ส่วนเรื่องมิตินั้นแน่นอนว่าไม่มีทางบอกใครนอกจากน้องชาย ต่อให้เป็นคนดีและน่าเชื่อถืออย่างไรข้อมูลก็อาจหลุดรอดออกไปได้ เรื่องเช่นนี้เก็บไว้เป็นความลับกับตัวดีที่สุดแล้ว ความจริงการบอกน้องชายก็เป็นความเสี่ยงแต่เป็นความเสี่ยงที่นางรับได้ เพราะต้องไปไหนมาไหนกับเขาบ่อยครั้ง และซือหยวนก็เชื่อฟังอย่างดีมาก
หลังจากน้าหญิงเล็กมาถึงบ้านตนเองฉินหลิวซีก็ยืนยันจะเดินกลับต่อเอง ชิวหลานจึงไม่ได้เดินไปส่งต่อหลังจากนั้น แต่ก็ยืนมองดูหลาน ๆ จนเดินไปไกลพอสมควร จนลับสายตาจึงยอมกลับเข้าบ้านตนเองหลังพ้นสายตาน้าหญิงเล็กมาได้ ฉินหลิวซีก็นำไก่ที่ย่างไว้โยนเข้าไปในมิติผ่านมุมอับสายตาระหว่างเดินถนน กระทั่งมาถึงบ้านของตนทั้งพ่อและแม่ก็ยังไม่กลับ นางพาน้องชายเข้าห้องและลงกลอนประตูไว้กันคนมารบกวน สองพี่น้องสงบเสงี่ยมจนกระทั่งถึงยามเย็น ระหว่างวันจึงไม่มีใครรู้ว่า พวกเขายังอยู่ในบ้าน
“ท่านพี่ เนื้อไก่วันนี้อร่อยมากเลย” น้องชายของนางชมไม่หยุดปาก ต้องขอบคุณฝีมือการย่างไก่ของน้าหญิงเล็กจริง ๆ ถึงฉินหลิวซีจะทำอาหารได้ แต่เรื่องปรุงรสชาตินั้นนางทำได้แค่ระดับธรรมดา สู้คนที่ฝึกมาเพื่อเป็นแม่น่าขัดใจนัก เมื่อใดก็ตามที่เติบโตไปกว่านี้นางสัญญากับตัวเองว่าจะต้องฝึกอย่างหนักแน่หมูป่าเขี้ยวยาวคำรามลั่น ฝูงนกกล้าบินแตกกระเจิง เป็นแบบนี้อีกไม่นานต้องมีคนสังเกตเห็นความผิดปกติแล้วเข้ามาดู ฉินหลิวซีต้องรีบจัดการเรื่องนี้ให้จบโดยเร็ว ถ้าหากมีอาวุธที่เหมาะมือกว่านี้ละก็ นางคงจัดการหมูป่าตัวนี้ไปได้นานแล้วเด็กหญิงรีดเค้นพลังปราณในกายสุดกำลัง ห่อหุ้มร่างกายตนเองไว้ทั่วตัวประหนึ่งเกราะอ่อนนางกำมีดอีกเล่มขนาดเหมาะมือออกมาจากใต้แขนเสื้อ พุ่งเข้าใส่มันแล้วอาศัยจุดอับสายตาสังหารสัตว์อสูรตนนั้นในคมมีดเดียว หมูป่าเขี้ยวยาวล้มตึงหน้านิ่งไปฉินหลิวซียืนหอบก่อนรีบจับมันโยนเข้าไปในมิติแล้วกลับออกมาจากป่าทันที ไม่รู้ว่าเสียงคำรามเมื่อครู่นี้ไปเรียกตัวอะไรมาหรือเปล่า รีบออกมาจากบริเวณนั้นเป็นการดีที่สุด เพราะหากมีสัตว์อสูรมาเพิ่มนางคงรับมือไม่ไหว เด็กหญิงไม่ได้กลับไปบ้านในทันที แต่นางเดินสำรวจไปอีกทางหนึ่งหากมาครั้งนี้จัดการแค่หมูป่าก็รู้สึกว่าไม่คุ้ม นางต้องได้อะไรติดไม้ติดมือกลับไปบ้าง ฉินหลิวซีเดินมาเรื่อย ๆ ก็เจอสมุนไพรระหว่างทางหลายต้น นางเก็บใส่ในม
“อาหยวนน่ารักจริง ๆ เลย กลับไปก็ขอรบกวนเจ้าหน่อยละ” นางบีบแก้มน้องชายด้วยความมันเขี้ยว ไม่นึกว่าตัวเองในวัยห้าขวบจะต้องมาปวดเมื่อยเนื้อตัวให้เด็กอายุอ่อนกว่านวดให้หลังกลับมาถึงบ้านฉินซือหยวนก็นวดให้พี่สาวตามที่ได้เอ่ยไว้ วันนั้นนางไม่ได้ไปร่วมมื้อเย็น ด้วยความเหนื่อยจึงเผลอหลับไป และนอนยาวจนถึงเช้าของอีกวัน ไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรที่ห้องอาหารบ้างวันนี้ครอบครัวไม่ได้พร้อมหน้าพร้อมตากินข้าว ย่าฉินเห็นคนไม่ครบก็รู้สึกขุ่นเคือง“ฉินหลิวซีไปไหน” นางถามเสียงหงุดหงิดฉินก่วงก็ตอบไม่ได้ เขาเพิ่งกลับมาถึงบ้านก่อนเวลามื้อเย็นไม่นานจึงยังไม่ได้ไปดูลูกเลย มีก็แต่บุตรชายที่มานั่งรอตามเวลา เขามองภรรยาส่งสายตาแทนคำถาม แต่หญิงสาวก็ส่ายหน้า เพราะนางก็ไม่รู้เช่นกัน“กินข้าวพร้อมหน้าข้ามันทำให้ความอยากอาหารลดลงหรืออย่างไร ช่างไร้มารยาทจริง ๆ” ย่าฉินนำความไม่พอใจระบายออกมา ป้าสะใภ้ได้ยินก็หัวเราะคิกคักชอบใจอยู่กับสะใภ้สาม โดยที่ย่าฉินก็ไม่ได้คิดห้ามปรามฉินก่วงขมวดคิ้วมุ่นตลอดมื้ออาหาร ไม่มีใครสนใจถามไถ่ความเป็นไปของบุตรสาวเขา จนกระทั่งทุ
เด็กหญิงจับจ้องไปยังไก่ป่าตัวหนึ่งที่บังเอิญเจอระหว่างทาง หลังจากฟุ้งซ่านด้วยการต่อว่าคนในครอบครัวของท่านลุงไปแล้วก็กลับมาควบคุมสติตัวเองดังเดิม นางจ้องเหยื่อเอาไว้ รอจังหวะที่ดีที่สุดจึงค่อยลงมือพริบตาที่เปิดช่องว่างนั้น ตัวของมันก็ถูกคว้าเอาไว้ ไก่ป่าร้องกะต๊ากเสียงดังก่อนจะเงียบลง ตะกร้าที่นำสะพายหลังขึ้นมาด้วยเต็มไปด้วยวัตถุดิบจากธรรมชาติชั้นเลิศ“ก็ไม่เท่าไรนี่” เด็กหญิงยิ้มยินดีกับฝีมือตัวเองที่พัฒนาขึ้นมากจากสามเดือนก่อน พอชำนาญแล้วก็ใช้เวลาน้อยลงไปตั้งครึ่งฉินหลิวซีกลับมาบ้านในตอนบ่ายแก่ ๆ ซึ่งคนรับหน้าที่ทำอาหารแต่ละวันจะเริ่มเตรียมวัตถุดิบกันตั้งแต่ช่วงนี้ นางหิ้วไก่ป่ามาสองตัว และมีพวกมันที่ล่าได้วันนี้เก็บไว้ในมิติอีก ไก่ป่าสองตัวนั้นถูกโยนเข้าไปกลางห้องท่านป้ากับอาสะใภ้ที่หั่นผักอยู่พากันอึ้ง ฉินหลิวซีเดินเลยไปไม่สน กลับห้องตัวเองก็แบ่งที่ย่างเก็บไว้ให้น้องกินเพราะโอกาสที่นางกับครอบครัวจะได้กินเนื้อ ต่อให้ล่ามาเองก็ใช่ว่าจะมี เจอแบบนี้คนปกติคงละอายใจบ้าง แต่ไม่ใช่กับสกุลฉิน เพราะวันนี้ตรงหน้านางก็ยังมีน้ำแกงเปล่ากับ
เด็กหญิงย่อตัวลงหลบหลังต้นไม้ใกล้พงหญ้า นางหยิบธนูและลูกศรออกมา ง้างสุดแขนเตรียมจะยิง สมาธิแน่วแน่นิ่งสงบ“อ๊ะ! ตรงนั้นมีนกสีแปลก ๆ ด้วย มันคือนกอะไรอย่างนั้นหรือ”กระต่ายกลมนั้นโดดกระเจิงหนีหายไปเพราะตกใจเสียงเด็กชายที่ยืนอยู่ข้างหลังนาง เด็กหญิงเดาะลิ้นด้วยความไม่พอใจหันมามองตาขวาง เหยื่อที่นางอุตส่าห์หาเจอหนีรอดไปได้แล้ว พอถูกมองด้วยสายตาเช่นนั้นหลี่เจิ้นหัวก็เงียบปาก สีหน้าหงอยลงอย่างรู้สึกผิดนางอยากจะตำหนิ แต่พอเห็นสีหน้าเช่นนี้แล้วก็พูดไม่ออก ถึงจะไม่พอใจ แต่เขาก็แค่อยากได้สหายคุย นางยังหาโอกาสมาล่าอีกได้ ในมิติก็มีเนื้อเก็บไว้อีก จะเอาความร้อนใจไปลงที่เด็กคนหนึ่งก็ใช่เรื่อง“ข้าจะไปล่ามันใหม่ เจ้าสงบปากสงบคำซะเดี๋ยวพวกมันก็หนีไปอีกหรอก”หลี่เจิ้นหัวพยักหน้าหงึก ๆ ยอมยืนรออยู่กับที่แต่โดยดี ฉินหลิวซีวิ่งไปอีกทาง แม้หลี่เจิ้นหัวจะกลัวว่าเด็กหญิงคนนั้นอาจทิ้งเขาไว้ด้วยความรำคาญ แต่หากดันทุรังตามไปก็จะถูกนางโกรธอีก เขาจึงยอมรออยู่ตรงนี้แม้จะรู้สึกกลัวก็ตามฉินหลิวซีหายไปได้ไม่นานก็กลับมาพร้อมไก่ป่าตัวหนึ่ง“วันนี้ข
“นั่นอะไรน่ะ” หลี่เจิ้นหัวเดินมาถามด้วยความสงสัย“สมุนไพร”“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่ามันคือสมุนไพร” เด็กชายเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ หน้าตาพืชที่อยู่ตรงหน้ามองอย่างไรก็เหมือนต้นหญ้าธรรมดา น้อยคนนักจะมองออกว่ามันคือสมุนไพร ตั้งแต่เขามาอยู่ที่นี่ก็เพิ่งเคยเจอคนใช้พลังธาตุนอกจากตัวเอง เด็กหญิงตรงหน้าทำได้ทั้งสองอย่างที่ชวนตะลึงสำหรับเขา หลี่เจิ้นหัวจึงรู้สึกสนใจเป็นอย่างมากฉินหลิวซีไม่ตอบคำถามแต่มองเมินเขาไปเฉย ๆ เมื่อนางไม่เต็มใจตอบเขาก็ไม่คาดหวังเด็กทั้งสามคนเดินเข้ามาในป่าลึกอีกนิด จนกระทั่งหางตามองเห็นสัตว์ป่าตัวหนึ่ง เด็กหญิงหันไปมองหลี่เจิ้นหัวที่เดินตามมา“เจ้าไปจับเจ้าตัวนั้นมาได้หรือเปล่า”เขามองตามสายตานาง เห็นกวางอยู่ตัวหนึ่ง คิดว่านางอยากเห็นฝีมือของคนประเภทเดียวกันจึงยอมพยักหน้า แค่แสดงฝีมือเล็กน้อยเท่านี้เขาทำให้ได้อยู่แล้ว“ได้สิ” เขาตอบรับต้องรอยยิ้ม หลี่เจิ้นหัวทำได้ตามที่คาด ใช้เวลาไม่นานเขาก็กลับมาพร้อมกับกวางตัวนั้น ผู้มีก่อเกิดลมปราณขั้นที่สองไม่ทำให้ผิดหวังเลยจริ
“โอ๊ะโอ ใครกันนี่ ใช่หลานรักของลุงหรือเปล่า” ชายหนุ่มคนนั้นแย้มยิ้ม น้องชายที่หลบอยู่หลังพี่สาวเพราะประหม่าในตอนแรกจึงยื่นหน้าออกมาดูด้วย“ข้าเองเจ้าค่ะ”หลังจากที่น้าหญิงเล็กได้รับแบ่งเนื้อจากหลานสาว ก็นำเรื่องนี้ไปเล่าให้คนในครอบครัวฟัง พวกเขาจึงได้รับรู้การไปมาหาสู่ของนาง แม้จะไม่เคยพบหน้าด้วยตัวเองตั้งแต่นั้นก็ตาม เพราะต่างคนต่างมีงานต้องทำระหว่างวัน จะมีบางครั้งบางคราวที่บังเอิญเจอกันบ้างเท่านั้น“คราวนี้ก็เอาเนื้อมาแบ่งให้อีกแล้วสินะ ขอบใจมาก”“ท่านลุง นอกจากเนื้อที่นำมาแบ่งให้ไปปรุงอาหาร ข้าอยากรบกวนท่านลุงอีกสักเรื่องเจ้าค่ะ”“อะไรหรือ”“ท่านลุงมักจะไปที่ตลาดบ่อยครั้ง ข้าจึงอยากนำเนื้อไปฝากขายด้วย”เด็กอย่างนางเดินเข้าไปแถวเขียงหมูคงดูประหลาด ยิ่งกับการนำเนื้อจำนวนมากไปขายลำพัง คงถูกจับตามองแน่ ไม่ช้าก็เร็วเรื่องนี้คงรู้ถึงหูครอบครัวบิดา และก็จะทำให้นางทำงานยากขึ้นอีกท่านลุงใหญ่ได้ยินว่าหลานสาวคนนี้ล่าสัตว์เป็นจึงไม่ได้แปลกใจอะไรกับคำขอของนาง แต่ก็อดทึ่งในความสามา
หลี่เจิ้นหัวยังเป็นลูกมือให้นางอย่างดีโดยไม่บ่นสักคำ มีแต่นิสัยช่างซักช่างถามเสียงเจื้อยเสียงแจ้วอยู่ข้าง ๆ นี่เท่านั้นที่ทำอย่างไรก็ไม่ชินเสียที ไม่รู้ที่ผ่านมาโดนเลี้ยงอยู่แต่ในบ้านหรืออย่างไรจึงเหมือนไม่เคยออกมาเผชิญโลกภายนอกเลย แม้แต่เห็ดต้นเล็ก ๆ ที่เห็นได้ทั่วไปก็ไม่รู้จักอย่างว่า ถ้ารู้จักพืชชาวบ้านบ้างคงไม่หลงทางในป่า“ท่านลุง วันนี้ก็ขอฝากด้วยนะเจ้าคะ”“โอ้! เชื่อใจได้เลย!” หลังจากแยกทางกับหลี่เจิ้นหัวนางก็นำเนื้อส่วนที่ล่าได้มาฝากท่านลุงอีกวัน“หลังจากนี้คงไม่ได้มาบ่อยแล้วนะเจ้าคะ นี่คงเป็นครั้งสุดท้ายของเดือนที่ข้าจะรบกวนท่านลุง”“ล่าเยอะไปก็ไม่ดีจริง ๆ นั่นแหละนะ ทั้งเสี่ยงที่คนจะสงสัย แล้วในป่าก็จะเสียสมดุลเอาได้ ช่างเป็นเด็กที่รู้ความจริง ๆ” ชิวหลานเอ่ยชม ลูบศีรษะสองพี่น้องที่จูงมือกันมาด้วยความเอ็นดู“อันนี้เป็นส่วนที่เจ้าฝากไว้เมื่อวาน” ลุงใหญ่ยื่นถุงเงินให้นาง ฉินหลิวซีรับไปนับแล้วแบ่งให้ญาติผู้ใหญ่ตามเดิม กล่าวขอบคุณเสร็จนางก็ตรงกลับบ้านชิวเหรินหลังจากแย
“เจ้ามาแล้ว!” พอหลี่เจิ้นหัวเห็นหน้านางก็ร้องขึ้นด้วยความดีใจ วันนี้น้องชายตื่นยากกว่าทุกที กว่าจะออกจากบ้านได้ก็สายแล้ว หลี่เจิ้นหัวใจฝ่อนึกว่าสองพี่น้องจะไม่มา“ดีใจอะไรขนาดนั้นเล่า”“ข้ากลัววันนี้ต้องกลับคนเดียวเสียแล้ว”“แถวบ้านเจ้าไม่มีสหายอื่นนอกจากพวกข้าเลยหรือ ทำหน้าเหงาขนาดนั้น”“จริง ๆ ก็ไม่มี” หลี่เจิ้นหัวหัวเราะแห้ง เพราะเอาแต่ฝึกฝนอยู่ตลอด และเดินทางตามบิดาบ่อยครั้ง เขาเลยไม่มีสหายที่สนิทสนมด้วยถึงขั้นนั้น พอมาเจอฉินหลิวซีที่มีอะไรเหมือน ๆ กันเลยพลอยติดนางไปด้วย“วันนี้ข้าจะเก็บเห็ด เจ้าแยกพวกมันออกหรือเปล่า”“เรื่องเห็ดนี่ข้ายอมแพ้เลยจริง ๆ วัตถุดิบปราบเซียนชัด ๆ” เด็กชายยกมือยอมแพ้แต่เนิ่น ๆ นางอย่าได้คาดหวังกับเขาเรื่องนี้เลย“พี่หลี่” หลังจากเกาะติดพี่สาวมาตลอดทาง พอเห็นหลี่เจิ้นหัวก็เปลี่ยนท่าทีขี้อายขี้กลัวไปเกาะเด็กคนนั้นพอมีเด็กอายุน้อยกว่ามาออดอ้อนหลี่เจิ้นหัวก็เอาขนมที่พกมาด้วยออกมาโดยง่ายน้องชายข้า...ร้ายกาจเกินไปแล้ว
"ไปไหน""สถานที่ล่าสัตว์วันนั้น"ถ้าเป็นเรื่องนี้ละก็นางไม่ปฏิเสธแน่อยู่แล้ว"เอาสิ"การล่าสัตว์ขององค์ชายรองกับองค์ชายรัชทายาทนั้นเกิดขึ้นระหว่างเสด็จเยี่ยมราษฎร ระหว่างรับเรื่องร้องทุกข์ของชาวบ้าน วันหนึ่งพวกเขาก็ชวนกันไปล่าสัตว์ฆ่าเวลาป่านนี้อยู่ระหว่างเมืองหลวงกับเมืองเหวินทางตะวันออก ป่าหนาทึบเป็นอันดับสองจากป่ารอบเมืองทั้งหมดหลี่เจิ้นหัวออกมากับนางสองคน ครั้งนี้พวกเขาไม่ได้ใช้รถม้าหรือพาหนะใดเพราะไม่อยากสะดุดตา แม้จะมีคนเชื่อว่าเป็นฝีมือองค์ชายรองแต่พระองค์ยืนกรานว่าไม่รู้เรื่อง หากอยากให้คนร้ายดิ้นไม่หลุดก็ต้องหาหลักฐานมาให้ได้"เจ้าคิดไว้ในใจแล้วหรือยัง!""เรื่องอะไร!" เขาตะโกนถามกลับ การวิ่งฝ่าสายลมทำให้พวกเขาไม่ค่อยได้ยินเสียงกันและกัน"จะสืบอย่างไร…" พูดได้ไม่ถึงครึ่งประโยคฉินหลิวซีก็ส่ายหน้า ทำมือเป็นสัญญาได้ไปคุยกันหลังถึงที่หมาย คุยกันตอนนี้ให้ตายอย่างไรก็ไม่รู้เรื่องเดินทางกันอยู่นานในที่สุดก็ถึงป่าระหว่างสองเมืองเสียที พวกเขาตามร่องรอยมาถึงจุดเกิดเหตุ ทั้งรอยเท้าและของตกหายไม่เหลืออะไรแล้ว แต่ก
โจวเมิ่งอิ๋งคร่ำครวญถึงความน่าสงสารราวโชคชะตากลั่นแกล้งของบุตรสาว ไม่มีแก่ใจมารับรองแขกด้วยตัวเองด้วยซ้ำ ดีที่มีอนุคนสนิทอยู่ข้างกายคอยปลอบใจฟังจากน้ำเสียงคงทุกข์ใจเหลือประมาณ หลี่เจิ้นหัวรู้เรื่องที่ตัวเองสามารถทำได้แล้ว"ทีนี้ข้าจะลงมืออย่างไรดีนะ…"บรรยากาศในห้องค่อนข้างอับชื้น พี่หญิงต้อนรับนางเป็นอย่างดีแม้จะหน้าซีดเซียวกว่าปกติก็ตาม"เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ พี่หญิงดูผอมลงไปหรือไม่ กินข้าวไม่อร่อยอย่างนั้นหรือ""อยากที่เจ้าเห็น ก็ไม่ค่อยดีเท่าไร แต่ข้าเป็นผู้บริสุทธิ์ดังนั้นเลยเชื่อว่าอีกไม่นานคงดีขึ้น"แต่ดูเหมือนความเชื่อของนางจะทรยศนางทีละนิด แต่ละวันที่ผ่านไปขื่นขมนักสีหน้าของหลี่เมิ่งเหยาอิดโรยเหมือนคนไม่ได้นอน ถึงจะบอกว่าตนเป็นผู้บริสุทธิ์อย่างไร แต่สถานการณ์แบบนี้คงยิ้มไม่ออก"เรื่องนี้จัดการไม่ได้ง่าย ๆ แต่หากต้องการให้ข้าช่วยเหลืออะไรพี่หญิงอย่าได้เกรงใจนะเจ้าคะ""ฉินหลิวซี ถ้าซาบซึ้งน้ำใจเจ้าจริง ๆ" หลี่เมิ่งเหยาน้ำตารื้น พอรู้ว่านางอาจต้องโทษเหล่ามิตรสหายก็พากันหนีหน้า ส่วนหนึ่งก็คงเพราะคำสั่งของบิดามารดามิให้มาข้อง
เหตุการณ์นี้ทั้งสองนัดแนะกันเองโดยไม่ได้บอกผู้ติดตามพวกเขาจึงไม่ได้ถูกลงโทษที่ละเลยหน้าที่ และโชคดีที่แม่ทัพหลี่ซึ่งเดินทางไปด้วยมาช่วยไว้ทันด้วยเหตุนี้จึงบังเกิดความสงสัยขึ้นในหมู่ชาวเมือง ว่าเป็นฉากที่ถูกจัดไว้หรือเปล่า"เพราะอย่างนี้จึงไม่มีใครสนใจเจ้าของร้านเครื่องประทินโฉมแล้วสินะ…"เรื่องนี้มันเป็นเรื่องใหญ่กว่าเห็น ๆ ก็ดี เพราะข้าก็ไม่ได้อยากเป็นจุดสนใจมากนักในตอนนี้ แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสกุลหลี่ ยังวางใจไม่ได้"ต้องไปหาเจิ้นหัวหน่อยแล้ว"ฉินหลิวซีไปที่หอกระจายข่าวแล้วก็ต้องประหลาดใจเมื่อการรักษาความปลอดภัยเข้มงวดขึ้นกว่าปกติ นางรู้แล้วว่ามีเรื่องไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น แต่ไม่นึกว่าจะส่งผลกระทบถึงสกุลหลี่มากกว่าที่คิด"เพราะพี่หญิงเป็นพระคู่หมั้นขององค์ชายรัชทายาทอย่างนั้นหรือ…?"หรือจะไม่ใช่กันนะคุยกับตัวเองยังไม่จบก็พบว่ายืนอยู่หน้าห้องทำงานของหลี่เจิ้นหัวเสียแล้ว นางเคาะประตูสองครั้งอีกฝั่งก็เอ่ยอนุญาต"หลิวซี~" พอเห็นหน้านางอีกคนก็โอดครวญเสียงอ่อนอย่างน่าสงสาร ท่ามกลางม้วนกระดาษสู่ท่วมหัว"ดูเหมือนเจ้าจะมี
ร้านที่ไม่มีใครรู้ที่มาแน่ชัด รู้แต่ว่าสกุลหลี่เป็นผู้จัดจำหน่ายให้เสมือนคนกลางหลี่ซีเหยาเหยียดยิ้มนึกอยากขัน สินค้านี้มีอยู่ในร้านของบ้านอยู่แล้ว นางเป็นผู้เอามาให้เช่นนี้ช่างน่าขายหน้าจริง ๆ ช่างไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยหากสังเกตและไตร่ตรองดูสักนิดจะรู้ว่าบรรจุภัณฑ์นี้ไม่ได้วางขายในปัจจุบัน มันเป็นตลับแบบใหม่ที่ยังไม่ได้วางหน้าร้านที่ไหน"นี่เป็น…สินค้าจากร้านของข้าเอง เป็นกระปุกชาดและตลับแป้งลายใหม่ที่ยังไม่ได้วางจำหน่ายที่ไหน ข้ามอบมันให้พี่หญิงเป็นคนแรก"ทันทีที่ฉินหลิวซีพูดจบเสียงฮือฮาก็ดังขึ้นอย่างไม่ขาดสาย"เป็นไปไม่ได้ สามัญชนชั้นต่ำอย่างเจ้าจะเป็นเจ้าของสิ่งนี้ได้อย่างไร อย่ามาแอบอ้างนะ เจ้าต้องไปแอบซื้อที่ไหนมาแน่ ๆ แล้วไปแอบเปลี่ยนตลับทีหลังใช่ไหมล่ะ" หลี่ซีเหยาอย่างไม่ยอม นางเริ่มเสียงดังขึ้นเรื่อย ๆ จนมารดาที่เป็นอนุสั่งให้สาวใช้มาพาตัวออกไปเพราะเริ่มจะทำขายหน้า อีกทั้งแม่ทัพยังมองนางด้วยแววตากรุ่นโกรธอีกด้วย หากไม่รีบจัดการนางก็จะโดนลงโทษหลังจบงานนี้แน่สถานการณ์สงบลงแต่เรื่องของฉินหลิวซียังเป็นที่พูดถึงตัวตนของเจ้าขอ
"บุตรสาวคนเล็กของข้าอยู่ในวัยไล่เลี่ยกับคุณชายหลี่ เรียนรู้งานฝีมือตั้งแต่ยังเล็กจนชำนาญ พิณ หมาก อักษร ล้วนเป็นเลิศ…"เซียนโอสถน้อยรู้สึกกระดากใจเกินจะฟังจึงเดินหนีออกมา รู้หรอกว่าหลี่เจิ้นหัวคงไม่เอาด้วยแต่นางก็ไม่ชอบใจอยู่ดีถึงจะไม่พอใจแต่ถ้านางโวยวายหรืออาละวาดขึ้นมาเพราะเรื่องนี้ รังแต่จะสร้างความไม่พอใจให้ฮูหยินท่านที่มีต่อนางเพิ่มมากขึ้นฉินหลิวซีกลับมานั่งที่โต๊ะ น้าหญิงกับน้าเขยทำตัวไม่ถูกกับงานเช่นนี้จึงเลือกโต๊ะที่ไม่ค่อยโดดเด่น นางเข้าใจว่าทั้งสองคงอึดอัดจึงไม่ห้าม แต่ว่านางร่วมโต๊ะด้วยไม่ได้ ในบัตรเชิญบอกไว้ว่าให้นางนั่งร่วมโต๊ะกับเจ้าของงานโคมไฟแดงประดับต้นไม้สว่างวาบขึ้นจากเดิมพร้อม ๆ กัน ทุกคนพร้อมใจกันหันไปมองหน้าเรือนรับรองที่มีทางเดินหินอ่อนทอดยาวออกมาถึงสวน ฉินหลิวซีเห็นหลี่เมิ่งเหยาออกมาแล้วจึงขอตัวท่านหญิงหลี่ออกมาพร้อมกับสหายท่านหญิงคนอื่น ๆ ฉินหลิวซีรู้สึกคุ้นหน้าพวกนางเกือบทุกคนเพราะเคยเจอกันมาก่อนแล้ว นางรู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย ถ้าได้ร่วมโต๊ะกับคนที่คุ้นเคยกันมันดีต่อความรู้สึกนางมากกว่าที่ต้องร่วมโต๊ะกับคนแ
"จริงสิ พี่หญิงเชิญเจ้าไปงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดของนาง เจ้าพอจะมีเวลาหรือไม่""งานวันคล้ายวันเกิดของพี่หญิงหรือ ต่อให้ข้าไม่ว่างก็จะไปแน่"ฉินหลิวซีได้รับความช่วยเหลือจากพี่หญิงของหลี่เจิ้นหัวมาไม่น้อย แค่ไปร่วมงานแค่นี้ทำไมนางจะทำไม่ได้แล้ว"ถ้าพี่หญิงได้ยินคงดีใจ""งานเริ่มวันไหน""วันมะรืนปลายยามโหย่ว นี่บัตรเชิญของเจ้า น้าหญิงกับน้าเขยเจ้าสามารถมาเข้าร่วมในฐานะผู้ติดตามได้""นางคงตื่นเต้น"ฉินหลิวซีคิดภาพออกเลยว่าชิวหลานจะพูดอะไรหรือแสดงท่าทีประมาณไหนหลังจากได้ยินเรื่องนี้ น้าหญิงของนางร่าเริงมากตั้งแต่มาเมืองหลวง คุ้มค่าแล้วที่พาทั้งคู่มาเปิดหูเปิดตาฉินหลิวซีตั้งใจสร้างชื่อเสียงและตัวตนของตนเอาไว้ที่นี่ ในอนาคตไม่รู้ว่าลูกหลานสกุลชิวกับท่านพ่อท่านแม่จะย้ายมาที่เมืองหลวงหรือไม่ แต่หากพวกเขามาสิ่งที่นางสร้างไว้จะต้องเป็นประโยชน์แน่"ข้าเองก็ตั้งตารอวันนั้น"หลี่เจิ้นหัวมองนาง สายตาแสดงความรู้สึกอย่างไม่ปิดบัง หญิงสาวไม่รู้ว่าคนตรงหน้าเฝ้ารออะไร แต่แววตาของเขานั้นทำให้นางอยากสร้างความประทับใจที่จะได้พบกันยามค่ำคืนให้พิเศษขึ
"ที่นี่ยอดเยี่ยมไปเลย""ดีใจที่เจ้าชอบ นี่ใบเสนอราคาที่เถ้าแก่คนก่อนเขียนมา"นางกวาดสายตาอ่านดูแล้วก็พยักหน้า "รับได้ แต่ทำไมถึงปล่อยขายล่ะ ทำเลดีมากไม่ใช่หรือ""เขาจะย้ายไปอยู่เมืองอื่นกับหลานชาย กิจการนี้ไม่มีคนสานต่อแล้วเจ้าตัวก็ไม่อยากเดินทางมาเก็บค่าเช่าทุกเดือนด้วย""เข้าใจล่ะ แต่เจ้าเอามันมาได้อย่างไร ร้านทำเลดีแบบนี้ต้องมีคนแย่งกันประมูลมากมายแน่ คงไม่ใช่ว่าเจ้าแอบสนับสนุนเงินเพิ่มให้ข้าหรอกนะ"พอเห็นนางมองตาขวางเขาก็รีบปฏิเสธ"เปล่า ๆ เถ้าแก่เป็นคนรู้จักของข้า เคยมีบุญคุณต่อกันนิดหน่อยเท่านั้น ข้ามาขอร้องให้เขาช่วยหาเพราะเส้นสายก็ไม่น้อย แล้วเขาก็เสนอร้านที่นี่มา ซึ่งก็เป็นร้านของตัวเองนั่นแหละ"ฉินหลิวซีเคยสำรวจราคาตลาดมาบ้างแล้ว ที่นี่ก็ให้ราคาที่ถูกมากกว่าที่อื่นจริง ๆเมื่อได้คำตอบที่พอใจนางก็ไม่ถามอะไรเขาอีกก่อนจะหมดวันพวกเขาไปยังที่ตั้งโกดัง มันเป็นโรงเก็บไม้เก่าที่เลิกกิจการไปแล้ว อายุการใช้งานก็ยังไม่มาก ไม่ถึงกับต้องซ่อมแซมแค่ปัดฝุ่นนิดหน่อยก็ใช้ได้ฉินหลิวซีจะเริ่มทยอยขนของย้ายไปที่คฤหาสน์วันพรุ่งนี้
"ช่างเถอะเจ้าค่ะท่านน้า เราคงจะเจอแบบนี้อีกบ่อยเลยล่ะ ถึงจะน่าหงุดหงิดไปบ้าง แต่คนที่หน้าคบหาและเป็นมิตรยังมีอีกมาก"หลังจากกินอาหารเสร็จแล้ว ฉินหลิวซีก็ให้พวกสาวใช้ไปเดินสำรวจในเมืองโดยให้ไปกันเป็นกลุ่ม ห้ามแยกไปคนเดียวเพราะต่อให้เป็นเมืองหลวงก็ใช่ว่าจะปลอดภัย ที่สำคัญคือห้ามก่อเรื่องเป็นอันขาดหลังจากพวกเขาแยกย้ายกันไปแล้ว นางที่กำลังจะขึ้นไปพักบนห้องก็ถูกเรียกเอาไว้"หลิวซี!""เจิ้นหัว?" นางหันหลังมาเห็นก็รู้แล้วว่าเป็นใคร อีกฝ่ายวิ่งมาหาจากแยกด้านหน้าของถนน ทำหญิงสาวเอ่ยชื่อของเขาด้วยความประหลาดใจวิ่งมาแบบนั้นจะหายใจทันไหมนี่"ดูจากสีหน้าคงไม่ใช่เรื่องฉุกเฉินอะไรหรอก ก็แค่ตื่นเต้น…" หญิงสาวเอ่ยพึมพำกับตัวเองนางอมยิ้มแล้วหัวเราะออกมาเบา ๆเพราะข้าล่ะมั้งหลี่เจิ้นหัววิ่งเข้ามาหาฉินหลิวซีโดยไม่สนสายตาใคร โรงเตี๊ยมนี้อยู่ตรงข้ามเหลาอาหารพวกเขาจึงตกเป็นเป้าสายตา ทำเอานางรู้สึกขัดเขิน"จะ เจ้าไม่ได้บอกว่าจะมาถึงพรุ่งนี้หรอกหรือ ขอโทษนะ ข้าไม่ได้ออกไปรับเลย""ไม่เป็นไร เจ้าหายใจช้า ๆ หน่อย วิ่งมาตั้งแต่ที่จวนหรือไงเนี่ย
แม้ตอนจะจากก็ยังมีอารมณ์ขัน เชื่อแทบไม่ลงเลยว่าเป็นองค์ชายต่างแคว้นเหตุผลหนึ่งที่ไม่มีกล้ามีใครมาโจมตีนอกจากพวกไม่มีหัวคิดก็เพราะสถานะของเจียงหรูอี้ ถึงเจ้าตัวจะบอกว่าตอนนี้เป็นแค่จอมยุทธ์พเนจรไม่มีสถานะอื่น แต่หากติดตามข่าวสารต่างแดนบ้างต้องเคยได้เห็นหรือได้ยินเรื่องของเขาบ้างองค์ชายยังประหลาดใจที่ฉินหลิวซีรู้ว่าตนเป็นใคร ชาวบ้านทั่วไปไม่มีใครสนใจสถานะของเขา ซึ่งนั่นทำให้หรูอี้สบายใจและใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ พอรู้ว่านางผิดสังเกตก็ประหม่า ฉินหลิวซีต้องอธิบายนานกว่าเขาจะเข้าใจว่านางไม่ได้เจตนาจับผิดหรือเป็นสายลับที่ไหน ก็แค่มีหน่วยข่าวกรองดี ๆ ให้ถามโดยไม่คิดค่าจ้างแค่นั้นเมื่อสิ้นสุดการเดินทางก็ได้เวลาแปลงโฉม ฉินหลิวซีสั่งตั้งกระโจมด้านนอกหนึ่งวันเพื่อเตรียมตัว"น้าหญิง น้าเขย เชิญทางนี้หน่อยเจ้าค่ะ""นะ น้าเขยหรือ!?" เฉาฟางทั้งเขินอายทั้งประหม่าในคราวเดียว"อย่างไรผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายก็รับรู้แล้ว ไม่เป็นอะไรหรอกเจ้าค่ะ น้าหญิงงามออกปานนี้ ถ้าไม่ทำให้ชัดเจนละก็อาจจะมีคนมาตามตื้อได้""หยา แบบนั้นไม่ได้สิ ไม่ได้เด็ดขาดเลยนะ" โวยวายเสร็จ