หลังจากได้ฟัง เฉินฝานก็รู้สึกถึงบางอย่างไม่ชอบมาพากล“แล้วเมื่อวานที่ท่านอาซื้อของกลับมามากมาย ท่านอาไปเอาเงินมาจากไหน?”เมื่อวานเขาได้ยินชาวบ้านในละแวกนี้พูดกันว่าสิ่งของที่เฉินจินเซียงนำกลับมาครั้งนี้มากกว่าหลายปีที่ผ่านมา“ข้า....” มือทั้งสองข้างที่เฉินจินเซียงปล่อยลงข้างตัวเริ่มประสานกันอีกครั้งนางทั้งอึดอัดใจและกังวลใจในตอนนี้เองเฉินฝานก็เพิ่งสังเกตเห็นว่าบนศีรษะของนางไม่มีเครื่องประดับสักชิ้นแล้วเป็นถึงภรรยาของตระกูลผู้มั่งคั่ง ไม่มีเครื่องประดับบนศีรษะได้อย่างไร“ท่านอา.....”เฉินฝานพยายามกล่าวด้วยเสียงที่นุ่มนวลที่สุด “ท่านอานำเครื่องประดับเหล่านั้นไปจำนำแล้วใช่หรือไม่?”“ที่ไหนกัน ข้าแค่ไม่ได้ใส่มาเท่านั้น เพราะ.....”“ท่านอา!” เฉินฝานกุมมือของเฉินจินเซียงไว้ และกล่าวอย่างจริงจัง “ข้าคือเสี่ยวฝานที่ท่านเคยรักมากที่สุด ท่านสามารถเล่าเรื่องที่ท่านกำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้ให้ข้าฟังได้ ข้าจะช่วยแก้ไขให้ท่านเอง”ช่วยเฉินจินเซียงเท่ากับช่วยให้กายนี้มีคุณค่ามากขึ้น“เสี่ยวฝาน!” นัยน์ตาของเฉินจินเซียงเปล่งประกาย“ขอรับ”เฉินจินเซียงก้มหน้าลง “ข้านำเครื่องประดับของข้าไปจ
เฉินฝานพบกับผู้อาวุโสที่ดูแปลกประหลาดคนหนึ่ง เวลานี้เขากำลังสับสน เพราะเขากำลังยืนแต่งบทกวีบทหนึ่งเฉินฝานเดินทางออกจากหมู่บ้านซานเหอมายังหมู่บ้านต้ากู่กับเฉินจินเซียงในขณะที่พวกเขาเดินทางใกล้ถึงจุดหมายนั้น มีถนนที่ราบเรียบและค่อนข้างกว้างอยู่สายหนึ่งบนถนนสายนี้ เฉินฝานยังไม่เคยผ่านเส้นทางนี้มาก่อน นึกแปลกใจว่าทำไมในอำเภอผิงอันถึงมีถนนที่ดีเช่นนี้ เฉินจินเซียงจึงเล่าความเป็นมาของถนนสายนี้ให้เฉินฝานฟังถนนหลวงคือถนนที่ประชาชนร่วมกันสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยโบราณ เพื่อให้เหล่าขุนนางเมืองอื่นที่ได้รับพระราชโองการจากฮ่องเต้ให้มาตรวจการได้เดินทางสะดวกยิ่งขึ้น อำเภอผิงอันเป็นอำเภอเล็ก ๆ ที่ค่อนข้างยากจน โดยทั่วไปแล้วจะมีถนนหลวงที่ไม่ยาวนัก ถนนหลวงที่เฉินฝานเห็นในตอนนี้เป็นเพียงถนนเล็ก ๆ อ้อมอำเภอผิงเมืองเป็นเมืองต้าฟู่และอำเภอตูอัน!ถนนหลวงนั้นแตกต่างกัน ทิวทัศน์สองข้างทางนั้นงดงามกว่าทิวทัศน์ทั่วไปด้านขวางของถนนหลวง มีแม่น้ำต้าเจียงที่ปะปนกับก้อนน้ำแข็งสายหนึ่ง ตรงข้ามแม่น้ำเป็นยอดเขาที่ตัดสลับกันไม่สิ้นสุด ซึ่งบนยอดเขาเหล่านั้นถูกหิมะปกคลุม โดยมีต้นสนยืนต้นตระหง่านอยู่ท่ามกลางสายลม
“ใต้เท้า แต่ถนนเส้นนั้นไม่ใช่ทางหลวง และไม่ผ่านอำเภอตูอันด้วย”“ตอนนี้ข้าไม่ได้ต้องการไปอำเภอตูอัน ไม่ต้องพูดให้มากความ รีบไปได้แล้ว!”“ขอรับใต้เท้า!” คนใช้ก็กระโดดขึ้นรถม้า“จริงสิ!”ผู้เฒ่าเลิกผ้าม่านของรถม้าขึ้น พูดกับคนรับใช้ว่า “เรียกข้าว่าคุณท่าน ไม่ต้องเรียกข้าว่าใต้เท้า!”“ขอรับ คุณท่าน”......“เสี่ยวฝาน!” เฉินจินเซียงเรียกเฉินฝานให้อยู่อย่างกะทันหันบนถนน“ท่านป้าท่านเหนื่อยแล้วใช่ไหม?” เฉินฝานหยุดการกระทำถามไถ่ด้วยความรีบร้อนเฉินจินเซียงส่ายหัวไปอย่างต่อเนื่อง “ถึงแม้ว่าป้าจะไม่เข้าใจบทกลอน ทว่าโคลงกลอนที่เจ้าท่องเมื่อครู่ รู้สึกมันดีจริงๆ เสี่ยวฝานเจ้าเขียนงั้นหรือ?”“ไม่ใช่แต่อย่างใด” เฉินฝานปฏิเสธอย่างรีบร้อน “นี่คือสิ่งที่หลิ่วจงหยวนสมัยราชวงศ์ถังเขียน”เฉินฝานไม่ได้สังเกต ไม่ใกล้จากตัวเขามากนัก มีรถม้าคันหนึ่งตามมา“หลิ่วจงหยวนสมัยราชวงศ์ถัง?”ผู้เฒ่าที่อยู่บนรถ ศีรษะเอียงไปด้านหน้าเล็กน้อย ในสมองค้นหาชื่อหลิ่วจงหยวนนี้“ราชวงศ์ถัง? อาณาจักรใดกัน หลิ่วจงหยวน? เป็นใครกัน?”“เจ้าเคยได้ยินเกี่ยวกับหลิ่วจงหยวนที่ประพันธ์บทกวีเก่งๆหรือไม่?” กลัวว่าตนเองแก่แล
ตอนที่นางเห็นความเห็นแก่ตัวความไม่แยแสไร้อารมณ์ของเฉินฟู่และเฉินเจียง นางก็แอบเอาข้อสอบมาซ่อนไว้ในแขนเสื้ออย่างลับๆเพราะข้อสอบพวกเขาบีบคั้นนางให้ถึงทางตันเช่นนั้นนางก็พกข้อสอบเดินทางมาด้วย ในฐานะที่เฉินจินเซียงเป็นลูกสาวของเฉินฟู่ พี่สาวของเฉินเจียง นี่เป็นเรื่องที่เคยอกตัญญูกับพวกเขาเพียงเรื่องเดียว “อ๋อ เข้าใจแล้ว” เฉินฝานพยักหน้านี่ก็เป็นของพวกเดียวกันกับพวกหนังสือเตรียมสอบหวงกังมี่ในยุคปัจจุบันหรือ?เฉินฝานก็นึกถึงเสียงตวาดลั่นด้วยความโมโหของเฉินเจียงต่อเฉินจินเซียงเมื่อคืน เพื่อข้อสอบอันนี้ล่ะสิ“ข้อสอบของสำนักบัณฑิตหลี่เสียง?”ผู้เฒ่าที่อยู่บนรถม้าจ้องไปที่ข้อสอบในมือเฉินจินเซียง สายตาไม่เมตตาอ่อนโยนเหมือนครู่อีกต่อไป เป็นสายตาถมึงทึง“คุณท่าน” คนใช้ก็สีหน้าจริงจัง “บอกพวกเขาลงมือหรือไม่”ณ เวลานี้ เฉินจินเซียงยัดข้อสอบใส่ในมือเฉินฝาน “เสี่ยวฝาน เจ้ารีบเอาไป มีสิ่งนี้ต้นฤดูใบไม้ผลิเจ้าต้องเข้าร่วมการสอบขุนนางได้อย่างแน่นอน”เฉินฝานรับข้อสอบมา แม้จะเหลือบมองก็ยังไม่ทำฉีกมันทิ้งในพริบตาเดียวเสียอย่างนั้น“เฮ้ย เสี่ยวฝาน เจ้า...” เฉินจินเซียงตื่นตกใจในขณะเวลาเดียวกั
การสอบถงเซิงของต้าชิ่งสอบแค่ “เถี่ยจิง” กับ “เวิ่นอี้” พูดตรงๆก็คือการท่องจำตำราใครท่องจำตำราได้เยอะก็ยิ่งเก่งกาจดังนั้น เฉินไปเรียนที่สถานศึกษาสิบวัน ก็ได้ยินพวกปัญญาชนที่สถานศึกษาท่องจำตำราพวกนั้นสิบวันความจำของเฉินฝานไม่แย่ ตำราที่พวกปัญญาชนอ่าน เขาท่องจำได้ทั้งหมดแล้ว ตำราที่พวกปัญญาชนยังไม่ได้อ่าน ก็เป็นตำราที่ขายในร้านหนังสือของเขา เขาก็ท่องจำได้ทั้งหมดแล้วเนื่องด้วยปีนี้ผู้ชายมีจำนวนน้อย กำลังทหารด่านชายแดนไม่เพียงพอ ฮ่องเต้ต้าชิ่งออกคำสั่งให้ลดจำนวนปัญญาชนมาจากการสอบขุนนางหลังจากที่หัวหน้าเลขาฝ่ายพิธีการได้รับคำสั่ง ก็เริ่มเพิ่มระดับความยากของข้อสอบขุนนางขนานใหญ่ คือข้อสอบที่ออกนับวันยิ่งเล่ห์เหลี่ยม นับวันยิ่งออกทะเลไปเรื่อยๆตำราที่พวกปัญญาชนต้องท่องจำเพิ่มขึ้นจากเมื่อก่อนมากกว่าสิบเท่าความจำของคนมีขีดจำกัด ปัญญาชนส่วนใหญ่ไม่สามารถท่องจำตำรามากโขเช่นนั้นได้ ดังนั้นการเดาหัวข้อที่สำนักบัณฑิตหลี่เสียงออกเสียงให้แม่นยำเสียหน่อย กลายเป็นสิ่งนิยมชมชอบในหมู่ปัญญาชนรัชสมัยต้าชิ่งทว่ามีคนกลับไม่ชอบสำนักบัณฑิตหลี่เสียงนี้เป็นอย่างมากนั่นก็คือกลุ่มขุนนางของฝ่ายพิธีกา
“เสี่ยวฝาน ด้านหน้าก็คือหมู่บ้านต้ากู่แล้ว”เฉินฝานเงยหน้าทอดสายตาออกไป หมู่บ้านหนึ่งที่ใหญ่หมู่บ้านซานเหอมากกว่าสองเท่าตกกระทบสะท้อนเข้าไปในม่านตาของเขาในหมู่บ้านซานเหอบ้านกระเบื้องอิฐสีดำค่อนข้างน้อย หมู่บ้านต้ากู่กลับมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ดังนั้นจะเห็นได้ว่าหมู่บ้านต้ากู่ไม่เพียงแต่ใหญ่กว่าหมู่บ้านซานเหอเท่านั้น ยังมีมหาเศรษฐีมากกว่าหมู่บ้านซานเหออย่างมหาศาลด้านหน้าหมู่บ้านต้ากู่ เป็นที่นาราบเรียบผืนใหญ่เฉินฝานมองที่นาผืนใหญ่ผืนนั้น ในใจก็อดที่จะรู้สึกอิจฉาอย่างช่วยไม่ได้ที่ดินมากมายขนาดนั้น ไม่ร่ำรวยก็ล้วนเป็นเรื่องทรวงสวรรค์อภัยไม่ได้แล้วตอนที่เลี้ยวเข้าหมู่บ้าน เฉินฝานรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าร่างกายของเฉินจินเซียงสั่นเทาเล็กน้อย“ท่านป้า หลานอยู่ที่นี้ อย่ากลัวไปเลย”เฉินจินเซียงหันหลังกลับมามองเด็กหนุ่มด้านหลังตนเองเด็กหนุ่มนี่ไม่ซึมเซาแบบที่นางเห็นเมื่อครึ่งปีก่อนอีกแล้วตอนนี้ ร่างกายยืนตรงตระหง่าน แววตาสุกสกาวมีจิตวิญญาณ มีความมุ่งมั่น ท่าทางสง่าผ่าเผยเฉินจินเซียงยิ้มอย่างหมดห่วง “มีเสี่ยวฝานอยู่ ป้าไม่กลัวแล้ว!”“ไปกันเถอะ พวกเราเข้าหมู่บ้านกัน!”......ห่าง
“รถม้าเจ้าก็จงใจทำให้มันตกลงไปในแอ่งน้ำล่ะสิ”ผู้เฒ่าอึ้งอีกครั้ง ความคิดในใจเด็ดเดี่ยวแน่วแน่กว่าเดิมเด็กหนุ่มคนนี้เขาไม่สามารถพลาดไปได้“น้องชายไม่ใช่คนธรรมดาจริงๆเสียด้วย...”“ว่าไงนะ?” เฉินจินเซียงตกใจกว่าเดิม “พวกเจ้าก็จงใจทำให้รถม้าตกลงไปในแอ่ง?”ผู้เฒ่ายิ้มอย่างเขินอายเล็กน้อย “พวกเราจงใจจริงๆ”“เหตุใดต้องทำเช่นนี้ พูดถึงเรื่องนี้ เหตุใดพวกเจ้าต้องตามพวกเรา?” เฉินจินเซียงสีหน้างุนงง“ข้า พวกข้า...” ผู้เฒ่าติดอ่างเล็กน้อยคนใช้ที่ยืนข้างกายผู้เฒ่า รู้สึกว่าหูของตัวเองมีปัญหามิเช่นนั้น เหตุใดได้ยินผู้เฒ่าติดอ่างคาดไม่ถึงเลยว่าคุณท่านของเขาจะติดอ่างคุณท่านของเขาทว่าทุกวันนี้...“พวกเราหลงทาง”ผู้เฒ่ายังติดอ่าง คนรับใช้ทนไม่ได้ที่จะพูด“ใช่ๆ!” ผู้เฒ่าพยักหน้ารัวๆ “พวกเราหลงทาง ดังนั้นก็ขับตามพวกเจ้ามาตลอดทาง เมื่อเห็นว่าพวกเจ้าจะเข้าไปในหมู่บ้านแล้ว ข้าจะเอารถลงไปในแอ่งน้ำ หลังจากที่น้องชายมาช่วยแล้ว ค่อยให้ค่าตอบแทน หวังว่าน้องชายจะพาพวกเราออกจากเส้นทางนี้ได้”“โอ้...เป็นเช่นนั้นหรอกหรือ?” เฉินฝานกอดอกน้ำเสียงดูไม่ได้ใส่ใจ“ใช่แล้ว ใช่แล้ว” ผู้เฒ่าไม่กล้าสบตากั
“ยามพูดรู้จักคิดบ้างไหม” ชายชราเตะบ่าวรับใช้บ่าวรับใช้ลูบบั้นท้ายของตนที่ถูกเตะ พูดพึมพำเสียงเบา “ก็เป็นเรื่องจริงหนิ ข้าน้อยพูดผิดหรือ”“ต้องตามติดแบบนั้นแหละ คลาดกันขึ้นมาจะทำอย่างไร?”ชายชราไม่ได้สนใจบ่าวรับใช้อีก เขาเปิดม่านบนรถม้า สายตาจับจ้องไปยังเฉินฝานที่กำลังเดินเข้าเรือนตระกูลหวัง…“นายท่าน ฮูหยิน คุณชาย”เฉินฝานกับเฉินจินเซียงเพิ่งเดินเข้าไปในตระกูลหวัง บ่าวรับใช้ตระกูลหวังก็รีบไปรายงานที่โถงหลักทันที“นายหญิงกลับมาแล้วขอรับ!”“นางกลับมาแล้วหรือ?” หวังหยวนหลงที่กำลังกินถั่วลิสงเงยหน้าขึ้น “ขโมยของในเรือนไป ยังมีหน้ากลับมาอีกหรือ?”“กลับมาก็ดีเหมือนกัน พวกเราจะได้ไม่ต้องส่งใบหย่าไปให้อีก” คำพูดของฮูหยินหวังนางมั่ว ใจจืดใจดำเหมือนกับใบหน้าของนาง“นางกลับมาคนเดียวหรือ?” เทียบกันแล้วน้ำเสียงของหวังเจิ้งเจ๋อคุณท่านตระกูลหวังอ่อนโยนกว่าเล็กน้อย“มีชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบมากับนางหนึ่งคนขอรับ”“เฉินเจียงหรือ?”จิ้งจอกชราเจ้าเล่ห์หวังเจิ้งเต๋อเริ่มวางแผนหากเฉินเจียงมากับเฉินจินเซียง เช่นนั้นสามารถยกเลิกการหย่าร้างกับเฉินจินเซียงมาเป็นข้อต่อรองได้ ให้เฉินเจียงรับปาก
“วันนั้นไฟไหม้ลานบ้านรุนแรงมากถึงเพียงนั้น รอบด้านถูกเราพวกเราห้อมล้อมไว้เป็นชั้น ๆ อย่าว่าแต่คนตายเลย ต่อให้เป็นมดสักตัวก็ไม่สามารถหนีออกมาจากลานบ้านนั้นได้ หรือว่าจู่ ๆ เฉินฝานจะกลายเป็นถู่สิงซุนขุดดินหนีออกไปแล้ว”“พรืด!” เลขาธิการกรมพิธีการหลิวเกาจัวที่ยืนอย่างเชื่อฟังอยู่ทางด้านข้างเหมือนกับสุนัขพลันอดหัวเราะออกมาไม่ได้ เมื่อเสิ่นหมิงหยวนกับเสิ่นหยวนเลี่ยงมองมาทางเขา เขาก็รีบอธิบาย “ข้าน้อยคิดว่าต่อให้เฉินฝานกลายเป็นถู่สิงซุนขุดลงไปใต้ดิน เช่นนั้นก็คงโดนเผาจนสุกอยู่ดี ตอนนี้น่าจะเปลี่ยนจากถู่สิงซุนไปเป็นหนูสุกแล้วขอรับ” หลิวเกาจัวพูดประจบมากมายขนาดนั้น ในที่สุดครั้งนี้เขาก็ประจบถูกจุดแล้วเมื่อได้ยินคำพูดของหลิวเกาจัว เสิ่นหมิงหยวนก็อารมณ์ดีขึ้นในพริบตาใช่แล้ว ไฟไม้แรงขนาดนั้น ต่อให้เฉินฝานสามารถขุดลงไปใต้ดินได้ก็คงโดนเผาจนสุกไปแล้ว“เจ้าไปเถิด!” เสิ่นหมิงหยวนที่อารมณ์ดีมากยกมือขึ้นมาโบกทีหนึ่งแล้วพูดกับหลิวเกาจัวว่า “รัฐพิธีศพของท่านอัครมหาเสนาบดีเบื้องซ้ายจะหยุดไม่ได้ เจ้าไปเชิญนักพรตที่ดีที่สุดในเซียนตูมา จะต้องทำพิธีอุทิศส่วนกุศลดี ๆ ให้ท่านอัครมหาเสนาบดีเบื้องซ้
...เฉินฝานไม่ทันได้รับคำตอบจากเมี่ยวอวี่ เขาก็รู้สึกว่ามีวัตถุร่วงลงมาบนฝ่ามือ จี้หยกในมือเมี่ยวอวี่หล่นลงมาบนฝ่ามือของเฉินฝาน“เมี่ยวอวี่ เมี่ยวอวี่!” ไม่ว่าเฉินฝานจะเรียกอย่างไร โฉมงามในอ้อมแขนก็ไม่มีการตอบสนองเลยตั้งแต่ต้นจนจบนางหลับตา มุมปากยังคงยกยิ้มเล็กน้อยราวกับเจ้าหญิงที่หลับใหลไปพร้อมกับความฝันอันงดงามในหนังสือนิทาน...“คุณหนู!” แม่นมชางร้องไห้พลางโผเข้ามา คุกเข่าอยู่ข้างกายเฉินฝาน ปากก็พึมพำซ้ำ ๆ ว่า “ท่านสาบานตั้งแต่เด็กว่าอยากจะสังหารบุรุษใน ใต้หล้าให้หมด สุดท้ายกลับยังคงตายเพื่อบุรุษ”จากคำพูดของแม่นมชาง เฉินฝานค่อย ๆ เข้าใจแล้วว่าตำหนักเซียวเหยาเป็นองค์กรที่สังหารบุรุษโดยเฉพาะ เดิมทีเฉินฝานอยากจับแม่นมชางเพื่อมาสอบสวน ผลปรากฏว่าแม่นมชางกินยาพิษฆ่าตัวตายไปก่อนแล้วตอนที่ขุดหลุมฝังศพเมี่ยวอวี่ เฉินฝานพลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้“เจี้ยนหวง?” เฉินฝานหันหน้าไปถามเซียนเจี้ยนหวงที่อนู่ทางด้านข้าง “ท่านรู้เรื่องตำหนักเซียวเหยา และรู้ว่าตำหนักเซียวเหยาอยู่ที่ใดใช่หรือไม่?” “ขะ ข้า...” เซียนเจี้ยนหวงดึงรากหญ้าออกจากมุมปาก “ตำหนักเซียวเหยานั้นออกจะลึกลับ ข้าจะไ
“นายท่าน...ถอดผ้าคลุมหน้า...ของข้าเถิด” เมี่ยวอวี่นอนอยู่ในอ้อมกอดของเฉินฝาน อ่อนแรงจนกระทั่งไม่มีแรงที่จะลืมตาแล้วแต่ดูออกได้จากแววตาที่ส่องประกายวิบวับ นางแทบจะรอไม่ไหวแล้ว ร้อนใจอยากจะเป็นภรรยาของเฉินฝานนางเคยคิดว่าบนโลกใบนี้นางคงจะหาบุรุษที่ถอดผ้าคลุมหน้าของนางไม่ได้แล้ว พระเจ้าช่วย สุดท้ายเขาก็ยังไม่ใจร้ายกับนางมากเกินไปนางรอคอยจนได้เจอกับบุรุษที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเฉินฝานถอนหายใจ “ถ้าเกิดโลกนี้มีการเวียนว่ายตายเกิดจริง ๆ หากชาติหน้ามีจริง เจ้าเจอข้าแล้วอย่าได้โง่งมแบบนี้อีก เข้าใจหรือไม่?” ในฐานะที่เป็นคนยุคปัจจุบัน เติบโตมาพร้อมกับการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยียุคปัจจุบัน เฉินฝานคิดว่าคำพูดนี้ของตัวเองน่าขันมากแต่ส่วนลึกภายในใจยังคงหวังว่าวิทยาศาสตร์จะไม่สามารถพิสูจน์ได้ทุกสิ่ง หวังว่าจะมีการกลับชาติมาเกิดใหม่ “ได้!” เมี่ยวอวี่พยักหน้าอย่างว่าง่าย เฉินฝานเอามือวางไว้ที่ด้านหลังหูของเมี่ยวอวี่ จากนั้นก็กระตุกเชือกสีแดงบนหูเบา ๆ ผ้าสีแดงที่ปกปิดใบหน้าครึ่งหนึ่งของเมี่ยวอวี่ก็เลื่อนหลุดลงมาสิ่งแรกที่ปรากฏเข้ามาในสายตาของเฉินฝานคือ ปลายจมูกอันงดงาม ดั
“เหตุใดเจ้าถึงได้โง่เง่าเช่นนี้? อะไรคือข้ารอดแล้วเจ้าต้องตาย!” เฉินฝานด่าอย่างรุนแรงมากเฉินฝานรำคาญกฎเกณฑ์ที่ว่ามีเจ้าไม่มีข้าเช่นนี้มากเลย คนเรามีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ก็เพื่อที่จะฝืนเปลี่ยนชะตาชีวิตต่อให้สุดท้ายไม่สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตได้จริง ๆ อย่างน้อยก็พยายามสู้ให้ถึงที่สุด ไม่ให้ตัวเองหลงเหลือความเสียใจเมี่ยวอวี่ผู้นี้ไม่มีแม้กระทั่งดิ้นรนต่อสู้เลยเขาโกรธมากจริง ๆหากเมี่ยวอวี่เชื่อใจเขาได้ บอกเรื่องราวทุกอย่างกับเขาตามความเป็นจริง นางจะเดินมาถึงเส้นทางนี้ได้อย่างไร ตั้งแต่ที่ติดอยู่ในกระท่อมหิมะ เขาก็ให้โอกาสนางสารภาพความจริงมาโดยตลอด แต่ไม่เคยคิดเลยว่านางจะเลือกเช่นนี้ตรงหน้าอกของเมี่ยวอวี่เป็นสีแดงเพลิง นั่นเป็นการย้อมจนเป็นสีแดงสด ผ้าแพรสีขาวที่ผูกไว้บนใบหน้าก็ถูกย้อมจนเป็นสีแดงเช่นเดียวกัน เลือดไหลออกมาจากในร่างกายเยอะมาก ซึมออกมาจากในปากของนางแล้ว ต้องเจ็บมากแน่ ๆ หางตาของเมี่ยวอวี่กลับยกขึ้นเล็กน้อย “อยู่ต่อหน้าเจ้า มีใครที่ไม่โง่ได้หรือ?”“แต่เจ้าก็ยังโง่ไม่พอ ภารกิจของเจ้าคือการลอบสังหารฆ่าไม่ใช่หรือ อยากจะฆ่าข้าให้ตายไม่ใช่หรือ? ฮึดสู้ขึ้นมาสิ!”เฉินฝา
“คุณหนู พวกเขา...”“นี่เป็นคำสั่ง!” เมี่ยวอวี่ตัดบทหญิงชราด้วยเสียงเฉียบขาด “เปิดเครือข่ายใต้ดินในเมืองเซียนตูเดี๋ยวนี้เลยนะ!”“ว้าว!”เซียนเจี้ยนหวงพุ่งปราดเข้าไป ถามเมี่ยวอวี่ด้วยความตื่นเต้นว่า “แม่หนูน้อย ในเมืองเซียนตูมีเครือข่ายใต้ดินตำหนักเซียวเหยาของพวกเจ้าจริง ๆ หรือ”ดวงตาของชายชราเปล่งประระยิบระยับ เขาเคยได้ยินมานานแล้วว่าตำหนักเซียวเหยามีเครือข่ายใต้ดินอยู่ในเมืองใหญ่มากมาย เขาสงสัยใคร่รู้มากจริง ๆ รีบร้อนอยากจะเห็นเมี่ยวอวี่ผงกศีรษะเล็กน้อย เสียงฟังดูล่องลอย “รบกวนท่านพาพวกเขาเข้ามาด้วย”“ได้เลย ๆ!”เซียนเจี้ยนหวงวิ่งไปหาเฉินฝานอย่างเบิกบานใจ “เจ้าหนู ยังจะอึ้งอยู่ทำไม? เมี่ยวอวี่จะเปิดเครือข่ายใต้ดินแล้ว พวกเรารอดแล้ว!” แม้ว่าในใจยังคงมีความสงสัย แต่ตอนนี้ไม่มีทางอื่นแล้ว เฉินฝานพาภรรยาและลูกตามหลังเซียนเจี้ยนหวงเข้าไปในห้องอีกครั้งหญิงชรากวาดตามองพวกเฉินฝาน ก่อนจะหันไปถามเมี่ยวอวี่อย่างจริงจังว่า “คุณหนู ท่านรู้ไหมว่าตอนนี้ท่านกำลังทำอะไรอยู่?”“ข้าจะทำอะไร?” เสียงของเมี่ยวอวี่ฟังดูคลุมเครือ แต่ว่ามีความเด็ดเดี่ยวอย่างยิ่ง “ไม่ต้องให้แม่นมชางมาเตือนหรอ
ผ่านไปไม่นาน ฉินฮวากับฉินเหนียนก็ถูกช่วยออกมาเพิ่งแต่งงานได้ไม่นาน เฉินฝานก็ยกทัพออกศึกแล้วฉินฮวากับฉินเหนียนเห็นเฉินฝาน ความตื่นเต้นดีใจไม่ได้น้อยไปกว่าฉินเย่ว์โหรวเลยนี่ก็คือสามีของพวกนาง บุรุษที่เหมือนกับขุนเขาเขาไม่ตาย ไม่ตายช่างดีเหลือเกิน ดีเหลือเกินจริง ๆ! “ข้ารู้ว่าพวกเจ้ามีคำพูดมากมายอยากถามข้า แต่ตอนนี้พวกเราต้องออกไปจากที่นี่ก่อน” “ปัง!” คำพูดของเฉินฝานยังไม่ทันสิ้นสุดลง กำแพงที่เชื่อมต่อกับลานด้านนอกพลันถล่มลงมา เปลวไฟที่ลุกโชน ราวกับมังกรเพลิงพุ่งคำรามจากด้านนอกเข้าไปในลานบ้านตัวแล้วตัวเล่าเฉินฝานขมวดคิ้วไฟไหม้นี้รุนแรงขึ้นกว่าสองเท่าจากตอนที่เขาเพิ่งจะเข้ามาเฉินฝานสูดจมูก ไม่ใช่ในไฟนี้มีกลิ่นน้ำมันสน“ซ่า!” เฉินฝานมองเห็นจากไกล ๆ ว่ามีทหารนายหนึ่งสาดน้ำถังหนึ่งมาทางลานบ้านกลิ่นน้ำมันสนแรงมากขึ้น แท้จริงแล้วในถังนั้นไม่ใช่น้ำ แต่เป็นน้ำมันสนที่ดูใกล้เคียงกับน้ำ“ซ่า!”‘น้ำ’ อีกถังสาดเข้ามาจากด้านนอก และครั้งนี้ทหารคนนั้นวิ่งเข้าไปในลาน แล้วราดใส่ศีรษะของพวกเขาโดยตรง“หมอบลง!” เย่ว์เจียวกับเย่ว์หนูได้รับการฝึกอบรมมากแล้ว เข้าใจคำสั่งนี้
บางครั้งสาวงามมักจะโง่งมเล็กน้อย “เจ้าไม่ลืมตา แล้วจะมองเห็นสามีได้อย่างไรเล่า?” เฉินฝานพูดพลางเอาผ้าเปียกปิดปากปิดจมูกของฉินเย่ว์โหรวเวลานี้เอง ฉินเย่ว์เจียวกับเย่ว์หนูก็เข้ามาเช่นกัน พวกนางใช้ผ้าเปียกปิดปากปิดจมูกของจินเหยียนไชเป่า ก่อนจะอุ้มพวกเขาไปจากอ้อมกอดของฉินเย่ว์โหรว ฉินเย่ว์โหรวที่ถูกเฉินฝานเอาผ้าเปียกปิดปากปิดจมูกยังคงไม่มีความคิดอะไรอยู่ในใจ แต่ว่าทันใดนั้นเองอ้อมกอดก็ว่างเปล่าในฐานะมารดาคนหนึ่ง จู่ ๆ บุตรถูกอุ้มไปเป็นเรื่องที่ตื่นตัวมากที่สุด นางจึงลืมตาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว“...”ฉินเย่ว์โหรวมองพวกเฉินฝานด้วยสายตาตะลึงงัน ไม่มีความประหลาดใจยินดี ไม่มีการร้องตะโกน น้ำตาค่อย ๆ เอ่อคลอเต็มดวงตา สุดท้ายก็พรั่งพรูออกมา“นายท่าน พี่หญิงสาม เย่ว์หนู ขอบใจนะเจ้าคะที่ยังอดทนรอข้าอยู่บนทางสู่ปรโลก”“ปัง“เพล้ง!” คานไม้ตรงมุมห้องที่ถูกเผาจนหักหล่นลงมา ทำให้กระเบื้องหลังคาร่วงตามลงมาด้วย“ทางสู่ปรโลกอันใด...เฮ้อ เจ้านี่นะ นอกจากตอนนับเงินที่ฉลาดมากแล้ว เวลาอื่น ๆ ช่างโง่งมเสียจริง ข้าไม่พูดมากกับคนโง่งมอย่างเจ้าแล้ว”เฉินฝานอุ้มฉินเย่ว์โหรวขึ้นมาแล้วเดินออกไป ฉิ
ภายในคฤหาสน์ที่มีเปลวไฟพวยพุ่งขึ้นฟ้า“แค่ก แค่ก แค่ก!”“แง้ แค่ก แง้!”เสียงไอของผู้ใหญ่และเสียงไอผสมร้องไห้ของเด็กดังสลับกันไปมา อีกทั้งยังมีเสียงร้องโหยหวนมากมายปะปนอยู่ในนี้ด้วยมีคนถูกคานที่หล่นลงมาจากหลังคาและประตูหน้าต่างที่โดนถูกเผา ร่วงทับใส่ไม่หยุด “จินเหยียนไชเป่า พวกเจ้าไม่ต้องกลัวนะ ไม่ต้องกลัว แม่อยู่นี่ ๆ” ฉินเย่ว์โหรวกอดบุตรชายทั้งสี่คนไว้ในอ้อมแขนแน่น ๆ เด็กน้อยที่น่าเวทนาทั้งสี่คนเพิ่งจะอายุได้หนึ่งขวบกว่า แต่ละคนหน้าแดงก่ำเพราะไฟที่เผาไหม้ ฤดูเหมันต์ ทั่วทั้งร่างกลับเต็มไปด้วยเหงื่อ เหยียนเป่ากับไชเป่าร่างกายอ่อนแอกว่าเล็กน้อย เมื่ออยู่ในอ้อมแขนของฉินเย่ว์โหรว พวกเขาก็แทบจะไม่มีสติแล้ว“เหยียนเป่า ไชเป่า พวกเจ้าฟื้นสิ พวกเจ้าฟื้นขึ้นมาสิ!” ฉินเย่ว์โหรวร้องเรียกชื่อของบุตรชายสองคนด้วยความกังวลใจแต่เหยียนเป่ากับไชเป่าไม่มีการตอบสนองเลย“ช่วยด้วย หมัวมัว หมัวมัว”“แค่ก ๆๆ” ฉินเย่ว์โหรวร้องขอความช่วยเหลือแววตาตื่นตระหนก ตะโกนหาหมัวหมัวที่ดูแลข้างกายนางมาโดยตลอด เมื่อเอ่ยปากก็มีควันเข้ามาในปาก ทำให้นางสำลักจนแทบจะทรงตัวนั่งไม่ได้ไม่มีผู้ใดตอบรับฉิน
ภายใต้เสียงร้องเรียกของคนมากมาย เสิ่นหมิงหยวนปรากฏตัวตรงหน้าฉินเย่ว์เหมย คุกเข่าบนพื้น“ฝ่าบาท ในที่สุดฝ่าบาทก็ฟื้นแล้ว”เสิ่นหมิงหยวนในสภาพหน้าเปื้อนไปด้วยฝุ่นควัน คล้ายเพิ่งหนีตายเห็นฉินเย่ว์เหมยมองเรือนที่พักของฉินเย่ว์โหรวด้วยสีหน้ากังวล เขารีบพูดขึ้นทันที “ฝ่าบาท โปรดวางพระทัยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะทำสุดความสามารถ แม้กระหม่อมจะเหลือเพียงเถ้ากระดูก ก็จะช่วยพวกฮูหยินตระกูลเฉินออกมาจากเพลิงไหม้”“แล้วเจ้าจะยืนนิ่งอยู่ทำไม? ยังไม่รีบไปช่วยอีก!” ฉินเย่ว์เหมยตะคอกเสียงดังกล่าวว่าทำสุดความสามารถ กล่าวว่าแม้จะเหลือเพียงเถ้ากระดูก ทั้งหมดเป็นเพียงข้ออ้างที่เสิ่นหมิงหยวนใช้สำหรับถ่วงเวลาก็เท่านั้นหลายวันมานี้ ฉินเย่ว์เหมยไม่ได้กินข้าวและไม่ได้ดื่มน้ำ เมื่อตะคอกเสียงดัง นางรู้สึกคล้ายดาวลอยอยู่ตรงหน้า“ฝ่าบาท!”หงอิงรีบพยุงฉินเย่ว์เหมยที่กำลังจะล้มลง“ฝ่าบาท” ทันใดนั้นเองเสิ่นหมิงหยวนก็ลุกขึ้นยืน “สิ่งที่ฝ่าบาทต้องทำตอนนี้คือพักผ่อน ที่เหลือให้กระหม่อมจัดการเองพ่ะย่ะค่ะ!”พูดจบ ไม่สนใจว่าฉินเย่ว์เหมยเห็นด้วยหรือไม่ เขาสั่งให้หลี่ชิ่งเอาตัวฉินเย่ว์เหมยออกไปเวลานี้ทหารรักษาพระองค์ท