การหาคนงานเพื่อสนับสนุนตระกูลของตนเองเป็นไปอย่างราบรื่น ถึงวิธีที่นางใช้จะดูโหดร้ายไปสักหน่อยแต่ในแง่ของประสิทธิภาพก็ไม่เลว ประหยัดเวลาได้มากงานชิ้นแรกของพวกทาสคือการก่อสร้างที่อยู่อาศัยบนเขา หลายคนรู้จักกันเป็นวงกว้างทำให้สามารถแนะนำกันต่อเป็นทอด ๆ ได้ ว่านางควรไปหาคนมีฝีมืออย่างที่ต้องการจากที่ไหน ทุกคนร่วมแรงร่วมใจตามคำสั่ง จนในที่สุดที่อยู่อาศัยบนภูเขาก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา เมื่อคนก็มากความจึงต้องมีการตั้งกฎ ความสงบเป็นสิ่งที่นางปรารถนาดังนั้นหากมีเรื่องราวระหว่างทาสขึ้นมา นางคือผู้ตัดสินโทษอย่างเด็ดขาดก็นะ ข้าไม่เคยบอกว่าตัวเองเป็นคนดีอยู่แล้วนี่กฎบังคับหลายข้อถูกยึดไว้ที่กระดานทางเข้าหมู่บ้านบนเขา ไม่ว่าใครก็ต้องทำตามกฎพวกนี้ พวกเขาต่างไม่คุ้นชินกับการเปลี่ยนแปลงที่ไม่เคยเห็นใครทำมาก่อน ระหว่างกำลังสับสนก็ใช้ชีวิตต่อไปได้จนเริ่มปรับตัวได้เอง"นายหญิงยิ้มอะไรหรือเจ้าคะ" อาจูถามสตรีที่อยู่ด้านหน้าตน นางกวาดสายตามองหมู่บ้านที่ตนตั้งขึ้นมาแล้วทำหน้าพออกพอใจอยู่เป็นนานสองนาน "หลังจากนี้ต้องสนุกแน่" ฉินหลิวซีหันมายิ้มให้ อาจูได้ยินเสียงหัวเราะเล็ก ๆ ในลำคอนั่นนายหญิง...ทำง
"เข้ามาข้างในก่อนสิ คุณชายหลี่คงเดินทางมาเหนื่อย" ชิวย่าหนานต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี ก็ดูแล้วบุรุษผู้นี้มีแววจะเป็นคู่ครองของลูกนาง อีกทั้งเขาก็เป็นคนดี เพียงแต่ไม่รู้ว่าทั้งสองไปถึงขั้นไหนกันแล้ว แต่ไหนแต่ไรฉินหลิวซีก็ยืนกรานว่าเป็นสหายมาตลอด"วันนี้ข้าขอรบกวนฝากท้องอีกสักครั้งนะขอรับฮูหยิน""ไม่ต้องเกรงใจไปหรอกคนกันเอง"มื้อเย็นผ่านไปอย่างเรียบง่าย ฉินหลิวซีมองซ้ายมองขวารู้สึกว่าเป็นจังหวะที่เหมาะสมจึงเอ่ยเรื่องสำคัญที่ต้องการบอกทุกคนออกมา"ข้ามีเรื่องสำคัญจะแจ้งเจ้าค่ะ" เห็นนางทำหน้าจริงจังคนอื่น ๆ ก็พลอยเคร่งเครียดไปด้วยก็นึกว่าจะมีเรื่องคอขาดบาดตายอะไร"ตอนนี้พวกเราทั้งสองคนกำลังคบหากันอยู่ หากไม่มีอะไรผิดพลาดไม่นานก็คงจะได้จัดพิธีเจ้าค่ะ หลังจากนี้ข้าจะเริ่มไปตั้งหลักที่เมืองหลวงเพื่อให้สะดวกต่อเราทั้งคู่"ทุกคนเงียบไม่มีใครพูดอะไร หลี่เจิ้นหัวรู้สึกได้เลยว่าตัวเขาเย็นมากทั้งที่เหงื่อออกตั้งหลายที่ ความตื่นเต้นปนประหม่าเป็นเช่นนี้เอง"ถ้าเจ้าตัดสินใจแล้วแม่ก็ไม่ว่าอะไรหรอก แล้วกิจการทางนี้ล่ะจะไป ๆ มา ๆ หรือ""ในช่วงแรกคงต้
หลังจากออกแรงจนพอใจฉินหลิวซีก็ออกมาพักเหนื่อยที่ม้านั่งหน้ากระท่อม ทำโต๊ะมาไว้ในนี้หนึ่งชุด มีโอ่งเล็กสำหรับใส่น้ำดื่มที่นางผสมน้ำพุวิญญาณเอาไว้ แค่จิบเข้าไปก็หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งหงส์แดงเพลิงหลังจากต่อสู้เสร็จแล้วก็ย่อขนาดตัวลงคอยเดินตามหลังเจ้านายต้อย ๆ แม้จะเป็นสัตว์อสูรในตำนานแต่นิสัยของมันค่อนข้างสงบเสงี่ยมเรียบร้อยมากทีเดียว เป็นมิตรกับคนในครอบครัวของนางอย่างไม่น่าเชื่อจนสามารถฝากมารดาไปร้านโอสถด้วยได้วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ชิวย่าหนานมารับมันด้วยตัวเอง"หลิวซี" ได้ยินเสียงเรียกจากนอกห้องฉินหลิวซีก็ออกจากมิติ ยื่นเจ้าหงส์ขนขาวใส่มือท่านแม่ที่รอรับอยู่ก่อนแล้ว"เป็นเด็กดีล่ะ" นางเอ่ยกำชับอย่างไม่จริงจังนัก"มันเป็นเด็กดี เจ้าไม่ต้องห่วงนะ""ท่านแม่ตามใจมันมากไปแล้วนะเจ้าคะ""นิดหน่อยเท่านั้นแหละ""เจ้าค่ะ ๆ นิดหน่อยก็นิดหน่อย"ชิวย่าหนานทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้แล้วอุ้มมันออกไปพลางเอ่ยหยอกเย้า ดูสนิทสนมกันยิ่งกว่าเจ้านายอย่างนางเสียอีก ไม่รู้ตอนนี้ใครเป็นลูกรักกันแน่"เอาล่ะ ข้าก็ต้องไปเตรียมตัวแล้วเหมือนกัน" ว่าแล้วก็เดินยืดเส้น
"ข้าจะมารับคำตอบในอีกสองวันก็แล้ว ให้เวลาน้อยไปหรือไม่""เรื่องนั้นคงไม่เป็นไร ข้าจะกลับไปปรึกษากับทุกคนเอง แต่ขอถามนายหญิงน้อย หากไม่รับเงื่อนไขนี้จะเป็นอย่างไร""ข้าก็จะเปลี่ยนช่างฝีมือน่ะสิ ข้าเองก็ต้องรักษาผลประโยชน์ของตนเช่นกัน""เข้าใจแล้วขอรับ"ฉินหลิวซีกลับออกมาจากโรงฝีมือของนายช่างก็ไปที่ภูเขาต่อ นางจ้างเหมารถลากแทบทั้งวันจึงให้เงินพิเศษเขาไปต่างหาก พอได้สินน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ คนลากรถก็เอ่ยชื่นชมนางใหญ่ หญิงสาวเดินขึ้นไปบนเขา การมาครั้งนี้ไม่ได้บอกใครเพราะได้ไม่ได้มีธุระสำคัญ นางแค่มาดูสารทุกข์สุกดิบของคนใต้ปกครองตนเท่านั้นลานกว้างด้านหน้ามีหลายครอบครัวมานั่งรวมกันเพื่อฝึกงานฝีมือ ส่วนบริเวณด้านหลังก็มีคนทำหน้าที่คุ้มกันกำลังฝึกซ้อม เห็นนางมาพวกเขาก็ทำท่าจะหยุดมือ หญิงสาวโบกมือห้ามไว้ก่อนพวกเขาถึงเพียงโค้งให้แล้วกลับไปฝึกต่อฉินหลิวซีเดินตรวจตรารอบหมู่บ้านเพื่อดูความเรียบร้อยเห็นว่าไม่มีอะไรน่าห่วงก็กลับหลายวันต่อมาก็มีรถม้าคันใหญ่จอดที่หน้าคฤหาสน์สกุลฉิน ท่านพ่อท่านแม่ทั้งน้องชายพากันออกมายืนส่ง บ่าวไพร่ช่วยกันขนของลงรถคน
ฉินหลิวซีเห็นความสัมพันธ์ของทั้งคู่แล้วก็ประทับใจ นางคิดว่าหลังจากทั้งสองพร้อมแล้วตนเองจะเป็นผู้สนับสนุนเรื่องงานให้เอง"ท่านน้าอยากไปเมืองหลวงกับข้าไหมเจ้าคะ" ประโยคที่จู่ ๆ ก็ถูกเอ่ยออกมาจากทำให้การทานอาหารมื้อเย็นหยุดชะงักไปชั่วครู่ ไม่นึกว่านางจะเอ่ยปากชวนด้วยตัวเองเป็นเมื่อก่อนชิวหลานคงเสนอตัวเองก่อนที่ฉินหลิวซีจะเอ่ยปากขอกันด้วยซ้ำ แต่คราวนี้อยู่ในสถานะใกล้เคียงกับคำว่ามีครอบครัวนางจึงลังเล หันไปมองคนรักที่ดูเหมือนจะไม่ทุกข์ร้อนอะไรเลย"หากเจ้าอยากไปก็ไปเถอะ" ดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจไม่รั้งนาง แต่ฉินหลิวซีมีวิธีที่ดีกว่านั้น"น้าหญิงกับท่านน้าก็ไปด้วยกันเสียเลยสิเจ้าคะ"เมื่อนางเสนอทางเลือกที่ดีกว่าท่าทีสบาย ๆ อบอุ่นตลอดเวลาของว่าที่น้าเขยก็กระตือรือร้นขึ้นมา"ได้จริงหรือ""เจ้าค่ะ มีท่านไปด้วยน้าหญิงคงจะสบายใจกว่า อย่างไรในอนาคตก็ต้องอยู่ด้วยกันอยู่แล้วก็ไปตั้งตัวที่นั่นเสียเลยเป็นอย่างไร ในเมืองหลวงการค้าขายการล่าสัตว์อะไร ๆ ก็ดีกว่าชนบทอย่างนี้เพราะมีคนสัญจรมาก"เมื่อฟังข้อเสนอนี้ชิวหลานไม่ลังเลที่จะตอบตกลง รอแค่ว่าคนรักจะตามไปด้วยหรือ
แม้นั่นจะเป็นจุดประสงค์หลักในการทำแบบนี้แต่ก็มีผลพลอยได้อีกอย่าง การจะแต่งเข้าไปเป็นสะใภ้สกุลหลี่ นางจะเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาที่ค้าขายดีไม่ได้ นางต้องเป็นมากกว่านั้นเพื่อให้ฮูหยินยอมรับและจะต้องไม่มีใครกล้าครหาคนรักของนางเพราะตนเองเป็นเหตุครั้งหนึ่งนางเคยเปรยเรื่องนี้กับเขาแต่บุรุษผู้นั้นก็บอกว่าไม่ต้องใส่ใจ อย่างไรเขาก็คิดจะแยกบ้านออกมาอยู่แล้ว นางไม่จำเป็นต้องพยายามหนักขนาดนั้น แต่เป็นที่รู้กันดีว่าฉินหลิวซีดื้อรั้นแค่ไหน สุดท้ายนางก็ไม่ยอมรับคำทัดทาน"เอาของไปเท่านี้พอแล้วหรือยัง" ชิวย่าหนานเดินตรวจดูรถม้าทุกคันว่าไม่มีของตกหล่นฉินซือหยวนเดินลอยชายมาส่งพี่สาว "ท่านพี่ ขนไปขนาดนี้ท่านจะย้ายบ้านหรือ""ก็ย้ายน่ะสิ""ไอหยา ข้าหยอกเล่นแต่ดันลืมคิดไปเสียได้ว่าท่านตั้งใจจะแต่งกับเขานี่นา""เรียกพี่ชายหลี่มาแต่เล็กแต่น้อย จะมาหวงพี่สาวเอาตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วไหม""ใครว่าข้าห่วงพี่กัน ข้าเป็นห่วงคุณชายหลี่ท่านนั้นต่างหาก ต้องขอบคุณเขาเลยนะที่ยอมแต่งกับท่าน ใต้หล้านี้คงมีเขาคนเดียวที่รับมือพี่สาวข้าได้..."เอ่ยยังไม่ทันจบประโยคดีฉินซือหยวน
จะเรียกเขาว่าว่าที่น้าเขยต่อไปก็แปลกปาก อย่างไรพอไปถึงเมืองหลวงแล้วก็อยากจะให้คนรับรู้ว่าน้าหญิงมีคู่ครองจะได้ไม่ต้องมีใครเข้ามาวุ่นวาย ถ้าอย่างนั้นเรียกเขาเป็นท่านน้าไปเลยตั้งแต่ตอนนี้น่าจะดีกว่าสินะตกลงกับตัวเองเสร็จสรรพนางก็ออกไปหาร้านอาหารนั่งกินในเมือง ฉินหลิวซีให้เงินผู้ติดตามเอาไว้คนละถุงเล็กสำหรับใช้จ่ายระหว่างเดินทาง แยกจากค่าแรงที่มอบให้เป็นรายเดือนต่างหาก พอได้เงินพิเศษทุกคนก็ดีใจเพราะปกติไม่มีนายจ้างที่ไหนทำอย่างนี้การซื้อใจผู้ใต้ปกครองก็เป็นการลงทุนอย่างที่ฉินหลิวซีเห็นว่าควรค่าแก่การลงทุน การจะมีคนที่ซื่อสัตย์มาติดตามนั้นหาได้ยาก ส่วนใหญ่ที่ตามมาและยังไม่ไปไหนก็เพราะกลัวตาย แค่ภักดีก็จะมีชีวิตรอดต่อไป หลายคนคิดเพียงเท่านี้เพราะการหาปัจจัยเลี้ยงดูตนเองให้เพียงพอในแต่ละวันก็ลำบากแล้ว ไม่มีเวลาไปคิดเรื่องอื่นสำหรับฉินหลิวซีที่ต้องออกไปปฏิบัติภารกิจเพื่อแย่งส่วนแบ่งอาหารกับคนอื่นในโลกก่อนเข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดีเลย ในตอนที่ไม่มีแม้แต่แสงสว่างที่ปลายทางข้างหน้า ต่อให้ต้องทำสิ่งที่เกลียดและเคยปฏิญาณว่าจะไม่ทำก็สามารถลงมือได้เพื่อความอยู่รอด
แม้ตอนจะจากก็ยังมีอารมณ์ขัน เชื่อแทบไม่ลงเลยว่าเป็นองค์ชายต่างแคว้นเหตุผลหนึ่งที่ไม่มีกล้ามีใครมาโจมตีนอกจากพวกไม่มีหัวคิดก็เพราะสถานะของเจียงหรูอี้ ถึงเจ้าตัวจะบอกว่าตอนนี้เป็นแค่จอมยุทธ์พเนจรไม่มีสถานะอื่น แต่หากติดตามข่าวสารต่างแดนบ้างต้องเคยได้เห็นหรือได้ยินเรื่องของเขาบ้างองค์ชายยังประหลาดใจที่ฉินหลิวซีรู้ว่าตนเป็นใคร ชาวบ้านทั่วไปไม่มีใครสนใจสถานะของเขา ซึ่งนั่นทำให้หรูอี้สบายใจและใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ พอรู้ว่านางผิดสังเกตก็ประหม่า ฉินหลิวซีต้องอธิบายนานกว่าเขาจะเข้าใจว่านางไม่ได้เจตนาจับผิดหรือเป็นสายลับที่ไหน ก็แค่มีหน่วยข่าวกรองดี ๆ ให้ถามโดยไม่คิดค่าจ้างแค่นั้นเมื่อสิ้นสุดการเดินทางก็ได้เวลาแปลงโฉม ฉินหลิวซีสั่งตั้งกระโจมด้านนอกหนึ่งวันเพื่อเตรียมตัว"น้าหญิง น้าเขย เชิญทางนี้หน่อยเจ้าค่ะ""นะ น้าเขยหรือ!?" เฉาฟางทั้งเขินอายทั้งประหม่าในคราวเดียว"อย่างไรผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายก็รับรู้แล้ว ไม่เป็นอะไรหรอกเจ้าค่ะ น้าหญิงงามออกปานนี้ ถ้าไม่ทำให้ชัดเจนละก็อาจจะมีคนมาตามตื้อได้""หยา แบบนั้นไม่ได้สิ ไม่ได้เด็ดขาดเลยนะ" โวยวายเสร็จ
"ไปไหน""สถานที่ล่าสัตว์วันนั้น"ถ้าเป็นเรื่องนี้ละก็นางไม่ปฏิเสธแน่อยู่แล้ว"เอาสิ"การล่าสัตว์ขององค์ชายรองกับองค์ชายรัชทายาทนั้นเกิดขึ้นระหว่างเสด็จเยี่ยมราษฎร ระหว่างรับเรื่องร้องทุกข์ของชาวบ้าน วันหนึ่งพวกเขาก็ชวนกันไปล่าสัตว์ฆ่าเวลาป่านนี้อยู่ระหว่างเมืองหลวงกับเมืองเหวินทางตะวันออก ป่าหนาทึบเป็นอันดับสองจากป่ารอบเมืองทั้งหมดหลี่เจิ้นหัวออกมากับนางสองคน ครั้งนี้พวกเขาไม่ได้ใช้รถม้าหรือพาหนะใดเพราะไม่อยากสะดุดตา แม้จะมีคนเชื่อว่าเป็นฝีมือองค์ชายรองแต่พระองค์ยืนกรานว่าไม่รู้เรื่อง หากอยากให้คนร้ายดิ้นไม่หลุดก็ต้องหาหลักฐานมาให้ได้"เจ้าคิดไว้ในใจแล้วหรือยัง!""เรื่องอะไร!" เขาตะโกนถามกลับ การวิ่งฝ่าสายลมทำให้พวกเขาไม่ค่อยได้ยินเสียงกันและกัน"จะสืบอย่างไร…" พูดได้ไม่ถึงครึ่งประโยคฉินหลิวซีก็ส่ายหน้า ทำมือเป็นสัญญาได้ไปคุยกันหลังถึงที่หมาย คุยกันตอนนี้ให้ตายอย่างไรก็ไม่รู้เรื่องเดินทางกันอยู่นานในที่สุดก็ถึงป่าระหว่างสองเมืองเสียที พวกเขาตามร่องรอยมาถึงจุดเกิดเหตุ ทั้งรอยเท้าและของตกหายไม่เหลืออะไรแล้ว แต่ก
โจวเมิ่งอิ๋งคร่ำครวญถึงความน่าสงสารราวโชคชะตากลั่นแกล้งของบุตรสาว ไม่มีแก่ใจมารับรองแขกด้วยตัวเองด้วยซ้ำ ดีที่มีอนุคนสนิทอยู่ข้างกายคอยปลอบใจฟังจากน้ำเสียงคงทุกข์ใจเหลือประมาณ หลี่เจิ้นหัวรู้เรื่องที่ตัวเองสามารถทำได้แล้ว"ทีนี้ข้าจะลงมืออย่างไรดีนะ…"บรรยากาศในห้องค่อนข้างอับชื้น พี่หญิงต้อนรับนางเป็นอย่างดีแม้จะหน้าซีดเซียวกว่าปกติก็ตาม"เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ พี่หญิงดูผอมลงไปหรือไม่ กินข้าวไม่อร่อยอย่างนั้นหรือ""อยากที่เจ้าเห็น ก็ไม่ค่อยดีเท่าไร แต่ข้าเป็นผู้บริสุทธิ์ดังนั้นเลยเชื่อว่าอีกไม่นานคงดีขึ้น"แต่ดูเหมือนความเชื่อของนางจะทรยศนางทีละนิด แต่ละวันที่ผ่านไปขื่นขมนักสีหน้าของหลี่เมิ่งเหยาอิดโรยเหมือนคนไม่ได้นอน ถึงจะบอกว่าตนเป็นผู้บริสุทธิ์อย่างไร แต่สถานการณ์แบบนี้คงยิ้มไม่ออก"เรื่องนี้จัดการไม่ได้ง่าย ๆ แต่หากต้องการให้ข้าช่วยเหลืออะไรพี่หญิงอย่าได้เกรงใจนะเจ้าคะ""ฉินหลิวซี ถ้าซาบซึ้งน้ำใจเจ้าจริง ๆ" หลี่เมิ่งเหยาน้ำตารื้น พอรู้ว่านางอาจต้องโทษเหล่ามิตรสหายก็พากันหนีหน้า ส่วนหนึ่งก็คงเพราะคำสั่งของบิดามารดามิให้มาข้อง
เหตุการณ์นี้ทั้งสองนัดแนะกันเองโดยไม่ได้บอกผู้ติดตามพวกเขาจึงไม่ได้ถูกลงโทษที่ละเลยหน้าที่ และโชคดีที่แม่ทัพหลี่ซึ่งเดินทางไปด้วยมาช่วยไว้ทันด้วยเหตุนี้จึงบังเกิดความสงสัยขึ้นในหมู่ชาวเมือง ว่าเป็นฉากที่ถูกจัดไว้หรือเปล่า"เพราะอย่างนี้จึงไม่มีใครสนใจเจ้าของร้านเครื่องประทินโฉมแล้วสินะ…"เรื่องนี้มันเป็นเรื่องใหญ่กว่าเห็น ๆ ก็ดี เพราะข้าก็ไม่ได้อยากเป็นจุดสนใจมากนักในตอนนี้ แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสกุลหลี่ ยังวางใจไม่ได้"ต้องไปหาเจิ้นหัวหน่อยแล้ว"ฉินหลิวซีไปที่หอกระจายข่าวแล้วก็ต้องประหลาดใจเมื่อการรักษาความปลอดภัยเข้มงวดขึ้นกว่าปกติ นางรู้แล้วว่ามีเรื่องไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น แต่ไม่นึกว่าจะส่งผลกระทบถึงสกุลหลี่มากกว่าที่คิด"เพราะพี่หญิงเป็นพระคู่หมั้นขององค์ชายรัชทายาทอย่างนั้นหรือ…?"หรือจะไม่ใช่กันนะคุยกับตัวเองยังไม่จบก็พบว่ายืนอยู่หน้าห้องทำงานของหลี่เจิ้นหัวเสียแล้ว นางเคาะประตูสองครั้งอีกฝั่งก็เอ่ยอนุญาต"หลิวซี~" พอเห็นหน้านางอีกคนก็โอดครวญเสียงอ่อนอย่างน่าสงสาร ท่ามกลางม้วนกระดาษสู่ท่วมหัว"ดูเหมือนเจ้าจะมี
ร้านที่ไม่มีใครรู้ที่มาแน่ชัด รู้แต่ว่าสกุลหลี่เป็นผู้จัดจำหน่ายให้เสมือนคนกลางหลี่ซีเหยาเหยียดยิ้มนึกอยากขัน สินค้านี้มีอยู่ในร้านของบ้านอยู่แล้ว นางเป็นผู้เอามาให้เช่นนี้ช่างน่าขายหน้าจริง ๆ ช่างไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยหากสังเกตและไตร่ตรองดูสักนิดจะรู้ว่าบรรจุภัณฑ์นี้ไม่ได้วางขายในปัจจุบัน มันเป็นตลับแบบใหม่ที่ยังไม่ได้วางหน้าร้านที่ไหน"นี่เป็น…สินค้าจากร้านของข้าเอง เป็นกระปุกชาดและตลับแป้งลายใหม่ที่ยังไม่ได้วางจำหน่ายที่ไหน ข้ามอบมันให้พี่หญิงเป็นคนแรก"ทันทีที่ฉินหลิวซีพูดจบเสียงฮือฮาก็ดังขึ้นอย่างไม่ขาดสาย"เป็นไปไม่ได้ สามัญชนชั้นต่ำอย่างเจ้าจะเป็นเจ้าของสิ่งนี้ได้อย่างไร อย่ามาแอบอ้างนะ เจ้าต้องไปแอบซื้อที่ไหนมาแน่ ๆ แล้วไปแอบเปลี่ยนตลับทีหลังใช่ไหมล่ะ" หลี่ซีเหยาอย่างไม่ยอม นางเริ่มเสียงดังขึ้นเรื่อย ๆ จนมารดาที่เป็นอนุสั่งให้สาวใช้มาพาตัวออกไปเพราะเริ่มจะทำขายหน้า อีกทั้งแม่ทัพยังมองนางด้วยแววตากรุ่นโกรธอีกด้วย หากไม่รีบจัดการนางก็จะโดนลงโทษหลังจบงานนี้แน่สถานการณ์สงบลงแต่เรื่องของฉินหลิวซียังเป็นที่พูดถึงตัวตนของเจ้าขอ
"บุตรสาวคนเล็กของข้าอยู่ในวัยไล่เลี่ยกับคุณชายหลี่ เรียนรู้งานฝีมือตั้งแต่ยังเล็กจนชำนาญ พิณ หมาก อักษร ล้วนเป็นเลิศ…"เซียนโอสถน้อยรู้สึกกระดากใจเกินจะฟังจึงเดินหนีออกมา รู้หรอกว่าหลี่เจิ้นหัวคงไม่เอาด้วยแต่นางก็ไม่ชอบใจอยู่ดีถึงจะไม่พอใจแต่ถ้านางโวยวายหรืออาละวาดขึ้นมาเพราะเรื่องนี้ รังแต่จะสร้างความไม่พอใจให้ฮูหยินท่านที่มีต่อนางเพิ่มมากขึ้นฉินหลิวซีกลับมานั่งที่โต๊ะ น้าหญิงกับน้าเขยทำตัวไม่ถูกกับงานเช่นนี้จึงเลือกโต๊ะที่ไม่ค่อยโดดเด่น นางเข้าใจว่าทั้งสองคงอึดอัดจึงไม่ห้าม แต่ว่านางร่วมโต๊ะด้วยไม่ได้ ในบัตรเชิญบอกไว้ว่าให้นางนั่งร่วมโต๊ะกับเจ้าของงานโคมไฟแดงประดับต้นไม้สว่างวาบขึ้นจากเดิมพร้อม ๆ กัน ทุกคนพร้อมใจกันหันไปมองหน้าเรือนรับรองที่มีทางเดินหินอ่อนทอดยาวออกมาถึงสวน ฉินหลิวซีเห็นหลี่เมิ่งเหยาออกมาแล้วจึงขอตัวท่านหญิงหลี่ออกมาพร้อมกับสหายท่านหญิงคนอื่น ๆ ฉินหลิวซีรู้สึกคุ้นหน้าพวกนางเกือบทุกคนเพราะเคยเจอกันมาก่อนแล้ว นางรู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย ถ้าได้ร่วมโต๊ะกับคนที่คุ้นเคยกันมันดีต่อความรู้สึกนางมากกว่าที่ต้องร่วมโต๊ะกับคนแ
"จริงสิ พี่หญิงเชิญเจ้าไปงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดของนาง เจ้าพอจะมีเวลาหรือไม่""งานวันคล้ายวันเกิดของพี่หญิงหรือ ต่อให้ข้าไม่ว่างก็จะไปแน่"ฉินหลิวซีได้รับความช่วยเหลือจากพี่หญิงของหลี่เจิ้นหัวมาไม่น้อย แค่ไปร่วมงานแค่นี้ทำไมนางจะทำไม่ได้แล้ว"ถ้าพี่หญิงได้ยินคงดีใจ""งานเริ่มวันไหน""วันมะรืนปลายยามโหย่ว นี่บัตรเชิญของเจ้า น้าหญิงกับน้าเขยเจ้าสามารถมาเข้าร่วมในฐานะผู้ติดตามได้""นางคงตื่นเต้น"ฉินหลิวซีคิดภาพออกเลยว่าชิวหลานจะพูดอะไรหรือแสดงท่าทีประมาณไหนหลังจากได้ยินเรื่องนี้ น้าหญิงของนางร่าเริงมากตั้งแต่มาเมืองหลวง คุ้มค่าแล้วที่พาทั้งคู่มาเปิดหูเปิดตาฉินหลิวซีตั้งใจสร้างชื่อเสียงและตัวตนของตนเอาไว้ที่นี่ ในอนาคตไม่รู้ว่าลูกหลานสกุลชิวกับท่านพ่อท่านแม่จะย้ายมาที่เมืองหลวงหรือไม่ แต่หากพวกเขามาสิ่งที่นางสร้างไว้จะต้องเป็นประโยชน์แน่"ข้าเองก็ตั้งตารอวันนั้น"หลี่เจิ้นหัวมองนาง สายตาแสดงความรู้สึกอย่างไม่ปิดบัง หญิงสาวไม่รู้ว่าคนตรงหน้าเฝ้ารออะไร แต่แววตาของเขานั้นทำให้นางอยากสร้างความประทับใจที่จะได้พบกันยามค่ำคืนให้พิเศษขึ
"ที่นี่ยอดเยี่ยมไปเลย""ดีใจที่เจ้าชอบ นี่ใบเสนอราคาที่เถ้าแก่คนก่อนเขียนมา"นางกวาดสายตาอ่านดูแล้วก็พยักหน้า "รับได้ แต่ทำไมถึงปล่อยขายล่ะ ทำเลดีมากไม่ใช่หรือ""เขาจะย้ายไปอยู่เมืองอื่นกับหลานชาย กิจการนี้ไม่มีคนสานต่อแล้วเจ้าตัวก็ไม่อยากเดินทางมาเก็บค่าเช่าทุกเดือนด้วย""เข้าใจล่ะ แต่เจ้าเอามันมาได้อย่างไร ร้านทำเลดีแบบนี้ต้องมีคนแย่งกันประมูลมากมายแน่ คงไม่ใช่ว่าเจ้าแอบสนับสนุนเงินเพิ่มให้ข้าหรอกนะ"พอเห็นนางมองตาขวางเขาก็รีบปฏิเสธ"เปล่า ๆ เถ้าแก่เป็นคนรู้จักของข้า เคยมีบุญคุณต่อกันนิดหน่อยเท่านั้น ข้ามาขอร้องให้เขาช่วยหาเพราะเส้นสายก็ไม่น้อย แล้วเขาก็เสนอร้านที่นี่มา ซึ่งก็เป็นร้านของตัวเองนั่นแหละ"ฉินหลิวซีเคยสำรวจราคาตลาดมาบ้างแล้ว ที่นี่ก็ให้ราคาที่ถูกมากกว่าที่อื่นจริง ๆเมื่อได้คำตอบที่พอใจนางก็ไม่ถามอะไรเขาอีกก่อนจะหมดวันพวกเขาไปยังที่ตั้งโกดัง มันเป็นโรงเก็บไม้เก่าที่เลิกกิจการไปแล้ว อายุการใช้งานก็ยังไม่มาก ไม่ถึงกับต้องซ่อมแซมแค่ปัดฝุ่นนิดหน่อยก็ใช้ได้ฉินหลิวซีจะเริ่มทยอยขนของย้ายไปที่คฤหาสน์วันพรุ่งนี้
"ช่างเถอะเจ้าค่ะท่านน้า เราคงจะเจอแบบนี้อีกบ่อยเลยล่ะ ถึงจะน่าหงุดหงิดไปบ้าง แต่คนที่หน้าคบหาและเป็นมิตรยังมีอีกมาก"หลังจากกินอาหารเสร็จแล้ว ฉินหลิวซีก็ให้พวกสาวใช้ไปเดินสำรวจในเมืองโดยให้ไปกันเป็นกลุ่ม ห้ามแยกไปคนเดียวเพราะต่อให้เป็นเมืองหลวงก็ใช่ว่าจะปลอดภัย ที่สำคัญคือห้ามก่อเรื่องเป็นอันขาดหลังจากพวกเขาแยกย้ายกันไปแล้ว นางที่กำลังจะขึ้นไปพักบนห้องก็ถูกเรียกเอาไว้"หลิวซี!""เจิ้นหัว?" นางหันหลังมาเห็นก็รู้แล้วว่าเป็นใคร อีกฝ่ายวิ่งมาหาจากแยกด้านหน้าของถนน ทำหญิงสาวเอ่ยชื่อของเขาด้วยความประหลาดใจวิ่งมาแบบนั้นจะหายใจทันไหมนี่"ดูจากสีหน้าคงไม่ใช่เรื่องฉุกเฉินอะไรหรอก ก็แค่ตื่นเต้น…" หญิงสาวเอ่ยพึมพำกับตัวเองนางอมยิ้มแล้วหัวเราะออกมาเบา ๆเพราะข้าล่ะมั้งหลี่เจิ้นหัววิ่งเข้ามาหาฉินหลิวซีโดยไม่สนสายตาใคร โรงเตี๊ยมนี้อยู่ตรงข้ามเหลาอาหารพวกเขาจึงตกเป็นเป้าสายตา ทำเอานางรู้สึกขัดเขิน"จะ เจ้าไม่ได้บอกว่าจะมาถึงพรุ่งนี้หรอกหรือ ขอโทษนะ ข้าไม่ได้ออกไปรับเลย""ไม่เป็นไร เจ้าหายใจช้า ๆ หน่อย วิ่งมาตั้งแต่ที่จวนหรือไงเนี่ย
แม้ตอนจะจากก็ยังมีอารมณ์ขัน เชื่อแทบไม่ลงเลยว่าเป็นองค์ชายต่างแคว้นเหตุผลหนึ่งที่ไม่มีกล้ามีใครมาโจมตีนอกจากพวกไม่มีหัวคิดก็เพราะสถานะของเจียงหรูอี้ ถึงเจ้าตัวจะบอกว่าตอนนี้เป็นแค่จอมยุทธ์พเนจรไม่มีสถานะอื่น แต่หากติดตามข่าวสารต่างแดนบ้างต้องเคยได้เห็นหรือได้ยินเรื่องของเขาบ้างองค์ชายยังประหลาดใจที่ฉินหลิวซีรู้ว่าตนเป็นใคร ชาวบ้านทั่วไปไม่มีใครสนใจสถานะของเขา ซึ่งนั่นทำให้หรูอี้สบายใจและใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ พอรู้ว่านางผิดสังเกตก็ประหม่า ฉินหลิวซีต้องอธิบายนานกว่าเขาจะเข้าใจว่านางไม่ได้เจตนาจับผิดหรือเป็นสายลับที่ไหน ก็แค่มีหน่วยข่าวกรองดี ๆ ให้ถามโดยไม่คิดค่าจ้างแค่นั้นเมื่อสิ้นสุดการเดินทางก็ได้เวลาแปลงโฉม ฉินหลิวซีสั่งตั้งกระโจมด้านนอกหนึ่งวันเพื่อเตรียมตัว"น้าหญิง น้าเขย เชิญทางนี้หน่อยเจ้าค่ะ""นะ น้าเขยหรือ!?" เฉาฟางทั้งเขินอายทั้งประหม่าในคราวเดียว"อย่างไรผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายก็รับรู้แล้ว ไม่เป็นอะไรหรอกเจ้าค่ะ น้าหญิงงามออกปานนี้ ถ้าไม่ทำให้ชัดเจนละก็อาจจะมีคนมาตามตื้อได้""หยา แบบนั้นไม่ได้สิ ไม่ได้เด็ดขาดเลยนะ" โวยวายเสร็จ