หลินจืออี้ไม่อยากจะเชื่อว่ากงเฉินจะกล้าถึงขนาดนี้ในบ้านของตระกูลกง และยังอยู่ต่อหน้ากงเยี่ยนอีกดังนั้นเธอจึงเพิกเฉยต่อคำพูดของเขา ใช้แรงทั้งหมดที่มีพยายามดิ้นรนให้พ้นจากพันธนาการอย่างเงียบๆเมื่อเงยหน้าขึ้น ดวงตาของเธอก็สบเข้ากับนัยน์ตาสีดำสนิทของกงเฉิน ที่แฝงไปด้วยความคุกคามและอันตรายดวงตาคู่นั้นของเขาชัดเจนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ หลินจืออี้ถึฃตระหนักได้ว่ากงเฉินกำลังใกล้เข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ ใกล้จนเธอรู้สึกได้ถึงลมหายใจของเขา และที่น่าตกใจกว่านั้น กงเยี่ยนก็ยืนมองพวกเขาอยู่ตรงนั้นหัวใจของหลินจืออี้เต้นแรงด้วยความตื่นตระหนก เธอรีบยกมือขึ้นดันร่างสูงตรงหน้า พร้อมพยักหน้าอย่างแรงเป็นการตอบรับว่าเธอจะไปกับเขากงเฉินหยุดชะงักก่อนจะยื่นมือมาหยิบใบไม้ที่ติดอยู่บนเส้นผมหน้าผากของเธอออกเสียงทุ้มต่ำยังคงเย็นชาเช่นเคย “มีอะไรติดอยู่น่ะ”หลินจืออี้ถึงได้รู้ว่าตัวเองถูกหลอก เธอย่นจมูกเล็กน้อยด้วยความไม่พอใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้สุดท้ายเธอทำได้เพียงหันไปมองกงเยี่ยน “พี่ใหญ่ ฉันมีธุระต้องไปก่อนนะ”กงเยี่ยนเผยรอยยิ้มบางๆ “ไปเถอะ ต้องพักผ่อนบ้างนะ”“ขอบคุณค่ะ พี่ใหญ่”หลังจากพูดจบ หลินจืออี้รีบถ
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ กงเฉินถอดรองเท้าและถุงเท้าของเธอออกไปแล้ว"อาเล็ก อาจะทำอะไรคะ? แบบนี้มันไม่สบายเลย!"หลินจืออี้หดเท้ากลับโดยสัญชาตญาณ แต่เขากลับจับฝ่าเท้าของเธอไว้โดยไม่รังเกียจเลยสักนิดฝ่ามือของเขาร้อนผ่าว แผ่ไออุ่นไปทั่วผิวของเธอ แม้ว่าในใจจะไม่อยากยอมรับ แต่ร่างกายของเธอกลับซื่อตรงต่อความรู้สึกความอบอุ่นนี้ช่วยให้เท้าของเธอผ่อนคลายจนเธออดไม่ได้ที่จะขยับนิ้วเท้าเล็กน้อยกงเฉินจับข้อเท้าของเธอไว้ ปลายนิ้วลูบไล้ผิวหนังเบาๆ เพิ่มแรงกดขึ้นเล็กน้อย มันทั้งเจ็บและจั๊กจี้ในเวลาเดียวกันเขาพูดอย่างหยอกเย้าว่า "ไม่สบายเหรอ?"หลินจืออี้เม้มริมฝีปากไม่ตอบกลับกงเฉินหยิบสเปรย์จากกล่องยาขึ้นมาฉีดบริเวณข้อเท้าที่บวมแดงของเธอ ก่อนจะแปะแผ่นยาทับลงไปหลินจืออี้มองเขาอย่างเงียบๆ ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงต้องทำขนาดนี้แล้วจู่ๆ ความคิดบางอย่างก็แล่นเข้ามาในหัวของเธอซ่งหว่านชิว...กงเฉินเคยรับปากซ่งหว่านชิวไว้ว่าจะจัดการเรื่องไฟล์บันทึกเสียงไม่ให้ถูกเผยแพร่ออกไปและแทบจะเป็นเวลาเดียวกันนั้นเองที่ชายหนุ่มตรงหน้าก็เอ่ยปากขึ้นมาน้ำเสียงของเขาทุ้มต่ำและเย็นชาไร้ความรู้สึก"หลินจืออ
ตาบ้านั่นกัดเธอ!หลินจืออี้รู้ดีว่ากงเฉินทำไปเพราะจงใจจะแก้แค้นที่เธอที่กัดเขาก่อนหน้านี้ เธอจึงหลับตาลง เตรียมใจรับความเจ็บปวดและเลือดที่จะไหลออกมาแต่ความเจ็บนั้นเกิดขึ้นเพียงเสี้ยววินาที รอยกัดบนคอเธอแปรเปลี่ยนไป กลายเป็นสัมผัสที่เบาบางสลับหนักหน่วง เหมือนเขาจงใจแกล้งหยอกล้อเธอเล่นร่างของเธอสั่นสะท้านเล็กน้อย ก่อนที่ริมฝีปากของเขาจะเปลี่ยนท่าที เริ่มบดเบียดและไล้สัมผัสบนผิวเนียนของเธออย่างเชื่องช้าในชั่วพริบตาเดียว เธอก็ถูกเขาช้อนตัวขึ้นมาวางบนโต๊ะเตี้ย เธอพยายามดิ้นหนี แต่กลับถูกวงแขนของเขาขังไว้แน่นกงเฉินโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ ใกล้จนเพียงขยับปากเบาๆ ก็แทบจะสัมผัสริมฝีปากของเธอหลินจืออี้พยายามถอยหนี เขาจึงยกมือขึ้นประคองศีรษะของเธอและดึงเธอกลับมาให้เผชิญหน้ากันอีกครั้งการสัมผัสที่แผ่วเบานั้นทำให้บรรยากาศเริ่มร้อนระอุ“พูดใหม่” เขากระซิบเสียงแผ่วพร่า“…”หลินจืออี้เม้มริมฝีปากแน่น ปฏิเสธที่จะพูดหรือขยับตัวกงเฉินไม่เร่งร้อน เขาปลดดอกไม้ที่เธอเหน็บไว้ข้างหูออกมา และบดขยี้มันต่อหน้าเธอ ก่อนจะเอ่ยเย็นชา “น่าเกลียดสิ้นดี”ดอกไม้?หรือว่าเธอน่าเกลียด?หลินจืออี้เลือกที่จ
เฉินจิ่นสังเกตเห็นสีหน้าของหลินจื่ออี้ซีดขาว “คุณหนูหลิน…” หลินจืออี้หัวเราะเยาะออกมาเสียงหนึ่ง“รบกวนอาเล็กแล้ว”“คุณหนูหลิน.. จริงๆ แล้ว...”เฉินจิ่นกำลังจะอธิบาย แต่หลินจืออี้ได้เดินจากไปแล้ว เขาจึงถอนหายใจและขมวดคิ้วหลินจืออี้กลับมาที่ห้องของตัวเองและตรงไปที่ห้องน้ำ ทันทีที่เธอมองในกระจก เธอก็เห็นรอยแดงที่คอของตัวเอง รอยฟันที่เบาๆ แต่บริเวณที่ถูกกัดนั้นกลับแดงขึ้นอย่างชัดเจนใครก็ตามที่เห็นแบบนี้ล้วนคิดได้แน่ว่าเกิดจากอะไรหลินจื่ออี้พยายามล้างมันหลายครั้ง แต่ยิ่งล้างก็ยิ่งแดงขึ้น เธอจึงยอมแพ้ และคิดว่าเธอคงต้องใช้รองพื้นเพื่อปกปิดรอยนี้ในวันพรุ่งนี้ก่อนไปที่สตูดิโอของเซวียนมั่นเธอกำลังคิดว่าจะพูดยังไงเพื่อขอยืมรองพื้นจากหลิ่วเหอ แต่กลับไม่คาดคิดว่าหลิ่วเหอจะมาถึงเสียก่อน“จืออี้? กลับมาแล้วเหรอ? ฉันเอาขนมมาให้”เมื่อได้ยินเสียงเรียก หลินจืออี้จึงหยิบผ้าขนหนูมาเช็ดและพันรอบคอแล้วเดินออกไปหลิ่วเหอมองไปที่การแต่งตัวแปลกๆ ของหลินจืออี้ “อะไรเนี่ย? ทำไมต้องพันผ้าขนหนูไว้ที่คอด้วย?”หลินจืออี้ตอบไปว่า “ฉันเพิ่งออกไปออกกำลังกาย เหงื่อออกนิดหน่อยเลยพันไว้เพื่อไม่ให้ลมเย็นเข้
เมื่อได้ยินเสียงก็หันกลับไป ก็เห็นหญิงสาวในชุดสูทสีดำกยืนตรงหน้าเธออย่างเรียบร้อย"จำฉันได้ไหม? ฉินฮวน"อันดับที่ 3 จากการแข่งขันหลินจื่ออี้พยักหน้าอย่างสุภาพ "จำได้ สวัสดีค่ะ"ฉินฮวนปรับชุดสูทของตัวเองและจัดทรงผมเล็กน้อย "ขอบคุณที่ตอนนั้นเสียสละที่ให้ฉันนะคะ""ไม่เป็นไรค่ะ ตอนนี้เวลาก็ใกล้จะถึงแล้ว เราขึ้นไปกันเถอะ พอหลังจากนี้ค่อย คุยกัน"หลินจื่ออี้มองนาฬิกา เธอไม่อยากมาถึงตรงเวลาเป๊ะในวันแรกของการฝึกงาน เพราะอย่างน้อยต้องมาก่อนเวลา 10 นาทีเพื่อทำความคุ้นเคยกับสถานที่“อืม” ฉินฮวนเดินตามหลินจื่ออี้มา พลางพูดด้วยความตื่นเต้น “จืออี้ จริงๆ ฉันคิดว่าผลงานของเธอควรจะได้ที่หนึ่งมากกว่า”หลินจืออี้หยุดเดิน แล้วพูดขัดขึ้น “ฉินฮวน คำนี้เก็บไว้ในใจเถอะ อย่าพูดออกมาอีก”ซ่งหว่านชิวไม่ได้เป็นคนที่ดูเหมือนจะไม่สนใจชื่อเสียงอะไรขนาดนั้น เธอเป็นคนที่ค่อนข้างใจแคบมาก จนไม่สามารถยอมรับแม้แต่ความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆแต่สิ่งที่พวกเขาไม่คาดคิดก็คือ... พอพูดจบ ประตูลิฟต์ก็เปิดออก และซ่งหว่านชิวที่จอดรถใต้ดินก็เดินเข้ามาในลิฟต์หลินจื่ออี้และฉินฮวนต่างก็ตะลึงไปชั่วขณะเธอคงไม่ได้ได้ยินใช่ไหม?
เมื่อเดินเข้าไปในสำนักงานเบลล่าปรบมือแนะนำว่า “นักศึกษาฝึกงานคนใหม่ คุณซ่งหว่านชิว ท่านประธานเซวียยอมรับว่าเป็นอันดับหนึ่ง ส่วนคนอื่นๆ คงไม่ต้องให้ฉันแนะนำแล้วนะ”ทุกคนต่างรู้จักกาลเทศะและเข้าใจความหมายแฝงของเบลล่าพวกเขาพากันเข้าแถวทักทายซ่งหว่านชิวอย่างกระตือรือร้นส่วนหลินจืออี้และเฉินฮวนกลับไม่มีใครสนใจ แม้แต่ชื่อก็ไม่มีใครถามซ่งหว่านชิวเหลือบมองหลินจืออี้เล็กน้อย ก่อนจะเริ่มการแสดงของเธออีกครั้งเธอเดินเข้าไปยืนตรงกลางระหว่างหลินจืออี้และเฉินฮวน ก่อนจะคล้องแขนพวกเธอด้วยท่าทีอ่อนโยนและกล่าวว่า"สองคนนี้ก็เป็นเพื่อนของฉัน หลินจืออี้และเฉินฮวน ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ"หลินจืออี้ชะงักไปเล็กน้อยดูเหมือนซ่งหว่านชิวจะได้ยินบทสนทนาของเธอกับเฉินฮวนที่หน้าลิฟต์ และรอคอยโอกาสเอาคืนพวกเธอเห็นได้ชัดว่า ซ่งหว่านชิวกำลังใช้พวกเธอเพื่อแสดงให้เห็นถึงความใจกว้างของตัวเอง พร้อมทั้งลดทอนการมีตัวตนของพวกเธอลงทำให้เหมือนกับว่าพวกเธอเข้ามาฝึกงานในสตูดิโอได้เพราะเธอน่าเสียดายที่เฉินฮวน กลับรู้สึกซาบซึ้งใจที่ซ่งหว่านชิวให้ความเอาใจใส่เธอเป็นพิเศษแต่หลินจืออี้กลับดึงมือของซ่งหว่านชิวออก
ความชั่วร้ายของซ่งหว่านชิวที่แสดงออกในยามส่วมตัวนั้น หลินจืออี้เคยได้สัมผัสมาแล้วในชาติที่แล้วเธอสามารถเปลี่ยนหน้ากากได้อย่างคล่องแคล่ว และการแสดงของเธอก็ไร้ที่ติในชาติที่แล้ว หลินจืออี้จะพยายามอธิบายด้วยทุกวิถีทาง แต่ตอนนี้เธอพบว่าไม่จำเป็นต้องยุ่งยากขนาดนั้นในการรับมือกับซ่งหว่านชิวแค่บ้าคลั่งก็พอแล้วหลินจืออี้วางโทรศัพท์ลง แล้วยกกาแฟที่ร้อนจัดขึ้นมา หันตัวทันที“ปากดีขนาดนี้ ยังโดนความร้อนไม่พอเหรอ?”“คุณซ่งอยากลิ้มลองรสชาติของการโดนคนบ้าเล่นงานบ้างไหม?”“สิ่งที่ฉันเสียไปคือเงินเดือน แต่สิ่งที่เธอจะเสียคือทั้งหน้าตาของเธอเองและตระกูลซ่ง รวมถึงหน้าของคุณชายสาม เธอจะยอมเสียไหมล่ะ?”แน่นอนว่า เมื่อซ่งหว่านชิวเห็นกาแฟร้อนๆ ใบหน้าของเธอก็เริ่มสั่นสะท้านตามสัญชาตญาณ รองพื้นเริ่มจะหลุดออกจากหน้าแล้วซ่งหว่านชิวถอยหลังไปสองก้าว สีหน้าดูดุร้าย “หลินจืออี้ อย่ามั่นหน้าเกินไปหน่อยเลย เธอคิดว่าเธอชนะแล้วเหรอ?”“สุดท้ายก็ยังไง? คุณชายสามก็คำนึงถึงฉันอยู่ดี แล้วก็ยังทำลายหลักฐานที่เธอถืออยู่”“เขารักฉัน ถึงได้ทำแบบนี้ ส่วนเธอ...ก็แค่สนุกกับการที่ของเล่นที่มาเสิร์ฟถึงมือก็เท่านั้น”
เฉินฮวนมองไปที่ซ่งหว่านชิวด้วยความกังวล “อันนี้... จะดีเหรอคะ? ไวน์ของคุณชายสามคงไม่ถูกใช่ไหมคะ?”ซ่งหว่านชิวยิ้มอย่างสบายๆ “คุณชายสามพาฉันมาบ่อยๆ เขาก็ให้ฉันเลือกตามใจชอบนะ ฉันก็ไม่ค่อยรู้ราคาหรอก แต่ก่อนหน้านี้ฉันทำขวดไวน์ตกขวดหนึ่ง เขาบอกว่ามันราคาหลานแสนเลยล่ะ แต่คุณชายสามก็ไม่ได้ว่าอะไรนะคะ แค่ห่วงว่าฉันจะได้รับบาดเจ็บเท่านั้น”“โอ้ย ทำไมเหมือนได้กลิ่นความรักลอยฟุ้งละเนี่ย? ทุกคนยังไม่ขอบคุณว่าที่เถ้าแก้เนี้ยกันอีก?” เพื่อนร่วมงานล้อเลียน“ขอบคุณครับ/ค่ะ เถ้าแก้เนี้ย”“อย่าทำแบบนี้สิ ฉันไม่พูดแล้ว”ซ่งหว่านชิวทำสีหน้าแดงอาย ราวกับสาวน้อยที่รู้สึกเขินอาย แต่สายตาของเธอกลับจับจ้องไปที่หลินจืออี้อย่างมั่นคง ราวกับกำลังประกาศสิทธิ์ในตัวเองหลินจืออี้มองเธอแล้วก็แกล้งยิ้มพร้อมเพื่อนร่วมงานเธอไม่สนใจแม้กระทั้งกงเฉิน แล้วจะไปสนใจว่าที่เถ้าแก้เนี้ยอย่างซ่งหว่านชิวเนี่ยนะ?ในขณะนั้น เฉินฮวนก็ย้ายมานั่งข้างหลินจืออี้ ยิ้มกว้าง“ฉันอิจฉาคุณซ่งจริงๆ เลยนะ แต่จืออี้คงไม่อิจฉาหรอก เพราะแฟนเธอก็คงดีกับเธอมากเลยล่ะ”“ฉันไม่มีแฟน” หลินจื่ออี้ย้ำเสียงแข็ง“แล้วที่คอเธอล่ะ...?”“หมากัด
หลินจืออี้เคยคิดเอาไว้หลายสิบอย่างถึงความเป็นไปได้ แม้กระทั่งคิดว่าซ่งหว่านชิวอาจจะใช้เธอเป็นเครื่องมือในการทำให้ตัวเองแท้งลูก แบบนั้น เธอก็จะกลายเป็นคนบาปไปตลอดกาลแต่ไม่ว่าอย่างไรเธอก็ไม่เคยคิดเลยว่า ซ่งหว่านชิวจะผลักเธอลงไปในทะเลสาบทะเลสาบที่ตระกูลกงเป็นทะเลสาบเทียมที่ขุดลึกมาก น้ำเย็นเฉียบเจ็บแสบแทบจะทันทีที่ร่างของหลินจืออี้จมหายไปเธอพยายามดิ้นรนสุดชีวิต “ช่วย…”แต่พออ้าปาก น้ำก็ทะลักเข้าปากเข้าจมูก ทำให้เธอพูดไม่ออกสักคำเดียวหลินจืออี้คิดว่าเธอคงไม่รอดแล้ว ใครจะคิดว่าซ่งหว่านชิวจะเริ่มตะโกนขอความช่วยเหลือขึ้นมา“ช่วยด้วยค่ะ! จืออี้ตกน้ำ!”เสียงร้องขอความช่วยเหลือของซ่งหว่านชิวทำให้มีคนมากมายรีบวิ่งมาที่ทะเลสาบแต่ตอนนั้นหลินจืออี้ใส่เสื้อโค้ทตัวยาวที่ดูดน้ำไว้เต็มที่ น้ำหนักมหาศาลทำให้ร่างของเธอเริ่มจมลงช้าๆ แรงก็ค่อยๆ หมดลงไปแล้วจู่ๆ ก็มีเงาร่างหนึ่งกระโจนลงน้ำพยุงเธอขึ้นจากน้ำอย่างแรงหลินจืออี้สำลักน้ำแล้วไอออกมา สายตาที่พร่ามัวมองเห็นเพียงผู้ชายที่อุ้มเธออยู่เป็นกงเฉินเขาก้มหน้า เส้นผมเปียกโชก น้ำที่หยดจากปลายผมดวงตาสีดำขลับจ้องมองเธออย่างไม่ละสายตาหางตาแด
เธอมีความรู้สึกบางอย่างที่อธิบายไม่ได้เหมือนกับว่า เด็กคนนี้ควรจะเป็นความโชคดีของเธอ เป็นคนที่จะนำพาทุกอย่างที่เธอปรารถนามาให้แต่ตอนนี้เธอเองก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมสิ่งที่ควรจะได้มาง่ายๆ กลับค่อยๆ ห่างไกลออกไปจากตัวเองทุกที เพราะแบบนี้ ซ่งหว่านชิวที่ไม่ยอมแพ้จึงแต่งหน้าแต่งตัวอย่างดีแล้วมาที่ตระกูลกง เธอคิดจะเดิมพันครั้งสุดท้าย ถ้าวันนี้สามารถได้ตัวกงเฉินสำเร็จ เด็กในท้องเกิดก่อนกำหนดแค่เดือนกว่าๆ ก็ยังพออธิบายได้ว่าเป็นเรื่องธรรมชาติแต่เธอไม่คิดเลยว่าจะได้ยินข่าวที่ทำให้เธอช็อกขนาดนี้มือที่วางอยู่บนหน้าท้องของซ่งหว่านชิวค่อยๆ กำแน่นขึ้น จนความเจ็บปวดแล่นไปทั่วร่างดูท่าลูกคนนี้เธอคงเก็บไว้ไม่ได้แล้ว คืนนี้กงเฉินไม่มีทางแตะต้องเธอแน่นอนถ้าอย่างนั้น...ลูกของหลินจื้ออี้ก็ต้องตายไปพร้อมกับลูกของเธอแบบนี้กงเฉินก็ไม่มีเหตุผลอะไรไปขัดคำสั่งของคุณท่านที่ต้องแต่งงานกับหลินจื้ออี้แล้วซ่งหว่านชิวลดมือลง หยิบแป้งพัฟขึ้นมาปัดแต่งหน้าเติมเล็กน้อยก่อนจะถอดต่างหูจากใบหูใส่ลงกล่องเครื่องประดับเล็กๆ ที่พกติดตัวมาด้วยเธอรีบเดินเข้าห้องรับแขก ก่อนที่กงเฉินจะกลับมารีบเข้าไปทักทายทุกคนก่อน
หลินจื้ออี้เข้าไปในห้องน้ำแล้วก็อาเจียนออกมาอย่างหนัก แม้จะบ้วนปากด้วยน้ำยารสผลไม้ถึงสามรอบแต่ในปากก็ยังขมอยู่ดีทันทีที่เธอเดินออกมาจากห้องน้ำก็มีเงาหนึ่งมายืนขวางทางไว้เธอพูดด้วยเสียงอ่อนล้า “หลบไปหน่อย”กงเฉินจ้องมองเธอ “ยังรู้สึกไม่สบายตรงไหนอีกหรือเปล่า?”หลินจื้ออี้ได้ยินคำพูดนั้นก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะ“อาเล็กดูแลฉันดีแบบนี้เพราะฉันท้องเหรอ?อย่าลืมสิตอนนั้นอาบอกว่าถ้าฉันท้องก็ให้ไปเอาเด็กออกไม่ใช่เหรอ?”“...”สีหน้าของกงเฉินมืดมนลงทันทีหลินจื้ออี้นึกถึงคำเตือนของคุณท่านเมื่อครู่แล้วก็อดนึกถึงชาติที่แล้วไม่ได้ ตอนที่คุณท่านปฏิบัติต่อซิงซิงซิงซิงเป็นเด็กผู้หญิงแถมยังเป็นลูกที่ไม่มีใครต้องการ คุณท่านก็ไม่เคยยอมรับเลยว่าเธอเป็นหลานสาวของตระกูลกงแต่เมื่อซ่งหว่านชิวกลับมาพร้อมกับลูกชาย โลกออนไลน์ก็เต็มไปด้วยข่าวว่าเขารักหลานชายคนนั้นมากแค่ไหน ถึงกับประกาศว่าลูกชายของซ่งหว่านชิวคือลูกเพียงคนเดียวของกงเฉินทุกคนต่างหัวเราะเยาะเธอกับลูกสาวของเธอว่า พยายามแทบตายสุดท้ายก็ได้แต่ความว่างเปล่าตอนนี้คุณท่านก็คงจะสมหวังแล้วในเมื่อไม่มีเธอคอยขวางทาง ก็คงต้องดูว่าซ่งหว่านชิว
หลินจื้ออี้มองดูโต๊ะกลมขนาดใหญ่ เธออดคิดไม่ได้ว่าครั้งก่อนที่กินข้าวที่นี่คือเหตุการณ์ที่เธอเคยระเบิดใส่แม่ลูกตระกูลซ่งหว่านชิวคุณท่านกงซึ่งนั่งอยู่ที่หัวโต๊ะแต่งตัวด้วยสูทเรียบร้อยสีหน้าเคร่งขรึมตามแบบฉบับเพราะคำนึงถามมารยาท หลินจื้ออี้จึงเอ่ยทักอย่างนอบน้อม “คุณท่าน”“อืม นั่งกินข้าวเถอะ”เขาโบกมือเชิญทุกคนเริ่มกินอาหารหลินจื้ออี้มองอาหารทะเลเต็มโต๊ะแล้วกลืนน้ำลายเบาๆ แต่เพราะมีคุณท่านอยู่เธอจึงคีบแค่เนื้อวัวตรงหน้าเท่านั้นเธอไม่ได้เป็นตัวแทนแค่ตัวเองแต่ยังเป็นตัวแทนของหลิ่วเหอด้วยพอคิดถึงเรื่องที่หลิ่วเหอยังต้องใช่ชีวิตอยู่ในตระกูลกงนี้ต่อไป ทุกการกระทำของเธอในฐานะลูกสาวจึงมีความสำคัญมากขณะกำลังคิดอยู่นั้น หลิ่วเหอก็คีบอาหารทะเลให้เธอหลายอย่าง ทั้งปลาดิบ เนื้อหอยสังข์ และยังตักโจ๊กกุ้งล็อบสเตอร์ชามใหญ่ให้ด้วยหลิ่วเหอพูดเบาๆอย่างแนบเนียนว่า “กินก่อนนะ เดี๋ยวถ้าโต๊ะหมุนมาถึง ฉันจะหยิบหอยเป๋าฮื้อดำ ไส้กุ้งในหอยเชลล์ แล้วก็กุ้งทะเลย่างให้เธอ”หลินจื้ออี้พยักหน้ารัวๆ พูดในใจว่า ขอบคุณนะแม่เมื่อก่อนเธอไม่กินอาหารทะเลเพราะรู้สึกว่ามันคาว แต่หลังจากได้ลองอาหารทะเลฝีมือพ่อ
“ฉัน…เธอท้องแล้ว!ฉันขอตั้งสติก่อนนะ ผู้หญิงคนนี้หลอกฉันทุกทางเลยเหรอเนี่ย? ทั้งที่ฉันยังอุตส่าห์ช่วยทำใบรับรองว่าเธอมีปัญหาทางจิตใจให้!”หลี่ฮวนแทบกรี๊ดออกมา เขาถูกหลินจืออี้หลอกเต็มๆ!“พูดมา”กงเฉินยกมือถือออกห่างจากหูด้วยสีหน้ารำคาญใจ“ภาวะเสี่ยงแท้งส่วนใหญ่ต้องพักผ่อนให้เพียงพอ อาหารการกินก็ต้องระวัง โดยเฉพาะห้ามทำงานหนัก” หลี่ฮวนตอบ“อืม”“แล้วนายจะทำยังไง?เมื่อก่อนตอนที่มีข่าวลือ เธอยอมรับว่าคืนนั้นเธออยู่กับนาย นายก็อ้างกระแสสังคมแต่งงานกับเธอได้เลย คุณท่านก็คงจะพูดอะไรไม่ได้ แต่นี่เธอกลับไม่ยอม นายบอกฉันตามตรงนะ ตอนนั้นนายยอมร่วมมือกับคุณท่านกดดันเธอเพราะนายเองก็มีใจใช่ไหมล่ะ?”หลี่ฮวนหัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์กงเฉินก้มหน้าลงเล็กน้อย “วางสายละ”หลี่ฮวนรีบร้องห้ามเสียงดัง “นายนี่มันปากไม่ตรงกับใจชัดๆ นายต้องโชว์ข้อดีตัวเองบ้างนะ!”“โชว์ไปแล้ว”“อะไรนะ…” … ตู้ดๆๆ…ฝั่งนู้นสายตัดไปแล้วทิ้งให้หลี่ฮวนงงเป็นไก่ตาแตกโชว์ไปแล้ว?โชว์อะไรของมันวะ?.......หลังจากที่เฉินซู่หลานตรวจร่างกายเสร็จ กงเฉินก็ช่วยประคองเธอเดินออกจากตึกพอขึ้นรถมาด้วยกัน เฉินซู่หลานก็ยิ้มหวานแล้วพูดว่า
“ฮะ? ฉัน...” หลินจืออี้ชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะรู้ว่าหมอเข้าใจผิดว่าเธอเป็นคนอื่น“ตั้งครรภ์ระยะแรกนะมีเลือดออกนิดหน่อยต้องพักผ่อนให้มาก อย่ากระโดดโลดเต้นและอาหารการกินก็ต้องระวัง”“ไม่ใช่ค่ะคุณหมอ ฉัน...”“พอแล้ว คนต่อไป” หมอขีดปากกาลงใบตรวจแล้วเรียกคนถัดไปผู้หญิงคนต่อไปก็เปิดประตูเข้ามาเรียบร้อยหลินจืออี้เห็นว่าไม่มีเหตุผลจะต้องอธิบายต่อก็รีบถอยออกมาพอหันตัวกลับ ตึบ! ก็ชนเข้ากับใครบางคนเธอก้มหน้าลงขอโทษ “ขอโทษค่ะ”กำลังจะเดินหนีไปอยู่แล้วข้อมือของเธอกลับถูกคว้าไว้อย่างแรง“เธอโกหกฉัน?เธอท้องอยู่เหรอ”เสียงที่มักจะสงบนิ่งเยือกเย็นตอนนี้กลับปะทุไปด้วยความโกรธหลินจืออี้เงยหน้าขึ้นถึงพบว่าคนตรงหน้าก็คือกงเฉินเขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน?หรือว่ามากับซ่งหว่านชิว?แต่เห็นชัดๆ ว่าซ่งหว่านชิวมาก็เพื่อทำแท้งไม่ใช่เหรอ?หลินจืออี้ยังไม่ทันได้คิดอะไรให้ชัดเจนข้อมือของเธอก็ยิ่งเจ็บขึ้นเธอร้องเบาๆ “ปล่อยนะ ฉันเจ็บนะ แล้วฉันก็ไม่ได้ท้อง!”กงเฉินหรี่ตามองความโกรธในดวงตายิ่งเพิ่มขึ้นแต่แรงที่มือก็คลายลงนิดหน่อยพร้อมกับเธอเข้าไปในห้องตรวจ“อาการของเธอเป็นยังไง?”หมอขยับแว่นมองห
แผนกสูตินรีเวชก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก แต่ปัญหาก็คือหลินจืออี้เห็นแผ่นหลังที่คุ้นตาซ่งหว่านชิวถึงแม้ว่าเธอจะแต่งตัวมิดชิดแค่ไหนแต่แผ่นหลังนี้ก็ฝังอยู่ในหัวของหลินจืออี้ตั้งแต่ชาติที่แล้ว เธอจะลืมได้อย่างไรกัน?แต่ซ่งหว่านชิวมาทำอะไรที่แผนกสูตินรีเวชล่ะ?“จืออี้ เป็นอะไรไป?” เฉินซู่หลานที่ยืนอยู่ข้างหน้าก็หันมาส่งเสียงเรียกเธอ“ไม่มีอะไรค่ะ มาแล้ว”หลินจืออี้ก็รีบเดินตามไป แต่พอเธอหันกลับไปมองอีกที ซ่งหว่านชิวก็หายไปแล้วเฉินซู่หลานดึงแขนเธอไว้ แล้วชี้ไปที่บันไดข้างหน้า “ขึ้นทางนี้ก็ได้นะ”หลินจืออี้ได้สติกลับมาและพยักหน้าเบาๆ แล้วเดินขึ้นไปพร้อมกับเธอแบบเหม่อลอยหรือว่าที่ซ่งหว่านชิวเดินทะลุผ่านแผนกสูตินรีเวชเพราะว่าสะดวก?พอขึ้นไปถึงข้างบนหลินจืออี้ก็ช่วยเฉินซู่หลานจัดที่นั่งเพื่อรอคิวตรวจ หมอผู้เชี่ยวชาญของโรงพยาบาลนี้เป็นเพื่อนของเฉินซู่หลาน เธอไว้ใจเขามากเป็นพิเศษเธอยอมรอก็ไม่ยอมไปโรงพยาบาลเอกชนเปลี่ยนหมอคนใหม่ตรวจหลินจืออี้เข้าใจดีคนมีเงินก็มักจะเลือกหมอที่ตัวเองไว้ใจได้และไม่ค่อยยอมเปลี่ยนคนคงกลัวข้อมูลสุขภาพของตัวเองจะรั่วไหลกงเฉินก็เป็นแบบนั้น การตรวจร่างกายทุกค
“แก... แกอิจฉาฉันจริงๆ ด้วย แม้แต่ผู้ชายก็รั้งไว้ไม่ได้!” เฉินฮวนทุบกล่องในมือ“เหอะ” เซวียมั่นยิ้มเยาะและเดินออกไปทันที เธอขี้เกียจเกินไปที่จะตอบคําถามที่น่าเบื่อแบบนี้"แกหมายความว่ายังไง? แกพูดมาให้ชัดเจนนะ”เฉินฮวนรีบวิ่งไปที่เซวียมั่น แต่ถูกขวางโดยผู้ช่วยเบลล่าเบลล่ารีบเอ่ย "รปภ.พาคนออกไปเร็วเข้า อ้อ แล้วก็ขยะของมันด้วย"แล้วเฉินฮวนก็ถูกโยนออกไปหลินจืออี้ไม่ได้รู้สึกสงสารอะไรเลย ทั้งหมดนี้เป็นเฉินฮวนทำตัวเองทั้งนั้นเมื่อก้มหน้าทํางาน เธอก็เห็นซ่งหว่านชิวที่นั่งอยู่อีกด้านหนึ่งพอดีซ่งหว่านชิวเอามือปิดปากเหมือนรู้สึกไม่สบายมาก จากนั้นก็ฉวยโอกาสตอนที่ทุกคนไม่ทันสังเกตลุกขึ้นและออกจากที่นั่งไปหลินจืออี้รู้สึกแปลกใจ กําลังจะดูให้ละเอียด โทรศัพท์ก็สั่น“พรุ่งนี้ฉันอยู่บ้าน แกจะมาไหม?”“อืม”“งั้นฉันจะทําอาหารที่แกชอบ มาอยู่เป็นเพื่อนฉันเร็วๆ หน่อย”“ได้”หลินจืออี้ยิ้มเมื่อเห็นข่าว เธอวางแผนว่าจะถือโอกาสพักผ่อนพรุ่งนี้ไปบ้านตระกูลกงเพื่อย้ายของที่เหลือไปที่คอนโดจริงๆ แล้วก็ไม่มีอะไรมากหรอกเมื่อก่อนตอนที่อยู่บ้านตระกูลกงเธอก็ใช้ชีวิตอย่างหวาดผวา ดังนั้นหลังจากพักอย
บนรถกงเฉินและซ่งหว่านชิวเพิ่งนั่งได้มั่นคนขับรถที่สวมถุงมือสีขาวอยู่แถวหน้าก็หันมามองกงเฉินอย่างประหม่า“คุณผู้ชาย ถ้าไม่ไปบริษัท งั้นผมก็จะไปถนนลี่หัวแล้วนะครับ”“อืม”กงเฉินตอบรับเบาๆ แล้วหลับตาพักผ่อนซ่งหว่านชิวเพิ่งพบว่าคนขับไม่ใช่คนที่คุ้นเคยมาก่อน จึงถามอย่างสงสัยว่า “ทําไมเปลี่ยนคนขับกะทันหันล่ะคะ? ทางก็ไม่คุ้นเคยแล้ว”กงเฉินหลับตาลงและพูดอย่างเย็นชาว่า “ไม่คุ้นเคยทางขับไปเดี๋ยวก็คุ้นเคยเอง แค่คนที่แยกนายจ้างไม่ออกก็ไม่จําเป็นต้องเก็บไว้แล้ว”ได้ยินดังนั้น หน้าของซ่งหว่านชิวก็เหมือนมีรอยร้าวและเล็บที่เพิ่งทําใหม่ก็จิกลงไปในเบาะหนังแท้โดยตรงแต่ใบหน้าของเธอยังคงยิ้มอยู่ "ค่ะ"จากนั้นทั้งคู่ก็ไม่ได้พูดคุยกันอีกพอไปถึงบ้านตระกูลซ่ง ซ่งหว่านชิวไม่กล้ารั้งกงเฉินไว้ พูดคําอําลาแล้วลงจากรถเหมือนวิ่งหนีกงเฉินก็ไม่ได้อยู่ต่อ เขาจากไปทันทีไม่รู้ว่าเธอเก็บกดเกินไปหรือเปล่า ซ่งหว่านชิวรู้สึกหมดแรง กระเพาะอาหารเริ่มปั่นป่วนอีกครั้งเธอผลักคนรับใช้ที่หิ้วชายกระโปรงราตรีให้เธอออก แล้วรีบวิ่งเข้าไปในห้องน้ำและเริ่มอาเจียน"อ้วก... แหวะ...”ในเวลานี้ รถของฉินซวงก็จอดอยู่ที่ปร