สิ่งที่ได้มาเป็นเหมือนความมหัศจรรย์ที่นางยังรู้สึกเหมือนว่ามันเป็นเพียงความฝัน หากวันหนึ่งหายไปนางคงทำอะไรไม่ถูก นี่ก็เหมือนการเตรียมใจอย่างหนึ่ง
ตอนนี้ฉินหลิวซีเป็นผู้ใช้โอสถฝึกหัดระดับสอง สามารถปรุงโอสถระดับกลางออกมาได้แล้วหลังจากรดน้ำทุกแปลงเรียบร้อยแล้วนางก็ต้องไปเก็บสมุนไพรที่ด้านนอกต่อ เห็นพี่สาวเตรียมตัวเขาก็รู้ได้ทันทีว่านางจะไปไหน“ท่านพี่ ข้าไปด้วย” พอแยกมาอยู่แบบนี้เขาก็ไม่มีสหายเล่นนอกจากพี่สาว จึงยิ่งติดนางเข้าไปใหญ่ หากไม่ได้อยู่ระหว่างฝึกฝนส่วนตัวเขาก็จะเกาะติดพี่ไปทุกที่“ได้สิ” ฉินหลิวซีห่ออาหารว่างไปกินระหว่างทางเผื่อน้องชายของนางหิวก่อนจะถึงมื้อเที่ยงทั้งสองคนมีย่ามคนละใบสะพายข้าง ฉินซือหยวนร้องเพลงเด็กไปตลอดทาง เขาไม่ต้องกลัวว่าจะรบกวนใครบนภูเขาที่อยู่ตอนนี้เป็นที่อยู่ของซุนเป่ยฉี ไม่ได้เป็นเขตหวงห้ามคนนอกจึงเข้ามาได้ แต่จะมีชีวิตรอดไปได้หรือเปล่านั้นเป็นอีกเรื่อง เพราะสถานที่แห่งนี้สัตว์อสูรค่อนข้างเยอะ คนธรรมดาจะไม่ค่อยเข้ามากัน“เดือนนี้อาจารย์ก็จะออกไปรักษาคนอีกหรือเปล่านะ”ไม่ว่าจะลงมากี่ครั้งนางก็อดไม่ตื่นเต้นกับความเจริญรุ่งเรืองของเมืองนี้ไม่ได้เสียที ที่นี่อยู่ห่างจากหมู่บ้านในชนบทของนาง แม้ไม่เทียบเท่าเมืองหลวง แต่ก็เจริญมาก มีผู้คนหลากหลายทั้งสาขาอาชีพและแวดวงสังคม บ้างเดินทางเป็นกลุ่ม บ้างเดินทางเพียงลำพังสมแล้วที่เป็นเมืองที่นักเดินทางผ่านหน้ากันไปไม่ซ้ำเด็กหญิงวัยแปดขวบที่เดินเตร่อยู่ในเมืองเป็นจุดสนใจด้วยพลังปราณที่นางมี ลำพังแค่เด็กมาเดินคนเดียวก็เป็นจุดศูนย์ใจมากอยู่แล้ว พอเป็นคนในแวดวงเดียวกันที่มองเห็นระดับของนางก็ยิ่งดึงดูดสายตามากเข้าไปอีก อายุน้อยเท่านี้แต่ระดับฝึกตนไม่ธรรมดาจริง ๆ แต่เสื้อผ้าที่นางสวมใส่ไม่ได้หรูหราหรือมีราคา ทำให้พวกเขาคาดเดาไม่ออกว่าเป็นศิษย์ของสำนักเซียนไหนฉินหลิวซีมองซ้ายขวาหาร้านอาหาร เพราะกระเพาะของตัวเองเริ่มร้องประท้วง นางเดินเข้าไปในเหลาอาหารขนาดเล็กแห่งหนึ่ง ผู้คนแน่นขนัดกว่าครั้งก่อนที่นางเคยมา ทำให้เด็กหญิงรู้สึกแปลกใจ นางเงี่ยหูฟังสิ่งที่พวกเขาพูดคุยกัน“ได้ยินข่าวแล้วใช่หรือไม่”“ก็มิใช่ว่าเจ้ามาที่นี่เพราะข่าวนั้นเช่นกันหรือ”&ldquo
หลังจากได้รู้รายละเอียดการแข่งล่าสัตว์อสูรมาพอสมควรแล้วนางก็ยังคุยเรื่องไร้สาระกับคุณหนูคนนั้นต่อ ดูจากนิสัยแล้วคงหาสหายได้อย่างง่ายดายด้วยวิธีนี้ นางเป็นคนเข้าถึงง่าย เจอกันครั้งแรกก็รับรู้ได้ถึงความบริสุทธิ์ใจ พูดจาตรงไปตรงมา ไม่แปลกใจเลยสักนิดที่นางจะเป็นที่โปรดปรานแม้เป็นลูกนี่แหละนะที่ว่าเสน่ห์ของตัวบุคคลสามารถดึงดูดคนอื่นได้ฉินหลิวซีรู้สึกนับถือนางอยู่ในใจ เพราะหากเป็นตนเองคงทำไม่ได้อย่างนี้แน่ ต่อให้มีความรู้สึกฝังใจว่ามนุษย์นั้นเห็นแก่ตัวเหมือนกันหมด แต่การมีมิตรสหายไว้ให้พึ่งพาก็ไม่ได้แย่ และช่วยให้อุ่นใจในยามคับขันแต่การจะค้นหามิตรภาพที่เป็นเพชรแท้ขนาดนั้นจะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก ซึ่งจนตอนนี้นางก็ยังไม่เจอเลย สหายคนเดียวของนางคือน้องชายที่สามารถเล่นด้วยได้ และมอบความเชื่อใจให้กันเพราะมีสายเลือดเดียวกันและนางอยู่กับเขามานานพอที่จะเชื่อใจถึงขนาดนั้นด้วย ในตอนแรกเริ่มที่น้องชายติดนางแจ เด็กหญิงยังไม่วางใจให้เขารู้เรื่องส่วนตัวของนางขนาดนี้เลย แต่พอออกมาข้างนอกอยู่กันสองคน เดินทางเตร่ไปกับอาจารย์ทั่วทุกแห่งหน ความที่ต้องอยู่กันล
“งั้นก็ได้ แต่การแข่งเมื่อห้าปีก่อนข้าจำรายละเอียดไม่ค่อยได้นักหรอก แต่ความสามารถอย่างเจ้าตอนนี้คงไม่ใช่ผู้รั้งท้ายแน่ ของรางวัลนั้นมีมาก ถ้าไม่มีพวกคาบพรสวรรค์มาเต็มปากเยอะเกินไป เจ้าก็คงอยู่อันดับต้น ๆ ของคนที่ทำคะแนนได้สูงแน่”เมื่อได้ยินว่ามีของรางวัลมากมายอย่างที่คุณหนูคนนั้นบอกจริง ๆ ฉินหลิวซีก็ตาเป็นประกาย นางแย้มยิ้มและรีบกลับไปฝึกต่อ“ขอบคุณมากเจ้าค่ะท่านอาจารย์ที่อนุญาต”ฉินซือหยวนอายุน้อยเกินไป อีกทั้งความสามารถของเขายังไม่สูงพอจะเอาตัวรอดจากสัตว์อสูรเป็นฝูงได้ ในฐานะที่นางเป็นพี่สาว และเป็นผู้ปกครองของเขาในขณะนี้จึงไม่อนุญาตให้เขาเข้าร่วม น้องชายพยักหน้าเข้าใจแม้จะรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็รู้ว่าหากพี่สาวพูดเช่นนั้นก็หมายความว่า ความสามารถของเขายังไม่ถึงจริง ๆฉินหลิวซีพุ่งความสนใจไปที่การฝึกฝนสำหรับงานแข่งล่าสัตว์อสูรจนกระทั่งถึงวันงาน สามศิษย์อาจารย์เดินทางลงมาจากเขาพร้อมหน้าพร้อมตาเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่มาถึงที่นี่ ปกติหากไม่อยู่บนนั้นทั้งสองคนก็จะต้องมีคนหนึ่งรั้งรอสองคนลงมาทำธุระ ยามใดที่ต้องลงมาเพียงลำพัง คนคนนั้นจะต้องไม่ใช่ฉินซือหยวนแน่นอนเขาอยู่บนเขาคนเดียวได้ แต
หลังอาหารที่สั่งไปถูกยกมาจนครบพวกเขาก็ลงมือรับประทานด้วยท่าทางเอร็ดอร่อย ทำให้หมอเทวดารู้สึกอยากพาลงมาอีก หลังจากเติมเต็มกระเพาะจนได้ที่แล้วก็มายืนมุงรออยู่ที่หน้าบริเวณซุ้มลงทะเบียนเหมือนเช่นคนอื่น ๆ เข้ายามเซินมาได้สักพักแล้ว อีกไม่นานก็จะเริ่มการแข่งอย่างเป็นทางการ ผ่านไประยะหนึ่งก็มีเจ้าหน้าที่มากันคนที่เป็นผู้ชมกับผู้ที่ลงทะเบียนไว้ออกจากกัน“ดูแลตัวเองให้ดี อย่าประมาทและทำให้ตัวเองบาดเจ็บมากนัก”“ศิษย์ทราบแล้วเจ้าค่ะ” นางประสานมือคำนับผู้อาวุโสก่อนจะมองเขาจูงมือน้องชายออกไปยืนรอข้างนอกเมื่อแถวผู้ชมเริ่มเป็นระเบียบก็มีผู้อาวุโสคนหนึ่งปรากฏกายออกมากลางลานกว้างที่ถูกสร้างให้ยกสูงขึ้น กฎสำหรับการแข่งนี้เข้าใจได้ง่ายมาก ขอแค่เป็นผู้ชนะก็จะได้รางวัลไปครอง ด้วยเงื่อนไขที่ว่าห้ามทำให้พิการ ห้ามสังหารคู่ต่อสู้ ห้ามนำอาหารและเครื่องดื่มเข้ามาในบริเวณสนามการแข่ง สามารถใช้ถุงมิติได้ การแข่งขันจัดขึ้นทั้งสิ้นสามวัน ในสามวันนี้ต้องเอาตัวรอดให้ได้แจ้งกำหนดการเรียบร้อยแล้ว แต่ละคนก็แยกย้ายกันไปเพื่อเตรียมตัวจากที่ท่านอาจารย์เล่าให้ฟัง ภายในป่าจะมีค่ายกล คนนอกมองเห็นภายในเขตแดนได้ว่า คนที่กำล
ฉินหลิวซีใช้มีดสั้นปลิดชีพมันในดาบเดียว ไม่ให้ต้องทรมานนาน ถึงนางจะต้องการใช้ประโยชน์จากมันแต่ก็ไม่จำเป็นต้องทำให้มันทุรนทุรายก่อนจะตาย หลังจากได้แก่นอสูรมานางก็เก็บไว้ในถุงเฉียนคุนก่อนจะเดินสำรวจเส้นทางอื่นต่อป่าแห่งนี้สมชื่อกับการแข่งล่าสัตว์อสูร มีสัตว์อสูรระดับต่ำไปจนถึงสูงมากมาย ที่เดินมานี้นางก็ได้พบสัตว์อสูรหลายตัวแล้ว แต่พวกมันตัวเล็กจิ๋วและว่องไว นางยังจับไม่ทัน กระทั่งบังเอิญเจอสัตว์อสูรระดับหนึ่งสามตัว ฉินหลิวซีตาเป็นประกายวาววับ ด้วยระดับฝึกตนที่แข็งแกร่งขึ้นใช้เวลาเพียงไม่นานนางก็จัดการได้ได้แก่นอสูรหนึ่งชิ้นก็เหมือนได้รางวัล แต่ก้มมองเสื้อผ้าตัวเองก็ต้องย่นคิ้ว ตัวนางเลอะคราบเลือดเสียจนสกปรกไปหมด ไหนจะฝุ่นดินที่ไปกลิ้งคลุกมาอีก“เลอะเทอะอะไรขนาดนี้เนี่ย ข้านึกว่าตัวเองออกแรงไม่ได้มากขนาดนั้นแล้วเชียวนะ” ดูเหมือนว่านางจะยังกะแรงต่อระดับขั้นของสัตว์อสูรไม่ถูก เพราะส่วนใหญ่ก็มักจะได้รับมือกับพวกที่มีฝีมือกว่าตัวเองทั้งนั้น“ให้ตายสิ ข้าน่าจะลองสำรวจดูอีกสักหน่อยก่อนจะหาถ้ำนะเนี่ย”เด็กหญิงเดินต่อไปเพื่อหาแหล่งน้ำ กระทั่งได้ยินเสียงน้ำไหลก็รีบมุ่งไปด้านหน้าตามทิศทางเสียง
“เด็กคนเดียวที่ลงแข่งขันลำพังได้ ข้าไม่คิดว่านางจะธรรมดาหรอก” หนึ่งในกลุ่มนั้นพูดขึ้นอย่างระแวง“ถึงจะเก่งพอล้มสัตว์อสูรได้ แต่ก็คงไม่คณามือพวกเราหรอก นางอาจจะเข้ามาเก็บกวาดแค่สัตว์อสูรระดับต่ำเพื่อหาแก่นอสูรระดับล่างก็เป็นได้ ตัดคู่แข่งไปได้อีกหนึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องดีไม่ใช่หรือ”“เราลงมือกับพวกอ่อนแอคนอื่นก็ได้ไม่ใช่หรือ พวกที่ตัวเท่ากันน่ะ” ในกลุ่มนั้นคนหนึ่งตัวสั่นตลอดเวลา ทั้งขลาดกลัวและยังขี้ตกใจ เขามองซ้ายขวาสายตาล่อกแล่ก กลัวว่าจะมีอะไรโผล่ออกมาตลบหลัง อีกคนก็เดินใจลอยยังไม่รู้ร้อนรู้หนาว เห็นทีคนที่ตั้งใจจะมาเล่นงานฉินหลิวซีอย่างจริงจังจะมีแค่คนเดียว“เจ้านี่มันปอดแหกจริง ๆ แค่เด็กคนเดียวก็กลัวเสียแล้ว”“ข้าไม่ได้กลัวเด็ก ข้ากลัวความอำมหิตของเจ้ามากกว่า เด็กคนเดียวก็ลงมือได้ลงคอ”“พูดมากเปลืองน้ำลาย หากไม่ทำก็ไสหัวไปให้พ้น!” เขาตวาดลั่นก่อนอีกสองคนจะพร้อมใจกันร้องชู่วบอกให้เงียบเสียงลงไม่รู้ว่าต้นสายปลายเหตุเป็นอย่างไร แต่ตอนนี้ก็จับพลัดจับผลูลงเรือลำเดียวกันแล้ว มีแต่ต้องลงมือไปตามคนที่แข็งแกร่งกว่าตอนแรกนั้นพวกเขาไม่ได้สนใจจอมยุทธ์น้อย แต่ตอนที่ฉินหลิวซีสำรวจถ้ำ พวกเขา
นางเก็บแก่นอสูรที่แยกมาได้เข้าถุงเฉียนคุน จัดแจงที่นอนให้ตัวเองใหม่ ครั้งนี้นางกางข่ายมนตร์ให้แน่นหนากว่าเดิม คืนนั้นนอนหลับไปด้วยความสงบเงียบดังที่ตั้งใจหวัง ไม่มีใครมารบกวนนางอีกจนสามารถตื่นมารับรุ่งอรุณใหม่ได้อย่างสดใสเด็กหญิงเหยียดกายหลังโดดลงจากเปล นางยืดเส้นยืดสายแล้วคืนสภาพให้พลังธาตุไม้ที่นางหยิบยืมมาใช้เมื่อคืน เนื้อเมื่อวานที่ล่ามายังเหลืออยู่นางจึงย่างมันจากกองไฟที่ทำทิ้งไว้เมื่อวาน หลังจากอิ่มท้องแล้วก็เดินทางต่อ ไม่รู้ทางฝั่งผู้ชมเห็นอะไรไปแล้วบ้าง นางไม่แน่ใจว่าการถ่ายทอดมุมมองภาพจากฝั่งนี้มีปัจจัยอะไรหนุนนำหรือใช้สิ่งใดเป็นสื่อกลาง ก็หวังว่าจะไม่ถ่ายภาพน่าอายของนางออกไปให้ใครเห็น เช้าวันนี้ก็ยังต้อนรับนางด้วยเสียงคำรามของสัตว์อสูรตัวใหญ่ เสียงระเบิดดินจากที่ไกล ๆ เสียงฝูงนกแตกรัง เป็นสนามไล่ล่าที่สมกับการล่าสัตว์อสูรโดยแท้หลังจากกินจนอิ่มท้องนางก็สำรวจเส้นทางอื่นต่อทั้งยังเก็บวัตถุดิบสมุนไพรที่หาเจอระหว่างทางไปด้วย นางเก็บสมุนไพรมาได้หลายกำ ก้ม ๆ เงย ๆ จนได้พืชเต็มถุง ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงสะท้อนของสัตว์คำรามดังกังวานมา ฉินหลิวซีหันกลับทันที เพียงพริบตาเดียวเจ้าของ
สมุนไพรระดับสูงหายากยิ่งกว่านั้น ต้องหาเป็นเดือนหรืออาจต้องฝ่าฟันเส้นทางที่ยากลำบาก อาจต้องเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยงกว่าจะได้สักต้นหนึ่งมา ส่วนสมุนไพรในตำนานก็อย่างชื่อของมัน เพราะเป็นตำนานจึงไม่ค่อยมีข้อมูลปรากฏมากนะ มีแต่คำบอกเล่าปากต่อปากที่อาจบิดเบือนมาเท่าไรแล้วก็ไม่รู้แต่ที่นี่นางหาสมุนไพรระดับกลางได้เยอะพอสมควรเลยทีเดียว เยอะเสียจนตัวเองยังทึ่ง สำหรับคนชอบศึกษาให้ลึกซึ้งในศาสตร์ที่ตนรู้มา ยิ่งกว่านั้นนางยังรู้สึกตื่นเต้นและดีใจจนยิ้มออกมาไม่หยุดระหว่างที่กำลังเก็บสมุนไพรอย่างเพลิดเพลินนางก็ได้ต้อนรับแขกของวันนี้อีกหนรู้สึกว่าข้าจะเนื้อหอมเหลือเกินนะเบื้องหน้าของฉินหลิวซีมีจอมยุทธ์กลุ่มหนึ่งขวางทางไว้ เด็กหญิงเอียงคอเล็กน้อยด้วยความฉงนใจ เจตนานั้นไม่ต้องสืบ เป้าหมายคงอยู่ที่แก่นสัตว์อสูรซึ่งนางหามาได้ การแย่งชิงทำให้หาได้ง่ายกว่าการไปล่าสัตว์อสูรทีละตัว ไม่ว่าใครก็คิดอย่างนั้น“สวัสดีผู้อาวุโสทั้งหลาย มาให้ผู้น้อยศึกษาวิชาหรือ” นางประสานมือคำนับอย่างนอบน้อม ทว่าแววตากลับแข็งกร้าว“คุณหนูน้อยผู้นี้ช่างเก่งกาจ คงต้องเป็นฝ่ายพวกข้าที่ขอศึกษาวิชาจากเจ้า”“ผู้ใหญ่ตั้งหลายคนมารุมเด็กแ
"ไปไหน""สถานที่ล่าสัตว์วันนั้น"ถ้าเป็นเรื่องนี้ละก็นางไม่ปฏิเสธแน่อยู่แล้ว"เอาสิ"การล่าสัตว์ขององค์ชายรองกับองค์ชายรัชทายาทนั้นเกิดขึ้นระหว่างเสด็จเยี่ยมราษฎร ระหว่างรับเรื่องร้องทุกข์ของชาวบ้าน วันหนึ่งพวกเขาก็ชวนกันไปล่าสัตว์ฆ่าเวลาป่านนี้อยู่ระหว่างเมืองหลวงกับเมืองเหวินทางตะวันออก ป่าหนาทึบเป็นอันดับสองจากป่ารอบเมืองทั้งหมดหลี่เจิ้นหัวออกมากับนางสองคน ครั้งนี้พวกเขาไม่ได้ใช้รถม้าหรือพาหนะใดเพราะไม่อยากสะดุดตา แม้จะมีคนเชื่อว่าเป็นฝีมือองค์ชายรองแต่พระองค์ยืนกรานว่าไม่รู้เรื่อง หากอยากให้คนร้ายดิ้นไม่หลุดก็ต้องหาหลักฐานมาให้ได้"เจ้าคิดไว้ในใจแล้วหรือยัง!""เรื่องอะไร!" เขาตะโกนถามกลับ การวิ่งฝ่าสายลมทำให้พวกเขาไม่ค่อยได้ยินเสียงกันและกัน"จะสืบอย่างไร…" พูดได้ไม่ถึงครึ่งประโยคฉินหลิวซีก็ส่ายหน้า ทำมือเป็นสัญญาได้ไปคุยกันหลังถึงที่หมาย คุยกันตอนนี้ให้ตายอย่างไรก็ไม่รู้เรื่องเดินทางกันอยู่นานในที่สุดก็ถึงป่าระหว่างสองเมืองเสียที พวกเขาตามร่องรอยมาถึงจุดเกิดเหตุ ทั้งรอยเท้าและของตกหายไม่เหลืออะไรแล้ว แต่ก
โจวเมิ่งอิ๋งคร่ำครวญถึงความน่าสงสารราวโชคชะตากลั่นแกล้งของบุตรสาว ไม่มีแก่ใจมารับรองแขกด้วยตัวเองด้วยซ้ำ ดีที่มีอนุคนสนิทอยู่ข้างกายคอยปลอบใจฟังจากน้ำเสียงคงทุกข์ใจเหลือประมาณ หลี่เจิ้นหัวรู้เรื่องที่ตัวเองสามารถทำได้แล้ว"ทีนี้ข้าจะลงมืออย่างไรดีนะ…"บรรยากาศในห้องค่อนข้างอับชื้น พี่หญิงต้อนรับนางเป็นอย่างดีแม้จะหน้าซีดเซียวกว่าปกติก็ตาม"เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ พี่หญิงดูผอมลงไปหรือไม่ กินข้าวไม่อร่อยอย่างนั้นหรือ""อยากที่เจ้าเห็น ก็ไม่ค่อยดีเท่าไร แต่ข้าเป็นผู้บริสุทธิ์ดังนั้นเลยเชื่อว่าอีกไม่นานคงดีขึ้น"แต่ดูเหมือนความเชื่อของนางจะทรยศนางทีละนิด แต่ละวันที่ผ่านไปขื่นขมนักสีหน้าของหลี่เมิ่งเหยาอิดโรยเหมือนคนไม่ได้นอน ถึงจะบอกว่าตนเป็นผู้บริสุทธิ์อย่างไร แต่สถานการณ์แบบนี้คงยิ้มไม่ออก"เรื่องนี้จัดการไม่ได้ง่าย ๆ แต่หากต้องการให้ข้าช่วยเหลืออะไรพี่หญิงอย่าได้เกรงใจนะเจ้าคะ""ฉินหลิวซี ถ้าซาบซึ้งน้ำใจเจ้าจริง ๆ" หลี่เมิ่งเหยาน้ำตารื้น พอรู้ว่านางอาจต้องโทษเหล่ามิตรสหายก็พากันหนีหน้า ส่วนหนึ่งก็คงเพราะคำสั่งของบิดามารดามิให้มาข้อง
เหตุการณ์นี้ทั้งสองนัดแนะกันเองโดยไม่ได้บอกผู้ติดตามพวกเขาจึงไม่ได้ถูกลงโทษที่ละเลยหน้าที่ และโชคดีที่แม่ทัพหลี่ซึ่งเดินทางไปด้วยมาช่วยไว้ทันด้วยเหตุนี้จึงบังเกิดความสงสัยขึ้นในหมู่ชาวเมือง ว่าเป็นฉากที่ถูกจัดไว้หรือเปล่า"เพราะอย่างนี้จึงไม่มีใครสนใจเจ้าของร้านเครื่องประทินโฉมแล้วสินะ…"เรื่องนี้มันเป็นเรื่องใหญ่กว่าเห็น ๆ ก็ดี เพราะข้าก็ไม่ได้อยากเป็นจุดสนใจมากนักในตอนนี้ แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสกุลหลี่ ยังวางใจไม่ได้"ต้องไปหาเจิ้นหัวหน่อยแล้ว"ฉินหลิวซีไปที่หอกระจายข่าวแล้วก็ต้องประหลาดใจเมื่อการรักษาความปลอดภัยเข้มงวดขึ้นกว่าปกติ นางรู้แล้วว่ามีเรื่องไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น แต่ไม่นึกว่าจะส่งผลกระทบถึงสกุลหลี่มากกว่าที่คิด"เพราะพี่หญิงเป็นพระคู่หมั้นขององค์ชายรัชทายาทอย่างนั้นหรือ…?"หรือจะไม่ใช่กันนะคุยกับตัวเองยังไม่จบก็พบว่ายืนอยู่หน้าห้องทำงานของหลี่เจิ้นหัวเสียแล้ว นางเคาะประตูสองครั้งอีกฝั่งก็เอ่ยอนุญาต"หลิวซี~" พอเห็นหน้านางอีกคนก็โอดครวญเสียงอ่อนอย่างน่าสงสาร ท่ามกลางม้วนกระดาษสู่ท่วมหัว"ดูเหมือนเจ้าจะมี
ร้านที่ไม่มีใครรู้ที่มาแน่ชัด รู้แต่ว่าสกุลหลี่เป็นผู้จัดจำหน่ายให้เสมือนคนกลางหลี่ซีเหยาเหยียดยิ้มนึกอยากขัน สินค้านี้มีอยู่ในร้านของบ้านอยู่แล้ว นางเป็นผู้เอามาให้เช่นนี้ช่างน่าขายหน้าจริง ๆ ช่างไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยหากสังเกตและไตร่ตรองดูสักนิดจะรู้ว่าบรรจุภัณฑ์นี้ไม่ได้วางขายในปัจจุบัน มันเป็นตลับแบบใหม่ที่ยังไม่ได้วางหน้าร้านที่ไหน"นี่เป็น…สินค้าจากร้านของข้าเอง เป็นกระปุกชาดและตลับแป้งลายใหม่ที่ยังไม่ได้วางจำหน่ายที่ไหน ข้ามอบมันให้พี่หญิงเป็นคนแรก"ทันทีที่ฉินหลิวซีพูดจบเสียงฮือฮาก็ดังขึ้นอย่างไม่ขาดสาย"เป็นไปไม่ได้ สามัญชนชั้นต่ำอย่างเจ้าจะเป็นเจ้าของสิ่งนี้ได้อย่างไร อย่ามาแอบอ้างนะ เจ้าต้องไปแอบซื้อที่ไหนมาแน่ ๆ แล้วไปแอบเปลี่ยนตลับทีหลังใช่ไหมล่ะ" หลี่ซีเหยาอย่างไม่ยอม นางเริ่มเสียงดังขึ้นเรื่อย ๆ จนมารดาที่เป็นอนุสั่งให้สาวใช้มาพาตัวออกไปเพราะเริ่มจะทำขายหน้า อีกทั้งแม่ทัพยังมองนางด้วยแววตากรุ่นโกรธอีกด้วย หากไม่รีบจัดการนางก็จะโดนลงโทษหลังจบงานนี้แน่สถานการณ์สงบลงแต่เรื่องของฉินหลิวซียังเป็นที่พูดถึงตัวตนของเจ้าขอ
"บุตรสาวคนเล็กของข้าอยู่ในวัยไล่เลี่ยกับคุณชายหลี่ เรียนรู้งานฝีมือตั้งแต่ยังเล็กจนชำนาญ พิณ หมาก อักษร ล้วนเป็นเลิศ…"เซียนโอสถน้อยรู้สึกกระดากใจเกินจะฟังจึงเดินหนีออกมา รู้หรอกว่าหลี่เจิ้นหัวคงไม่เอาด้วยแต่นางก็ไม่ชอบใจอยู่ดีถึงจะไม่พอใจแต่ถ้านางโวยวายหรืออาละวาดขึ้นมาเพราะเรื่องนี้ รังแต่จะสร้างความไม่พอใจให้ฮูหยินท่านที่มีต่อนางเพิ่มมากขึ้นฉินหลิวซีกลับมานั่งที่โต๊ะ น้าหญิงกับน้าเขยทำตัวไม่ถูกกับงานเช่นนี้จึงเลือกโต๊ะที่ไม่ค่อยโดดเด่น นางเข้าใจว่าทั้งสองคงอึดอัดจึงไม่ห้าม แต่ว่านางร่วมโต๊ะด้วยไม่ได้ ในบัตรเชิญบอกไว้ว่าให้นางนั่งร่วมโต๊ะกับเจ้าของงานโคมไฟแดงประดับต้นไม้สว่างวาบขึ้นจากเดิมพร้อม ๆ กัน ทุกคนพร้อมใจกันหันไปมองหน้าเรือนรับรองที่มีทางเดินหินอ่อนทอดยาวออกมาถึงสวน ฉินหลิวซีเห็นหลี่เมิ่งเหยาออกมาแล้วจึงขอตัวท่านหญิงหลี่ออกมาพร้อมกับสหายท่านหญิงคนอื่น ๆ ฉินหลิวซีรู้สึกคุ้นหน้าพวกนางเกือบทุกคนเพราะเคยเจอกันมาก่อนแล้ว นางรู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย ถ้าได้ร่วมโต๊ะกับคนที่คุ้นเคยกันมันดีต่อความรู้สึกนางมากกว่าที่ต้องร่วมโต๊ะกับคนแ
"จริงสิ พี่หญิงเชิญเจ้าไปงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดของนาง เจ้าพอจะมีเวลาหรือไม่""งานวันคล้ายวันเกิดของพี่หญิงหรือ ต่อให้ข้าไม่ว่างก็จะไปแน่"ฉินหลิวซีได้รับความช่วยเหลือจากพี่หญิงของหลี่เจิ้นหัวมาไม่น้อย แค่ไปร่วมงานแค่นี้ทำไมนางจะทำไม่ได้แล้ว"ถ้าพี่หญิงได้ยินคงดีใจ""งานเริ่มวันไหน""วันมะรืนปลายยามโหย่ว นี่บัตรเชิญของเจ้า น้าหญิงกับน้าเขยเจ้าสามารถมาเข้าร่วมในฐานะผู้ติดตามได้""นางคงตื่นเต้น"ฉินหลิวซีคิดภาพออกเลยว่าชิวหลานจะพูดอะไรหรือแสดงท่าทีประมาณไหนหลังจากได้ยินเรื่องนี้ น้าหญิงของนางร่าเริงมากตั้งแต่มาเมืองหลวง คุ้มค่าแล้วที่พาทั้งคู่มาเปิดหูเปิดตาฉินหลิวซีตั้งใจสร้างชื่อเสียงและตัวตนของตนเอาไว้ที่นี่ ในอนาคตไม่รู้ว่าลูกหลานสกุลชิวกับท่านพ่อท่านแม่จะย้ายมาที่เมืองหลวงหรือไม่ แต่หากพวกเขามาสิ่งที่นางสร้างไว้จะต้องเป็นประโยชน์แน่"ข้าเองก็ตั้งตารอวันนั้น"หลี่เจิ้นหัวมองนาง สายตาแสดงความรู้สึกอย่างไม่ปิดบัง หญิงสาวไม่รู้ว่าคนตรงหน้าเฝ้ารออะไร แต่แววตาของเขานั้นทำให้นางอยากสร้างความประทับใจที่จะได้พบกันยามค่ำคืนให้พิเศษขึ
"ที่นี่ยอดเยี่ยมไปเลย""ดีใจที่เจ้าชอบ นี่ใบเสนอราคาที่เถ้าแก่คนก่อนเขียนมา"นางกวาดสายตาอ่านดูแล้วก็พยักหน้า "รับได้ แต่ทำไมถึงปล่อยขายล่ะ ทำเลดีมากไม่ใช่หรือ""เขาจะย้ายไปอยู่เมืองอื่นกับหลานชาย กิจการนี้ไม่มีคนสานต่อแล้วเจ้าตัวก็ไม่อยากเดินทางมาเก็บค่าเช่าทุกเดือนด้วย""เข้าใจล่ะ แต่เจ้าเอามันมาได้อย่างไร ร้านทำเลดีแบบนี้ต้องมีคนแย่งกันประมูลมากมายแน่ คงไม่ใช่ว่าเจ้าแอบสนับสนุนเงินเพิ่มให้ข้าหรอกนะ"พอเห็นนางมองตาขวางเขาก็รีบปฏิเสธ"เปล่า ๆ เถ้าแก่เป็นคนรู้จักของข้า เคยมีบุญคุณต่อกันนิดหน่อยเท่านั้น ข้ามาขอร้องให้เขาช่วยหาเพราะเส้นสายก็ไม่น้อย แล้วเขาก็เสนอร้านที่นี่มา ซึ่งก็เป็นร้านของตัวเองนั่นแหละ"ฉินหลิวซีเคยสำรวจราคาตลาดมาบ้างแล้ว ที่นี่ก็ให้ราคาที่ถูกมากกว่าที่อื่นจริง ๆเมื่อได้คำตอบที่พอใจนางก็ไม่ถามอะไรเขาอีกก่อนจะหมดวันพวกเขาไปยังที่ตั้งโกดัง มันเป็นโรงเก็บไม้เก่าที่เลิกกิจการไปแล้ว อายุการใช้งานก็ยังไม่มาก ไม่ถึงกับต้องซ่อมแซมแค่ปัดฝุ่นนิดหน่อยก็ใช้ได้ฉินหลิวซีจะเริ่มทยอยขนของย้ายไปที่คฤหาสน์วันพรุ่งนี้
"ช่างเถอะเจ้าค่ะท่านน้า เราคงจะเจอแบบนี้อีกบ่อยเลยล่ะ ถึงจะน่าหงุดหงิดไปบ้าง แต่คนที่หน้าคบหาและเป็นมิตรยังมีอีกมาก"หลังจากกินอาหารเสร็จแล้ว ฉินหลิวซีก็ให้พวกสาวใช้ไปเดินสำรวจในเมืองโดยให้ไปกันเป็นกลุ่ม ห้ามแยกไปคนเดียวเพราะต่อให้เป็นเมืองหลวงก็ใช่ว่าจะปลอดภัย ที่สำคัญคือห้ามก่อเรื่องเป็นอันขาดหลังจากพวกเขาแยกย้ายกันไปแล้ว นางที่กำลังจะขึ้นไปพักบนห้องก็ถูกเรียกเอาไว้"หลิวซี!""เจิ้นหัว?" นางหันหลังมาเห็นก็รู้แล้วว่าเป็นใคร อีกฝ่ายวิ่งมาหาจากแยกด้านหน้าของถนน ทำหญิงสาวเอ่ยชื่อของเขาด้วยความประหลาดใจวิ่งมาแบบนั้นจะหายใจทันไหมนี่"ดูจากสีหน้าคงไม่ใช่เรื่องฉุกเฉินอะไรหรอก ก็แค่ตื่นเต้น…" หญิงสาวเอ่ยพึมพำกับตัวเองนางอมยิ้มแล้วหัวเราะออกมาเบา ๆเพราะข้าล่ะมั้งหลี่เจิ้นหัววิ่งเข้ามาหาฉินหลิวซีโดยไม่สนสายตาใคร โรงเตี๊ยมนี้อยู่ตรงข้ามเหลาอาหารพวกเขาจึงตกเป็นเป้าสายตา ทำเอานางรู้สึกขัดเขิน"จะ เจ้าไม่ได้บอกว่าจะมาถึงพรุ่งนี้หรอกหรือ ขอโทษนะ ข้าไม่ได้ออกไปรับเลย""ไม่เป็นไร เจ้าหายใจช้า ๆ หน่อย วิ่งมาตั้งแต่ที่จวนหรือไงเนี่ย
แม้ตอนจะจากก็ยังมีอารมณ์ขัน เชื่อแทบไม่ลงเลยว่าเป็นองค์ชายต่างแคว้นเหตุผลหนึ่งที่ไม่มีกล้ามีใครมาโจมตีนอกจากพวกไม่มีหัวคิดก็เพราะสถานะของเจียงหรูอี้ ถึงเจ้าตัวจะบอกว่าตอนนี้เป็นแค่จอมยุทธ์พเนจรไม่มีสถานะอื่น แต่หากติดตามข่าวสารต่างแดนบ้างต้องเคยได้เห็นหรือได้ยินเรื่องของเขาบ้างองค์ชายยังประหลาดใจที่ฉินหลิวซีรู้ว่าตนเป็นใคร ชาวบ้านทั่วไปไม่มีใครสนใจสถานะของเขา ซึ่งนั่นทำให้หรูอี้สบายใจและใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ พอรู้ว่านางผิดสังเกตก็ประหม่า ฉินหลิวซีต้องอธิบายนานกว่าเขาจะเข้าใจว่านางไม่ได้เจตนาจับผิดหรือเป็นสายลับที่ไหน ก็แค่มีหน่วยข่าวกรองดี ๆ ให้ถามโดยไม่คิดค่าจ้างแค่นั้นเมื่อสิ้นสุดการเดินทางก็ได้เวลาแปลงโฉม ฉินหลิวซีสั่งตั้งกระโจมด้านนอกหนึ่งวันเพื่อเตรียมตัว"น้าหญิง น้าเขย เชิญทางนี้หน่อยเจ้าค่ะ""นะ น้าเขยหรือ!?" เฉาฟางทั้งเขินอายทั้งประหม่าในคราวเดียว"อย่างไรผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายก็รับรู้แล้ว ไม่เป็นอะไรหรอกเจ้าค่ะ น้าหญิงงามออกปานนี้ ถ้าไม่ทำให้ชัดเจนละก็อาจจะมีคนมาตามตื้อได้""หยา แบบนั้นไม่ได้สิ ไม่ได้เด็ดขาดเลยนะ" โวยวายเสร็จ