เฉินฝานยังไม่ทันตอบกลับ ฉินเย่ว์เจียวก็ส่ายหัวไม่หยุด “ไม่ เป็นไปไม่ได้ พี่รองไม่มีทางเป็นธิดาเทพของนักฆ่าพวกนั้น แม้ว่าเมื่อก่อนพี่หญิงรองจะเกลียดชังนายท่านคนก่อนหน้านี้ แต่นางไม่มีทางเป็นมารร้ายสังหารผู้คนเป็นอันขาด!”“นายท่าน!” ฉินเย่ว์เจียวคว้ามือของเฉินฝานไว้ แล้วเอ่ยอย่างกังวลใจว่า “พี่หญิงรองไม่มีทางเป็นธิดาเทพเด็ดขาด บนโลกนี้มีคนหน้าตาคล้ายกันอยู่มากมาย ธิดาเทพผู้นั้นแค่บังเอิญหน้าตาเหมือนข้าเท่านั้น!”“เย่ว์เจียว!” เฉินฝานกุมมือฉินเย่ว์เจียวกลับ เขาไม่คิดจะปิดบังเลย “เสียใจด้วยมาก ๆ ตอนนี้หลักฐานต่าง ๆ บ่งชี้ว่าธิดาเทพที่นักฆ่าพวกนั้นเอ่ยถึง มีความเป็นไปได้สูงมากว่าจะเป็นพี่หญิงรองของเจ้า”เมื่อฉินเย่ว์เจียวบอกว่านางหน้าตาคล้ายคลึงฉินเย่ว์ฉิน เฉินฝานก็รู้สึกหนักอึ้งอย่างมาก หลักฐานที่ทางไป่เผยหรานรวบรวมมากขึ้นเรื่อย ๆ บ่งชี้ว่าการฆาตกรรมบุรุษที่โหดร้ายชุดนี้เป็นฝีมือของตำหนักเซียวเหยาตอนนี้ก็รอให้หวงหวั่นเอ๋อร์กลับมายืนยันเท่านั้นเฉินฝานคิดว่าตำหนักเซียวเหยาจะต้องใช้ฉินเย่ว์ฉินให้เป็นประโยชน์ แต่คิดไม่ถึงว่าฉินเย่ว์ฉินจะมีฐานะสูงส่งถึงเพียงนี้ในตำหนักเซียวเหยาตอนถูกขั
“ไม่ พระองค์เป็นฮ่องเต้ กระหม่อมคือขุนนาง พิธีการที่พึงมีจะขาดไม่ได้”เฉินฝานทำความเคารพฉินเย่ว์เหมยต่อไปเมื่อเห็นท่าทางทำความเคารพอย่างชำนาญของเฉินฝาน นัยน์ตาของฉินเย่ว์เหมยก็ฉายแววผิกหวังนับตั้งแต่ที่นางประกาศเป็นจักรพรรดินีต่อหน้าทุกคน เฉินฝานยังคงดีกับนางอย่างยิ่ง เขาพยายามจัดการเรื่องราวในแคว้นทุกอย่าง ช่วยเหลือนางอย่างสุดความสามารถเพื่อบริหารบ้านเมืองนี้ให้ดี แต่ก็มีเพียงแค่นี้เท่านั้น เขาไม่แสดงความสนิทสนมกับนางเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไปแล้ว นางรู้ว่าเฉินฝานยังโกรธนางอยู่ โกรธที่นางไม่ปรึกษาเขาก็ประกาศเอาเองว่าจะเป็นฮ่องเต้ อีกทั้งยังสาบานว่าจะไม่แต่งงานชั่วชีวิตฉินเย่ว์เหมยไม่เคยนึกเสียใจกับการที่ตนเองเลือกเช่นนี้ หากเลือกได้อีกครั้ง นางยังคงทำเช่นนั้นเนื่องจากมีเพียงแบบนี้เท่านั้นถึงจะสามารถปกป้องเฉินฝานเอาไว้ได้ ปกป้องพี่สาวน้องสาวของนางเอาไว้ได้ หลังจากทำความเคารพแล้ว เฉินฝานก็ไม่พูดเวิ่นเว้อมากเช่นกัน เขาตอบคำถามเมื่อครู่นี้ของฉินเย่ว์เหมยตรง ๆ ว่า “นักฆ่าหญิงคนนั้นคิดว่าเย่ว์เจียวเป็นธิดาเทพจริง ๆ”แม้ว่าฉินเย่ว์เหมยจะเตรียมใจไว้แล้ว แต่เมื่อได้ยินเฉินฝานพูดเอ
ฉินเย่ว์เหมยอยากพุ่งขึ้นไปบนหลังคาเช่นกัน แต่เฉินฝานขวางนางไว้ “ฝ่าบาท รีบร้อนออกไป อาจเกิดอันตรายได้พ่ะย่ะค่ะ”“ไม่เป็นไร ข้าปกป้องตัวเองได้”สีหน้าของฉินเย่ว์เหมยเต็มไปด้วยความไม่ยี่หระ ยืนกรานว่าจะออกไปเฉินฝานยังคงขวางหน้าฉินเย่ว์เหมยไม่ให้ไป “นั่นก็ไม่ได้ บัดนี้ฐานะของพระองค์ไม่เหมือนในอดีต ศัตรูข้างนอกยังไม่รู้แน่ชัด กระหม่อมไม่อาจให้พระองค์ตกอยู่ในความเสี่ยงได้”ฉินเย่ว์เหมยชะงักฝีเท้า นางไม่ได้โกรธในใจยังมีความรู้สึกอบอุ่นเล็กน้อยเฉินฝานยังคงห่วงใยนางถึงเพียงนี้นัยน์ตาของฉินเย่ว์เหมยที่หันหน้าไปมองเฉินฝานเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย แต่น่าเสียดายที่เฉินฝานเอาแต่เพ่งความสนใจไปที่หลังคาเลยไม่เห็นหลังคากระเบื้องเคลือบกลับคืนสู่ความเงียบสงบหลังจากเสียงเอะอะโวยวายที่ดังขึ้นช่วงสั้น ๆ“หงอิงจับคนได้แล้วหรือ?”“นะ น่าจะใช่กระมัง”ฉินเย่ว์เหมยรีบละสายตาจากร่างของเฉินฝาน ขณะเดียวกันก็ถอยหลังไปเมื่อครู่นี้ ขณะที่เฉินฝานเพ่งมองไปที่หลังคา ฉินเย่ว์เหมยขยับของตนให้เข้าไปยืนใกล้เฉินฝานเล็กน้อยอย่างอดใจไว้ไม่อยู่นางชอบกลิ่นอายบุรุษบนร่างของเฉินฝานไม่ใช่กลิ่นหอมอย่างแน่นอน
ฉินเย่ว์เหมยหันหน้าไปถามเฉินฝานด้วยความสงสัย “ขุนนางเฉิน พวกเขาคือ...”“พวกเขา ฝ่าบาทโปรดทรงรอสักครู่” เฉินฝานกล่าวกับฉินเย่ว์เหมยจบ ก็เงยหน้าไปพูดกับพ่อลูกที่อยู่ด้านนอกคู่นั้นว่า “ตาเฒ่าหวง หวั่นเอ๋อร์เลิกตีกันได้แล้ว รีบมาคารวะฝ่าบาทเร็วเข้า” “ได้ยินหรือไม่ ยังไม่หยุดมืออีก นายท่านของเจ้าให้พวกเราเข้าไปแล้วนะ”เซียนเจี้ยนหวงเซียนตะโกน หวงหวั่นเอ๋อร์ยอมหยุดมือแล้วจริง ๆ“มีสามีแล้วลืมบิดาจริง ๆ!” เซียนเจี้ยนหวงบ่นพึมพำ ในใจรู้สึกอิจฉาเล็กน้อยหวงหวั่นเอ๋อร์ไม่เชื่อฟังเขามาตั้งแต่เด็ก เซียนเจี้ยนหวงยังนึกว่าหวงหวั่นเอ๋อร์มีนิสัยเหมือนมารดาของนาง ก้าวร้าวไม่เคารพผู้อื่น ดื้อดึงไม่เชื่อฟังคำสั่งสอน คิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าตอนนี้เฉินฝานพูดแค่คำเดียว หวงหวั่นเอ๋อร์ก็เชื่อฟังทันที เขารู้สึกขุ่นเคืองใจมาก “ท่านยัดเยียดบุรุษผู้นี้ให้ข้าไม่ใช่หรือ ตอนนี้มาพูดจาไร้สาระอันใด” หวงหวั่นเอ๋อร์ถลึงตาใส่เซียนเจี้ยนหวง ก่อนจะสลัดเขาทิ้งแล้วเดินไปหาเฉินฝาน “นี่ ข้าเป็นบิดาของเจ้านะ เจ้าถลึงตาใส่ข้าหรือ รอข้าด้วยสิ”หวงหวั่นเอ๋อร์จะรอเขาได้อย่างไร เซียนเจี้ยนหวงก็ได้แต่เดินตามไปแต่โดยดีเช่นกัน
เซียนเจี้ยนหวงเซียนเปลี่ยนท่าทีจากหัวเราะเฮฮา เขาโค้มกายให้ฉินเย่ว์เหมยเล็กน้อย “ฝ่าบาท ขออภัยเป็นอย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเคยไปแค่ที่ตั้งเก่าของตำหนักเซียวเหยาเท่านั้น หลังจากที่ตำหนักเซียวเหยาย้ายไปที่ตั้งใหม่ กระหม่อมก็ยังไม่เคยไปเลยพ่ะย่ะค่ะ” “เช่นนั้นก็โทษท่านไม่ได้” ฉินเย่ว์เหมยยากจะปกปิดสีหน้าผิดหวังเอาไว้ได้ตำหนักเซียวเหยาหาเจอยากจริง ๆ หลังจากที่เฉินฝานกลับมาจากเมืองเซียนตูครั้งก่อน นางก็ส่งหงอิงไปตามหาตำหนักเซียวเหยาด้วยตนเอง แต่ก็หาไม่เจอ หวงหวั่นเอ๋อร์ถลึงตาใส่เซียนเจี้ยนหวง “เช่นนั้นข้าไปตามท่านมาก็ไม่มีประโยชน์สักนิดเลยไม่ใช่หรือ ไร้ค่านัก!” เซียนเจี้ยนหวงไม่กล้าโต้แย้งหวงหวั่นเอ๋อร์ ใครใช้ให้เขาติดหนี้นางเล่าเมื่อเห็นเซียนเจี้ยนหวงโดนหวงหวั่นเอ๋อร์ดุจนไม่กล้าเงยหน้า ฉินเย่ว์เหมยก็ตกใจมาก นางก้มหน้าถามเฉินฝานว่า “พวกเขาเป็นพ่อลูกกันจริง ๆ หรือ?” นี่เป็นครั้งแรกที่นางเห็นบุตรสาวด่าทอบิดา และบิดาเอาแต่รับคำเหมือนเด็กที่กระทำความผิด ไม่กล้าเอ่ยปากพูดสักคำเฉินฝานพยักหน้า หากฉินเย่ว์เหมยรู้พวกเรื่องชั่วช้าที่เซียนเจี้ยนหวงทำไว้ นางคงไม่รู้สึกแปลกใจเลย“พอได้แ
เฉินฝานมองฉินเย่ว์เจียวที่เปล่งประกายเย้ายวนน่าหลงใหล ในใจอดรู้สึกทอดถอนใจไม่ได้ มิน่าล่ะตอนที่เจี้ยนหวงเอ่ยถึงธิดาเทพของตำหนักเซียวเหยา ดวงตาพลันฉายแววจินตนาการไปไกลอย่างไร้ที่สิ้นสุดหากการแต่งตัวเช่นนี้ของฉินเย่ว์เจียวก็คือการแต่งตัวของธิดาเทพของตำหนักเซียวเหยารุ่นก่อน ๆ เช่นนั้นจะมีบุรุษสักกี่คนที่ไม่หลงใหล“หม่อมฉันถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ!”สองเสียงดังขึ้นพร้อมกัน ฉินเย่ว์เจียวกับสตรีข้างกายนางต่างก็ทำความเคารพฉินเย่ว์เหมยเวลานี้เอง ฉินเย่ว์เหมยถึงค่อยสังเกตเห็นว่าคนที่เข้ามามีสองคน เมื่อครู่นี้มัวแต่มองฉินเย่ว์เจียว ไม่ทันได้สังเกตเห็นว่ายังมีอีกคนอยู่ข้างกายนาง“เจ้าคือ?” ฉินเย่ว์เหมยมองสตรีข้างกายฉินเย่ว์เจียวด้วยความสงสัยเล็กน้อย นางเรียกตนเองว่าหม่อมฉันเหมือนฉินเย่ว์เจียว นางเป็นภรรยาของขุนนางบ้านใดกัน ฉินเย่ว์เหมยไม่เคยเห็นมาก่อน และไม่เคยเรียกนางเข้าวังด้วย“ฝ่าบาท หม่อมฉันคือนางลู่เพคะ ฝ่าบาทส่งคนมาที่อุทยานหม่อน วันนี้มารดาไม่สบาย หม่อมฉันจึงเข้าวังทำชุดแทนมารดาเพคะ” “ลู่ซืออี๋?” ฉินเย่ว์เหมยอึ้งไป ขณะที่พูดก็ยังหันหน้าไปขอคำยืนยันกับเฉินฝาน“เจ้าคือซืออี๋?” เฉินฝาน
“ซืออี๋ ยังมัวอึ้งอยู่ทำไม นั่งลงเถิด หนึ่งปีครึ่งไม่ได้ไปที่อุทยาน เป็นความผิดของข้าเอง”ลู่ซืออี๋ที่ได้สติกลับมาก็รีบเอ่ยว่า “นายท่าน ตอนนี้ท่านมีงานสำคัญรัดตัว เวลานี้ยังตั้งใจเจียดเวลาไปที่อุทยานหม่อนอีก” เฉินฝานเงยหน้ามองลู่ซืออี๋ไม่เจอกันหนึ่งปีครั้ง ลู่ซืออี๋เติบโตขึ้นมาจริง ๆ ตอนนั้นยังมีใบหน้ากลมเล็กจ้ำม่ำเหมือนเด็กทารกเล็กน้อย บัดนี้ไม่เห็นร่องรอยโดยสิ้นเชิง ใบหน้ารูปเมล็ดแตงที่ได้มาตรฐานทำให้นางดูงดงามขึ้นมาก แน่นอนว่าย่อมงดงามกว่าเมื่อก่อน แต่เฉินฝานกลับรู้สึกเสียดาย ลู่ซืออี๋ในตอนนี้ไม่ได้ดูสดใสและมีชีวิตชีวาเหมือนในตอนนั้นแล้วพูดแบบไม่น่าฟังก็คือดูหม่นหมอง รู้สึกอัดอั้นตันใจมากไม่ได้เจอเขาหนึ่งปีครึ่ง เห็นได้ชัดว่าคิดถึงเขาแทบขาดใจ แต่ยังคงแสร้งทำเป็นรู้ความแล้วผลักไสเขาออกไปอย่างใจกว้าง “พอได้แล้ว!”เฉินฝานดึงลู่ซืออี๋เข้ามาในอ้อมแขนของตนเอง“หากคิดถึงข้าก็แสดงออกมาตามตรงก็ได้ ไม่ต้องแสร้งทำเป็นใจกว้าง” เฉินฝานรู้สุขภาพของลู่ชุนเยี่ยนดี นางป่วยจนทำเสื้อผ้าไม่ได้ที่ไหนกัน นางแค่จงใจให้ลู่ซืออี๋มาแทนนางพูดตามตรงก็คือกลัวเขาลืมลู่ซืออี๋“นายท่าน!” ลู่ซือ
ขณะที่เฉินฝานอุ้มลู่ซืออี๋ออกจากรถม้า ก็มีเสียงโต้เถียงกันดังมาจากด้านนอก“ใครกัน ไม่เห็นพวกเราหรือไร? ถึงได้ชนเข้ามา?”“นี่เจ้าพูดอะไรกัน พวกเราแล่นตรงมาตลอด พวกเจ้าหักเลี้ยวเข้ามา ผู้ที่หักเลี้ยวต้องหลีกทางให้คนที่เดินทางตรง เจ้าขับรถม้ามาหลายปี ไม่เข้าใจเรื่องนี้หรือไร? เจ้าชนเข้ามาเองยังจะโทษพวกเราอีกหรือ?”“เหตุใดผู้หักเลี้ยวต้องหลีกทางให้ผู้ที่เดินทางตรง? พวกเจ้าไม่เห็นหรือว่ารถม้าของพวกเราเป็นม้าหกตัว? รู้หรือไม่ว่าคนบนรถม้าคือผู้ใด?” “เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าคนบนรถม้าของเราเป็นผู้ใด?” “อ้อ คนบนรถม้าของพวกเจ้าคือฝ่าบาทหรือไร?”“พวกเรา...” “คนที่อยู่บนรถม้าของพวกเราคืออ๋องอันเล่อ พวกเจ้าให้ท่านอ๋องของเราตกใจ ยังไม่ให้เจ้านายของพวกเจ้ารีบคลานออกมาจากในรถม้าแล้วคุกเข่าขอขมาอ๋องอันเล่ออีก!” เฉินฝานที่กำลังอุ้มลู่ซืออี๋มุดออกมาจากรถม้าได้ครึ่งตัวก็ชะงักไปครู่หนึ่งอ๋องอันเล่อ?อ๋องอันเล่อเป็นพระอนุชาแท้ ๆ ของอดีตฮ่องเต้ รองจากอ๋องตวนอ๋องอันเล่อไม่ได้โด่งดังเหมือนอ๋องตวน เขาค่อนข้างทำตัวไม่เป็นจุดสนใจ และไม่ชอบเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในราชสำนัก เขาชอบดนตรีมาตั้งแต่
“อะไรนะ!?”“ตอนนี้องค์หญิงเสี่ยวฉู่พาฝ่าบาทไปที่ประตูอู่แล้วขอรับ เจ้าสิ่งนั้น ปะ ปะ...”“ปืนไรเฟิล”“ใช่ ๆ ปืนไรเฟิล ปากกระบอกปืนไรเฟิลจ่อพระเศียรของฝ่าบาทอยู่เลยขอรับ!”“หา นี่เป็นเพราะอะไรกัน?”บรรดาพี่สาวน้องสาวตระกูลฉินได้ยินข่าวขึ้นมา“กราบทูลบรรดาองค์หญิง ข้อเรียกร้องขององค์หญิงเสี่ยวฉู่คืออยากให้ท่านอัครเสนาบดีกับฝ่าบาทอภิเษกสมรสกันเดี๋ยวนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ”“เหลวไหล!”เฉินฝานพุ่งตัวออกไปราวกับพายุเวลานี้บรรดาพี่น้องตระกูลฉินที่เพิ่งแสดงท่าทีรีบร้อนทำหน้าร้อนใจกลับมีสีหน้าแจ่มใส ถึงขนาดที่นั่งลงปรึกษาหารือกันฉินเย่ว์โหรว “พี่หญิงรอง ท่านมีฝีมือดี ท่านรีบไปขวางอยู่ที่หอด้านบนประตูอู่ อย่าให้นายท่านลงมา” ฉินเย่ว์เจียว “ไม่มีปัญหา พอถึงเวลานั้นข้าจะเรียกน้องหวั่นเอ๋อร์ นายท่านหนีไม่รอดแน่”ฉินเย่ว์ฉิน “เช่นนั้นข้าจะให้พี่น้องในวังเซียวเหยาก่อนหน้านี้ไปเดินเล่นแถว ๆ ประตูอู่ให้หมดเลย จะต้องครึกครื้นเป็นแน่ รับรองว่าพี่น้องทหารองครักษ์พวกนั้นจะต้องมองสาวงามอย่างไม่หวาดไม่ไหว”สามพี่น้อง “ความปรารถนาของเสี่ยวฉู่ พวกเราในฐานะพี่สาวจะต้องช่วยอย่างเต็มที่!”เมื่อมองถนนละแวกป
“ข้าไม่ได้ขัดขืนจริง ๆ” เย่ลวี่เลี่ยก้มหน้าลง ชายสูงแปดฉื่อทำสีหน้าที่เต็มไปด้วยความท้อแท้ใจ เขาอยากขัดขืนอยู่แล้ว แต่ฉินเย่ว์ฉู่ไม่ได้ให้โอกาสนั้นกับเขาเลยตอนที่ฉินเย่ว์ฉู่บุกเข้ามาในกระโจมใหญ่ของเย่ลวี่เลี่ย ก็ยิงปืนกำจัดองครักษ์ของเย่ลวี่เลี่ยก่อนพูดแล้วก็น่าอับอาย เย่ลวี่เลี่ยที่เคยผ่านศึกมาอย่างโชกโชนตกใจกลัวรูเลือดตรงกลางหน้าผากขององครักษ์ เขาไม่เคยเห็นอาวุธที่รวดเร็วขนาดนี้มาก่อนเลยได้ยินแค่เสียงดังปัง หน้าผากขององครักษ์ก็มีรูเลือดใหญ่ขนาดนี้แล้ว ความเร็วที่แม้แต่เทพเซียนก็ทำไม่ได้ ความแม่นยำที่แม้แต่เทพเซียนก็ยังทำไม่ได้ในตอนที่ฉินเย่ว์ฉู่ยกปืนขึ้นแล้วลั่นไกอีกครั้ง เมื่อเย่ลวี่เลี่ยได้ยินเสียง เขาก็ตกใจจนสลบไปทันที หลับไปตื่นหนึ่งถึงค่อยพบว่าฉินเย่ว์ฉินยิงใส่หมวกเล็กของเขาเท่านั้นตกใจสาวน้อยจนสลบไป ไม่ว่าสือจิ่งซานผู้นี้จะถามอย่างไร เย่ลวี่เลี่ยก็ไม่บอกเขา .....ในคืนที่เย่ลวี่เลี่ยถูกจับ ข่าวก็ไปถึงเมืองหลวงแล้ว “เครื่องอัดเสียงพลังงานแสงอาทิตย์ เครื่องเสียง...” ขณะที่ฉินเย่ว์เหมยอ่านคำเหล่านี้ก็ถามเฉินฝานด้วยความมึนงงว่า “จดหมายของเสี่ยวฉู่บอกว่า นางแค่อาศ
“นางไม่รู้หรือว่าพวกเราไม่อยากลงมือจริงจัง?” “พอไปถึงค่ายทหารของชาวหู ไม่ใช่แค่โดนฆ่าธรรมดาแบบนั้นหรอกนะ” ชาวหูไม่มีทางปล่อยสตรีชาวต้าชิ่งใด ๆ ที่ตกอยู่ในมือพวกเขา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสตรีชาวต้าชิ่งที่หน้าตางดงามฐานะสูงศักดิ์อย่างฉินเย่ว์ฉู่ พฤติกรรมของพวกเขาใช้คำว่าเดรัจฉานมาอธิบายยังไม่พอเลย สือจิ่งซานสะบัดแขนเสื้อ “พอได้แล้ว สตรีนางเดียวไม่มีค่าพอให้เราต้องใส่ใจหรอก นางอยากตายก็ปล่อยนางไปเถิด โจวจวี่ เจ้าส่งคนไปบอกเยลวี่เลี่ยว่าให้พวกเขาเหลือศพไว้ครบถ้วน ข้าจะซื้อศพไว้ใช้ประโยชน์” ไม่ต้องให้สือจิ่งซานรอนานเกินไป วันรุ่งขึ้นทหารลาดตระเวนก็มารายงาน “ว่าไงนะ? เยลวี่เลี่ยมาด้วยตนเอง?”“ท่านแม่ทัพใหญ่ หากพูดให้ตรงคือเยลวี่เลี่ยโดนฮูหยินเล็กของท่านอัครเสนาบดีจับกุมมาขอรับ”“เจ้าพูดอีกทีสิ?”ทหารลาดตระเวนพูดซ้ำถึงสามรอบเต็ม ๆ สือจิ่งซานก็ยังไม่เชื่อไม่ใช่แค่สือจิ่งซานที่ไม่เชื่อ ต่อให้เป็นผู้ถูกจับกุมอย่างเยลวี่เลี่ยก็ไม่เชื่อเช่นกัน เขาจะโดนสตรีนางเดียวจับกุมได้อย่างไรยิ่งไปกว่านั้นสตรีผู้นี้ยังอายุน้อย พาทหารหญิงรุ่นราวคราวเดียวกันมาแค่ร้อยกว่าคนเมื่อฉินเย่ว์ฉู่พาเยลวี่เล
สือจิ่งซานยกมุมปากยิ้มคลุมเครือ “แปรพักตร์อันใดกัน ฝ่าบาทกับท่านอัครเสนาบดีเห็นอกเห็นใจกองทัพหมาป่าเรา จึงส่งสะใภ้คนเล็กมา เช่นนั้นกองทัพหมาป่าเราย่อมต้องต้อนรับสะใภ้ท่านนี้ให้ดี ๆ”“แม่ทัพใหญ่กล่าวถูกต้อง พวกเราต้อง ‘ต้อนรับ’ ให้ดี ๆ!” โจวจวี่พูดคล้อยตามทันที ไม่นานนักก็มีคำสั่งจากในกระโจมใหญ่ ให้ทหารแม่ทัพทั้งหมดของกองทัพหมาป่าเปลือยท่อนบนยุคโบราณที่จารีตเคร่งครัดอย่างยิ่ง การเปลือยท่อนบนเช่นนี้เป็นพฤติกรรมดูหมิ่นไม่ให้ความกียรติสตรีอย่างรุนแรงยิ่งกว่านั้นฉินเย่ว์ฉู่เป็นภรรยาเอกของอัครเสนาบดีขั้นหนึ่ง องค์หญิงแห่งต้าชิ่ง พระขนิษฐาแท้ๆ ของฮ่องเต้หญิงหากฉินเย่ว์ฉู่เป็นเพียงสตรีทั่วไปในยุคนี้ เกรงว่ามีแต่จะตกใจจนมือไม้อ่อนไปหมดทหารแม่ทัพทั้งหมดของกองทัพหมาป่าเปลือยท่อนบนออกจากกระโจม รอดูท่าทางตกใจกลัวจนร้องไห้โฮยกใหญ่ของฉินเย่ว์ฉู่“ผู้ชายมากมายถึงเพียงนี้ข่มขู่เด็กสาวคนเดียวจะไม่เกินไปหน่อยหรือ” มีบางคนรู้สึกว่าแบบนี้ไม่ค่อยดีนัก แต่คำพูดของเขาก็โดนคนอื่นสวนกลับทันที “เกินไปอันใดเล่า เฉินฝานเป็นคนส่งมา ให้เขาหยามพวกเราได้เท่านั้น แต่ไม่ยอมให้พวกเราตอบโต้คืนหรือ? เปลือย
เย่ว์หนูได้รับบาดเจ็บในระหว่างที่ปกป้องเฉินฝานครั้งหนึ่ง ร่างกายของนางตอนนี้จึงไม่แข็งแรงเหมือนเมื่อก่อน เดิมทีเฉินฝานอยากให้หวงหวั่นเอ๋อร์ตามฉินเย่ว์ฉู่ไป มีหวงหวั่นเอ๋อร์อยู่ อย่างน้อยที่สุดก็ไม่มีปัญหาเรื่องความปลอดภัยของฉินเย่ว์ฉู่ ผลปรากฏว่าฉินเย่ว์ฉู่ปฏิเสธแม้กระทั่งหวงหวั่นเอ๋อร์ด้วยฉินเย่ว์ฉู่พาทหารหญิงไปหนึ่งร้อยกว่าคน มุ่งตรงสู่ทางเหนือ บุกไปยังกองทัพหมาป่าอย่างกล้าหาญ “เจ้าปล่อยให้นางไปเช่นนี้หรือ?” คนที่ตำหนิเฉินฝาน ไม่ใช่แค่พี่น้องตระกูลฉินทั้งสามคนในจวนสกุลเฉิน แม้แต่ฉินเย่ว์เหมยที่อยู่ในวังหลวงก็รีบออกมาเช่นกันนางคิดว่าไม่ว่าอย่างไร อย่างน้อยที่สุดเฉินฝานต้องให้ฉินเย่ว์ฉู่นำกองพลมือปืนไป“เย่ว์ฉู่เป็นน้องเล็กของพวกเจ้า น้องเล็กของพวกเจ้ามีนิสับแบบไหน พวกเจ้าไม่รู้เลยหรือไร?” คำพูดประโยคเดียวของเฉินฝานทำให้พวกนางสำลักแล้วแม้ว่าฉินเย่ว์ฉู่จะเป็นน้องเล็กสุดในตระกูลฉิน ทว่าตั้งแต่เด็กจนโต นางมีความคิดของตัวเองมากที่สุด ขอเพียงเป็นเรื่องที่นางตัดสินใจแล้ว ไม่มีใครสามารถทำให้นางเปลี่ยนใจได้“แต่ว่า...” ฉินเย่ว์โหรวที่เป็นคนกังวลใจมากที่สุด ขมวดคิ้วมุ่น ดูกลัดกล
การปรากฏตัวของนาง ทำให้ทุกคนรู้สึกปีติยินดีกันมากแต่ฉินเย่ว์เจียวกลับถลึงมองสตรีผู้นั้น “พอได้แล้ว เสี่ยวฉู่เจ้าเด็กตัวแสบ แสร้งทำตัวเป็นผู้ใหญ่อันใด ยังไม่รีบเข้ามาอีก?” ฉินเย่ว์ฉู่ขี่ม้าเข้ามา ขณะที่นางผ่านฉินเย่ว์เจียวยังไม่ลืมเถียงกลับว่า “พี่หญิงรอง ข้าอายุยี่สิบแล้ว เป็นผู้ใหญ่ตั้งนานแล้วนะ”ฉินเย่ว์เจียวเชิดหน้าขึ้นสูง “ไม่ว่าเจ้าจะอายุเท่าไหร่ ถึงอย่างไรในสายตาข้า เจ้าก็เป็นเด็กตลอดกาล” ฉินเย่ว์ฉู่ควบม้าตรงมาหาเฉินฝาน แล้วฟ้องเขาว่า “นายท่านดูสิเจ้าคะ พี่หญิงรองรังแกข้าอีกแล้ว นางรังแกข้ามาตลอด ท่านไม่จัดการนางบ้างหรือ?”เฉินฝานมองฉินเย่ว์ฉู่ที่สดใสมั่นใจในตัวเองตรงหน้า ภาพที่เขาเห็นฉินเย่ว์ฉู่ครั้งแรกเมื่อสิบปีก่อนฉายขึ้นมาในสมอง เกิดความรู้สึกราวกับว่าเวลาผ่านไปชาติหนึ่งเด็กสาวที่ขี้กลัวในวันวาน บัดนี้กลายเป็นโฉมสะคราญที่มีสง่าราศี เฉินฝานรู้สึกภาคภูมิใจเล็กน้อย“เหตุใดที่กลับมาตอนนี้ ไม่ต้องเข้าเรียนแล้วหรือ?” เฉินฝานถามตั้งแต่ฉินเย่ว์ฉู่อายุสิบห้า เฉินฝานก็ส่งนางไปเรียนที่โรงเรียนสตรีในเมืองเซียนตู“นายท่าน ข้าน้อยเรียนจบแล้วเจ้าค่ะ”“เรียนจบแล้ว?”“ข้าน้อยเ
วันนี้เป็นวันหยุดพักผ่อน ซึ่งทั้งเดือนจะมีเพียงวันเดียวเท่านั้น นี่เป็นวันที่หาได้ยาก ในฐานะที่ฉินเย่ว์โหรวเป็นภรรยาเอกที่ดูแลบ้านย่อมไม่ปล่อยให้หลุดมือไปง่าย ๆ นางได้เตรียมการไว้ล่วงหน้าหลายวันแล้วว่าวันนี้พวกเขาจะไปเที่ยวเล่นกินอาหารที่ชานเมืองกันทั้งครอบครัวนี่เป็นสิ่งที่เฉินฝานเสนอขึ้นเมื่อหลายปีก่อน หลังจากครั้งนั้น ฉินเย่ว์โหรวก็หลงใหลอยู่สุดซึ้ง ขอเพียงเฉินฝานมีวันหยุด นางจะต้องออกไปให้ได้สถานที่เที่ยวเล่นกินอาหารกันในครั้งนี้มีทิวทัศน์งดงามราวกับภาพวาดเหมือนเช่นเคยเฉินฝานนั่งอยู่บนเก้าอี้พนักพิง กินผลไม้มองบุตรชายบุตรสาวเล่นกันอย่างสนุกสนานบนทุ่งหญ้า ส่วนบรรดาภรรยาก็ยุ่งอยู่กับการเตรียมอาหารกลางวันกลิ่นอาหารที่เฉินฝานชอบลอยอยู่ในอากาศอาหารของพวกเขาทั้งหมดเป็นรูปแบบยุคปัจจุบัน เนื้อแกะย่างทั้งตัว สเต๊กซี่โครงย่าง หมูสามชั้นย่าง ปีกไก่ย่าง กระดูกอ่อนย่าง... ยังมีหม้อไฟทะเล และผลไม้แช่เย็นต่าง ๆ นานา“อืม~” เฉินฝานสูดจมูก แล้วแค่นเสียงเบา ๆ ด้วยความพึงพอใจ เขาหลับตาพักผ่อน พักผ่อนสักพักก็เริ่มกินได้แล้ว“ฮี่!”เฉินฝานเพิ่งจะนอนหลับก็ตกใจตื่นกับเสียงร้องฮี่ของม้า “
หลังจากสือจิ่งซานควบคุมกองทัพหมาป่า เขาก็เปลี่ยนตัวแม่ทัพก่อนหน้านี้ทั้งหมด ตอนนี้ทหารเหล่านี้ล้วนเชื่อฟังสือจิ่งซานเท่านั้น“ใครบังอาจวิจารณ์ฝ่าบาทและท่านอัครเสนาบดีที่นี่?”สือจิ่งซานตวาดอย่างเย็นชา เขาเดินแหวกแม่ทัพเหล่านั้นพร้อมกับเอ่ยวาจา หลังจากนั้นก็หันกาย สายตากวาดมองไปบนร่างแม่ทัพเหล่านั้นห“ข้าน้อยไม่บังอาจวิจารณ์ เดิมทีสิ่งที่ข้าน้อยพูดก็เป็นความจริง หากไม่มีกองทัพหมาป่าของเรา ไม่มีท่านแม่ทัพใหญ่ ต้าชิ่งจะสงบสุขเหมือนทุกวันนี้ได้อย่างไร เวลานี้กลับให้เฉินฝานผู้นั้นยึดความดีความชอบทั้งหมดไว้เพียงผู้เดียว” “ถูกต้อง พวกเรารู้สึกว่าไม่ยุติธรรมกับท่านแม่ทัพใหญ่เลย”แม้ว่าเสียงของพวกแม่ทัพจะเบาลงแล้ว แต่ความโกรธเกรี้ยวและความไม่พอใจในคำพูดกลับยิ่งรุนแรงขึ้น “เหลวไหล เดิมทีความสงบสุขของต้าชิ่งก็เป็นหน้าที่ของกองทัพหมาป่าเรา ในฐานะที่ข้าเป็นแม่ทัพใหญ่ของกองทัพหมาป่ายิ่งต้องทำเช่นเดียว ต่อไปหากมีใครกล้าบังอาจวิจารณ์ฝ่าบาทกับอัครเสนาบดีอีก ลงโทษโบยด้วยไม้พลองทหาร!”“ท่านแม่ทัพใหญ่...”“ทหาร!” สือจิ่งซานตัดบทคนผู้นั้น “นำตัวสวี่ต๋าออกไปโบยด้วยไม้พลองทหารห้าสิบที!” ไม่นานนัก
ตอนนี้น่าจะถือว่ารักษาสัญญาแล้วกระมังฉินเย่ว์เหมยรับประทานอาหารค่ำที่จวนสกุลเฉิน พี่น้องทั้งห้าคุยเล่นกันในห้องจนดึกดื่น หลี่เต๋อฉวนเร่งอยู่หลายครั้ง ฉินเย่ว์เหมยถึงค่อยอำลาบรรดาน้องสาวของตนด้วยความอาลัยอาวรณ์“พี่หญิงใหญ่ ท่านถอนรับสั่งได้หรือไม่?”เมื่อเห็นฉินเย่ว์เหมยกำลังจะจากไป ฉินเย่ว์ฉินก็รีบเอ่ยขึ้นมา“รับสั่งใดเล่า?” ฉินเย่ว์เหมยหันหน้ากลับมาถาม“ก็เรื่อง ก็เรื่อง...” เสียงของฉินเย่ว์ฉินแผ่วเบา หน้าแดงเล็กน้อย “เข้าหอในวันนี้”แม้ยามนี้ฉินเย่ว์ฉินไม่รังเกียจเฉินฝานแล้ว แต่นางยังไม่ได้เตรียมใจแต่งงานกับเฉินฝาน “เหตุใดต้องถอนคืนด้วย เจ้าเองก็อายุไม่น้อยแล้ว ควรจะมีทายาทให้สามีของเจ้าได้แล้ว เช้านี้ข้าตรวจดูปฏิทินโหรแล้ว วันนี้เป็นวันดี ไม่อนุญาตให้ปฏิเสธอีก”นี่ก็คือการปราบปรามโดยสายเลือด ก่อนที่ฉินเย่ว์เหมยจะมา พวกฉินเย่ว์เจียวไม่อาจเอ่ยถึงเรื่องเข้าหอได้เลย เวลานี้เมื่อฉินเย่ว์เหมยเอ่ย ฉินเย่ว์ฉินไม่อาจโต้แย้งได้แม้แต่คำเดียว “ยังจะว่าข้าอีก ท่านก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ ไม่ใช่ว่าท่านเองก็หาเหตุผลต่าง ๆ เพื่อหนีนายท่านหรือไร” ขณะที่ฉินเย่ว์เหมยหันกายเดินจากไป ฉินเย่ว์ฉ