“พี่หลี่ ข้าจะกลับหมู่บ้านแล้ว ไม่ดื่มแล้ว!” เฉินฝานเข้าใจว่าหลี่ซานจะชวนเขาไปดื่มสุรา“ไม่ดื่มๆ ข้าพาเจ้าไปดูเรือนหลังใหม่ของเจ้า”“เรือนหลังใหม่ของข้า? พี่หลี่เราตกลงกันแล้ว ข้าไม่รับของจากท่านแล้ว”เฉินฝานเป็นคนทำอะไรเองตั้งแต่เด็ก สิ่งที่หามาด้วยตนเอง อุ่นใจที่สุด“เรือนหลังนั้นเป็นของเจ้าอยู่แล้ว เจ้าไม่อยู่ ทิ้งร้างเสียเปล่าไม่ใช่หรือ?”“น้องเย่ว์เจียว เย่ว์โหรว เสี่ยวฉู่ ไปกันเถอะ พวกเราไปดูเรือนหลังใหม่กัน”บรรดาภรรยาของหลี่ซาน พาพี่น้องตระกูลฉินไปเช่นเดียวกัน...นี่เป็นเรือนสามประสานขนาดใหญ่ ติดกับเรือนของหลี่ซานภายในเรือน มีระเบียงยาว ศาลา สวนหินและศาลาริมน้ำ ทุกอย่างครบครัน คล้ายคลึงกับบ้านหรูสมัยโบราณที่เฉินฝานเห็นผ่านโทรทัศน์ในยุคปัจจุบันบ้านหลังใหญ่ เรือนหรูหรางดงาม ดีทุกอย่าง แต่ไร้ชีวิตชีวาเฉินฝานกวาดตามอง แล้วค่อยถอนสายตากลับมา “คล้ายไม่มีคนอยู่ที่นี่มานานแล้ว”“ไม่มีคนอยู่มานานแล้ว นี่เป็นเรือนที่ท่านลุงของข้าปลูก ตั้งใจเก็บไว้ให้ลูกหลานของตนเอง ทว่าคิดไม่ถึง กระทั่งท่านลุงเสียชีวิตเขาก็ไม่มีบุตรชาย หลังจากพี่สาวทั้งสองคนซึ่งเป็นลูกสาวของท่านลุงออกเรือ
“เลิกด่าได้แล้ว ข้าอยู่ก็ได้...”“ถ้าอย่างนั้นตกลงตามนี้! ปฏิทินโหราศาสตร์เขียนไว้ว่าวันนี้เป็นวันมงคลเหมาะแก่การย้ายบ้าน เลือกวันสู้วันที่เหมาะสมไม่ได้ ข้าให้คนไปช่วยเจ้าขนของตอนนี้เลย!”เฉินฝานยังพูดไม่จบ หลี่ซานก็พูดร่ายยาว กลัวเฉินฝานเปลี่ยนใจขณะพูด เขาเดินกลับไปตามบ่าวรับใช้ที่เรือนของตนเองเรือนของหลี่ซานอยู่ติดกับเรือนหลังนี้ เวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูป หลี่ซานพาบ่าวรับใช้ของเขา ขนของทั้งหมดของเฉินฝานจากเรือนหลังนี้มาที่นี่มองของวางเรียงรายบนพื้น รวมถึงภาพของหลี่ซานเดินวุ่นไปมา ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เฉินฝานรู้สึกคล้ายตนถูกโกง“หลี่ซาน!” เฉินฝานร้องเรียกชื่อเต็มของหลี่ซาน“ว่า!”หลี่ซานสะดุ้ง ตั้งแต่รู้จักกับเฉินฝาน นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินฝานเรียกเขาแบบนี้“ท่านทั้งยกเรือนหลังใหญ่ให้ข้า ทั้งช่วยขนของย้ายบ้าน กระตือรือร้นทำดีทั้งที่ไม่เรื่องอะไร ท่านไม่มีจุดประสงค์อะไรจริงๆ ใช่ไหม?”“ข้าพบว่าเจ้าไม่ใช่คนธรรมดา ไม่ช้าก็เร็วเจ้าต้องเป็นผู้มีอำนาจ อาศัยเวลานี้ที่เจ้ายังไม่ยิ่งใหญ่ รีบกอดขาเจ้าไว้” ถ้อยคำนี้ของหลี่ซานล้อเล่นครึ่งหนึ่ง พูดจริงครึ่งหนึ่งเฉินฝานเป็นคนมอบชีวิตใหม่ใ
“ใช่แล้ว!” หลี่ซานย่อตัวลง พูดด้วยรอยยิ้ม “เสี่ยวฉู่ ตอนนี้นายท่านของเจ้าเป็นผู้มีอำนาจมากๆ เป็นผู้มีอำนาจแล้ว ข้างกายย่อมต้องมีบ่าวรับใช้ มิเช่นนั้นจะถูกหัวเราะเยาะเอาได้”“เจ้าค่ะ พี่หลี่พูดถูก ไม่อาจให้ผู้อื่นหัวเราะเยาะนายท่านของข้าได้!”“ดูสิ!” หลี่ซานหันไปมองเฉินฝานแล้วพูด “เสี่ยวฉู่ยังรู้หลักการข้อนี้”“แต่ว่า...” ฉินเย่ว์ฉู่เอียงหน้าเล็กน้อย หันไปมองเฉินฝาน “ข้ามองแล้วไม่เหมือนผู้มีอำนาจเลยเจ้าค่ะ ยังเหมือนสมัยอยู่ในหมู่บ้าน”“ถูกต้อง!” เฉินฝานอุ้มฉินเย่ว์ฉู่ขึ้นมา “เจ้าอย่าฟังพี่หลี่พูดจาเหลวไหล ข้ายังเหมือนเมื่อก่อน เป็นนายท่านของพวกเจ้า นับจากนี้พวกเราสี่คนร่วมมือกัน ทำให้ชีวิตของพวกเราดีขึ้น”หลี่ซานยังอยากพูดอีก แต่เฉินฝานใช้สายตาบอกกับเขาให้หยุดพูดฉินเย่ว์ฉู่ยังเด็ก เขาอยากให้นางเติบโตอย่างเข้มแข็งเหมือนเมื่อก่อน“นายท่าน ข้าสิบขวบแล้ว ท่านอย่าเอาแต่อุ้มข้าแบบนี้สิเจ้าคะ”เฉินฝานอุ้มนางต่อหน้าผู้คนมากมาย ทำให้เด็กน้อยรู้สึกอายเล็กน้อย พวงแก้มแดงระเรื่อ“หื้ม?” เฉินฝานหยิกแก้มของฉินเย่ว์ฉู่ “อายเหรอ? เจ้าบอกว่าชอบเวลาข้าอุ้มที่สุดไม่ใช่หรือ? ยามไม่อุ้มเจ้ายังร้อง
หลี่ซานโบกมือให้พวกสาวใช้ “ไปหาฮูหยินของพวกเจ้า พาพวกนางคุ้นเคยกับเรือนหลังนี้”“เจ้าค่ะ!”พวกสาวใช้ลุกขึ้น ย่อตัวลงหันหน้าเข้าหาเฉินฝานแล้วถอยออกไปมารยาทของสมัยโบราณ ยามบ่าวรับใช้ออกไป ไม่อาจหันหลังให้นายผู้ฝ่าฝืน นายมีสิทธิ์สังหาร“เจ้าวางใจเถอะ ทั้งหมดนี้เป็นทาสในเรือน ล้วนเชื่อใจได้” กลัวเฉินฝานไม่วางใจ หลี่ซานจึงพูดเสริมเฉินฝานใช้เวลาครู่หนึ่ง เพิ่งนึกออกว่าทาสในเรือนหมายความว่าอะไร ทาสในเรือนคือ ลูกที่เกิดจากสาวใช้และบ่าวรับใช้ในเรือน ซึ่งได้รับอนุญาตจากนาย บ่าวรับใช้ประเภทนี้ แตกต่างจากบ่าวรับใช้ที่ซื้อ พวกเขาเป็นบ่าวตั้งแต่กำเนิด จึงมีความจงรักภักดีค่อนข้างสูงตอนหญิงสาวมากมายอายุไล่เลี่ยกับตน ร้องเรียกตนว่าฮูหยิน พี่น้องตระกูลฉินตะลึงงันปีแรกที่เพิ่งแต่งงานกับเฉินฝาน พวกนางรู้สึกว่าชีวิตนี้จบเห่แล้วหลังจากเฉินฝานตกหน้าผา ชีวิตของพวกนางเริ่มมีความหวัง เฉินฝานหาเงินเข้าบ้านทีละเล็กทีละน้อย กระทั่งในตอนหลังเขาซ่อมบำรุง ซื้อรถม้า ไม่ต้องกังวลปากท้องและเครื่องนุ่งห่มอีกพวกนางรู้สึกว่าตนมีความสุขมากแล้ว คิดไม่ถึงว่าเฉินฝานจะสอบคัดเลือกขุนนางได้อันดับหนึ่ง ยิ่งคิดไม
หลังจากพวกเหออี้หมินจากไป หลี่ซานประสานมือเข้าด้วยกัน หันหน้าขึ้นฟ้า “หวังว่าจะไม่ใช่ข่าวชายแดนสถานการณ์ตึงเครียด หวังว่าจะไม่ต้องเกณฑ์ทหารมากขึ้น!”ตระกูลหลี่ร่ำรวยที่สุดในอำเภอผิงอัน มีเงินทองสามารถทำได้ทุกอย่าง ในอำเภอผิงอัน เต็มไปด้วยคนของตระกูลหลี่หลังจากรับประทานอาหารค่ำ หลี่ซานก็ทราบข่าวสถานการณ์ชายแดนไม่ได้ตึงเครียด ไม่ต้องเกณฑ์ทหารเพิ่มขึ้น แต่ว่า...“เสี่ยวฝาน ใต้เท้าหลูจะไปปราบโจรอีกแล้ว”“ปราบโจรหรือขอรับ? เป็นเรื่องดี เหตุใดพี่หลี่จึงกังวลเช่นนี้?”“เสี่ยวฝาน ท่านใต้เท้าจะไปปราบโจรบนภูเขาวิฬาร์”“ภูเขาวิฬาร์?” ภาพใบหน้าขาวสะอาดสง่าผ่าเผยฉายขึ้นในความคิดของเฉินฝาน“ใช่แล้ว โจรบนภูเขาวิฬาร์ โจรพวกนั้นส่วนมากหนีมาจากกองทัพ ต่อสู้เก่งทั้งยังจิตใจเหี้ยมโหด เจ้าหน้าที่ว่าการและมือปราบในอำเภอจะเป็นคู่ต่อสู้ของพวกเขาได้อย่างไร เฮ้อ!”หลี่ซานถอนหายใจเฮือกใหญ่ นั่งส่ายหน้าด้วยความเศร้า “ชาวอำเภอผิงอันจะเคราะห์ร้ายแล้ว”“พี่หลี่ ความหมายของพี่คือ หากใต้เท้าจับโจรล้มเหลว โจรภูเขาวิฬาร์จะแก้แค้นชาวอำเภอผิงอันหรือขอรับ”“คุยกับคนฉลาด สบายแบบนี้แหละ!” สีหน้าเปี่ยมไปด้วยความก
“เสี่ยวฝาน ความหมายของเจ้าคือเจี่ยงหงเหวินจ้างโจรภูเขาวิฬาร์สังหารเจ้า?”“ถูกต้อง!”“แป๊ะ!” หลี่ซานปรบมืออย่างแรง พูดด้วยความสะใจ “เยี่ยม เยี่ยมจริงๆ แม้หลับฝันเจี่ยงหงเหวินคงคิดไม่ถึงว่า สุดท้ายคนที่ถูกธนูยิงตายจะเป็นตัวเขาเอง”“เฮ้อ ไม่สิ!” จู่ๆ หลี่ซานก็ฉงนยิ่งนัก เขาเอียงหน้าถามเฉินฝาน “แล้วเรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับที่ท่านเจ้าเมืองสั่งให้ใต้เท้าหลูปราบโจรเล่า?”“เรื่องนี้ ใต้เท้าหลูน่าจะรู้ดีกว่าข้า” เฉินฝานประสานนิ้ว แล้วกดเบาๆ“กร๊อบแกร๊บ!” เสียงกระดูกข้อนิ้วมือดังก้องหลี่ซานทอดสายตามองมือของเฉินฝาน แววตาของเขาเคล้าไปด้วยความตกใจ แต่ที่มากกว่านั้นคือหวาดกลัวท่าทีนี้ หากเป็นชาวนาหรือนายพราน เป็นเรื่องปกติแต่หากเป็นเฉินฝาน ผิดปกติยิ่งนักปัญญาชนทั่วไป เป็นไปไม่ได้ที่กระดูกข้อนิ้วมือจะแข็งเช่นนี้เฉินฝานมีความลับมากมายเพียงใดกันแน่?“พี่หลี่”เฉินฝานร้องเรียกหลี่ซานถึงสามครั้ง กว่าหลี่ซานจะดึงสติกลับมา“เสี่ยวฝาน เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”“เสี่ยวฝาน เป็นอะไร?”“คำถามนี้ข้าน่าจะเป็นคนถามท่าน ท่านเอาแต่จ้องข้า มีอะไรติดหน้าข้าหรือ?”“อ่อๆ!” หลี่ซานรีบส่ายหน้า “ใบหน้าเจ้าไม่
“หลี่ซาน!” หลูเฉิงกวงพูดแทรกหลี่ซานหลูเฉิงกวงกวาดสายตามองไปรอบๆ ตอนถอนสายตากลับ เขาพูดเสียงเบา “ท่านเจ้าเมืองคือคนที่เจ้าพูดจาหยามเกียรติได้หรือ?”หลี่ซานรีบเงียบและก้มหน้าลงทันทีเมื่อครู่เขาบุ่มบ่ามเกินไปจริงๆ หากที่นี่มีคนของลวี่เหลียงเจ๋อ ลวี่เหลียงเจ๋อนำไปรายงานท่านเจ้าเมือง เช่นนั้นชีวิตของเขาก็จบเห่แล้ว“พวกเจ้ากลับไปก่อนเถอะ!”หลูเฉิงกวงไล่คนกลุ่มใหญ่ออกไป ในศาลาว่าการเหลือเพียงจางเจิ้งห้าว เหออี้หมิน รวมถึงเฉินฝานและหลี่ซานเท่านั้น เหตุผลในการให้เฉินฝานและหลี่ซานอยู่ต่อเพราะการปราบโจรในครั้งนี้ทั้งสองจะเป็นคนสนับสนุนด้านค่าใช้จ่ายในห้องโถงเหลือเพียงพวกเขา หลี่ซานพูดอีกครั้ง “ใต้เท้า เมื่อวานลำพังผู้ชมก็นับหมื่นคนแล้ว คนมากมายเห็นแล้ว ลูกดอกเหล่านั้นหมายจะพุ่งไปสังหารเฉินฝาน เห็นชัดว่าพวกเจี่ยหงเหวินเป็นคนจ้างพวกโจรภูเขา พวกเราให้ชาวบ้านเหล่านั้นเป็นพยานต่อหน้าท่านเจ้าเมืองได้”หลูเฉิงกวงถลึงตามองค้อน “สิ่งที่เจ้าพูดข้าไม่รู้เช่นนั้นหรือ?”“เช่นนั้นใต้เท้า...”“พี่หลี่ พี่พูดน้อยลงหน่อยเถอะขอรับ”เฉินฝานดึงตัวหลี่ซานหรงตูมีสิบอำเภอ อำเภอตูอันร่ำรวยที่สุด ภาษีส่วน
“กรึกๆๆ”“วี๊ดวือๆๆ”เฉินฝานและหลี่ซานออกมาจากศาลาว่าการ พบว่าบนท้องถนนเต็มไปด้วยรถม้าเวลานี้ยามซูแล้ว ปกติเวลานี้ บนท้องถนนไม่มีผู้คน“เกิดเรื่องอะไรขึ้น? เหตุใดจู่ๆ จึงมีรถม้าเข้าเมืองมากมายเช่นนี้? พ่อบ้านมั่ว เจ้ารู้หรือไม่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”“ไม่รู้ขอรับ แปลกจริงๆ ข้าอยู่ที่นี่มานานกว่าห้าสิบปีแล้ว ไม่เคยพบเจอสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน”บรรดาพ่อบ้านและสารถทีที่รอพวกเฉินฝานด้านนอกศาลาว่าการก็กำลังเสวนาเรื่องนี้เฉินฝานและหลี่ซานสบตากันครู่หนึ่ง หากเดาไม่ผิด คนพวกนี้ทราบเรื่องปราบโจรแล้ว“เจ้าหน้าที่ ท่านปล่อยพวกเราเข้าไปเถอะขอรับ”“ได้โปรด ให้พวกเราเข้าไปเถอะ!”ตอนพวกเฉินฝานผ่านประตูเมือง ด้านนอกมีชาวบ้านมากมายกำลังอ้อนวอนขอเข้า อีกทั้งชาวบ้านเหล่านั้นยังเต็มไปด้วยสัมภาระ เห็นชัดว่าจะย้ายเข้ามาอยู่“ไม่ได้ ยามซูแล้ว หากไม่มีตราคำสั่งไม่อาจเข้ามาได้”“ปิดประตูเมือง!”ภายใต้คำสั่งของหัวหน้าเฝ้าประตูเมือง ประตูเมืองปิดลง ปล่อยให้ชาวบ้านที่กำลังอ้อนวอนเหล่านั้นอยู่ด้านนอก“เสี่ยวฝาน อย่ามองเลย ปิดประตูเมืองตอนยามซู เป็นกฎระเบียบ พรุ่งนี้รุ่งสางเมื่อถึงยามเหม่าประตูเมืองเ
“อะไรนะ!?”“ตอนนี้องค์หญิงเสี่ยวฉู่พาฝ่าบาทไปที่ประตูอู่แล้วขอรับ เจ้าสิ่งนั้น ปะ ปะ...”“ปืนไรเฟิล”“ใช่ ๆ ปืนไรเฟิล ปากกระบอกปืนไรเฟิลจ่อพระเศียรของฝ่าบาทอยู่เลยขอรับ!”“หา นี่เป็นเพราะอะไรกัน?”บรรดาพี่สาวน้องสาวตระกูลฉินได้ยินข่าวขึ้นมา“กราบทูลบรรดาองค์หญิง ข้อเรียกร้องขององค์หญิงเสี่ยวฉู่คืออยากให้ท่านอัครเสนาบดีกับฝ่าบาทอภิเษกสมรสกันเดี๋ยวนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ”“เหลวไหล!”เฉินฝานพุ่งตัวออกไปราวกับพายุเวลานี้บรรดาพี่น้องตระกูลฉินที่เพิ่งแสดงท่าทีรีบร้อนทำหน้าร้อนใจกลับมีสีหน้าแจ่มใส ถึงขนาดที่นั่งลงปรึกษาหารือกันฉินเย่ว์โหรว “พี่หญิงรอง ท่านมีฝีมือดี ท่านรีบไปขวางอยู่ที่หอด้านบนประตูอู่ อย่าให้นายท่านลงมา” ฉินเย่ว์เจียว “ไม่มีปัญหา พอถึงเวลานั้นข้าจะเรียกน้องหวั่นเอ๋อร์ นายท่านหนีไม่รอดแน่”ฉินเย่ว์ฉิน “เช่นนั้นข้าจะให้พี่น้องในวังเซียวเหยาก่อนหน้านี้ไปเดินเล่นแถว ๆ ประตูอู่ให้หมดเลย จะต้องครึกครื้นเป็นแน่ รับรองว่าพี่น้องทหารองครักษ์พวกนั้นจะต้องมองสาวงามอย่างไม่หวาดไม่ไหว”สามพี่น้อง “ความปรารถนาของเสี่ยวฉู่ พวกเราในฐานะพี่สาวจะต้องช่วยอย่างเต็มที่!”เมื่อมองถนนละแวกป
“ข้าไม่ได้ขัดขืนจริง ๆ” เย่ลวี่เลี่ยก้มหน้าลง ชายสูงแปดฉื่อทำสีหน้าที่เต็มไปด้วยความท้อแท้ใจ เขาอยากขัดขืนอยู่แล้ว แต่ฉินเย่ว์ฉู่ไม่ได้ให้โอกาสนั้นกับเขาเลยตอนที่ฉินเย่ว์ฉู่บุกเข้ามาในกระโจมใหญ่ของเย่ลวี่เลี่ย ก็ยิงปืนกำจัดองครักษ์ของเย่ลวี่เลี่ยก่อนพูดแล้วก็น่าอับอาย เย่ลวี่เลี่ยที่เคยผ่านศึกมาอย่างโชกโชนตกใจกลัวรูเลือดตรงกลางหน้าผากขององครักษ์ เขาไม่เคยเห็นอาวุธที่รวดเร็วขนาดนี้มาก่อนเลยได้ยินแค่เสียงดังปัง หน้าผากขององครักษ์ก็มีรูเลือดใหญ่ขนาดนี้แล้ว ความเร็วที่แม้แต่เทพเซียนก็ทำไม่ได้ ความแม่นยำที่แม้แต่เทพเซียนก็ยังทำไม่ได้ในตอนที่ฉินเย่ว์ฉู่ยกปืนขึ้นแล้วลั่นไกอีกครั้ง เมื่อเย่ลวี่เลี่ยได้ยินเสียง เขาก็ตกใจจนสลบไปทันที หลับไปตื่นหนึ่งถึงค่อยพบว่าฉินเย่ว์ฉินยิงใส่หมวกเล็กของเขาเท่านั้นตกใจสาวน้อยจนสลบไป ไม่ว่าสือจิ่งซานผู้นี้จะถามอย่างไร เย่ลวี่เลี่ยก็ไม่บอกเขา .....ในคืนที่เย่ลวี่เลี่ยถูกจับ ข่าวก็ไปถึงเมืองหลวงแล้ว “เครื่องอัดเสียงพลังงานแสงอาทิตย์ เครื่องเสียง...” ขณะที่ฉินเย่ว์เหมยอ่านคำเหล่านี้ก็ถามเฉินฝานด้วยความมึนงงว่า “จดหมายของเสี่ยวฉู่บอกว่า นางแค่อาศ
“นางไม่รู้หรือว่าพวกเราไม่อยากลงมือจริงจัง?” “พอไปถึงค่ายทหารของชาวหู ไม่ใช่แค่โดนฆ่าธรรมดาแบบนั้นหรอกนะ” ชาวหูไม่มีทางปล่อยสตรีชาวต้าชิ่งใด ๆ ที่ตกอยู่ในมือพวกเขา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสตรีชาวต้าชิ่งที่หน้าตางดงามฐานะสูงศักดิ์อย่างฉินเย่ว์ฉู่ พฤติกรรมของพวกเขาใช้คำว่าเดรัจฉานมาอธิบายยังไม่พอเลย สือจิ่งซานสะบัดแขนเสื้อ “พอได้แล้ว สตรีนางเดียวไม่มีค่าพอให้เราต้องใส่ใจหรอก นางอยากตายก็ปล่อยนางไปเถิด โจวจวี่ เจ้าส่งคนไปบอกเยลวี่เลี่ยว่าให้พวกเขาเหลือศพไว้ครบถ้วน ข้าจะซื้อศพไว้ใช้ประโยชน์” ไม่ต้องให้สือจิ่งซานรอนานเกินไป วันรุ่งขึ้นทหารลาดตระเวนก็มารายงาน “ว่าไงนะ? เยลวี่เลี่ยมาด้วยตนเอง?”“ท่านแม่ทัพใหญ่ หากพูดให้ตรงคือเยลวี่เลี่ยโดนฮูหยินเล็กของท่านอัครเสนาบดีจับกุมมาขอรับ”“เจ้าพูดอีกทีสิ?”ทหารลาดตระเวนพูดซ้ำถึงสามรอบเต็ม ๆ สือจิ่งซานก็ยังไม่เชื่อไม่ใช่แค่สือจิ่งซานที่ไม่เชื่อ ต่อให้เป็นผู้ถูกจับกุมอย่างเยลวี่เลี่ยก็ไม่เชื่อเช่นกัน เขาจะโดนสตรีนางเดียวจับกุมได้อย่างไรยิ่งไปกว่านั้นสตรีผู้นี้ยังอายุน้อย พาทหารหญิงรุ่นราวคราวเดียวกันมาแค่ร้อยกว่าคนเมื่อฉินเย่ว์ฉู่พาเยลวี่เล
สือจิ่งซานยกมุมปากยิ้มคลุมเครือ “แปรพักตร์อันใดกัน ฝ่าบาทกับท่านอัครเสนาบดีเห็นอกเห็นใจกองทัพหมาป่าเรา จึงส่งสะใภ้คนเล็กมา เช่นนั้นกองทัพหมาป่าเราย่อมต้องต้อนรับสะใภ้ท่านนี้ให้ดี ๆ”“แม่ทัพใหญ่กล่าวถูกต้อง พวกเราต้อง ‘ต้อนรับ’ ให้ดี ๆ!” โจวจวี่พูดคล้อยตามทันที ไม่นานนักก็มีคำสั่งจากในกระโจมใหญ่ ให้ทหารแม่ทัพทั้งหมดของกองทัพหมาป่าเปลือยท่อนบนยุคโบราณที่จารีตเคร่งครัดอย่างยิ่ง การเปลือยท่อนบนเช่นนี้เป็นพฤติกรรมดูหมิ่นไม่ให้ความกียรติสตรีอย่างรุนแรงยิ่งกว่านั้นฉินเย่ว์ฉู่เป็นภรรยาเอกของอัครเสนาบดีขั้นหนึ่ง องค์หญิงแห่งต้าชิ่ง พระขนิษฐาแท้ๆ ของฮ่องเต้หญิงหากฉินเย่ว์ฉู่เป็นเพียงสตรีทั่วไปในยุคนี้ เกรงว่ามีแต่จะตกใจจนมือไม้อ่อนไปหมดทหารแม่ทัพทั้งหมดของกองทัพหมาป่าเปลือยท่อนบนออกจากกระโจม รอดูท่าทางตกใจกลัวจนร้องไห้โฮยกใหญ่ของฉินเย่ว์ฉู่“ผู้ชายมากมายถึงเพียงนี้ข่มขู่เด็กสาวคนเดียวจะไม่เกินไปหน่อยหรือ” มีบางคนรู้สึกว่าแบบนี้ไม่ค่อยดีนัก แต่คำพูดของเขาก็โดนคนอื่นสวนกลับทันที “เกินไปอันใดเล่า เฉินฝานเป็นคนส่งมา ให้เขาหยามพวกเราได้เท่านั้น แต่ไม่ยอมให้พวกเราตอบโต้คืนหรือ? เปลือย
เย่ว์หนูได้รับบาดเจ็บในระหว่างที่ปกป้องเฉินฝานครั้งหนึ่ง ร่างกายของนางตอนนี้จึงไม่แข็งแรงเหมือนเมื่อก่อน เดิมทีเฉินฝานอยากให้หวงหวั่นเอ๋อร์ตามฉินเย่ว์ฉู่ไป มีหวงหวั่นเอ๋อร์อยู่ อย่างน้อยที่สุดก็ไม่มีปัญหาเรื่องความปลอดภัยของฉินเย่ว์ฉู่ ผลปรากฏว่าฉินเย่ว์ฉู่ปฏิเสธแม้กระทั่งหวงหวั่นเอ๋อร์ด้วยฉินเย่ว์ฉู่พาทหารหญิงไปหนึ่งร้อยกว่าคน มุ่งตรงสู่ทางเหนือ บุกไปยังกองทัพหมาป่าอย่างกล้าหาญ “เจ้าปล่อยให้นางไปเช่นนี้หรือ?” คนที่ตำหนิเฉินฝาน ไม่ใช่แค่พี่น้องตระกูลฉินทั้งสามคนในจวนสกุลเฉิน แม้แต่ฉินเย่ว์เหมยที่อยู่ในวังหลวงก็รีบออกมาเช่นกันนางคิดว่าไม่ว่าอย่างไร อย่างน้อยที่สุดเฉินฝานต้องให้ฉินเย่ว์ฉู่นำกองพลมือปืนไป“เย่ว์ฉู่เป็นน้องเล็กของพวกเจ้า น้องเล็กของพวกเจ้ามีนิสับแบบไหน พวกเจ้าไม่รู้เลยหรือไร?” คำพูดประโยคเดียวของเฉินฝานทำให้พวกนางสำลักแล้วแม้ว่าฉินเย่ว์ฉู่จะเป็นน้องเล็กสุดในตระกูลฉิน ทว่าตั้งแต่เด็กจนโต นางมีความคิดของตัวเองมากที่สุด ขอเพียงเป็นเรื่องที่นางตัดสินใจแล้ว ไม่มีใครสามารถทำให้นางเปลี่ยนใจได้“แต่ว่า...” ฉินเย่ว์โหรวที่เป็นคนกังวลใจมากที่สุด ขมวดคิ้วมุ่น ดูกลัดกล
การปรากฏตัวของนาง ทำให้ทุกคนรู้สึกปีติยินดีกันมากแต่ฉินเย่ว์เจียวกลับถลึงมองสตรีผู้นั้น “พอได้แล้ว เสี่ยวฉู่เจ้าเด็กตัวแสบ แสร้งทำตัวเป็นผู้ใหญ่อันใด ยังไม่รีบเข้ามาอีก?” ฉินเย่ว์ฉู่ขี่ม้าเข้ามา ขณะที่นางผ่านฉินเย่ว์เจียวยังไม่ลืมเถียงกลับว่า “พี่หญิงรอง ข้าอายุยี่สิบแล้ว เป็นผู้ใหญ่ตั้งนานแล้วนะ”ฉินเย่ว์เจียวเชิดหน้าขึ้นสูง “ไม่ว่าเจ้าจะอายุเท่าไหร่ ถึงอย่างไรในสายตาข้า เจ้าก็เป็นเด็กตลอดกาล” ฉินเย่ว์ฉู่ควบม้าตรงมาหาเฉินฝาน แล้วฟ้องเขาว่า “นายท่านดูสิเจ้าคะ พี่หญิงรองรังแกข้าอีกแล้ว นางรังแกข้ามาตลอด ท่านไม่จัดการนางบ้างหรือ?”เฉินฝานมองฉินเย่ว์ฉู่ที่สดใสมั่นใจในตัวเองตรงหน้า ภาพที่เขาเห็นฉินเย่ว์ฉู่ครั้งแรกเมื่อสิบปีก่อนฉายขึ้นมาในสมอง เกิดความรู้สึกราวกับว่าเวลาผ่านไปชาติหนึ่งเด็กสาวที่ขี้กลัวในวันวาน บัดนี้กลายเป็นโฉมสะคราญที่มีสง่าราศี เฉินฝานรู้สึกภาคภูมิใจเล็กน้อย“เหตุใดที่กลับมาตอนนี้ ไม่ต้องเข้าเรียนแล้วหรือ?” เฉินฝานถามตั้งแต่ฉินเย่ว์ฉู่อายุสิบห้า เฉินฝานก็ส่งนางไปเรียนที่โรงเรียนสตรีในเมืองเซียนตู“นายท่าน ข้าน้อยเรียนจบแล้วเจ้าค่ะ”“เรียนจบแล้ว?”“ข้าน้อยเ
วันนี้เป็นวันหยุดพักผ่อน ซึ่งทั้งเดือนจะมีเพียงวันเดียวเท่านั้น นี่เป็นวันที่หาได้ยาก ในฐานะที่ฉินเย่ว์โหรวเป็นภรรยาเอกที่ดูแลบ้านย่อมไม่ปล่อยให้หลุดมือไปง่าย ๆ นางได้เตรียมการไว้ล่วงหน้าหลายวันแล้วว่าวันนี้พวกเขาจะไปเที่ยวเล่นกินอาหารที่ชานเมืองกันทั้งครอบครัวนี่เป็นสิ่งที่เฉินฝานเสนอขึ้นเมื่อหลายปีก่อน หลังจากครั้งนั้น ฉินเย่ว์โหรวก็หลงใหลอยู่สุดซึ้ง ขอเพียงเฉินฝานมีวันหยุด นางจะต้องออกไปให้ได้สถานที่เที่ยวเล่นกินอาหารกันในครั้งนี้มีทิวทัศน์งดงามราวกับภาพวาดเหมือนเช่นเคยเฉินฝานนั่งอยู่บนเก้าอี้พนักพิง กินผลไม้มองบุตรชายบุตรสาวเล่นกันอย่างสนุกสนานบนทุ่งหญ้า ส่วนบรรดาภรรยาก็ยุ่งอยู่กับการเตรียมอาหารกลางวันกลิ่นอาหารที่เฉินฝานชอบลอยอยู่ในอากาศอาหารของพวกเขาทั้งหมดเป็นรูปแบบยุคปัจจุบัน เนื้อแกะย่างทั้งตัว สเต๊กซี่โครงย่าง หมูสามชั้นย่าง ปีกไก่ย่าง กระดูกอ่อนย่าง... ยังมีหม้อไฟทะเล และผลไม้แช่เย็นต่าง ๆ นานา“อืม~” เฉินฝานสูดจมูก แล้วแค่นเสียงเบา ๆ ด้วยความพึงพอใจ เขาหลับตาพักผ่อน พักผ่อนสักพักก็เริ่มกินได้แล้ว“ฮี่!”เฉินฝานเพิ่งจะนอนหลับก็ตกใจตื่นกับเสียงร้องฮี่ของม้า “
หลังจากสือจิ่งซานควบคุมกองทัพหมาป่า เขาก็เปลี่ยนตัวแม่ทัพก่อนหน้านี้ทั้งหมด ตอนนี้ทหารเหล่านี้ล้วนเชื่อฟังสือจิ่งซานเท่านั้น“ใครบังอาจวิจารณ์ฝ่าบาทและท่านอัครเสนาบดีที่นี่?”สือจิ่งซานตวาดอย่างเย็นชา เขาเดินแหวกแม่ทัพเหล่านั้นพร้อมกับเอ่ยวาจา หลังจากนั้นก็หันกาย สายตากวาดมองไปบนร่างแม่ทัพเหล่านั้นห“ข้าน้อยไม่บังอาจวิจารณ์ เดิมทีสิ่งที่ข้าน้อยพูดก็เป็นความจริง หากไม่มีกองทัพหมาป่าของเรา ไม่มีท่านแม่ทัพใหญ่ ต้าชิ่งจะสงบสุขเหมือนทุกวันนี้ได้อย่างไร เวลานี้กลับให้เฉินฝานผู้นั้นยึดความดีความชอบทั้งหมดไว้เพียงผู้เดียว” “ถูกต้อง พวกเรารู้สึกว่าไม่ยุติธรรมกับท่านแม่ทัพใหญ่เลย”แม้ว่าเสียงของพวกแม่ทัพจะเบาลงแล้ว แต่ความโกรธเกรี้ยวและความไม่พอใจในคำพูดกลับยิ่งรุนแรงขึ้น “เหลวไหล เดิมทีความสงบสุขของต้าชิ่งก็เป็นหน้าที่ของกองทัพหมาป่าเรา ในฐานะที่ข้าเป็นแม่ทัพใหญ่ของกองทัพหมาป่ายิ่งต้องทำเช่นเดียว ต่อไปหากมีใครกล้าบังอาจวิจารณ์ฝ่าบาทกับอัครเสนาบดีอีก ลงโทษโบยด้วยไม้พลองทหาร!”“ท่านแม่ทัพใหญ่...”“ทหาร!” สือจิ่งซานตัดบทคนผู้นั้น “นำตัวสวี่ต๋าออกไปโบยด้วยไม้พลองทหารห้าสิบที!” ไม่นานนัก
ตอนนี้น่าจะถือว่ารักษาสัญญาแล้วกระมังฉินเย่ว์เหมยรับประทานอาหารค่ำที่จวนสกุลเฉิน พี่น้องทั้งห้าคุยเล่นกันในห้องจนดึกดื่น หลี่เต๋อฉวนเร่งอยู่หลายครั้ง ฉินเย่ว์เหมยถึงค่อยอำลาบรรดาน้องสาวของตนด้วยความอาลัยอาวรณ์“พี่หญิงใหญ่ ท่านถอนรับสั่งได้หรือไม่?”เมื่อเห็นฉินเย่ว์เหมยกำลังจะจากไป ฉินเย่ว์ฉินก็รีบเอ่ยขึ้นมา“รับสั่งใดเล่า?” ฉินเย่ว์เหมยหันหน้ากลับมาถาม“ก็เรื่อง ก็เรื่อง...” เสียงของฉินเย่ว์ฉินแผ่วเบา หน้าแดงเล็กน้อย “เข้าหอในวันนี้”แม้ยามนี้ฉินเย่ว์ฉินไม่รังเกียจเฉินฝานแล้ว แต่นางยังไม่ได้เตรียมใจแต่งงานกับเฉินฝาน “เหตุใดต้องถอนคืนด้วย เจ้าเองก็อายุไม่น้อยแล้ว ควรจะมีทายาทให้สามีของเจ้าได้แล้ว เช้านี้ข้าตรวจดูปฏิทินโหรแล้ว วันนี้เป็นวันดี ไม่อนุญาตให้ปฏิเสธอีก”นี่ก็คือการปราบปรามโดยสายเลือด ก่อนที่ฉินเย่ว์เหมยจะมา พวกฉินเย่ว์เจียวไม่อาจเอ่ยถึงเรื่องเข้าหอได้เลย เวลานี้เมื่อฉินเย่ว์เหมยเอ่ย ฉินเย่ว์ฉินไม่อาจโต้แย้งได้แม้แต่คำเดียว “ยังจะว่าข้าอีก ท่านก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ ไม่ใช่ว่าท่านเองก็หาเหตุผลต่าง ๆ เพื่อหนีนายท่านหรือไร” ขณะที่ฉินเย่ว์เหมยหันกายเดินจากไป ฉินเย่ว์ฉ