“เสี่ยวฝาน ทำได้ดีมาก ๆ!”ตอนนี้อ๋องตวนได้วิ่งมาถึงจุดสูงสุดของเนินเขาแล้ว พยายามมองสถานการณ์โดยรอบเฉินฝานอย่างทุลักทุเลเห็นว่าเฉินฝานยิงโจรป่าจำนวนมากมายล้มตายอย่างต่อเนื่อง ตะโกนให้กำลังใจเฉินฝานด้วยความตื่นเต้นมิหยุด“ท่านอ๋อง ท่านอย่ามัวแต่ตะโกนสิ รีบบอกตำแหน่งพวกเขาให้ข้าเร็ว!” เฉินฝานตะโกนลั่น“ได้!”“เสี่ยวฝาน ทางซ้ายและทางขวาด้านหน้าเจ้า มีฝั่งละห้าคน มิใช่ หกคน มิใช่ ๆ มีเจ็ดคน!”“ตกลงแล้วมีกี่คนกันแน่?”“เอ่อ ข้าก็ ก็ไม่รู้ว่ามีกี่คน!” อ๋องตวนปาดเหงื่ออย่างลนลานโจรป่าในโพรงหญ้าก็เหมือนงูเจ้าเล่ห์ วิ่งเพ่นพ่านซ้ายทีขวาที อ๋องตวนจึงมิสามารถนับจำนวนที่ถูกต้องเฉินฝานยิงปืนไปทางซ้ายและทางขวาด้านหน้าสองสามนัด ทว่าเมื่อสิ้นเสียงปืนก็มิมีเสียงกรีดร้อง“ท่านอ๋อง ไม่ต้องบอกจำนวนคนบอกแค่ตำแหน่งก็ใช้ได้แล้ว”“พวกเขาอยู่ตรงทางขวาด้านหน้าเจ้า มิใช่ๆ ทางขวาตรงข้าม มิใช่ๆ อยู่...”อ๋องตวนลนลานจนคุมสติมิอยู่โจรป่าเหล่านั้นเพิ่มเล่ห์เหลี่ยมมากกว่าเดิม ไม่เพียงวิ่งเพ่นพ่านเท่านั้นแต่ยังวิ่งสลับตัวกันไปมาอีกด้วยฟึบ ๆ ๆ ๆตอนที่ยินเสียงลมพัดใบหญ้าและกอหญ้า เฉินฝานเห็นร่างคนเลื
“ต้องเป็นแบบนั้นแน่นอน ตอนนี้แม้กระทั่งศพก็ยังหามิเจอ ทั้งร่างคงจมบ่อโคลนไปแล้วเป็นแน่”เหล่าโจรป่าพากันกระซิบกระซาบ“ปึก!”อ๋องตวนเคาะสายรัดเอวพยัคฆ์ทันที“เสี่ยวฝานต้องรอด เขามิตายง่ายๆหรอก!”อ๋องตวนตะโกนดังมากเพียงใด ในใจก็หวาดกลัวมากเพียงนั้นที่จริงทุกคนก็ปักใจเชื่อไปแล้วว่าเฉินฝานตายแล้วโพรงหญ้าที่เฉินฝานกลิ้งตัวเข้าไปโคลนหนาแน่นมากที่สุด ผ่านไปเนิ่นนานแล้ว หากเฉินฝานยังมีชีวิตรอด ก็คงจะขานรับไปนานแล้วเริ่มเข้าสู่ยามค่ำคืน ลมพัดแรงกว่าเดิมจนใบหญ้าโอนเอนไปมา เสียงใบหญ้าเสียดสีดังมาก ต้องตะโกนพูดเสียงดัง ผู้อื่นจึงจะได้ยินในตอนนี้ มีร่างเงาหนึ่งกลิ้งจากพื้นที่ธารน้ำที่ลึกที่สุดกลิ้งไปทางโจรป่าด้วยความรวดเร็วบุคคลผู้นี้คือเฉินฝานที่ฝูงชนใช้เวลาตามหามานานเฉินฝานยังมิตาย เขาจงใจจะซ่อนตัวจนฟ้ามืดร่างกายของเฉินฝานกลิ้งผ่านบ่อโคลนแต่ละที่ด้วยความรวดเร็ว ในสถานการณ์ที่ไร้เครื่องมือนี่คือวิธีที่ข้ามพื้นที่ธารน้ำที่ยอดเยี่ยมที่สุด ซึ่งเขาคิดออกตอนที่จวนตัวพลัดตกลงไปในบ่อโคลนตอนที่เขาเพิ่งได้เป็นทหารในกองทัพยุคปัจจุบันใหม่ ๆ หัวหน้าของเขาได้เล่าเรื่องตอนเดินทัพทางไกลใ
“ไอ้หยา เสี่ยวฝาน ข้าบอกแล้วเจ้ามิตายหรอก เจ้าจะตายได้อย่างไรกัน?”อ๋องตวนตะโกนร้องด้วยความดีใจชายกำยำสูงสองเมตร จู่ ๆก็น้ำตาไหลอาบน้ำราวกับสาวน้อยเฉินฝานอัครเสนาบดีเบื้องซ้ายผู้นั้นรึ?เหอหรันหันไปมองเฉินฝานตามสัญชาตญาณ“ข้าเตือนเจ้าไว้ก่อนทางที่ดีอย่าขยับ หากโดนปืนยิงจะมีจุดจบเช่นไรข้าว่าสหายเหล่านั้นของเจ้าทราบดี!” เฉินฝานกล่าวเสียงเรียบนิ่ง“หัวหน้าใหญ่ ท่านอย่าขยับเด็ดขาดนะขอรับ!”เหล่าโจรป่ากล่าวเตือนเหอหรันด้วยความลนลาน“เหอะ!”เฉินฝานแสยะยิ้มทันที “ดูสิ เหล่าสหายของเจ้าตื่นตระหนกแทนเจ้าปานนั้น แต่เจ้ากลับสังเวยชีวิตพวกเขาให้กับข้า เจ้ายังมีสามัญสำนึกอยู่หรือไม่? นอนหลับอย่างไร้กังวลได้รึ?”“สังเวยชีวิต?”กั้วเจียงหลงมองเฉินฝานด้วยความงุนงง “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”“หมายความว่าจงใจให้พวกเจ้าออกไปตาย เมื่อพวกเจ้าตายแล้ว พวกเราก็ถือว่าปราบโจรได้สำเร็จ หลังจากนั้นพวกเราก็จะกลับเมืองหลวง และพวกเขา...”อ๋องตวนโบกมือด้านหน้าเหอหรันและชายชราผู้นั้นไปมา “ก็สามารถสบายใจหายห่วง จากนั้นค่อยฝึกโจรป่ากลุ่มใหม่”“หัวหน้าใหญ่ ท่านอาจารย์ เป็นความจริงรึ?”กั้วเจียงหลงจ้องเหอ
“แน่นอนว่าต้องจับมัดห้อยลงมาแล้วโบยตี เจ้าคนมิรู้จักผิดชอบชั่วดี” อ๋องตวนก่นด่ามิหยุดปาก“ท่านอ๋องพูดถูก!”ระหว่างที่พูด เฉินฝานยกดาบปลายปืนจ่อทางเหอหรันเหนี่ยวไกออกไป...วันถัดมาณ ประตูทางเข้าจวนพำนักของเจ้าเมืองเฟิ่งหวง“เขาคือหัวหน้าของโจรป่ารึ?”“หน้าตาคล้ายคลึงกับใต้เท้าเหอจริงด้วย!”เหล่าราษฎรเมืองเฟิ่งหวงพากันมารวมตัวที่ประตูทางเข้าจวนพำนักเจ้าเมือง ชี้ไปชายหนุ่มที่ถูกมัดห้อยอยู่บนคานประตู“เพี้ยะ ๆ ๆ ๆ!”อ๋องตวนใช้แส้ในมือฟาดก้นเหอหรันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในขณะเดียวก็บ่นพึมพำมิหยุดปาก“เจ้าคนที่ริเอาโจรมาเป็นพ่อ ที่แห่งนี้เป็นบ้านของเจ้า เจ้าเมืองเหอต่างหากที่เป็นพ่อของเจ้า”เหอจื้อเฟยที่อยู่ในจวนพำนักมองลูกชายที่ถูกอ๋องตวนใช้แส้โบยตีมัดห้อยตรงคานประตู สีหน้าเหมือนกับพ่อส่วนใหญ่ที่มองลูกชายทรพีทั้งโกรธและสงสารหลายปีที่ผ่านมานี้ เหอหรันปล้นเงินและเสบียงของชาวบ้านทำลายครอบครัวไปตั้งมากมายก็สมควรถูกโบยตีนายหญิงเหอสีหน้าเปี่ยมไปด้วยความสงสาร ทนมิได้จึงคิดที่จะวิ่งนำเหอหรันลงมา ทว่าเมื่อชนเข้ากับอ๋องตวน จึงมิกล้ารุดหน้าเข้าไปอีกเหอหรันจ้องเขม็งไปที่เหอจื้อเฟยทันที “พ่อ
“เรื่องนี้ข้าคิดว่าเหอจื้อเฟยทำถูกแล้ว อย่างไรเสียเหอหรันก็ทำผิดกฎหมาย นายหญิงเหอก็มิได้ผิดอันใด เฝ้ารอมานานหลายปีในที่สุดหลานที่กลายเป็นโจรก็กลับบ้านมาเสียที ทว่ามินานก็ถูกลูกชายส่งเข้าคุก จะมิเศร้าโศกได้อย่างไร?”อ๋องตวนส่ายหน้าไปมา “เสี่ยวฝาน ทางที่ดีพวกเราอย่าเข้าไปยุ่งเรื่องนี้ดีกว่า”เฉินฝานมองไปทางเสียงร้องไห้ของนายหญิงเหอ กล่าวเสียงเรียบนิ่ง “ข้าก็มิได้คิดจะเข้าไปยุ่งอยู่แล้ว”สองสามปีที่ผ่านเหอจื้อเฟยตรากตำเพียรพยายามที่ให้ราษฎรเมืองเฟิ่งหวงมีชีวิตที่ดีขึ้น เพราะประจบประแจงมิเป็นจึงทำให้อยู่ตำแหน่งเดิมมาหลายปี ให้กำเนิดลูกชายสองคนด้วยความยากลำบากก็ถูกโจรป่าจับตัวไปอีกเมื่อคำนึงถึงความยากลำบากของเหอจื้อเฟย เฉินฝานจึงมิได้พูดถึงเรื่องกฎหมาย เนื้อแท้ของเหอหรันก็มิใช่คนเลว เขาจึงทำเป็นมิรู้มิเห็นปล่อยผ่านเรื่องที่เหอหรันเคยเป็นโจรป่าไปการที่เขาปล่อยผ่านเรื่องนี้ตอนที่รับประทานอาหารค่ำ เฉินฝานก็บอกเป็นนัยให้เหอจื้อเฟยแล้ว เขาเข้าใจและซาบซึ้งอย่างมาก กล่าวขอบคุณเฉินฝานมิหยุดมิคิดว่าผ่านไปครู่เดียวเหอจื้อเฟยจะส่งลูกชายตนเองเข้าคุกเฉินฝานลอบพยักหน้า เขามองคนมิผิด มิว่าจะเป
“ข้าน้อยหลี่เต๋อเจียงขอคารวะท่านอัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายขอรับ!” กลุ่มขุนนางจำนวนมหาศาลด้านหลังพากันคุกเข่า ทำให้ด้านหน้าเฉินฝานมีคนคุกเข่ามากมายสุดลูกหูลูกตาเมื่อทราบว่าหลี่เต๋อเจียงมาเยือน เหอจื้อเฟยก็รีบพาเหล่าขุนนางวิ่งขึ้นมาด้านบนหอประตูเมืองเช่นกัน“ข้าน้อยขอคารวะใต้เท้าหลี่ขอรับ!”เหอจื้อเฟยนำเหล่าขุนนางเมืองเฟิ่งหวงคารวะหลี่เต๋อเจียง หลี่เต๋อเจียงมิชายตามองเขาแม้แต่น้อย เดินนำเหล่าขุนนางเมืองเหอตูผ่านหน้าเหอจื้อเฟยไปคุกเข่าต่อหน้าอ๋องตวนทันที“ข้าน้อยขอคารวะอ๋องตวนขอรับ!”อ๋องตวนเป็นคนนิสัยตรงไปตรงมา คิดสิ่งใดก็จะเปิดเผยออกไปทันที เขายกเท้าถีบออกไปทันที“หลี่เต๋อเจียง เจ้าคนไร้ประโยชน์ ไฉนจึงมาช้าเช่นนี้?” อ๋องตวนถีบไปพลางก่นด่าไปด้วย“ท่านอ๋อง มิใช่ว่าข้าน้อยมิอยากมา ในอำเภอหนึ่งของเมืองเหอตูมีโจรประจำถิ่นอาละวาด ข้าน้อยจึงต้องไปปราบปรามตั้งแต่เมื่อแปดวันก่อน วันนี้ปราบปรามได้สำเร็จจึงรีบเดินทัพมาโดยมิได้หยุดพักขอรับ”“เรื่องนี้ข้าให้ส่งเรื่องไปที่เมืองหลวงแล้ว ฝ่าบาทก็เห็นชอบแล้วด้วยขอรับ”เกรงว่าอ๋องตวนและเฉินฝานจะมิเชื่อ หลี่เต๋อเจียงจึงเอ่ยถึงฉินเย่ว์เหมยด้วยการที่หล
หลี่เต๋อเจียงมองหมวกขุนนางในมือเฉินฝานด้วยความงงงันทั้งตกใจ งุนงงและหวาดกลัวหลี่เต๋อเจียงมิกล้าหายใจดังคนที่ตกใจกลัวมิได้มีเพียงหลี่เต๋อเจียงเท่านั้น ยังมีเหล่าขุนนางเมืองเหอตูอีกด้วยเฉินฝานเขย่าหมวกขุนนางสีดำเล็กน้อย “ฝุ่นบนหมวกช่างมากมายเสียจริง!”หลี่เต๋อเจียงลอบถอนหายใจที่แท้เฉินฝานมิชอบใจที่หมวกขุนนางของเขามีฝุ่นมากมาย“ใต้เท้า ข้าน้อยรีบเคลื่อนทัพมามิได้หยุดพัก ฝุ่นควันระหว่างทางมีมากมายจึงมาติดอยู่บนหมวก ข้าน้อยจะไปทำความสะอาดเดี๋ยวนี้ขอรับ”ระหว่างที่พูด หลี่เต๋อเจียงคุกเข่ายกมือสองขึ้นต่อหน้าเฉินฝาน รอให้เฉินฝานนำหมวกขุนนางสีดำส่งคืนให้กับมือเขาเฉินฝานเหลือบมองมือของหลี่เต๋อเจียงอย่างเรียบนิ่ง เขาเงยหน้าขึ้น กล่าวกับเหอจื้อเฟยที่คุกเข่าอยู่ตรงมุมหนึ่ง “เหอจื้อเฟย เจ้ามานี้!”เหอจื้อเฟยโน้มวิ่งเหยาะมาด้านหน้าเฉินฝาน“ใต้เท้า!” เหอจื้อเฟยคุกเข่าอยู่ด้านหลังหลี่เต๋อเจียง เขาตำแหน่งต่ำกว่าหลี่เต๋อเจียงจึงมิสามารถคุกเข่าอยู่ในระนาบเดียวกันได้“เจ้าขยับขึ้นมาอีกนิด” เฉินฝานกล่าวเหอจื้อเฟยขยับขึ้นเล็กน้อยตามที่สั่งทว่าก็ยังอยู่ด้านหลังหลี่เต๋อเจียงอยู่ดี“ไฉนเจ
“ทำไม?” อ๋องตวนเคาะศีรษะของเหอจื้อเฟย “ซื่อบื้อไปแล้วจริงๆ หรือ? ยังไม่รีบขอบพระทัยฝ่าบาทอีก?”“ข้าน้อยจะเป็นเจ้าเมืองเหอตูได้อย่างไร?”“เหอจื้อเฟยจะเป็นเจ้าเมืองเหอตูได้อย่างไร?”เหอจื้อเฟยและหลี่เต๋อเจียงพูดขึ้นพร้อมกันเหอจื้อเฟยถูกอ๋องตวนเคาะศีรษะอีกครั้ง “เสี่ยวฝานบอกว่าเจ้าทำได้ก็ทำได้ พูดพล่ามอะไรมากมาย?”“ท่านอัครเสนาบดีเบื้องซ้าย ท่านมีสิทธิ์อันใดจึงทำเช่นนี้? มีอำนาจใดในการทำเช่นนี้?”หลี่เต๋อเจียวที่กำลังสับสนงุนงงอยู่นั้น ใบหน้าและหูแดงก่ำ เขาทั้งกระวนกระวาย ทั้งสับสนและทั้งหงุดหงิด จึงถามเฉินฝาน“เฉินฝานไม่ได้ตอบในทันที แต่ง้างมือตบอย่างแรง“เพี๊ยะ!”เสียงตบดังก้อง ใบหน้าของหลี่เต๋อเจียง มีรอยฝ่ามือแดงก่ำ“ข้าเป็นถึงอัครเสนาบดีเบื้องซ้าย ข้าไม่อาจเปลี่ยนเจ้าเมืองคนหนึ่งได้หรือ?”“ข้า ตำแหน่งเจ้าเมืองของข้า ท่านอัครเสนาบดีเบื้องขวาเสิ่นหมิงหยวนเป็นคนแต่งตั้งด้วยตนเอง...”“เพี๊ยะ!”หลี่เต๋อเจียงยังพูดไม่จบ เขาก็ถูกตบอีกหนึ่งฉาด“เจ้าแกล้งทำเป็นถูกรังแกอะไรของเจ้าหา?” แววตาเย็นชาของเฉินฝาน มองไปยังใบหน้าเคืองขุ่นของหลี่เต๋อเจียง “เจ้าแทนตนเองว่าข้าเมื่อครู่ตอนอย
มีคนไม่เชื่อ ถึงขั้นวิ่งไป ใช้มือลองสัมผัสคนที่ลองสัมผัสยื่นมือไปวางเหนือหินนิลดำที่ถูกเผาจนแดงก่ำ รีบชักมือกลับมา “ร้อน”แล้วมีอีกหลายคนมาลอง ปฏิกิริยาของพวกเขาล้วนเหมือนคนแรกหินนิลดำที่ถูกเผาจนแดงก่ำ ไม่เพียงร้อน ทั้งยังร้อนมากๆ“หินนิลดำนี้เผาได้จริงๆ หรือ?”ชาวบ้านฉงนสงสัย คนที่เคยลองตอบคำถาม“เมื่อครู่ข้าไปลองมาแล้ว คล้ายว่าจะนำไปเผาได้จริงๆ”“พวกเจ้าอย่าถูกหลอก เมื่อครู่ใช้ใบไม้เผาไม่ใช่หรือ? ไฟลุกโชนเช่นนั้น ก้อนหินย่อมร้อน” หลี่เต๋อเจียงพูดเสียงดัง“เจ้าไม่เชื่อ?” เฉินฝานมองหลี่เต๋อเจียงด้วยแววตาเย็นชา“ใต้เท้า ข้าเพียงสงสัยในสิ่งที่สมเหตุสมผลเท่านั้น”“ได้ เช่นนั้นเจ้ามาลองดูเล่า!”เฉินฝานพูด จากนั้นสายตาของเขามองไปทางอ๋องตวน อ๋องตวนเข้าใจทันที เขาสาวเท้าก้าวใหญ่ ไปลากตัวหลี่เต๋อเจียงมา จากนั้นกดมือหลี่เต๋อเจียงลงบนหินนิลดำที่เวลานี้กลายเป็นสีแดง“อ๊าก อ๊าก!” หลี่เต๋อเจียงร้อนจนกรีดเสียงร้อง“ร้อนมาก ร้อนมาก ท่านอ๋องโปรดไว้ชีวิต ท่านอ๋องโปรดไว้ชีวิต!”หลี่เต๋อเจียงอ้อนวอนสุดชีวิต แต่คล้ายอ๋องตวนไม่ได้ยินอย่างไรอย่างนั้น มือที่กดมือหลี่เต๋อเจียงยังคงไม่ปล่อย“
ตอนหม่าเป่าเถียนพูดถ้อยคำนี้ หลี่เต๋อนำหินนิลดำในมือเสิ่นหมิงหยวน ไปตรงหน้าฉินเย่ว์เหมยแล้ว เห็นก้อนหินในมือหลี่เต๋อ หัวใจของฉินเย่ว์เหมยหล่นวูบทันที สีหน้าไม่สู้ดีนักนี่ไม่ใช่อัญมณีอะไรจริงๆ เป็นเพียงหินธรรมดาก้อนหนึ่งเท่านั้น“หินนิลดำ? กระหม่อมเคยเห็นมาก่อนพ่ะย่ะค่ะ”“กระหม่อมก็เคยเห็นมาก่อนพ่ะย่ะค่ะ!”ขุนนางมากมายในท้องพระโรงล้วนบอกว่าตนเคยเห็นมาก่อน“ฝ่าบาท!” เซี่ยชิงขุนนางผู้บัญชาการเดินออกมา “กล่าวว่าหินนิลดำเป็นอัญมณี ใต้เท้าเฉินในฐานะอัครเสนาบดีเบื้องซ้าย กล่าววาจาเหลวไหลเช่นนี้ ส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของราชสำนัก ฝ่าบาทโปรดมีราชโองการ ให้ใต้เท้าเฉินรีบกลับเมืองหลวงด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”ศาลยุติธรรม เทียบเท่ากับคณะกรรมการตรวจสอบวินัย ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของจักรพรรดิโดยตรงเซี่ยชิงเป็นคนเที่ยงตรง ไม่ร่วมมือกับเสิ่นหมิงหยวน และไม่ใกล้ชิดสนิทสนมกับเฉินฝานแม้ฉินเย่ว์เหมยจะเอนเอียงไปทางเฉินฝาน แต่นางไม่อาจหาเหตุผลใดๆ มาอ้างให้เขาได้หินนิลดำเป็นอัญมณี เหลวไหลเกินไปแล้วจริงๆฉินเย่ว์เหมยเขียนจดหมายเรียกตัวเฉินฝานกลับเมืองหลวงทันที เดิมทีนางยื่นให้หลี่เต๋อก่อน ตอนหลี่เต๋อรีบเดิ
อ๋องตวน: “สิ่งที่ข้าเหยีบคือก้อนหินสีดำสนิท มีอัญมณีที่ใดกัน?”เฉินฝาน “ก้อนหินสีดำสนิทเหล่านี้คืออัญมณีขอรับ”“เสี่ยวฝาน...” อ๋องตวนก้มตัวลงเก็บก้อนหินขึ้นมาหนึ่งก้อน “เจ้าบอกว่านี่คืออัญมณี”เฉินฝานพยักหน้ารวมถึงอ๋องตวน ทุกตนต่างเบิกต้ากว้างมองเฉินฝานด้วยความตกตะลึงอย่างช้าๆ สายตาตกตะลึงของขุนนางเมืองเหอตูแปรเปลี่ยนเป็นดูแคลนและหัวเราะเยาะ“หากหินสีดำนี้คืออัญมณี เช่นนั้นเมืองเฟิ่งหวงร่ำรวยมหาศาลจริงๆ!”หลี่เต๋อเจียงที่แฝงตัวอยู่ในกลุ่มคนหัวเราะเยาะเสียงดัง“ช่างเพ้อเจ้อจริงๆ เป็นถึงอัครเสนาบดี แต่กลับปัญญาอ่อนเช่นนี้”“คนเช่นนี้ เป็นอัครเสนาบดีได้อย่างไร?”“เพ้อเจ้อจริงๆ ไม่รู้ว่าเขาเป็นอัครเสนาบดีได้อย่างไร”คนจากเมืองอื่นที่มาดูความครึกครื้น ตำหนิเฉินฝาน ตามหลี่เต๋อเจียงแม้กระทั่งชาวเมืองเฟิ่งหวงที่เคารพเฉินฝาน ก็เริ่มมองเฉินฝานด้วยสายตาเคลือบแคลงสงสัยหินสีดำเช่นนี้ มีอยู่ทั่วเมืองเฟิ่งหวงชาวเมืองเฟิ่งหวง เกลียดหินสีดำเช่นนี้เป็นที่สุด ภูเขาและพื้นดินที่มีหินสีดำเยอะ ล้วนไม่อาจปลูกอาหารและต้นไม้ได้อีกทั้งหินสีดำนั้นเพียงออกแรงเล็กน้อย แค่เคาะก็แตกแล้ว ไม่อาจนำ
“เสี่ยวฝานสบายดี พวกเจ้าอย่าพูดจาเหลวไหล”“เช่นนั้นก็ดีขอรับ ตอนนี้เมืองเหอตูไม่มีท่านเจ้าเมืองชั่วคราว ข้ามีเรื่องงานอยากขอคำชี้แนะจากท่านใต้เท้า ท่านอ๋อง ท่านเชิญใต้เท้าออกมาให้พวกข้าได้หรือไม่ขอรับ?”อ๋องตวนเป็นคนตรงไปตรงมา เขาจะเอาชนะพวกขุนนางวิชาการได้อย่างไร ชั่วขณะหนึ่งก็หลงกลพวกเขาแล้วเวลานี้ เขาจะไปตามเฉินฝานออกมาได้อย่างไร?อ๋องตวนไม่ตามเฉินฝานออกมา เช่นนั้นก็พิสูจน์ว่าหากเฉินฝานไม่ป่วย เช่นนั้นเขาก็กำลังหลบหน้าไม่กล้าเจอผู้คน“เอี๊ยด!”ขณะที่อ๋องตวนกำลังลำบากใจอยู่นั้น เฉินฝานเปิดประตูห้อง“เสี่ยวฝาน!”การปรากฏตัวของเฉินฝาน คนที่ดีใจที่สุดคืออ๋องตวน “เจ้าออกมาได้อย่างไร?”“ขืนข้ายังไม่ออกมา ข้าจะป่วยตายในห้องแล้วขอรับ” ขณะเฉินฝานพูด สายตาเย็นชาของเขามองไปทางพวกขุนนางเมืองเหอตูตำแหน่งที่สายตาของเขากวาดมองไปนั้น ทำให้เกิดความสั่นเทาท่านอัครเสนาบดีเบื้องซ้ายคนนี้ มองดูแล้วสะอาดสะอ้านเรียบร้อย แต่ยามลงโทษคน วิธีการของเขานั้นร้ายกาจยิ่งนัก กระทำเพียงเล็กน้อย ก็ปลดท่านเจ้าเมืองคนหนึ่งได้แล้ว“ท่านอ๋อง ไป พวกเราไปขุดสมบัติกัน!” เฉินฝานกล่าว“ขุด ขุดสมบัติ? ได้ ได้สิ
“พื้นที่ต้าเฮยนั่น!” เฉินฝานกล่าว“พื้นที่ต้าเฮยที่พวกโจรป่าอาศัยอยู่หรือ?”“ถูกต้อง!”“ข้าว่าพื้นที่ต้าเฮยนั่น นอกจากโคลนดำที่ดูดมนุษย์ได้แล้ว ภูเขาโดยรอบก็เป็นภูเขาหัวโล้น ไม่มีแม้กระทั่งต้นไม้ แล้วจะอุดมสมบูรณ์ได้อย่างไร?”“ภูเขาหัวโล้นเหล่านั้นคือความร่ำรวยที่มากล้น”“เสี่ยวฝาน!” ทันใดนั้นเองดวงตาของอ๋องตวนทอประกาย “หรือว่าด้านในภูเขามีทองคำเช่นนั้นหรือ?”อ๋องตวนครุ่นคิด ภูเขาหัวโล้นมีความร่ำรวยซ่อนอยู่ เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นทองคำ“ไม่ใช่ทองคำ ชั่วขณะหนึ่งอธิบายให้ท่านฟังก็ไม่อาจเข้าใจได้ อีกสองสามวันพวกเราไปพื้นที่ต้าเฮย ถึงเวลานั้นท่านก็จะรู้เอง”เฉินฝานเพิ่งตื่นนอน ทั่วทั้งเมืองเฟิ่งหวงก็มีข่าวลือแพร่สะพัดพื้นที่ต้าเฮยซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของโจรป่า มีความร่ำรวยที่มากล้นเมื่อคืน หลังออกมาจากห้องของเฉินฝาน อ๋องตวนทนไม่ไหวแล้วจริงๆ จึงวิ่งไปถามเหอหรันที่คุกข่าวลือจึงแพร่สะพัดเช่นนี้ผู้คนมากมายต่างไปถามคนที่เคยเป็นโจรป่ามาก่อน ว่าพื้นที่ต้าเฮยร่ำรวยมากใช่หรือไม่ข่าวลือนี้เกินจริงไปเรื่อยๆ กล่าวถึงขั้นว่าพื้นที่ต้าเฮอยที่พวกโจรป่าอยู่นั้นมีสมบัติล้ำค่
ได้ฟังถ้อยคำของเฉินฝานขุนนางเมืองเหอตูหลายคนต่างกลั้นหัวเราะ บางคนถึงขั้นไม่อาจกลั้นหัวเราะ หลุดหัวเราะออกมาพวกเขาไม่ได้ใจกล้า แต่คำพูดของเฉินฝาน เพ้อเจ้อเกินไปแล้วจริงๆเมืองเฟิ่งหวงแทบจะเป็นเมืองยากจนที่สุดของต้าชิ่ง การจะให้เมืองเฟิ่งหวงกลายเป็นเมืองร่ำรวยที่สุดในแคว้นต้าชิ่งเทียบเท่ากับ การให้คนไม่รู้แม้กระทั่งคัมภีร์สามอักษรสอบผ่านจอหงวน“เอ่อ...” อ๋องตวนรู้สึกประหม่าเล็กน้อย เขาเอียงตัวหันมาถามเฉินฝานเสียงเบา “เจ้าเมาหรือไม่? หืม!”อ๋องตวนพูด แล้วส่ายหน้ากับตนเอง “ข้าลืมไปเสียสนิทว่าเหล้าดอกท้อของแคว้นจ้าวค่อนข้างแรง ข้าไม่ควรให้เจ้าดื่ม”เฉินฝานบอกว่า เขาจะทำให้เมืองเฟิ่งหวงกลายเป็นเมืองร่ำรวยที่สุดของต้าชิ่งคืนวันนั้น มีคนออกเดินทางจากเมืองเฟิ่งหวง ขี่ม้าเร็วส่งข่าวนี้ไปยังเมืองหลวงเมื่อได้ยินเรื่องนี้ พวกเสิ่นหมิงหยวนหัวเราะกันจนฟันแทบหลุดฉินเย่ว์เหมยที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร สีหน้าของนางไม่แตกต่างจากอ๋องตวนเท่าใดนัก พวงแก้มแดงระเรื่อเล็กน้อย รู้สึกประหม่าอย่างมากไม่ใช่ว่านางไม่เชื่อเฉินฝาน แต่การทำให้เมืองเฟิ่งหวงกลายเป็นเมืองที่ร่ำรวยที่สุดของต้าชิ่ง ยากรา
หลี่เต๋อเจียงใช้สายตา ลอบส่งสัญญาณให้กับขุนนางที่คุกเข่าอยู่ข้างๆหลังจากขุนนางคนนั้นเห็น ก็รีบย่องออกไปจากหอประตูเมืองทั้งหมดนี้ หลี่เต๋อเจียงคิดว่าตนทำได้อย่างเนียบแนนโดยไม่รู้เลยว่า...เฉินฝานยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยวันนี้อารมณ์ดี เช่นนั้นก็จะเล่นกับหลี่เต๋อเจียงเสียหน่อย เขาจะดูสิว่า หลี่เต๋อเจียงจะมาไม้ไหน?หลังจากขุนนางคนนั้นไปจากหอประตูเมืองไม่นาน...“ตึ้ง ตึ้ง ตึ้ง ตึ้ง”เสียงฝีเท้ามากมายและชุลมุนวุ่นวาย ดังมาจากด้านล่างหอประตูเมืองเฉินฝานโน้มตัวมองลงไปกลุ่มคนมากมายล่างหอประตูเมืองพวกเขาเหล่านี้ล้วนเป็นชาวเมืองเฟิ่งหวงหลังจากพวกเขามาถึงด้านล่างหอประตูเมือง ต่างก็คุกเข่าลง“ท่านอัครเสนาบดี โปรดให้ใต้เท้าเหออยู่ในเมืองเฟิ่งหวงต่อด้วยขอรับ”“ท่านอัครเสนาบดี พวกเราไม่อาจไปจากใต้เท้าเหอ”“ท่านอัครเสนาบดี โปรดเมตตาด้วยขอรับ!”ใต้หอประตูเมืองมีชาวบ้านมาขอร้องมากขึ้นเรื่อยๆ ถนนตรอกซอยต่างๆ ระแวกหอประตูเมือง ล้วนเต็มไปด้วยชาวบ้านที่กำลังคุกเข่าเจตนาของชาวบ้านล้นหลามเช่นนี้ บวกกับเหอจื้อเฟยไม่ยอมไป หากเฉินฝานยืนกรานให้เหอจื้อเฟยเช่นนั้นก็ไร้ประโยชน์ ทั้งยังทำให้ชาว
“ทำไม?” อ๋องตวนเคาะศีรษะของเหอจื้อเฟย “ซื่อบื้อไปแล้วจริงๆ หรือ? ยังไม่รีบขอบพระทัยฝ่าบาทอีก?”“ข้าน้อยจะเป็นเจ้าเมืองเหอตูได้อย่างไร?”“เหอจื้อเฟยจะเป็นเจ้าเมืองเหอตูได้อย่างไร?”เหอจื้อเฟยและหลี่เต๋อเจียงพูดขึ้นพร้อมกันเหอจื้อเฟยถูกอ๋องตวนเคาะศีรษะอีกครั้ง “เสี่ยวฝานบอกว่าเจ้าทำได้ก็ทำได้ พูดพล่ามอะไรมากมาย?”“ท่านอัครเสนาบดีเบื้องซ้าย ท่านมีสิทธิ์อันใดจึงทำเช่นนี้? มีอำนาจใดในการทำเช่นนี้?”หลี่เต๋อเจียวที่กำลังสับสนงุนงงอยู่นั้น ใบหน้าและหูแดงก่ำ เขาทั้งกระวนกระวาย ทั้งสับสนและทั้งหงุดหงิด จึงถามเฉินฝาน“เฉินฝานไม่ได้ตอบในทันที แต่ง้างมือตบอย่างแรง“เพี๊ยะ!”เสียงตบดังก้อง ใบหน้าของหลี่เต๋อเจียง มีรอยฝ่ามือแดงก่ำ“ข้าเป็นถึงอัครเสนาบดีเบื้องซ้าย ข้าไม่อาจเปลี่ยนเจ้าเมืองคนหนึ่งได้หรือ?”“ข้า ตำแหน่งเจ้าเมืองของข้า ท่านอัครเสนาบดีเบื้องขวาเสิ่นหมิงหยวนเป็นคนแต่งตั้งด้วยตนเอง...”“เพี๊ยะ!”หลี่เต๋อเจียงยังพูดไม่จบ เขาก็ถูกตบอีกหนึ่งฉาด“เจ้าแกล้งทำเป็นถูกรังแกอะไรของเจ้าหา?” แววตาเย็นชาของเฉินฝาน มองไปยังใบหน้าเคืองขุ่นของหลี่เต๋อเจียง “เจ้าแทนตนเองว่าข้าเมื่อครู่ตอนอย
หลี่เต๋อเจียงมองหมวกขุนนางในมือเฉินฝานด้วยความงงงันทั้งตกใจ งุนงงและหวาดกลัวหลี่เต๋อเจียงมิกล้าหายใจดังคนที่ตกใจกลัวมิได้มีเพียงหลี่เต๋อเจียงเท่านั้น ยังมีเหล่าขุนนางเมืองเหอตูอีกด้วยเฉินฝานเขย่าหมวกขุนนางสีดำเล็กน้อย “ฝุ่นบนหมวกช่างมากมายเสียจริง!”หลี่เต๋อเจียงลอบถอนหายใจที่แท้เฉินฝานมิชอบใจที่หมวกขุนนางของเขามีฝุ่นมากมาย“ใต้เท้า ข้าน้อยรีบเคลื่อนทัพมามิได้หยุดพัก ฝุ่นควันระหว่างทางมีมากมายจึงมาติดอยู่บนหมวก ข้าน้อยจะไปทำความสะอาดเดี๋ยวนี้ขอรับ”ระหว่างที่พูด หลี่เต๋อเจียงคุกเข่ายกมือสองขึ้นต่อหน้าเฉินฝาน รอให้เฉินฝานนำหมวกขุนนางสีดำส่งคืนให้กับมือเขาเฉินฝานเหลือบมองมือของหลี่เต๋อเจียงอย่างเรียบนิ่ง เขาเงยหน้าขึ้น กล่าวกับเหอจื้อเฟยที่คุกเข่าอยู่ตรงมุมหนึ่ง “เหอจื้อเฟย เจ้ามานี้!”เหอจื้อเฟยโน้มวิ่งเหยาะมาด้านหน้าเฉินฝาน“ใต้เท้า!” เหอจื้อเฟยคุกเข่าอยู่ด้านหลังหลี่เต๋อเจียง เขาตำแหน่งต่ำกว่าหลี่เต๋อเจียงจึงมิสามารถคุกเข่าอยู่ในระนาบเดียวกันได้“เจ้าขยับขึ้นมาอีกนิด” เฉินฝานกล่าวเหอจื้อเฟยขยับขึ้นเล็กน้อยตามที่สั่งทว่าก็ยังอยู่ด้านหลังหลี่เต๋อเจียงอยู่ดี“ไฉนเจ