีพลังมากขึ้นด้วย แต่ละละก้อนที่ตกลงมาทำลายกำแพงของค่ายไปจุดแล้วจุดเล่าสุดท้ายแล้วพวกเขาก็เป็นโจรแห่งขุนเขา โล่กำบังมีจำนวนจำกัด โล่ส่วนใหญ่ก็เอาไปใช้ป้องกันลูกธนูที่ตกมาจากฟ้าเมื่อไม่มีกำแพงเป็นที่หลบภัย พวกเขาก็จะกลายเป็นเป้าโจมตีการโจมตีรอบนี้ของจางหย่งชุน ค่ายชิงหลงค่อนข้างต้านรับไม่ไหว แม้แต่ความสามารถการโจมตีกลับก็แทบจะไม่มี“ฆ่ามัน!”เสียงฆ่าที่เชิงเขาดังขึ้นเรื่อย ๆ และใกล้เข้ามามากขึ้นเรื่อย ๆดูเหมือนว่าค่ายชิงหลงกำลังจะถูกจางหย่งชุนบุกทะลวง“ใต้เท้า ที่นี่มีฝุ่นมาก เรากลับกระโจมกันก่อนเถอะขอรับ!” จางหย่งชุนพยุงหลี่หงโห่วเขาทำเช่นนี้เพราะต้องการให้นายพลที่ปลอมตัวเป็นทหารผ่านศึกเห็นเขาและชื่นชมเขา“ดี บนเขานั่นก็ใกล้จะ
ณ ช่วงเวลานี้ ที่จางหย่นชุนพูดทั้งหมดคือ ค่ายชิงหลงที่จะถูกเขาบุกโจมตี“โจวอวี่!” มองก้อนหินขนาดใหญ่ที่แม่นยำและทรงพลังกว่าเมื่อครู่พวกนั้น โจวลี่เหรินเงยหน้าตะโกนเสียงดัง พวกเขาจะลากรถยิงหินเข้ามาใกล้หรือไม่?”“ถูกต้องแล้ว คุณท่าน อย่างน้อยก็ลากมาใกล้ห้าฉื่อ” เสียงของโจวอวี้ดังมาจากยอดถ้ำ“เยี่ยม!” โจวลี่เหรินแววตาเปล่งประกายขึ้นทันที “บดขยี้พวกเขาให้ราบคาบ!”“ไม่มีปัญหา คุณท่าน ดูข้าไว้ให้ดีๆ”ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว!ลูกธนูที่รวดเร็วและอานุภาพรุนแรงพุ่งข้ามศีรษะโจวลี่เหรินไปทีละลูก“ดีมาก! ต่อแต่นี้ก็แล้วแต่โชคชะตาฟ้าลิขิตแล้ว”โจวลี่เหรินยกมือค้างไว้ในอากาศมาโดยตลอดหลังจากนั้นสองนาที เขายกยิ้มขึ้นเล็กน้อย และค่อยๆฉีกยิ้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ“ทิศทางลมเปลี่ยนแล้ว ทิศทางลมเปลี่ยนแล้ว”เขาชำเลืองมองประตูค่ายที่กำลังมอดไหม้ และกำแพงค่ายที่ถูกทำลายจนไม่เหลือชิ้นดี ผนวกกับเสียงฆ่าฟันที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ รอยยิ้มบนใบหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเหยียดหยามขุนนางที่บัญชาการอยู่ด้านล่างเขานั้นคงจะเป็นจางหย่งชุนล่ะสิเขาก็ยังคงโง่ดักดานเหมือนกับครั้งก่อนๆ!อยู่ๆในค่ายชิงหลงก็เงียบสงบขึ้นเยอะ ไม่มีเสีย
พลทหารนับหมื่นนับพันที่ร่างติดไฟ บ้างล้มด้วยความเจ็บปวด บ้างวิ่งหนีตายไปทุกหนทุกแห่ง พลทหารที่ร่างไม่ติดไฟพากันร่นถอยไปท่ามกลางความอลหม่าน มีพลทหารจำนวนไม่น้อยลื่นล้ม กลายเป็นถูกเหยียบพลทหารส่วนใหญ่ไม่โดนเผาตาย ก็โดนลูกธนูโจรภูเขายิงตาย หรือไม่ก็ถูกพวกเดียวกันเหยียบตาย“เหล่าพี่น้องที่ไม่ได้รับบาดเจ็บจงรีบลุกขึ้นมา ออกไปจัดการพวกสวะพวกนั้นกัน!”ในค่ายชิงหลง มังกรตาเดียวตะโกนกู่ก้อง“จัดการพวกสวะให้สิ้นซาก!”“ยิงธนู!”ลูกธนูมหาศาลถูกยิงออกจากไปค่ายชิงหลง“ผลักหิน!”ก้อนหินลูกใหญ่ลูกแล้วลูกเล่ากลิ้งลงไปจากค่ายชิงหลงลูกธนูที่ยิงใส่ร่างพลทหารเมื่อครู่ ตอนนี้เป็นบ่อแห่งลูกธนูสุดลูกหูลูกตาของโจรภูเขาแล้วหินกำแพงค่ายที่ถูกทำลายไม่เหลือชิ้นดีก็กลายเป็นหินกลิ้งที่ไม่มีวันใช้หมด“เหล่าพี่น้อง ตามข้ามา!” ถูซิงซุนเองก็ตะโกนลั่น เขาเข็นรถขนลูกไฟชนกับประตูค่ายที่ถูกเผาจนมอดไหม้ไปแล้ว“เพิ่มคบไฟเข้าไปอีกหนึ่งอัน เผาพวกเขาให้ตาย แก้แค้นให้กับพี่น้องที่ตายไป!”“เผาพวกเขาให้ตาย แก้แค้นให้กับพี่น้องที่ตายไป!”โจรภูเขาที่อยู่ด้านหลังถูซิงซุน ฮึกเหิมราวกับฉีดเลือดไก่ พากันรถขนลูกไฟพุ่ง
“เฉินฝาน แค่ปัญญาชนหนึ่งอย่างเขา จะมาทำลายสถานการณ์อะไรกัน? จะทำลายอย่างไร? ใช้เหยือกสุราพวกนั้นหรือ?”จางหย่งชุนแยกเขี้ยวยิงฟัน และอีกอย่างเขาก็ไม่เชื่อว่าเฉินฝานจะทำลายสถานการณ์ได้ ต่อให้ทำลายสถานการณ์ได้จริงๆ เขาก็ไม่ให้เฉินฝานมาสู้รบเขาเป็นนายกองที่พากองกำลังทหารมาสามพันคน หลีกทางให้ปัญญาชนคนหนึ่ง พูดไปคนก็ต้องหัวเราะเยาะเป็นแน่?อีกอย่างคือ...จางหย่งชุนรู้สึกกระวนกระวายใจถึงแม้ความเป็นไปได้ในการทำลายสถานการณ์จะไม่มากนัก ทว่าไอหนุ่มนี่ชอบเล่นพิเรนทร์อย่างมากครั้งก่อนที่เขาไปหมู่บ้านซานเหอกับหลี่ซางเตรียมที่จะจับกุมเขา เขาก็ได้รู้ตัวแล้วทั้งๆที่เพิ่งจะร่ำเรียนได้แค่สองเดือนเท่านั้น ก็สามารถครอบครองคนสอบอันแรกได้ ทั้งๆที่อายุยังไม่เยอะ ทว่าอ่านตำรามากกว่าเริ่นรุ่ยฟ่านเสียอีก ทั้งๆที่เป็นปัญญาชนที่ไม่อำนาจอันใด ก็ยังสามารถหลบการจับกุมของมือปราบได้อย่างรวดเร็วถ้าหากฉุกละหุกขึ้นมา ถ้าไอหนุ่มนี่มันเล่นพิเรนทร์อีกครั้งแล้วทำลายสถานการณ์ได้จริงๆ บุกทะลวงเข้าไปในค่ายชิงหลงได้ เช่นนั้น เขาก็จะคงต้องอับอายกว่าการหลีกทางให้ปัญญาชนคนหนึ่งอีกไม่ใช่หรือ?“ถอยไปให้หมด!” หลี่ห
“ได้!” เพ่ยจี้มอบป้ายแขวนเอวให้เฉินฝานเสียอย่างนั้น “นับตั้งแต่เสี้ยวนาทีนี้ต่อไป เจ้าจะเป็นผู้บังคับบัญชาคนปัจจุบันกองกำลังรักษาหรงตู!”หลี่หงโห่วและจางหย่งชุนตกตะลึงตาค้างกันหมด เมื่อเห็นป้ายแขวนเอวก็เท่ากับว่าเจอกับเพ่ยจี้มีป้ายแขวนเอวนั้นอยู่ในมือ ไม่เพียงแค่กองกำลังรักษาหรงตู กองกำลังหมาป่าที่รักษาหรงตูก็สามารถบังคับบัญชาได้ทั้งนั้น“ใต้เท้า ข้าน้อยไม่มีความจำเป็นต้องใช้ป้ายแขวนเอวของท่าน โจมตีภูเขานี้ไม่จำเป็นต้องใช้กองกำลังของหรงตู!”ระหว่างเฉินฝานพูด ก็วิ่งตรงไปที่ด้านล่างเขา “เย่ว์เจียว!”หลังจากที่หลี่หงโห่วส่งต่อภารกิจปราบโจรให้กับจางหย่งชุน เฉินฝานก็วานให้ฉินเย่ว์เจียวพาหญิงสาวหนึ่งร้อยกว่าคนไปพักที่ล่างเขา“เสี่ยวฝาน!”เหลือบมองแผ่นหลังที่วิ่งไปของเฉินฝาน หลูเฉิงกวงกระวนกระวายใจจนอยากกระโดดถีบเจ้าหนุ่มเบาปัญญานี่ ป้ายแขวนเอวของนายพลนั้นช่างเป็นสิ่งมหัศจรรย์เหลือเกิน ต่อให้หลังจากนั้นก้ต้องส่งคืนกลับไป ทว่าเขาเคยใช้ป้ายแขวนเอวท่านนายพลบังคับบัญชากองกำลังทหารหรงตูสามพันคน หลังจากนี้เขาก็สามารถเดินในหรงตูอย่างสง่าผ่าเผยไม่เกรงกลัวใคร แม้แต่หลี่หงโห่วก็ไม่กล้ามายุ่ง
เพ่ยจี้สะบัดมือ “ใช่การเล่นตลกหรือไม่ ข้ามีตาตัดสินเองได้!”ตอนที่เห็นเฉินฝานนำทัพเหล่าหญิงสาวมา ในใจเพ่ยจี้เองก็มีข้อกังขาอย่างมากทว่าจะใช้คนก็อย่าระแวง หากระแวงใครก็อย่าใช้เขา นี่เป็นบรรทัดฐานของเขาเฉินฝานชูมือขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นสัญญาณมือของเฉินฝาน ฉินเย่ว์เจียวที่นำทัพตะโกนก้อง “ทุกคน หยุดฝีเท้า!”พวกหญิงสาวรีบหยุดฝีเท้าที่จะรุดหน้าทันที แยกตัวยืนเป็นห้าแถว ยืนตรงตระหง่านอยู่ตรงนั้นถึงแม้ว่าจะเป็นหญิงสาวทั้งหมด ทว่าหลูเฉิงกวงมองดูแล้วสบายตากว่าทหารผู้ชายสามพันคนที่จางหย่งชุนนำทัพมาเป็นไหนๆสองสามวันมานี่ เฉินฝานให้หญิงสาวพวกนี้ทำอยู่สามเรื่อง ขุดหลุม ซ้อมขบวนรบ โยนถุงทรายเมื่อเพ่ยจี้มองไปก็รู้สึกแปลกใหม่เจ้าหนุ่มนี่นำทัพหญิงสาวมาก็แปลกพอแล้ว คำสั่งในการตั้งขบวนรบก็แปลกเช่นกันทว่าจะว่าแปลกก็แปลก การตั้งขบวนรบ การออกคำสั่งเช่นนี้ทำให้ทั้งกองกำลังดูแล้วทรงพลังอย่างมาก ผู้หญิงก็สามารถตั้งขบวนทัพให้ทรงพลังได้ขนาดนี้ ผู้ชายก็จะไม่น่าตื่นตระหนกมากกว่าหรอกหรือ?หลังจากที่เขากลับกองทัพไป เขาก็ลองทำบ้าง?“ท่านนายพล!”ตอนที่เพ่ยจี้กำลังพินิจพิเคราะห์กลยุทธ์การตั้งขบวนรบ
หลี่หงโห่วก็ไม่ได้ห้ามปรามจางหย่งชุน เขาอยากให้เพ่ยจี้ได้ยิน การที่เพ่ยจี้เลือกใช้เฉินฝานเป็นเรื่องผิดมหันต์เพ่ยจี้ยืนอยู่ตรงนั้นไม่ได้พูดอะไร สีหน้าเรียบเฉย ไม่สุขไม่ทุกข์ และก็ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาอยู่ในอารมณ์ไหนกันแน่ทว่าจะบอกเขาไม่กังวลใจอย่างแน่นอน คงจะเป็นเรื่องโกหก“ใต้เท้า ท่านให้เหล่าพี่น้องถอยทัพไปด้านหน้าค่ายพลธนู แบ่งออกเป็นสามกลุ่ม กองกำลังกลุ่มหนึ่งใช้โล่ป้องกันพลธนู ให้พลธนูยิงออกไปอย่างต่อเนื่อง กองกำลังอีกหนึ่งกลุ่มใช้มีดของพวกเขาขุดทางแยกไว้!”“ทำเป็นเชือกกั้นทางเหมือนกับบนถาดทรายของข้า กว้างประมาณแปดฉือ”เฉินฝานใช้มือวาดให้ดูว่าถาดทรายที่ไม่มีป้ายของเขาต้องกว้างแค่ไหน เพราะในตอนนั้นไม่ได้คิดมาก่อนว่าจางหย่งชุนจะนำกองกำลังมา“กลุ่มสุดท้าย หามคนเจ็บลงไปตามลำดับ!”เมื่อฟังเสียงเฉินฝานที่รีบเร่งทว่าไม่ลนลาน สีหน้าแต่เดิมที่ดูไม่ออกว่าอารมณ์ไหนของเพ่ยจี้ รอยยิ้มปลื้มอกปลื้มใจพลันปรากฎขึ้นเขาไม่เข้าใจว่าอะไรคือเชือกกั้นทาง ทว่าปกป้องพลธนู ลำเลียงคนบาดเจ็บลงไปตามลำดับสองจุดนี้เฉินฝานทำได้ดีมากจริงๆขอเพียงพลธนูยังอยู่ โจรภูเขาบนนั้นก็ออกมาจากประตูค่ายไม่ได้ลำเ
เฉินฝานที่พักสายตาโดยตลอดลืมตาขึ้น “ครอบครัวผู้เฒ่ามีหลานสาวสิบคนที่ยังมิได้ออกเรือนงั้นหรือ?”“เฮ้อ หากจะกล่าวให้ถูกต้องคือมีทั้งหมดสิบห้าคน มีห้าคนที่คิดว่าตนเองอายุมากแล้ว กลายเป็นภาระของคนในบ้านจึงตัดสินใจฆ่าตัวตาย”เสียงของผู้เฒ่าตาบอดตะกุกตะกักเป็นอย่างมาก “ปีที่แล้วผูกคอตาย เดือนที่แล้ว ก็มีอีกสองคนที่จวนจะ...โชคดีที่ยายเฒ่าไปเจอเสียก่อน มิเช่นนั้นก็คง...”ผู้เฒ่าตาบอดพูดมิออกแล้ว มีเพียงดวงตาที่ขาวโพลนมิมีตาดำพรั่งพรูน้ำตาอุ่นๆออกมามิหยุดอากาศหนาวจนถึงจุดเยือกแข็ง มินานนักน้ำตาก็แข็งตัวเป็นน้ำแข็งคำพูดของผู้เฒ่าตาบอดแทงใจดำของเย่ว์หนูในตอนแรกที่นางอยู่ในครอบครัว ก็มีพี่น้องสิบคนเช่นกัน รายชื่อล้วนถูกแจ้งไปที่จวนอำเภอแล้ว ทว่าต่อให้ถูกส่งตัวไปแล้ว ท้ายที่สุดก็ถูกส่งตัวคืนมาอยู่ดีหากมิใช่ตอนนั้นเห็นว่าเฉินฝานกำลังรับกองกำลังหญิงพอดี ตอนนี้นางก็คงจะเป็นวิญญาณสาวเร่ร่อนตนหนึ่งในอำเภอผิงอันไปเรียบร้อยแล้ว“เช่นนั้นพ่อแม่เหล่าหลานสาวของท่านล่ะ? พวกเขามิสนใจพวกนางเลยหรือ?”ถึงแม้จะยากลำบาก พ่อแม่ของเย่ว์หนู ก็ยังดูแลพวกนางอย่างดีที่สุด“เฮ้อ~”เมื่อได้ยินคำพูดของเย่ว์ห
“ตอบคำถามข้ามา!”“คำถามของเจ้างั้นรึ? คำถามอันใดกัน?”“อย่ามาแกล้งโง่!”“นี่ ๆ ข้ามิได้แกล้งเสียหน่อย!” ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นของเซียนเจี้ยนหวงทำเหมือนกับว่ามิมีความผิด “เมื่อครู่ข้าเผลอหลับไป ได้ยินมิชัดเจนจริง ๆ เจ้ากล่าวว่าตำหนักเซียวเหยารึ? ตำหนักเซียวเหยาคืออะไรกัน?”“จุดประสงค์ที่ตำหนักเซียวเหยายังคงอยู่คืออันใด เจ้าก็รู้แก่ใจดีมิใช่รึ หรือว่าเจ้าจะรอให้ผู้ชายจำนวนมากต้องถูกสังหารโดยที่เจ้ามิทำอันใดเลยงั้นรึ”“เพื่อนของซูซิวฉีเป็นเช่นนี้งั้นรึ?”เฉินฝานมองซียนเจี้ยนหวงอย่างมิละสายตา“ข้า ข้า...” ในท้ายที่สุดเสียงของเซียนเจี้ยนหวงก็ขาดหายไป “ข้าทำได้เพียงรับปากเจ้าว่าจะมิยอมให้คนของตำหนักเซียวเหยาสังหารชายผู้บริสุทธิ์ไม่เลือกหน้าอย่างเด็ดขาด”“เรื่องอื่นข้าก็มิรู้แล้ว เจ้ามิต้องถามข้าแล้ว” เซียนเจี้ยนหวงวิ่งหายไปในกลีบเมฆทันทีตอนที่เฉินฝานเดินออกจากหลุมศพของเมี่ยวอวี่แล้วเดินมาตรงถนน เห็น...“เย่ว์หนู ไฉนเจ้ายืนอยู่คนเดียว? รถม้าล่ะ?”เฉินฝานกล่าวถามเย่ว์หนูสีหน้าคับข้องใจยืนอยู่บนถนนโดยลำพังนิสัยของเย่ว์หนูค่อนข้างคล้ายคลึงกับผู้ชาย น้อยครั้งที่จะเป็นเช่นน
ความเย็นที่หัวไหล่ปลุกฉินเย่ว์เหมยที่กำลังเคลิบเคลิ้มให้ตื่นจากภวังค์“ชายมักมาก!”ฉินเย่ว์เหมยที่อับอายจนโมโหถีบเฉินฝานออกไปทันที“โอ๊ย ๆ ๆ!”เฉินฝานกุมท้องที่ถูกถีบจนเจ็บปวดกลิ้งตัวไปมา ครั้งนี้เป็นความเจ็บของจริงทว่าครั้งนี้ ฉินเย่ว์เหมยเพิกเฉยอย่างจริงจัง มิว่าเฉินฝานจะร้องอย่างไร นางก็จะมิเดินเข้าไปหาอีกนางพร่ำบอกตนเองเสมอนางเป็นจักรพรรดินีของต้าชิ่ง ๆชีวิตของนางถูกลิขิตให้อุทิศแก่ราชวงศ์ต้าชิ่ง นางจะอภิเษกสมรสมิได้“ตอนนี้ก็เป็นเวลาดึกดื่นแล้ว เจ้ายังมีเรื่องอันใดจะกราบทูลอีกหรือไม่? หากมิมีก็กลับไปเถอะ”ความเจ็บตรงท้องของเฉินฝานเพิ่งจะจางหายไป โสตประสาทก็ได้ยินเสียงอันเยือกเย็นของฉินเย่ว์เหมยเมื่อเงยหน้ามอง เห็นว่าฉินเย่ว์เหมยที่นั่งตรงข้ามกับเขาได้กลับสู่ท่าทางเย่อหยิ่งเยือกเย็นดังเดิมแล้วเฉินฝานยักไหล่หากต้องการพิชิตจักรพรรดินีท่านนี้ ดูแล้วหนทางด้านยังอีกยาวไกลสินะ“ข้ามิได้มีเรื่องอันใดเป็นพิเศษ เดิมทีก็แค่อยากเจอเจ้า”เฉินฝานจัดเสื้อผ้าตนเองเล็กน้อย เขาก็เตรียมตัวที่จะจากไปแล้วเช่นกันหลังจากที่กลับมาพบกับพวกฉินเย่ว์โหรวอีกครั้ง ก็อยู่ในสถานการณ์เสี่ย
“เจ้า...เจ้าผู้ชายมักมาก ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้!”ฉินเย่ว์เหมยที่สูญเสียการทรงตัวไถลเข้าไปในอ้อมอกของเฉินฝาน ใบหน้าขึ้นสี ใช้มือผลักเฉินฝานออกไป“มิปล่อย!”เฉินฝานกอดรัดแน่นกว่าเดิม“เจ้าตัวหอมนุ่มนิ่มเช่นนี้ ข้าจะตัดใจยอมปล่อยได้อย่างไรกัน”“เจ้า!” ฉินเย่ว์เหมยโกรธจนตัวสั่น “หน้าด้านไร้ยางอาย!”“ถูกต้อง!” เฉินฝานทำท่าทีหน้าด้านหน้าทน “ข้าก็เป็นเช่นนี้มาโดยตลอด ฝ่าบาทท่านเพิ่งมารู้ตัวตอนนี้งั้นหรือ?”“เจ้า...”ฉินเย่ว์เหมยยื่นมือออกไปคิดที่จะผลักเฉินฝานออกอีกครั้ง“ห้ามขยับตัว!” เฉินฝานจับมือสองข้างของฉินเย่ว์เหมยไว้ “เจ้าให้ข้านอนพักสักครู่ได้หรือไม่?”ระหว่างที่พูด เฉินฝานก็ปล่อยมือของฉินเย่ว์เหมย หยิบหมอนมาไว้บนตักของนางสองสามเดือนที่ผ่านมานี้ หากเขามิได้อยู่ในเส้นทางการสู้รบกำจัดกบฏ ก็เผชิญความยากลำบากที่คาบเกี่ยวกับความตายห้องของฉินเย่ว์เหมยอบอุ่น เรือนร่างของฉินเย่ว์เหมยกลิ่นช่างหอมหวนยิ่งนัก ทำให้เฉินฝานได้สัมผัสกับความอบอุ่นและความปลอดภัยที่มิเคยรู้สึกมาก่อน“อยากนอน เจ้าไยมิกลับห้องตนเอง...”ฉินเย่ว์เหมยหยุดพูดทันที เพราะนางเห็นว่าเฉินฝานที่นอนหนุนตักของนางได้หลับไ
ยามค่ำคืนสำนักบัณฑิตเมืองเซียนตูตอนนี้เป็นที่พำนักของฉินเย่ว์เหมยชั่วคราวณ เรือนหลักลานกลางฉินเย่ว์เหมยสวมชุดบรรทมสีเหลือง ก้มหน้าก้มตาอ่านสาสน์กราบทูล“นี่โกรธข้าอยู่งั้นหรือ มิใช่ว่าข้ามิอยากพบเจ้าในทันทีเสียหน่อย กองกำลังทหารหลวงของหลี่ชิ่งปิดล้อมจวนเจ้าเมืองอย่างแน่นหนา เข้าได้ไปยากยิ่งนัก!”เฉินฝานพูดอธิบายกับฉินเย่ว์เหมย ฉินเย่ว์เหมยกลับเพิกเฉยมิได้สนใจเขาแม้แต่น้อยเฉินฝานเดินไปทางซ้าย นางก็จะหันหน้าไปทางขวาเฉินฝานเดินไปทางขวา นางก็จะหันหน้าไปทางซ้ายอย่างไรเสียมิว่าเฉินฝานจะพยายามเพียงใด นางก็จะมิสบตากับเฉินฝานหมดหนทางแล้วจริง ๆ เฉินฝานจึงแย่งสาสน์กราบทูลในมือฉินเย่ว์เหมยมา จากนั้นมิพูดมิจาดึงฉินเย่ว์เหมยเข้ามาในอ้อมอกทันที“เจ้า เจ้าผู้ชายมักมาก!”ฉินเย่ว์เหมยมีวรยุทธ์ต่อสู้ติดตัว และฝีมือยอดเยี่ยมอีกด้วยตบสองสามทีก็สามารถทำให้เฉินฝานลงไปนอนกับพื้นได้“โอ๊ย ๆ ๆ เจ็บเหลือเกิน เจ็บจะตายแล้ว!”เฉินฝานกุมท้องตนเอง กลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้น“เจ้าอย่ามาแสร้ง...”ราวกับเฉินฝานมิได้ยินคำพูดของฉินเย่ว์เหมย ยังคงกุมท้องกลิ้งไปกลิ้งมา สีหน้าแสดงถึงความเจ็บปวดสุดขีด“เจ
“เฉินฝาน ถึงแม้ตอนเจ้าจะเป็นอัครเสนาบดีขั้นหนึ่งระดับสูง ทว่าก็มิสามารถสังหารเลขาธิการขั้นสองระดับสูงอย่างไร้เหตุผลเช่นนี้ได้!”เสิ่นหมิงหยวนที่พอจะสงบสติอารมณ์ได้แล้ว เริ่มประณามเฉินฝาน“ถูกต้อง ในฐานะที่หยางอวิ๋นหู่เป็นเลขาธิการกรมโยธาธิการขั้นสอง ต่อให้จะทำความผิด ก่อนที่จะสังหารก็ต้องฝ่าบาทออกคำสั่งก่อนจึงจะสังหารได้ อัครเสนาบดีเบื้องซ้ายทำเกินไปแล้ว”“เพิ่งจะได้รับตำแหน่งอัครเสนาบดีเบื้องซ้าย ก็กำเริบเสิบสานแล้วหรือ? คิดว่าสามารถสังหารขุนนางที่ยศน้อยกว่าเขาได้ ตามอำเภอใจงั้นหรือ?”“คนที่โหดเหี้ยม และมิให้เกียรติฝ่าบาทเช่นนี้ จะสามารถเป็นอัครเสนาบดีเบื้องซ้ายเยี่ยงไร?”มีขุนนางจำนวนมากที่เดือดดาลกับการกระทำของเฉินฝานแน่นอนว่าเหล่าคนที่เดือดดาลเหล่านั้น ส่วนใหญ่ล้วนเป็นพรรคพวกของเสิ่นหมิงหยวน“ฝ่าบาท!” เสิ่นหยวนเลี่ยงรีบเดินออกมาจากด้านหลังเสิ่นหมิงหยวนทันที “ท่านอัครเสนาบดีเบื้องซ้าย...”“ชิ้ง!”เฉินฝานตวัดกระบี่ในมือชี้ไปที่เสิ่นหยวนเลี่ยงทันที “ถ้าเจ้ายังพูดพล่ามอีก อย่าหาว่ากระบี่ในมือข้าไร้ความปรานี”น้ำเสียงเฉินฝานดุดันราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ท่าทางโหดเหี้ยมอย่างมา
“ฝ่าบาท”เฉินฝานพุ่งตัวขึ้นไป ส่ายหน้าให้กับฉินเย่ว์เหมยหลี่ชิ่งยังมีทหารหลวงประจำการอยู่ด้านนอกเมืองเซียนตูห้าหมื่นกว่าคน สามารถเคลื่อนทัพตามคำสั่งของเสิ่นหมิงหยวนได้ทุกเมื่ออำนาจของเสิ่นหมิงหยวนเป็นปึกแผ่นอย่างมาก ตอนนี้หากอยากจะโค่นล้มเสิ่นหมิงหยวนในคราเดียว ต้องบีบบังคับให้เสิ่นหมิงหยวนจนตรอกให้ได้สถานการณ์ตอนนี้ ควรปล่อยตามน้ำไปก่อนน้ำเสียงของฉินเย่ว์เหมยผ่อนคลายลงแล้ว “ทหารหลวงรวมพลมากมายอยู่ที่แห่งนี้ ข้าคิดว่าใต้เท้าเสิ่นจะก่อกบฏเสียอีก?”เสิ่นหมิงหยวนเลิกคิ้วขึ้นทันที เขารู้ว่าฉินเย่ว์เหมยยอมอ่อนข้อแล้วเหมือนกับที่เฉินฝานคาดการณ์ เสิ่นหมิงหยวนได้เตรียมการโต้กลับไว้เรียบร้อยแล้ว ขอเพียงฉินเย่ว์เหมยออกคำสั่งโจมตีเขา เขาก็จะสั่งให้กองกำลังทหารหลวงห้าหมื่นคนของหลี่ชิ่งปิดล้อมเมืองทันทีเสิ่นหมิงหยวนรีบกล่าวอย่างลนลาน “ฝ่าบาทคิดจะทำให้ข้าน้อยตกใจตายหรือกระไร ข้าน้อยเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นคนหนึ่ง ไฉนจะคิดก่อกบฏได้”คำพูดนี้เสิ่นหมิงหยวน มิเพียงแสดงความจงรักภักดีเท่านั้น และยังเป็นการพูดจาเหน็บแนมเฉินฝานอีกด้วยอำนาจในการนำทัพกองกำลังลาดตระเวนยังคงอยู่ในมือของเฉินฝาน ถึงแม้
ตอนที่ห่างจากเฉินฝานอย่างน้อยสิบเมตร ฉินเย่ว์เหมยก็ลงจากเกี้ยวเดินลงมาสาวเท้ามาหาเฉินฝานอย่างเร่งรีบตอนที่ห่างจากเฉินฝานประมาณสามสี่เมตร ฉินเย่ว์เหมยกลับหยุดฝีเท้าของตนเองไว้หิมะค่อยๆโปรยปรายลงมาตอนที่ห่างกันประมาณสองสามเมตร ฉินเย่ว์เหมยและเฉินฝานยืนมองหน้ากันและกันห่างกันไปเพียงเวลาสั้นๆมิกี่เดือน ทว่ารู้สึกห่างจากเฉินฝานไปสองภพชาติจึงได้กลับมาพบกันอีกครั้งน้ำตาคลอเบ้า จวนจะเอ่อล้นไหลออกมาแต่ท้ายที่สุดก็ต้องฝืนกล้ำกลืนน้ำตากลับไปแต่ไรมานางมิเคยลืมนางเป็นจักรพรรดินี เขาเป็นขุนนางนางต้องเก็บอาการไว้!“เขาคือใต้เท้าเฉินจริงๆ”“ใต้เท้าเฉินฝานยังมีชีวิตอยู่!”ท่ามกลางเหล่าขุนนาง มีคนตะโกนลั่นด้วยความดีใจคนผู้นี้คือเลขาธิการกรมยุติธรรมไป่เผยหราน“ใต้เท้าเฉินคืนชีพจากความตาย ช่างเป็นโชคดีของพวกเราต้าชิ่งเสียจริง!”เหล่าขุนนางที่ปกติมิฝักใฝ่เป็นพวกของเสิ่นหมิงหยวนพากันซาบซึ้งใจ“เฉินฝาน!”เสียงตื่นเต้นดีใจครั้งนี้ดังกว่าเสียงดีใจก่อนหน้านี้เสียอีก“ไอ้หยา!”ร่างเงาหนึ่งพุ่งผ่านเหล่าขุนนาง ข้ามผ่านฉินเย่ว์เหมยไป เดินตรงไปหาเฉินฝานทันที“เป็นเจ้าจริงๆด้วย ช่างดีเ
ตวนซินอ๋องมิอยากเชื่อสายตาของตนเอง เขายกกำปั้นไปด้านหน้าเฉินฝานทันที หลังนั้นก็ชูสามนิ้วออกไปชูสามนิ้วแล้วตะโกนพูดขึ้นหนึ่งประโยค“หนึ่งกฎเกณฑ์ สองสตรี สามเงินเหวิน!”เมื่อตะโกนจบก็จ้องไปที่เฉินฝาน สื่อความหมายว่าถึงตาเจ้าแล้วเฉินฝานรู้สึกหมดคำพูดอีกครั้ง ถูกพลทหารหนึ่งพันปิดล้อมมิสำคัญ จวนจะถูกตัดหัวประหารก็มิสำคัญเช่นกันสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ...เฉินฝานก็ยกกำปั้นขึ้นมาชูนิ้วยื่นไปด้านหน้าตวนซินอ๋องเช่นกัน“สี่ฤดูกาล ห้าปรมาจารย์ หกที่นั่ง!”ทหารหลวงที่ปิดล้อมเฉินฝานและตวนซินอ๋องไว้มึนงงในบัดดลแม้กระทั่งหลี่ชิ่งที่เป็นหัวหน้าของพวกเขายังกวาดสายตามองไปรอบข้าง เขากำลังสงสัยว่านี้เป็นสัญญาณลับระหว่างเฉินฝานและตวนซินอ๋องหรือไม่“ถูกต้องทั้งหมด ๆ!”ตวนซินอ๋องดีใจออกนอกหน้าเดินไปกอดเฉินฝาน “เจ้าพูดรหัสลับของการเล่นทายตัวเลขถูกทั้งหมด เจ้าเป็นลูกเขยที่แสนดีของข้าจริงๆด้วย เจ้ายังมีชีวิตดังคาดสินะ”กำปั้นแห่งความปีติของตวนซินอ๋อง ทุบไปหลังเฉินฝานครั้งแล้วครั้งเล่าเฉินฝานรู้สึกวิงเวียนศีรษะ เขาจวนจะถูกพ่อตาของตนเองตบหลังจนแทบจะกระอักเลือดออกมาแล้ว“ชาวบ้านใจกล้า ก่อความวุ่