“พี่หลี่ ข้าจะกลับหมู่บ้านแล้ว ไม่ดื่มแล้ว!” เฉินฝานเข้าใจว่าหลี่ซานจะชวนเขาไปดื่มสุรา“ไม่ดื่มๆ ข้าพาเจ้าไปดูเรือนหลังใหม่ของเจ้า”“เรือนหลังใหม่ของข้า? พี่หลี่เราตกลงกันแล้ว ข้าไม่รับของจากท่านแล้ว”เฉินฝานเป็นคนทำอะไรเองตั้งแต่เด็ก สิ่งที่หามาด้วยตนเอง อุ่นใจที่สุด“เรือนหลังนั้นเป็นของเจ้าอยู่แล้ว เจ้าไม่อยู่ ทิ้งร้างเสียเปล่าไม่ใช่หรือ?”“น้องเย่ว์เจียว เย่ว์โหรว เสี่ยวฉู่ ไปกันเถอะ พวกเราไปดูเรือนหลังใหม่กัน”บรรดาภรรยาของหลี่ซาน พาพี่น้องตระกูลฉินไปเช่นเดียวกัน...นี่เป็นเรือนสามประสานขนาดใหญ่ ติดกับเรือนของหลี่ซานภายในเรือน มีระเบียงยาว ศาลา สวนหินและศาลาริมน้ำ ทุกอย่างครบครัน คล้ายคลึงกับบ้านหรูสมัยโบราณที่เฉินฝานเห็นผ่านโทรทัศน์ในยุคปัจจุบันบ้านหลังใหญ่ เรือนหรูหรางดงาม ดีทุกอย่าง แต่ไร้ชีวิตชีวาเฉินฝานกวาดตามอง แล้วค่อยถอนสายตากลับมา “คล้ายไม่มีคนอยู่ที่นี่มานานแล้ว”“ไม่มีคนอยู่มานานแล้ว นี่เป็นเรือนที่ท่านลุงของข้าปลูก ตั้งใจเก็บไว้ให้ลูกหลานของตนเอง ทว่าคิดไม่ถึง กระทั่งท่านลุงเสียชีวิตเขาก็ไม่มีบุตรชาย หลังจากพี่สาวทั้งสองคนซึ่งเป็นลูกสาวของท่านลุงออกเรือ
“เลิกด่าได้แล้ว ข้าอยู่ก็ได้...”“ถ้าอย่างนั้นตกลงตามนี้! ปฏิทินโหราศาสตร์เขียนไว้ว่าวันนี้เป็นวันมงคลเหมาะแก่การย้ายบ้าน เลือกวันสู้วันที่เหมาะสมไม่ได้ ข้าให้คนไปช่วยเจ้าขนของตอนนี้เลย!”เฉินฝานยังพูดไม่จบ หลี่ซานก็พูดร่ายยาว กลัวเฉินฝานเปลี่ยนใจขณะพูด เขาเดินกลับไปตามบ่าวรับใช้ที่เรือนของตนเองเรือนของหลี่ซานอยู่ติดกับเรือนหลังนี้ เวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูป หลี่ซานพาบ่าวรับใช้ของเขา ขนของทั้งหมดของเฉินฝานจากเรือนหลังนี้มาที่นี่มองของวางเรียงรายบนพื้น รวมถึงภาพของหลี่ซานเดินวุ่นไปมา ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เฉินฝานรู้สึกคล้ายตนถูกโกง“หลี่ซาน!” เฉินฝานร้องเรียกชื่อเต็มของหลี่ซาน“ว่า!”หลี่ซานสะดุ้ง ตั้งแต่รู้จักกับเฉินฝาน นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินฝานเรียกเขาแบบนี้“ท่านทั้งยกเรือนหลังใหญ่ให้ข้า ทั้งช่วยขนของย้ายบ้าน กระตือรือร้นทำดีทั้งที่ไม่เรื่องอะไร ท่านไม่มีจุดประสงค์อะไรจริงๆ ใช่ไหม?”“ข้าพบว่าเจ้าไม่ใช่คนธรรมดา ไม่ช้าก็เร็วเจ้าต้องเป็นผู้มีอำนาจ อาศัยเวลานี้ที่เจ้ายังไม่ยิ่งใหญ่ รีบกอดขาเจ้าไว้” ถ้อยคำนี้ของหลี่ซานล้อเล่นครึ่งหนึ่ง พูดจริงครึ่งหนึ่งเฉินฝานเป็นคนมอบชีวิตใหม่ใ
“ใช่แล้ว!” หลี่ซานย่อตัวลง พูดด้วยรอยยิ้ม “เสี่ยวฉู่ ตอนนี้นายท่านของเจ้าเป็นผู้มีอำนาจมากๆ เป็นผู้มีอำนาจแล้ว ข้างกายย่อมต้องมีบ่าวรับใช้ มิเช่นนั้นจะถูกหัวเราะเยาะเอาได้”“เจ้าค่ะ พี่หลี่พูดถูก ไม่อาจให้ผู้อื่นหัวเราะเยาะนายท่านของข้าได้!”“ดูสิ!” หลี่ซานหันไปมองเฉินฝานแล้วพูด “เสี่ยวฉู่ยังรู้หลักการข้อนี้”“แต่ว่า...” ฉินเย่ว์ฉู่เอียงหน้าเล็กน้อย หันไปมองเฉินฝาน “ข้ามองแล้วไม่เหมือนผู้มีอำนาจเลยเจ้าค่ะ ยังเหมือนสมัยอยู่ในหมู่บ้าน”“ถูกต้อง!” เฉินฝานอุ้มฉินเย่ว์ฉู่ขึ้นมา “เจ้าอย่าฟังพี่หลี่พูดจาเหลวไหล ข้ายังเหมือนเมื่อก่อน เป็นนายท่านของพวกเจ้า นับจากนี้พวกเราสี่คนร่วมมือกัน ทำให้ชีวิตของพวกเราดีขึ้น”หลี่ซานยังอยากพูดอีก แต่เฉินฝานใช้สายตาบอกกับเขาให้หยุดพูดฉินเย่ว์ฉู่ยังเด็ก เขาอยากให้นางเติบโตอย่างเข้มแข็งเหมือนเมื่อก่อน“นายท่าน ข้าสิบขวบแล้ว ท่านอย่าเอาแต่อุ้มข้าแบบนี้สิเจ้าคะ”เฉินฝานอุ้มนางต่อหน้าผู้คนมากมาย ทำให้เด็กน้อยรู้สึกอายเล็กน้อย พวงแก้มแดงระเรื่อ“หื้ม?” เฉินฝานหยิกแก้มของฉินเย่ว์ฉู่ “อายเหรอ? เจ้าบอกว่าชอบเวลาข้าอุ้มที่สุดไม่ใช่หรือ? ยามไม่อุ้มเจ้ายังร้อง
หลี่ซานโบกมือให้พวกสาวใช้ “ไปหาฮูหยินของพวกเจ้า พาพวกนางคุ้นเคยกับเรือนหลังนี้”“เจ้าค่ะ!”พวกสาวใช้ลุกขึ้น ย่อตัวลงหันหน้าเข้าหาเฉินฝานแล้วถอยออกไปมารยาทของสมัยโบราณ ยามบ่าวรับใช้ออกไป ไม่อาจหันหลังให้นายผู้ฝ่าฝืน นายมีสิทธิ์สังหาร“เจ้าวางใจเถอะ ทั้งหมดนี้เป็นทาสในเรือน ล้วนเชื่อใจได้” กลัวเฉินฝานไม่วางใจ หลี่ซานจึงพูดเสริมเฉินฝานใช้เวลาครู่หนึ่ง เพิ่งนึกออกว่าทาสในเรือนหมายความว่าอะไร ทาสในเรือนคือ ลูกที่เกิดจากสาวใช้และบ่าวรับใช้ในเรือน ซึ่งได้รับอนุญาตจากนาย บ่าวรับใช้ประเภทนี้ แตกต่างจากบ่าวรับใช้ที่ซื้อ พวกเขาเป็นบ่าวตั้งแต่กำเนิด จึงมีความจงรักภักดีค่อนข้างสูงตอนหญิงสาวมากมายอายุไล่เลี่ยกับตน ร้องเรียกตนว่าฮูหยิน พี่น้องตระกูลฉินตะลึงงันปีแรกที่เพิ่งแต่งงานกับเฉินฝาน พวกนางรู้สึกว่าชีวิตนี้จบเห่แล้วหลังจากเฉินฝานตกหน้าผา ชีวิตของพวกนางเริ่มมีความหวัง เฉินฝานหาเงินเข้าบ้านทีละเล็กทีละน้อย กระทั่งในตอนหลังเขาซ่อมบำรุง ซื้อรถม้า ไม่ต้องกังวลปากท้องและเครื่องนุ่งห่มอีกพวกนางรู้สึกว่าตนมีความสุขมากแล้ว คิดไม่ถึงว่าเฉินฝานจะสอบคัดเลือกขุนนางได้อันดับหนึ่ง ยิ่งคิดไม
หลังจากพวกเหออี้หมินจากไป หลี่ซานประสานมือเข้าด้วยกัน หันหน้าขึ้นฟ้า “หวังว่าจะไม่ใช่ข่าวชายแดนสถานการณ์ตึงเครียด หวังว่าจะไม่ต้องเกณฑ์ทหารมากขึ้น!”ตระกูลหลี่ร่ำรวยที่สุดในอำเภอผิงอัน มีเงินทองสามารถทำได้ทุกอย่าง ในอำเภอผิงอัน เต็มไปด้วยคนของตระกูลหลี่หลังจากรับประทานอาหารค่ำ หลี่ซานก็ทราบข่าวสถานการณ์ชายแดนไม่ได้ตึงเครียด ไม่ต้องเกณฑ์ทหารเพิ่มขึ้น แต่ว่า...“เสี่ยวฝาน ใต้เท้าหลูจะไปปราบโจรอีกแล้ว”“ปราบโจรหรือขอรับ? เป็นเรื่องดี เหตุใดพี่หลี่จึงกังวลเช่นนี้?”“เสี่ยวฝาน ท่านใต้เท้าจะไปปราบโจรบนภูเขาวิฬาร์”“ภูเขาวิฬาร์?” ภาพใบหน้าขาวสะอาดสง่าผ่าเผยฉายขึ้นในความคิดของเฉินฝาน“ใช่แล้ว โจรบนภูเขาวิฬาร์ โจรพวกนั้นส่วนมากหนีมาจากกองทัพ ต่อสู้เก่งทั้งยังจิตใจเหี้ยมโหด เจ้าหน้าที่ว่าการและมือปราบในอำเภอจะเป็นคู่ต่อสู้ของพวกเขาได้อย่างไร เฮ้อ!”หลี่ซานถอนหายใจเฮือกใหญ่ นั่งส่ายหน้าด้วยความเศร้า “ชาวอำเภอผิงอันจะเคราะห์ร้ายแล้ว”“พี่หลี่ ความหมายของพี่คือ หากใต้เท้าจับโจรล้มเหลว โจรภูเขาวิฬาร์จะแก้แค้นชาวอำเภอผิงอันหรือขอรับ”“คุยกับคนฉลาด สบายแบบนี้แหละ!” สีหน้าเปี่ยมไปด้วยความก
“เสี่ยวฝาน ความหมายของเจ้าคือเจี่ยงหงเหวินจ้างโจรภูเขาวิฬาร์สังหารเจ้า?”“ถูกต้อง!”“แป๊ะ!” หลี่ซานปรบมืออย่างแรง พูดด้วยความสะใจ “เยี่ยม เยี่ยมจริงๆ แม้หลับฝันเจี่ยงหงเหวินคงคิดไม่ถึงว่า สุดท้ายคนที่ถูกธนูยิงตายจะเป็นตัวเขาเอง”“เฮ้อ ไม่สิ!” จู่ๆ หลี่ซานก็ฉงนยิ่งนัก เขาเอียงหน้าถามเฉินฝาน “แล้วเรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับที่ท่านเจ้าเมืองสั่งให้ใต้เท้าหลูปราบโจรเล่า?”“เรื่องนี้ ใต้เท้าหลูน่าจะรู้ดีกว่าข้า” เฉินฝานประสานนิ้ว แล้วกดเบาๆ“กร๊อบแกร๊บ!” เสียงกระดูกข้อนิ้วมือดังก้องหลี่ซานทอดสายตามองมือของเฉินฝาน แววตาของเขาเคล้าไปด้วยความตกใจ แต่ที่มากกว่านั้นคือหวาดกลัวท่าทีนี้ หากเป็นชาวนาหรือนายพราน เป็นเรื่องปกติแต่หากเป็นเฉินฝาน ผิดปกติยิ่งนักปัญญาชนทั่วไป เป็นไปไม่ได้ที่กระดูกข้อนิ้วมือจะแข็งเช่นนี้เฉินฝานมีความลับมากมายเพียงใดกันแน่?“พี่หลี่”เฉินฝานร้องเรียกหลี่ซานถึงสามครั้ง กว่าหลี่ซานจะดึงสติกลับมา“เสี่ยวฝาน เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”“เสี่ยวฝาน เป็นอะไร?”“คำถามนี้ข้าน่าจะเป็นคนถามท่าน ท่านเอาแต่จ้องข้า มีอะไรติดหน้าข้าหรือ?”“อ่อๆ!” หลี่ซานรีบส่ายหน้า “ใบหน้าเจ้าไม่
“หลี่ซาน!” หลูเฉิงกวงพูดแทรกหลี่ซานหลูเฉิงกวงกวาดสายตามองไปรอบๆ ตอนถอนสายตากลับ เขาพูดเสียงเบา “ท่านเจ้าเมืองคือคนที่เจ้าพูดจาหยามเกียรติได้หรือ?”หลี่ซานรีบเงียบและก้มหน้าลงทันทีเมื่อครู่เขาบุ่มบ่ามเกินไปจริงๆ หากที่นี่มีคนของลวี่เหลียงเจ๋อ ลวี่เหลียงเจ๋อนำไปรายงานท่านเจ้าเมือง เช่นนั้นชีวิตของเขาก็จบเห่แล้ว“พวกเจ้ากลับไปก่อนเถอะ!”หลูเฉิงกวงไล่คนกลุ่มใหญ่ออกไป ในศาลาว่าการเหลือเพียงจางเจิ้งห้าว เหออี้หมิน รวมถึงเฉินฝานและหลี่ซานเท่านั้น เหตุผลในการให้เฉินฝานและหลี่ซานอยู่ต่อเพราะการปราบโจรในครั้งนี้ทั้งสองจะเป็นคนสนับสนุนด้านค่าใช้จ่ายในห้องโถงเหลือเพียงพวกเขา หลี่ซานพูดอีกครั้ง “ใต้เท้า เมื่อวานลำพังผู้ชมก็นับหมื่นคนแล้ว คนมากมายเห็นแล้ว ลูกดอกเหล่านั้นหมายจะพุ่งไปสังหารเฉินฝาน เห็นชัดว่าพวกเจี่ยหงเหวินเป็นคนจ้างพวกโจรภูเขา พวกเราให้ชาวบ้านเหล่านั้นเป็นพยานต่อหน้าท่านเจ้าเมืองได้”หลูเฉิงกวงถลึงตามองค้อน “สิ่งที่เจ้าพูดข้าไม่รู้เช่นนั้นหรือ?”“เช่นนั้นใต้เท้า...”“พี่หลี่ พี่พูดน้อยลงหน่อยเถอะขอรับ”เฉินฝานดึงตัวหลี่ซานหรงตูมีสิบอำเภอ อำเภอตูอันร่ำรวยที่สุด ภาษีส่วน
“กรึกๆๆ”“วี๊ดวือๆๆ”เฉินฝานและหลี่ซานออกมาจากศาลาว่าการ พบว่าบนท้องถนนเต็มไปด้วยรถม้าเวลานี้ยามซูแล้ว ปกติเวลานี้ บนท้องถนนไม่มีผู้คน“เกิดเรื่องอะไรขึ้น? เหตุใดจู่ๆ จึงมีรถม้าเข้าเมืองมากมายเช่นนี้? พ่อบ้านมั่ว เจ้ารู้หรือไม่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”“ไม่รู้ขอรับ แปลกจริงๆ ข้าอยู่ที่นี่มานานกว่าห้าสิบปีแล้ว ไม่เคยพบเจอสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน”บรรดาพ่อบ้านและสารถทีที่รอพวกเฉินฝานด้านนอกศาลาว่าการก็กำลังเสวนาเรื่องนี้เฉินฝานและหลี่ซานสบตากันครู่หนึ่ง หากเดาไม่ผิด คนพวกนี้ทราบเรื่องปราบโจรแล้ว“เจ้าหน้าที่ ท่านปล่อยพวกเราเข้าไปเถอะขอรับ”“ได้โปรด ให้พวกเราเข้าไปเถอะ!”ตอนพวกเฉินฝานผ่านประตูเมือง ด้านนอกมีชาวบ้านมากมายกำลังอ้อนวอนขอเข้า อีกทั้งชาวบ้านเหล่านั้นยังเต็มไปด้วยสัมภาระ เห็นชัดว่าจะย้ายเข้ามาอยู่“ไม่ได้ ยามซูแล้ว หากไม่มีตราคำสั่งไม่อาจเข้ามาได้”“ปิดประตูเมือง!”ภายใต้คำสั่งของหัวหน้าเฝ้าประตูเมือง ประตูเมืองปิดลง ปล่อยให้ชาวบ้านที่กำลังอ้อนวอนเหล่านั้นอยู่ด้านนอก“เสี่ยวฝาน อย่ามองเลย ปิดประตูเมืองตอนยามซู เป็นกฎระเบียบ พรุ่งนี้รุ่งสางเมื่อถึงยามเหม่าประตูเมืองเ
เฉินฝานที่พักสายตาโดยตลอดลืมตาขึ้น “ครอบครัวผู้เฒ่ามีหลานสาวสิบคนที่ยังมิได้ออกเรือนงั้นหรือ?”“เฮ้อ หากจะกล่าวให้ถูกต้องคือมีทั้งหมดสิบห้าคน มีห้าคนที่คิดว่าตนเองอายุมากแล้ว กลายเป็นภาระของคนในบ้านจึงตัดสินใจฆ่าตัวตาย”เสียงของผู้เฒ่าตาบอดตะกุกตะกักเป็นอย่างมาก “ปีที่แล้วผูกคอตาย เดือนที่แล้ว ก็มีอีกสองคนที่จวนจะ...โชคดีที่ยายเฒ่าไปเจอเสียก่อน มิเช่นนั้นก็คง...”ผู้เฒ่าตาบอดพูดมิออกแล้ว มีเพียงดวงตาที่ขาวโพลนมิมีตาดำพรั่งพรูน้ำตาอุ่นๆออกมามิหยุดอากาศหนาวจนถึงจุดเยือกแข็ง มินานนักน้ำตาก็แข็งตัวเป็นน้ำแข็งคำพูดของผู้เฒ่าตาบอดแทงใจดำของเย่ว์หนูในตอนแรกที่นางอยู่ในครอบครัว ก็มีพี่น้องสิบคนเช่นกัน รายชื่อล้วนถูกแจ้งไปที่จวนอำเภอแล้ว ทว่าต่อให้ถูกส่งตัวไปแล้ว ท้ายที่สุดก็ถูกส่งตัวคืนมาอยู่ดีหากมิใช่ตอนนั้นเห็นว่าเฉินฝานกำลังรับกองกำลังหญิงพอดี ตอนนี้นางก็คงจะเป็นวิญญาณสาวเร่ร่อนตนหนึ่งในอำเภอผิงอันไปเรียบร้อยแล้ว“เช่นนั้นพ่อแม่เหล่าหลานสาวของท่านล่ะ? พวกเขามิสนใจพวกนางเลยหรือ?”ถึงแม้จะยากลำบาก พ่อแม่ของเย่ว์หนู ก็ยังดูแลพวกนางอย่างดีที่สุด“เฮ้อ~”เมื่อได้ยินคำพูดของเย่ว์ห
“ตอบคำถามข้ามา!”“คำถามของเจ้างั้นรึ? คำถามอันใดกัน?”“อย่ามาแกล้งโง่!”“นี่ ๆ ข้ามิได้แกล้งเสียหน่อย!” ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นของเซียนเจี้ยนหวงทำเหมือนกับว่ามิมีความผิด “เมื่อครู่ข้าเผลอหลับไป ได้ยินมิชัดเจนจริง ๆ เจ้ากล่าวว่าตำหนักเซียวเหยารึ? ตำหนักเซียวเหยาคืออะไรกัน?”“จุดประสงค์ที่ตำหนักเซียวเหยายังคงอยู่คืออันใด เจ้าก็รู้แก่ใจดีมิใช่รึ หรือว่าเจ้าจะรอให้ผู้ชายจำนวนมากต้องถูกสังหารโดยที่เจ้ามิทำอันใดเลยงั้นรึ”“เพื่อนของซูซิวฉีเป็นเช่นนี้งั้นรึ?”เฉินฝานมองซียนเจี้ยนหวงอย่างมิละสายตา“ข้า ข้า...” ในท้ายที่สุดเสียงของเซียนเจี้ยนหวงก็ขาดหายไป “ข้าทำได้เพียงรับปากเจ้าว่าจะมิยอมให้คนของตำหนักเซียวเหยาสังหารชายผู้บริสุทธิ์ไม่เลือกหน้าอย่างเด็ดขาด”“เรื่องอื่นข้าก็มิรู้แล้ว เจ้ามิต้องถามข้าแล้ว” เซียนเจี้ยนหวงวิ่งหายไปในกลีบเมฆทันทีตอนที่เฉินฝานเดินออกจากหลุมศพของเมี่ยวอวี่แล้วเดินมาตรงถนน เห็น...“เย่ว์หนู ไฉนเจ้ายืนอยู่คนเดียว? รถม้าล่ะ?”เฉินฝานกล่าวถามเย่ว์หนูสีหน้าคับข้องใจยืนอยู่บนถนนโดยลำพังนิสัยของเย่ว์หนูค่อนข้างคล้ายคลึงกับผู้ชาย น้อยครั้งที่จะเป็นเช่นน
ความเย็นที่หัวไหล่ปลุกฉินเย่ว์เหมยที่กำลังเคลิบเคลิ้มให้ตื่นจากภวังค์“ชายมักมาก!”ฉินเย่ว์เหมยที่อับอายจนโมโหถีบเฉินฝานออกไปทันที“โอ๊ย ๆ ๆ!”เฉินฝานกุมท้องที่ถูกถีบจนเจ็บปวดกลิ้งตัวไปมา ครั้งนี้เป็นความเจ็บของจริงทว่าครั้งนี้ ฉินเย่ว์เหมยเพิกเฉยอย่างจริงจัง มิว่าเฉินฝานจะร้องอย่างไร นางก็จะมิเดินเข้าไปหาอีกนางพร่ำบอกตนเองเสมอนางเป็นจักรพรรดินีของต้าชิ่ง ๆชีวิตของนางถูกลิขิตให้อุทิศแก่ราชวงศ์ต้าชิ่ง นางจะอภิเษกสมรสมิได้“ตอนนี้ก็เป็นเวลาดึกดื่นแล้ว เจ้ายังมีเรื่องอันใดจะกราบทูลอีกหรือไม่? หากมิมีก็กลับไปเถอะ”ความเจ็บตรงท้องของเฉินฝานเพิ่งจะจางหายไป โสตประสาทก็ได้ยินเสียงอันเยือกเย็นของฉินเย่ว์เหมยเมื่อเงยหน้ามอง เห็นว่าฉินเย่ว์เหมยที่นั่งตรงข้ามกับเขาได้กลับสู่ท่าทางเย่อหยิ่งเยือกเย็นดังเดิมแล้วเฉินฝานยักไหล่หากต้องการพิชิตจักรพรรดินีท่านนี้ ดูแล้วหนทางด้านยังอีกยาวไกลสินะ“ข้ามิได้มีเรื่องอันใดเป็นพิเศษ เดิมทีก็แค่อยากเจอเจ้า”เฉินฝานจัดเสื้อผ้าตนเองเล็กน้อย เขาก็เตรียมตัวที่จะจากไปแล้วเช่นกันหลังจากที่กลับมาพบกับพวกฉินเย่ว์โหรวอีกครั้ง ก็อยู่ในสถานการณ์เสี่ย
“เจ้า...เจ้าผู้ชายมักมาก ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้!”ฉินเย่ว์เหมยที่สูญเสียการทรงตัวไถลเข้าไปในอ้อมอกของเฉินฝาน ใบหน้าขึ้นสี ใช้มือผลักเฉินฝานออกไป“มิปล่อย!”เฉินฝานกอดรัดแน่นกว่าเดิม“เจ้าตัวหอมนุ่มนิ่มเช่นนี้ ข้าจะตัดใจยอมปล่อยได้อย่างไรกัน”“เจ้า!” ฉินเย่ว์เหมยโกรธจนตัวสั่น “หน้าด้านไร้ยางอาย!”“ถูกต้อง!” เฉินฝานทำท่าทีหน้าด้านหน้าทน “ข้าก็เป็นเช่นนี้มาโดยตลอด ฝ่าบาทท่านเพิ่งมารู้ตัวตอนนี้งั้นหรือ?”“เจ้า...”ฉินเย่ว์เหมยยื่นมือออกไปคิดที่จะผลักเฉินฝานออกอีกครั้ง“ห้ามขยับตัว!” เฉินฝานจับมือสองข้างของฉินเย่ว์เหมยไว้ “เจ้าให้ข้านอนพักสักครู่ได้หรือไม่?”ระหว่างที่พูด เฉินฝานก็ปล่อยมือของฉินเย่ว์เหมย หยิบหมอนมาไว้บนตักของนางสองสามเดือนที่ผ่านมานี้ หากเขามิได้อยู่ในเส้นทางการสู้รบกำจัดกบฏ ก็เผชิญความยากลำบากที่คาบเกี่ยวกับความตายห้องของฉินเย่ว์เหมยอบอุ่น เรือนร่างของฉินเย่ว์เหมยกลิ่นช่างหอมหวนยิ่งนัก ทำให้เฉินฝานได้สัมผัสกับความอบอุ่นและความปลอดภัยที่มิเคยรู้สึกมาก่อน“อยากนอน เจ้าไยมิกลับห้องตนเอง...”ฉินเย่ว์เหมยหยุดพูดทันที เพราะนางเห็นว่าเฉินฝานที่นอนหนุนตักของนางได้หลับไ
ยามค่ำคืนสำนักบัณฑิตเมืองเซียนตูตอนนี้เป็นที่พำนักของฉินเย่ว์เหมยชั่วคราวณ เรือนหลักลานกลางฉินเย่ว์เหมยสวมชุดบรรทมสีเหลือง ก้มหน้าก้มตาอ่านสาสน์กราบทูล“นี่โกรธข้าอยู่งั้นหรือ มิใช่ว่าข้ามิอยากพบเจ้าในทันทีเสียหน่อย กองกำลังทหารหลวงของหลี่ชิ่งปิดล้อมจวนเจ้าเมืองอย่างแน่นหนา เข้าได้ไปยากยิ่งนัก!”เฉินฝานพูดอธิบายกับฉินเย่ว์เหมย ฉินเย่ว์เหมยกลับเพิกเฉยมิได้สนใจเขาแม้แต่น้อยเฉินฝานเดินไปทางซ้าย นางก็จะหันหน้าไปทางขวาเฉินฝานเดินไปทางขวา นางก็จะหันหน้าไปทางซ้ายอย่างไรเสียมิว่าเฉินฝานจะพยายามเพียงใด นางก็จะมิสบตากับเฉินฝานหมดหนทางแล้วจริง ๆ เฉินฝานจึงแย่งสาสน์กราบทูลในมือฉินเย่ว์เหมยมา จากนั้นมิพูดมิจาดึงฉินเย่ว์เหมยเข้ามาในอ้อมอกทันที“เจ้า เจ้าผู้ชายมักมาก!”ฉินเย่ว์เหมยมีวรยุทธ์ต่อสู้ติดตัว และฝีมือยอดเยี่ยมอีกด้วยตบสองสามทีก็สามารถทำให้เฉินฝานลงไปนอนกับพื้นได้“โอ๊ย ๆ ๆ เจ็บเหลือเกิน เจ็บจะตายแล้ว!”เฉินฝานกุมท้องตนเอง กลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้น“เจ้าอย่ามาแสร้ง...”ราวกับเฉินฝานมิได้ยินคำพูดของฉินเย่ว์เหมย ยังคงกุมท้องกลิ้งไปกลิ้งมา สีหน้าแสดงถึงความเจ็บปวดสุดขีด“เจ
“เฉินฝาน ถึงแม้ตอนเจ้าจะเป็นอัครเสนาบดีขั้นหนึ่งระดับสูง ทว่าก็มิสามารถสังหารเลขาธิการขั้นสองระดับสูงอย่างไร้เหตุผลเช่นนี้ได้!”เสิ่นหมิงหยวนที่พอจะสงบสติอารมณ์ได้แล้ว เริ่มประณามเฉินฝาน“ถูกต้อง ในฐานะที่หยางอวิ๋นหู่เป็นเลขาธิการกรมโยธาธิการขั้นสอง ต่อให้จะทำความผิด ก่อนที่จะสังหารก็ต้องฝ่าบาทออกคำสั่งก่อนจึงจะสังหารได้ อัครเสนาบดีเบื้องซ้ายทำเกินไปแล้ว”“เพิ่งจะได้รับตำแหน่งอัครเสนาบดีเบื้องซ้าย ก็กำเริบเสิบสานแล้วหรือ? คิดว่าสามารถสังหารขุนนางที่ยศน้อยกว่าเขาได้ ตามอำเภอใจงั้นหรือ?”“คนที่โหดเหี้ยม และมิให้เกียรติฝ่าบาทเช่นนี้ จะสามารถเป็นอัครเสนาบดีเบื้องซ้ายเยี่ยงไร?”มีขุนนางจำนวนมากที่เดือดดาลกับการกระทำของเฉินฝานแน่นอนว่าเหล่าคนที่เดือดดาลเหล่านั้น ส่วนใหญ่ล้วนเป็นพรรคพวกของเสิ่นหมิงหยวน“ฝ่าบาท!” เสิ่นหยวนเลี่ยงรีบเดินออกมาจากด้านหลังเสิ่นหมิงหยวนทันที “ท่านอัครเสนาบดีเบื้องซ้าย...”“ชิ้ง!”เฉินฝานตวัดกระบี่ในมือชี้ไปที่เสิ่นหยวนเลี่ยงทันที “ถ้าเจ้ายังพูดพล่ามอีก อย่าหาว่ากระบี่ในมือข้าไร้ความปรานี”น้ำเสียงเฉินฝานดุดันราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ท่าทางโหดเหี้ยมอย่างมา
“ฝ่าบาท”เฉินฝานพุ่งตัวขึ้นไป ส่ายหน้าให้กับฉินเย่ว์เหมยหลี่ชิ่งยังมีทหารหลวงประจำการอยู่ด้านนอกเมืองเซียนตูห้าหมื่นกว่าคน สามารถเคลื่อนทัพตามคำสั่งของเสิ่นหมิงหยวนได้ทุกเมื่ออำนาจของเสิ่นหมิงหยวนเป็นปึกแผ่นอย่างมาก ตอนนี้หากอยากจะโค่นล้มเสิ่นหมิงหยวนในคราเดียว ต้องบีบบังคับให้เสิ่นหมิงหยวนจนตรอกให้ได้สถานการณ์ตอนนี้ ควรปล่อยตามน้ำไปก่อนน้ำเสียงของฉินเย่ว์เหมยผ่อนคลายลงแล้ว “ทหารหลวงรวมพลมากมายอยู่ที่แห่งนี้ ข้าคิดว่าใต้เท้าเสิ่นจะก่อกบฏเสียอีก?”เสิ่นหมิงหยวนเลิกคิ้วขึ้นทันที เขารู้ว่าฉินเย่ว์เหมยยอมอ่อนข้อแล้วเหมือนกับที่เฉินฝานคาดการณ์ เสิ่นหมิงหยวนได้เตรียมการโต้กลับไว้เรียบร้อยแล้ว ขอเพียงฉินเย่ว์เหมยออกคำสั่งโจมตีเขา เขาก็จะสั่งให้กองกำลังทหารหลวงห้าหมื่นคนของหลี่ชิ่งปิดล้อมเมืองทันทีเสิ่นหมิงหยวนรีบกล่าวอย่างลนลาน “ฝ่าบาทคิดจะทำให้ข้าน้อยตกใจตายหรือกระไร ข้าน้อยเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นคนหนึ่ง ไฉนจะคิดก่อกบฏได้”คำพูดนี้เสิ่นหมิงหยวน มิเพียงแสดงความจงรักภักดีเท่านั้น และยังเป็นการพูดจาเหน็บแนมเฉินฝานอีกด้วยอำนาจในการนำทัพกองกำลังลาดตระเวนยังคงอยู่ในมือของเฉินฝาน ถึงแม้
ตอนที่ห่างจากเฉินฝานอย่างน้อยสิบเมตร ฉินเย่ว์เหมยก็ลงจากเกี้ยวเดินลงมาสาวเท้ามาหาเฉินฝานอย่างเร่งรีบตอนที่ห่างจากเฉินฝานประมาณสามสี่เมตร ฉินเย่ว์เหมยกลับหยุดฝีเท้าของตนเองไว้หิมะค่อยๆโปรยปรายลงมาตอนที่ห่างกันประมาณสองสามเมตร ฉินเย่ว์เหมยและเฉินฝานยืนมองหน้ากันและกันห่างกันไปเพียงเวลาสั้นๆมิกี่เดือน ทว่ารู้สึกห่างจากเฉินฝานไปสองภพชาติจึงได้กลับมาพบกันอีกครั้งน้ำตาคลอเบ้า จวนจะเอ่อล้นไหลออกมาแต่ท้ายที่สุดก็ต้องฝืนกล้ำกลืนน้ำตากลับไปแต่ไรมานางมิเคยลืมนางเป็นจักรพรรดินี เขาเป็นขุนนางนางต้องเก็บอาการไว้!“เขาคือใต้เท้าเฉินจริงๆ”“ใต้เท้าเฉินฝานยังมีชีวิตอยู่!”ท่ามกลางเหล่าขุนนาง มีคนตะโกนลั่นด้วยความดีใจคนผู้นี้คือเลขาธิการกรมยุติธรรมไป่เผยหราน“ใต้เท้าเฉินคืนชีพจากความตาย ช่างเป็นโชคดีของพวกเราต้าชิ่งเสียจริง!”เหล่าขุนนางที่ปกติมิฝักใฝ่เป็นพวกของเสิ่นหมิงหยวนพากันซาบซึ้งใจ“เฉินฝาน!”เสียงตื่นเต้นดีใจครั้งนี้ดังกว่าเสียงดีใจก่อนหน้านี้เสียอีก“ไอ้หยา!”ร่างเงาหนึ่งพุ่งผ่านเหล่าขุนนาง ข้ามผ่านฉินเย่ว์เหมยไป เดินตรงไปหาเฉินฝานทันที“เป็นเจ้าจริงๆด้วย ช่างดีเ
ตวนซินอ๋องมิอยากเชื่อสายตาของตนเอง เขายกกำปั้นไปด้านหน้าเฉินฝานทันที หลังนั้นก็ชูสามนิ้วออกไปชูสามนิ้วแล้วตะโกนพูดขึ้นหนึ่งประโยค“หนึ่งกฎเกณฑ์ สองสตรี สามเงินเหวิน!”เมื่อตะโกนจบก็จ้องไปที่เฉินฝาน สื่อความหมายว่าถึงตาเจ้าแล้วเฉินฝานรู้สึกหมดคำพูดอีกครั้ง ถูกพลทหารหนึ่งพันปิดล้อมมิสำคัญ จวนจะถูกตัดหัวประหารก็มิสำคัญเช่นกันสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ...เฉินฝานก็ยกกำปั้นขึ้นมาชูนิ้วยื่นไปด้านหน้าตวนซินอ๋องเช่นกัน“สี่ฤดูกาล ห้าปรมาจารย์ หกที่นั่ง!”ทหารหลวงที่ปิดล้อมเฉินฝานและตวนซินอ๋องไว้มึนงงในบัดดลแม้กระทั่งหลี่ชิ่งที่เป็นหัวหน้าของพวกเขายังกวาดสายตามองไปรอบข้าง เขากำลังสงสัยว่านี้เป็นสัญญาณลับระหว่างเฉินฝานและตวนซินอ๋องหรือไม่“ถูกต้องทั้งหมด ๆ!”ตวนซินอ๋องดีใจออกนอกหน้าเดินไปกอดเฉินฝาน “เจ้าพูดรหัสลับของการเล่นทายตัวเลขถูกทั้งหมด เจ้าเป็นลูกเขยที่แสนดีของข้าจริงๆด้วย เจ้ายังมีชีวิตดังคาดสินะ”กำปั้นแห่งความปีติของตวนซินอ๋อง ทุบไปหลังเฉินฝานครั้งแล้วครั้งเล่าเฉินฝานรู้สึกวิงเวียนศีรษะ เขาจวนจะถูกพ่อตาของตนเองตบหลังจนแทบจะกระอักเลือดออกมาแล้ว“ชาวบ้านใจกล้า ก่อความวุ่