เสียงหวานอุทานออกมาอย่างตกใจ คนที่ยืนกอดอกมองนางด้วยสายตาดุกร้าว มิใช่ใครอื่น แต่เป็นองค์ชายมู่หรงเยวี่ยน พระเชษฐาผู้เถรตรงยิ่งกว่าไม้บรรทัดของขุนนางเสียอีก ครั้งนี้นางคงมิรอดถูกลากกลับวังเป็นแน่!
หมดกัน อิสรภาพของวันนี้...แต่มู่หรงเซียวยังไม่ยอมแพ้หรอกนะ
"ละเว้นข้าสักวันได้หรือไม่เพคะ เสด็จพี่?"
มู่หรงเซียวเปลี่ยนน้ำเสียงออดอ้อน ดวงตากลมโตฉายแววอาลัยอาวรณ์
"พรุ่งนี้ข้าต้องเข้าพิธีปักปิ่นแล้ว อาจถูกจับแต่งงานเมื่อใดก็ไม่รู้... ข้าอยากชมทิวทัศน์ของเจียงหนานให้เต็มตาสักครั้งเถิด"
"ไม่ได้!"
แม้คำปฏิเสธของพระเชษฐาจะดูไร้ซึ่งเยื่อใย แต่เจ้าตัวไม่ยอมแพ้ง่ายๆ มู่หรงเซียวเบี่ยงกายเข้าใกล้ ก่อนจะคว้าหมับเข้าที่แขนเสด็จพี่ ของนาง
"ถือว่าข้าขอเถอะเพคะ! หากท่านระแวง เช่นนั้นก็ไปกับข้าก็ได้"
มู่หรงเยวี่ยนขมวดคิ้วมุ่น ดวงเนตรคมกริบฉายแววครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจอย่างจำนน
"ก็ได้..." เสียงทุ้มต่ำตอบรับ
"แต่ห้ามทำตัวซุกซน ไม่เช่นนั้นข้าจะพากลับวังทันที"
"ย่อมได้!"
องค์หญิงตัวแสบยิ้มกว้าง ก่อนจะคล้องแขนพี่ชายแน่นราวกับกลัวเขาจะเปลี่ยนใจ
ค่ำคืนนี้ มู่หรงเซียวได้ลากมู่หรงเยวี่ยนมายังโรงน้ำชาแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นโรงน้ำชาเดียวกับที่นางเคยพบกับศิลปินนิรนามเมื่อหลายสัปดาห์ก่อน
ทว่า บรรยากาศของคืนนี้กลับแตกต่างออกไป เงียบงัน... วังเวง... ราวกับว่าถูกเหมาทั้งโรงน้ำชาอย่างไรอย่างนั้น
ค่ำคืนนี้ โรงน้ำชาจัดการแสดงโดยวงสังคีตจากแคว้นต้าชิง เป็นการแสดงตำนานโศกนาฏกรรมของแคว้นๆ หนึ่ง เรื่องราวของรัชทายาทและพระชายาผู้เป็นดั่งโชคชะตาดอกท้อ
เสียงดนตรีแผ่วเบา ท่วงทำนองชวนสะเทือนอารมณ์ เงาของนักแสดงที่เคลื่อนไหวไปตามบทบาทสะท้อนอยู่ในดวงตาของมู่หรงเซียว
หญิงสาวผู้สวมบทพระชายาที่เพิ่งแท้งบุตรกำลังร่ำไห้ ร่างบางของนางสั่นสะท้าน หยาดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มแลดูเจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูก ดวงตาแฝงไปด้วยความสิ้นหวัง เสียงสะอื้นของนางช่างโศกเศร้าจนหัวใจพลันหน่วงหนัก
มู่หรงเซียวขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว ว่าเหตุใดภาพนี้จึงทำให้นางรู้สึกปวดใจนัก...ทำไมนางต้องร้องไห้ให้กับโชคชะตาของสตรีผู้นั้นด้วย?
ทั้งที่เป็นเพียงเรื่องเล่า เหตุใดหัวใจของนางกลับบีบรัดอย่างน่าประหลาด แววตาของนักแสดงผู้นั้น ไม่เหมือนกำลังสวมบทบาท แต่ราวกับเป็นความรู้สึกที่ออกมาจากใจจริง
"เสด็จพี่..."
มู่หรงเซียวเอ่ยขึ้นเบาๆ ก่อนจะหันไปหาพระเชษฐา
"การแสดงดีทีเดียว แต่ข้าว่ามันเศร้าเกินไป ข้าไม่อยากโศกเศร้าในคืนนี้... เราไปที่อื่นกันเถอะ"
มู่หรงเยวี่ยนหันมองน้องสาว ดวงเนตรลึกล้ำพินิจพิเคราะห์ ก่อนจะพยักหน้ารับโดยไม่ซักถาม
ในค่ำคืนนี้ นางไม่ได้ต้องการความเศร้าเช่นนี้ นางไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่า เรื่องราวบนเวทีนั้นเป็นเรื่องราวของใครกัน...
"งั้นข้าจะจ่ายค่าอาหาร เจ้าทนไม่ไหวก็ออกไปรอด้านหน้าเสีย และที่สำคัญคืออย่าซุกซน"
มู่หรงเยวี่ยน พูดดักคอไว้ก่อน ด้วยรู้ดีว่าน้องสาวคนนี้มักหาเรื่องปวดหัวมาให้เขาเสมอ
"ข้ารู้แล้ว เสด็จ... เอ่อ พี่ใหญ่"
มู่หรงเซียวเอ่ยกลั้วหัวเราะ ก่อนจะหมุนกายเดินออกไป วันนี้นางยังคงสวมอาภรณ์บุรุษเช่นเดิม ทว่ารูปโฉมของนางกลับงามเกินไปจนมักจะกลายเป็นปัญหา
ขณะเดินออกมายังด้านหน้าโรงน้ำชา กลิ่นหอมประหลาด พลันโชยแตะจมูก นางหยุดชะงักโดยไม่รู้ตัว
หอม... และคุ้นเคยกับมันเหลือเกิน
มู่หรงเยวี่ยนเพียงส่ายพระพักตร์อย่างระอา แต่สุดท้ายก็ยอมพานางออกไป ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี เขาก็ไม่เคยใจแข็งกับน้องสาวคนนี้ได้เลย
มู่หรงเยวี่ยน เป็นโอรสองค์โตของฮ่องเต้และฮองเฮา เป็นองค์ชายที่มีรูปโฉมงดงามสมกับสายเลือดแห่งราชวงศ์ ดวงเนตรเรียวยาวเฉียบคม คิ้วเข้มขับให้พระพักตร์ดูสง่างาม จมูกโด่งเป็นสันรับกับริมพระโอษฐ์หยักที่มักจะแต้มรอยยิ้มบางๆ ยามทอดพระเนตรพระขนิษฐา
หากกล่าวว่ามู่หรงเซียวนั้นงดงามดุจกลีบดอกท้อแรกแย้ม มู่หรงเยวี่ยนก็คือพยัคฆ์ขาวแห่งราชวงศ์ แข็งแกร่ง สง่างาม น่าเกรงขาม แต่กลับมีเพียงพระขนิษฐาเท่านั้นที่สามารถแผลงฤทธิ์ใส่พระองค์ได้
องค์ชายเติบโตมาพร้อมกับมู่หรงเซียว ความรักใคร่ที่มีให้นางมิได้เจือปนเพียงหน้าที่ของพระเชษฐา แต่เป็นความหวงแหนที่แฝงอยู่ในสายเลือด
เพราะวันหนึ่ง นางจะต้องจากไปสู่อ้อมแขนของบุรุษอื่น เพียงแค่คิด หัวใจของมู่หรงเยวี่ยนก็หนักอึ้งแต่ถึงกระนั้น วันนั้นยังมาไม่ถึง และคืนนี้น้องสาวของพระองค์ก็ยังอยู่เคียงข้าง
หากนางต้องการเห็นเจียงหนานให้เต็มตา... เช่นนั้น พระองค์ก็จะพานางไป
แต่เป็นกลิ่นของสิ่งใดกัน? คล้ายกำยานจันทน์หอม ทว่ามีความเย็นเยียบเจือปนบางเบา ราวกับไอหมอกในยามรุ่งสาง"อึก!"มัวแต่เหม่อจนไม่ทันระวัง เท้าบางก้าวพลาดไปเบื้องหน้า และก่อนที่ร่างของนางจะร่วงลงสู่พื้น"หมับ!"ฝ่ามือใหญ่ของใครบางคนได้คว้าแขนของนางไว้แน่ สัมผัสอบอุ่นประคองร่างนางไว้อย่างมั่นคง และกลิ่นหอมประหลาดที่นางเพิ่งสูดเข้าจมูกเมื่อครู่ ก็ลอยอวลอยู่ตรงนี้จากตัวบุรุษผู้นี้"ขอบคุณท่านมาก"มู่หรงเซียวเงยหน้าขึ้น เสียงของนางแม้จะมั่นคงดี แต่หัวใจกลับเต้นแรงผิดจังหวะภาพที่ปรากฏในสายตาคือบุรุษผู้หนึ่งที่มีรูปร่างสูงใหญ่ สง่างาม ดวงตาสีทองลึกล้ำราวกับพญาเหยี่ยว จ้องมองลงมาด้วยแววตายากจะหยั่งถึงราวกับสายลมอันเยียบเย็นปะทะเข้ากับผิวกาย ดวงตาคู่นั้นแม้จะสว่างไสว ทว่าแฝงไว้ด้วยความหนักแน่นและอำนาจอันน่าหวาดหวั่นสายตาที่จับจ้องราวกับ... นางเคยทำสิ่งใดให้เขาโกรธเคืองมาก่อน"เอ่อ... คุณชาย ปล่อยข้าได้แล้วขอรับ"บุรุษนิรนามยังคงนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะปล่อยมือนางไปในที่สุด"อาเซียว มีอันใดหรือ ทำไมสีหน้าของเจ้าดูไม่ดีเลย?"เสียงของมู่หรงเยวี่ยนดังขึ้น พร้อมกับร่างของพระเชษฐาที่ก้าวมาหานาง"ข้า..
มิใช่แค่ขันที แม้แต่เหล่าราชทูตและองค์ชายจากแคว้นต่างๆ ก็ล้วนตกตะลึง ในประวัติศาสตร์ไม่เคยมีฮ่องเต้พระองค์ใดเสด็จมาร่วมงานปักปิ่นขององค์หญิงต่างแคว้น!มังกรนั้นสูงส่งเกินไป... จะมาเฝ้าดูการเติบโตของลูกหงส์น้อยได้อย่างไร?นั่นคือสิ่งที่ทุกคนคิด แต่สำหรับฮ่องเต้หวังเฟิ่งแล้วหาได้เป็นเช่นนั้นไม่"คารวะฝ่าบาท"เสียงทุ้มของ “ฮ่องเต้มู่หรงกวง” แห่งเจียงหนานดังขึ้น ดวงเนตรลึกล้ำมองบุรุษเบื้องหน้าด้วยสายตาที่ยากจะประเมิน"ข้าขออภัยที่มิอาจจัดเตรียมการต้อนรับให้สมพระเกียรติ ด้วยไม่คาดคิดว่าฝ่าบาทจะเสด็จมางานปักปิ่นของบุตรสาวข้าด้วยพระองค์เอง"ถ้อยคำแฝงความหมายลึกซึ้ง ทั้งประหลาดใจและคาดการณ์มิถึงทว่า หวังเฟิ่ง เพียงโค้งศีรษะเล็กน้อย สุรเสียงราบเรียบไร้เยื่อใย ทว่าแฝงนัยยะอันลึกซึ้ง"มิเป็นไร เพื่อบุตรสาวของท่าน ข้าหาได้ลำบากไม่"เขามิได้ลำบากจริงๆ เพราะครั้งนี้เขามิได้มาเพียงเพื่อมิตรภาพระหว่างแคว้น แต่มาเพื่อ 'บางสิ่ง' ที่เขาต้องการจากจักรพรรดิผู้นี้ และ 'บางคน' ที่เขาต้องการทวงคืนจากนั้นขันทีของแคว้นเจียงหนานนำเสด็จหวังเฟิ่งไปยังพระที่นั่งที่จัดเตรียมไว้ให้ ข้างกายมีบุรุษในอาภรณ์สีเขียวอ่อ
หลังจากพิธีเสร็จสิ้นฮ่องเต้มู่หรงกวงและฮองเฮาทำการออกมากล่าวต้อนรับแขกที่มาร่วมงานตามธรรมเนียมของชาวเจียงหนานพิธีปักปิ่นในวันนี้สมบูรณ์แบบเป็นอย่างมาก และทุกอย่างดูเหมือนจะเป็นไปด้วยดี แต่ไม่ใช่สำหรับมู่หรงเซียว"อาเซียว กลับตำหนักได้แล้ว"ก่อนที่นางจะได้ใช้เวลาฉลองวันสำคัญของตนเองให้คุ้มค่า มู่หรงเยวี่ยน พระเชษฐาแสนหวงน้องก็ลากตัวนางกลับไปอย่างรวดเร็วทั้งที่พิธีเพิ่งจะจบแท้ๆ!"ข้าโกรธท่านแล้ว!" นางโอดครวญอย่างขัดใจ"ทำไมต้องพาข้ามากักขังด้วย วันนี้เป็นวันของข้านะ!""ข้าก็แค่ไม่ชอบให้ใครจ้องมองเจ้า ข้าหวงน้องสาวมันผิดตรงไหนกัน?"มู่หรงเยวี่ยนตอบอย่างหนักแน่น โดยเฉพาะสายตาของฮ่องเต้ของแคว้นต้าชิงที่เอาแต่จับจ้องน้องสาวของเขาไม่วางตา!ตั้งแต่ต้นจนจบพิธี สายตาคู่นั้นไม่เคยละไปจากมู่หรงเซียวเลย จะให้เขาวางใจได้อย่างไร!?แม้ว่ามู่หรงเซียวจะโอดครวญเพียงใด แต่มู่หรงเยวี่ยนกลับไม่ใจอ่อนแม้แต่น้อยหลังจากก้าวเข้าสู่ตำหนัก มู่หรงเซียวพลันสะดุดสายตาเข้ากับ กระดาษแผ่นหนึ่ง ที่วางอยู่บนพื้นหน้าประตูห้องบรรทมนางขมวดคิ้ว ก่อนจะก้มลงหยิบขึ้นมาดู มันคือจดหมายฉบับหนึ่ง"นอกวังหลวง ทางทิศเหนือ ใต้ต้นเ
"ข้าสังเกตเห็นคณะทูตจากต้าชิงแล้ว สายตาของพวกเขาที่มองข้า... ไม่ใช่เพียงความชื่นชม แต่มันคล้ายกับว่าพวกเขาเห็นผี เห็นใครบางคนที่ไม่ควรจะได้พบเห็นอีกต่อไป""องค์หญิงอย่าได้ใส่พระทัย"เจิ้งซวนรีบกล่าวทันที"ไม่มีสิ่งใดเช่นนั้นในต้าชิงพ่ะย่ะค่ะ"แต่คำพูดของเขาฉับพลันและดูเร่งรีบเกินไปเขากำลังโกหก..มู่หรงเซียวจ้องมององครักษ์หนุ่มตรงหน้า ก่อนจะคลี่ยิ้มบางๆ และการที่เขาต้องโกหกนาง หมายความว่านางต้องคล้ายใครบางคนในต้าชิงอย่างแน่นอนขณะที่ หวังเฟิ่ง กำลังก้าวไปยังตำหนักรับรองอาคันตุกะ ใครบางคนกลับยืนดักรออยู่ก่อนแล้วดวงเนตรคมกริบขององค์ชายมู่หรงเยวี่ยนจับจ้องบุรุษตรงหน้าอย่างไม่ไว้ใจ นับตั้งแต่ที่มังกรจากต้าชิงก้าวเข้าสู่แผ่นดินเจียงหนาน พระองค์ก็รู้สึกได้ถึงบางสิ่งที่ผิดปกติโดยเฉพาะสายตาที่อีกฝ่ายใช้มองมู่หรงเซียว มันมิใช่สายตาของผู้สูงศักดิ์ที่มองสตรีต่างแคว้น แต่มันเต็มไปด้วยแรงกดดันที่ยากจะอ่านออก และนั่น... ทำให้มู่หรงเยวี่ยนไม่อาจวางใจได้เลย"ไม่ทราบว่าพระองค์ได้รับการต้อนรับอย่างสมพระเกียรติหรือไม่?"มู่หรงเยวี่ยนเอ่ยขึ้นเรียบๆ แม้ในใจจะรู้อยู่แล้วว่าผู้เป็นฮ่องเต้ต้าชิงไม่มีวันถูก
มู่หรงเซียวได้ยินข่าวลือนี้จากเหล่านางกำนัลที่แอบพูดคุยกันอยู่ตามตำหนัก หลังจากนั้นนางก็ลอบไต่ถามจากผู้คนรอบตัว"ว่ากันว่า ฮ่องเต้ต้าชิงรีบเสด็จกลับ เพราะแคว้นต้าชิงยังไม่มีหงส์เคียงบัลลังก์""เขาทรงเก็บตำแหน่งนี้ไว้ให้คนตาย อดีตพระชายาที่สิ้นพระชนม์ไปเมื่อหลายสิบปีก่อน"ยิ่งฟัง หัวใจของนางก็ยิ่งหนักอึ้ง จะเป็นไปได้อย่างไร?เขาไม่มีทางชอบข้าแน่นอน บุรุษเช่นเขาเป็นดั่งหินผาที่ไม่อาจสั่นคลอน ตำแหน่งหงส์เคียงบัลลังก์นั้น ย่อมไม่ใช่ที่ของข้า ไม่มีวันเป็นไปได้หลังจากวันที่ได้พบหวังเฟิ่งที่ศาลเจ้าได้เก้าราตรี มู่หรงเซียวก็เริ่มมีอาการฝันร้ายมาโดยตลอด นางฝันประหลาดว่าตัวเองคือสตรีที่มีนามว่า “เซียวหยางมี่” ฝันนั้นเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า..."มี่เอ๋อร์ เจ้าจงตั้งใจฟังพ่อ วันนี้จะเป็นวันแรกที่เจ้าจะได้เข้าเรียนในสำนักศึกษา จงจำไว้ให้ดีว่าเจ้าต้องสำรวมวาจาและกิริยา เพื่อนร่วมชั้นของเจ้าล้วนเป็นเชื้อพระวงศ์ องค์หญิง องค์ชาย เจ้าอย่าได้ทำให้พ่อหนักใจ""ลูกทราบแล้วเจ้าค่ะ ท่านพ่อ""หากมีปัญหา ท่านอาของเจ้าที่อยู่ในสำนักศึกษาจะช่วยชี้แนะเจ้าเอง""ลูกทราบแล้ว ข้าสัญญาว่าจะไม่ก่อเรื่อง"บิดาของนางมอง
วันหนึ่ง จู่ๆ สำนักศึกษาก็มีคำสั่งให้เซียวหยางมี่มาเป็นสหายร่วมเรียนขององค์ชายใหญ่หวังเฟิ่ง แม้ว่าทั้งเซียวหยางมี่และเซียวเมิ่งจะอยากปฏิเสธเพียงใด ก็ไม่อาจฝ่าฝืนคำสั่งของเบื้องสูงได้วันแรกที่เซียวหยางมี่ได้พบกับองค์ชาย นางยังเป็นเพียงเด็กหญิงวัยสิบสี่หนาว ขณะที่เขาคือบุรุษที่ก้าวสู่ช่วงวัยหนุ่มเต็มตัว อายุสิบแปดหนาว รูปร่างสูงสง่า ลักษณะองอาจผิดแผกจากผู้คนทั่วไปสิ่งแรกที่สะดุดตานางคือดวงตาสีทองอันเป็นเอกลักษณ์ของเชื้อพระวงศ์สูงศักดิ์ มันล้ำลึกเกินกว่าที่นางจะอ่านออกชั่วขณะที่สบตากับองค์ชายใหญ่ นางก็รู้สึกได้ทันทีว่าเขาอยู่ในโลกที่สูงส่งเกินไป นางไม่อาจเอื้อมถึง แม้กระนั้นนางก็ยังเลือกจะยิ้มออกมา"คารวะองค์ชายใหญ่"นางโค้งกายตามมารยาท เสียงหวานใสกล่าวออกไปอย่างไม่ลังเล"นามของข้าคือเซียวหยางมี่ อาจจะพูดมากไปบ้าง แต่เรามาเป็นสหายกันเถอะเพคะ"องค์ชายหวังเฟิ่งเลิกพระขนงขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเอียงพระพักตร์มองนาง ดวงตาสีทองฉายแววเย็นเยียบ"สหาย... อย่างนั้นหรือ?"สุรเสียงทุ้มต่ำเอ่ยอย่างเรียบนิ่ง"ถ้าเราไม่อยากเป็นล่ะ?"เซียวหยางมี่ชะงักไปวูบหนึ่ง ก่อนจะฝืนยิ้ม นางไม่ได้ตอบกลับ แต่ภายในใจกล
หอบหายใจแรง... นางฝันอะไรกัน!? เหตุใดในฝันนั้น นางจึงเป็นหญิงที่มีชื่อว่า เซียวหยางมี่ และเหตุใดฮ่องเต้หวังเฟิ่ง จึงปรากฏอยู่ในฝันของนาง?วันนั้นมู่หรงเซียวไม่อาจข่มใจให้สงบได้เลย ความฝันเมื่อคืนยังติดค้างอยู่ในหัว ทั้งที่มันควรเป็นเพียงความฝัน แต่มันกลับชัดเจนราวกับเป็นเรื่องจริง ความรู้สึกที่ได้รับ ทุกสัมผัส ทุกอารมณ์ ทุกการสนทนา นางสัมผัสได้ทั้งหมด ราวกับว่านางเคยผ่านมันมาด้วยตัวเองนางพยายามคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงความบังเอิญ แต่เมื่อความคิดนั้นไม่อาจคลี่คลาย นางจึงเลือกทำในสิ่งที่ช่วยให้นางสงบลงได้เช่นการแอบหนีออกนอกวังองค์หญิงน้อยเปลี่ยนชุดเป็นอาภรณ์บุรุษ สวมหมวกปีกกว้างเพื่ออำพรางใบหน้า ก่อนจะใช้วิชาตัวเบาปีนข้ามกำแพงวังออกไปทางทิศตะวันตกวันนี้ตลาดยังคงคึกคักเช่นเคย กลิ่นขนมอบใหม่ลอยมาตามลม พ่อค้าแม่ขายส่งเสียงเรียกลูกค้า แขกแปลกหน้าจากต่างแคว้นเดินสวนกันไปมา บางคนเป็นนักเดินทาง บางคนเป็นขุนนางจากแคว้นอื่นที่เดินทางมาค้าขายมู่หรงเซียวตั้งใจจะเดินเที่ยวให้สบายใจ แต่ยังไม่ทันจะเดินพ้นไปจากหน้าร้านขายพัด เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากทางด้านหลัง"องค์หญิงมู่หรงเซียว?"นางหยุดฝีเท
"องค์หญิง ท่านเป็นอะไรไปเพคะ? พระพักตร์ดูไม่แจ่มใสเลย"เสียงของชิงหลิงดังขึ้นด้วยความเป็นห่วง แต่มู่หรงเซียวกลับทำได้เพียงส่งยิ้มบางๆ ไปให้นาง แม้ภายในใจจะเต็มไปด้วยความว้าวุ่นเพียงใดก็ตาม"ข้าไม่อาจเอ่ยปากบอกใครได้"นางไม่อยากให้คนรอบตัวเป็นกังวล ไม่อยากให้เสด็จพ่อหรือเสด็จแม่ต้องหนักใจ ยามนี้แคว้นเจียงหนานกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก แคว้นเยวียและแคว้นฉินกำลังระส่ำระสาย พวกเขาเป็นแคว้นที่คลั่งไคล้สงคราม ต้องการขยายอำนาจ และเจียงหนานซึ่งเป็นแคว้นที่อุดมสมบูรณ์ที่สุด ย่อมตกเป็นเป้าหมายและต้นเหตุของความวุ่นวายนี้...ก็คือตัวนางเองทุกอย่างเริ่มต้นจากการสู่ขอ องค์ชายจากแคว้นเยวีย แคว้นจ้าว และแคว้นซ่ง เดินทางมาพร้อมราชทูตเพื่อขอเจรจาเสกสมรสกับองค์หญิงแห่งเจียงหนานแคว้นเยวียต้องการเชื่อมสัมพันธ์เพื่อครอบครองทรัพยากรของเจียงหนาน แคว้นจ้าวต้องการดึงเจียงหนานให้อยู่ในอิทธิพลของตน แคว้นซ่งต้องการองค์หญิงผู้เลอโฉมไปเป็นชายาขององค์รัชทายาท แต่องค์จักรพรรดิมู่หรงกวงและองค์ชายมู่หรงเยวี่ยน กลับไม่ยินยอม และนั่นกลายเป็นชนวนที่ทำให้สงครามปะทุขึ้นจากการสู่ขอกลายเป็นการช่วงชิง!ไม่นานหลังจากน
“โปรดอย่าหยุด...หวังเฟิ่ง” “ได้ ข้าให้ตามคำที่เจ้าขอ” หวังเฟิ่งประคองสะโพกของหญิงสาวขึ้นมา แล้วแทรกตัวเข้าไปจนสุดทาง ทั้งสองร้องครางออกมาพร้อมกันทันที “เซียวเอ๋อร์...ข้า” “ทำตามที่ใจท่านปรารถนาเถิด หวังเฟิ่ง” ชายหนุ่มโยนความอดกลั้นทั้งหมดทิ้งไป แล้วสะบัดเอวเข้าไปทันที แรกเริ่มเขาเพียงต้องการให้นางปรับตัวได้ แต่ยิ่งสอดใส่มากขึ้นเท่าใด ความเสียวซ่านก็ยิ่งทวีขึ้นทุกขณะ ชายหนุ่มมองร่างอวบอิ่มที่นอนอยู่เบื้องล่าง ตอนนี้ทรวงอกคู่งามกำลังสั่นไหวตามจังหวะรักที่เขากำลังกระแทกเข้าไปไม่หยุด มู่หรงเซียวปรือตามองเขา ขณะที่สองมือกำลังจิกหมอนจนแน่น สองแก้มของนางแดงก่ำราวกับผลผิงกั่ว “เซียวเอ๋อร์...เจ้าช่างดียิ่ง” หวังเฟิ่งกัดริมฝีปากขณะที่กระแทกเอวเข้าไปถี่ๆ เขาเงยหน้าขึ้นสูดลมหายใจ ขณะที่แก่นกายแกร่งสัมผัสกับกลีบดอกไม้งามของภรรยา มู่หรงเซียวทำได้เพียงส่ายหน้าไปมาบนหมอน แล้วปล่อยให้ร่างกายและจิตใจถูกหวังเฟิ่งชักนำไปตามที่เขาต้องการ ขณะที่ความร้อนตรงจุดเชื่อมประสานยิ่งทวีขึ้นเรื่อยๆ นางใช้สองขาเกี่ยวเอวของเขาไว้
ขบวนเสด็จของมู่หรงเซียวเดินทางเข้าสู่ต้าชิงอย่างสมพระเกียรติ นางมิใช่เพียงองค์หญิงแห่งเจียงหนานอีกต่อไป แต่กำลังจะก้าวขึ้นเป็นหงส์เคียงข้างมังกรพิธีอภิเษกถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ทั่วทั้งเมืองหลวงต้าชิงเต็มไปด้วยสีแดงแห่งความมงคล ประชาชนต่างพากันเฉลิมฉลองทว่าภายในใจของผู้เป็นเจ้าของบัลลังก์มังกรนั้นกลับสงบนิ่ง ไม่ใช่เพราะไร้ความรู้สึก หากแต่เป็นเพราะรอคอยวันนี้มานานจนมิอาจกล่าวเป็นคำพูดได้ยามราตรี หวังเฟิ่งและมู่หรงเซียวทอดพระเนตรไปยังท้องฟ้ากว้าง ราวกับต้องการให้แสงจันทร์เป็นพยานแห่งโชคชะตา ครั้งหนึ่งเคยพลาดพลั้ง คำสัญญาที่เคยล่มสลาย บัดนี้ทุกสิ่งกำลังจะถูกชดเชยให้สมบูรณ์“ข้าเคยคิดว่าข้าจะไม่มีวันได้รับโอกาสแก้ไขอดีต”หวังเฟิ่งเอื้อนเอ่ยเสียงแผ่ว พลางกุมมือนางไว้แน่น“แต่แล้วโชคชะตาก็พาเจ้ากลับมา”มู่หรงเซียวยิ้มบาง ทว่าดวงตากลับสะท้อนความรู้สึกที่ลึกซึ้ง“ข้าเองก็เคยคิดว่า ข้าจะไม่มีวันให้อภัยท่านอีก”หวังเฟิ่งชะงักไปชั่วขณะ มือที่กุมมือนางไว้ยังคงมั่นคง แต่ดวงตากลับแฝงไว้ด้วยความลังเล“แล้วตอนนี้เล่า?”มู่หรงเซียวมองสบดวงตาสีทองนั้นอย่างแน่วแน่ ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความอบอุ่น“ข
ณ ประตูเมืองต้าชิง ขบวนราชทูตจากแคว้นเจียงหนานยืนเรียงรายอยู่เบื้องหลังของมู่หรงเซียว รถม้าและกองทหารพร้อมเดินทางกลับแคว้น แต่ถึงแม้ทุกอย่างจะพร้อม นางกลับยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมเบื้องหน้าของนางคือหวังเฟิ่ง ฮ่องเต้ผู้ทรงอำนาจของแคว้นต้าชิง ดวงตาสีทองของเขาจับจ้องมู่หรงเซียวแน่วแน่ ราวกับต้องการจดจำนางให้ลึกลงไปในหัวใจ"เจ้าต้องกลับไปจริงๆ หรือ?""ข้ามีหน้าที่ของข้าที่ต้องทำ เสด็จพ่อและเสด็จแม่รอข้าอยู่"หวังเฟิ่งถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะพยักหน้า ด้วยตัวเขานั้นยังมีภารกิจที่จะต้องเร่งฟื้นฟูบ้านเมือง ทำให้เขาจำต้องยมปล่อยมือนางไปชั่วคราว"ข้าเข้าใจ... เจ้าควรกลับไป""หน้าที่ของข้าสิ้นสุดลงแล้ว... แต่หากวันหนึ่งท่านต้องการให้ข้ากลับมา"หวังเฟิ่งนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนที่ริมฝีปากของเขาจะคลี่ยิ้มบาง"ข้าจะไปหาเจ้า แต่เจ้าต้องรอข้า""ข้ารอท่านได้... แต่ท่านต้องไม่มาช้าจนข้าแต่งออกเรือนไปเสียก่อน"ดวงตาของหวังเฟิ่งทอแสงอันตรายขึ้นทันที"เจ้ากล้าหรือ?"มู่หรงเซียวยกยิ้มบาง"หากท่านช้าไปจริงๆ ข้าก็อาจต้องพิจารณา""อย่าหวังเลย"หวังเฟิ่งก้าวเข้ามาใกล้ ดวงตาของเขาฉายแววมุ่งมั่นและจริงจัง"ข้าจะไม่ยอมให้
ไทเฮามองภาพตรงหน้า นางกัดฟันแน่น"น่าขยะแขยง! ความรักของพวกเจ้าเป็นเรื่องงี่เง่า ความเชื่อใจเป็นเพียงคำโกหก เจ้าไม่สมควรได้รับความสุข! เจ้าต้องเจ็บปวดเหมือนที่ข้าเคยเจ็บปวด!"ภายในตำหนักเย็นที่ถูกปกคลุมด้วยความหนาวเหน็บ แสงจากตะเกียงริบหรี่สะท้อนเงาของหญิงผู้เคยครอบครองอำนาจสูงสุดของแผ่นดินไทเฮา... บัดนี้มิใช่ "มารดาแห่งแผ่นดิน" อีกต่อไปหลังจากที่ความจริงทั้งหมดถูกเปิดเผย นางถูกปลดจากฐานะไทเฮา ถูกกักบริเวณให้ใช้ชีวิตที่เหลือไปกับความอ้างว้าง ไม่มีอำนาจ ไม่มีผู้คนให้ความเคารพ ไม่มีสิ่งใดหลงเหลือให้นางยึดเหนี่ยวเสียงฝีเท้าหนักแน่นดังขึ้นหน้าตำหนัก บานประตูถูกเปิดออก เผยให้เห็นร่างสูงสง่าของบุรุษที่เคยเรียกนางว่า ‘มารดา’"เสด็จแม่...""หึ... ตอนนี้เจ้ายังกล้าเรียกข้าว่าเสด็จแม่อยู่อีกหรือ?"ไทเฮาหัวเราะเย้ยหยัน แม้น้ำเสียงจะเต็มไปด้วยความขมขื่น"ข้าเป็นเพียงสตรีเฒ่าที่ถูกกักขังอยู่ที่นี่ รอวันหมดลมหายใจ ไยต้องแสร้งทำเป็นเมตตาข้า?"หวังเฟิ่งมองนางอย่างไม่แสดงอารมณ์ใดๆข้ามิได้มาเพื่อแสร้งเมตตา แต่ข้ามาเพื่อให้ท่านยอมรับผิดและข้าจะให้โอกาสสุดท้าย หากท่านสำนึกผิด ข้ายังอาจให้ท่านได้อยู่อ
"ว่าอย่างไรนะ!?"มู่หรงเซียวเบิกตากว้างด้วยความตกใจ"ข้าขโมยเขามาจากสนมคนหนึ่ง สนมที่อดีตฮ่องเต้โปรดปรานที่สุด""...""แต่เจ้ารู้หรือไม่ ว่าข้าไม่ได้ขโมยเขามาเพราะรัก ข้าแค่ต้องการอำนาจ แต่เด็กคนนั้นโตขึ้นมาและปฏิเสธที่จะมอบอำนาจให้แก่ข้า"มู่หรงเซียวยังคงนิ่งเงียบ นางเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวได้แล้ว"ข้าสนับสนุนเขาขึ้นเป็นไท่จื่อ ตั้งแต่ยังเยาว์วัย ข้าอบรมเขา ให้เขาทำตามที่ข้าต้องการ แต่เขากลับทรยศข้า! เขาปฏิเสธตระกูลหลิวและอีกหลายตระกูลที่อยู่ฝั่งของข้า ไม่มอบอำนาจให้ญาติฝ่ายข้า แม้กระทั่งหลังจากขึ้นครองราชย์ เขาก็ไม่ยอมให้ข้าแตะต้องอำนาจของเขาแม้แต่น้อย"ความเคียดแค้นฉายชัดในแววตาของไทเฮา"และเพราะเหตุนี้ ข้าจึงต้องการทำให้เขาเจ็บปวดที่สุด สิ่งที่ทำให้เขาเจ็บปวดได้มากที่สุด...ก็คือเจ้า เซียวหยางมี่"แต่ก่อนที่ไทเฮาจะได้เอ่ยเอื้อนประโยคต่อไป เสียงฝีเท้าหนักแน่นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นที่หน้าตำหนัก"เสด็จแม่!"ประตูถูกผลักเปิดออกอย่างแรง เผยให้เห็นร่างสูงสง่าของหวังเฟิ่งที่ก้าวเข้ามาพร้อมกับองครักษ์คู่ใจ พระเนตรสีทองของเขาเต็มไปด้วยโทสะ นัยน์ตาแดงก่ำ ราวกับถูกโหมด้วยเพลิงไฟจากภายในเขาได้ย
หลังจากการต่อสู้อันดุเดือดกินเวลานานกว่าครึ่งคืน ศัตรูที่บุกเข้ามาถูกสังหารและขับไล่ออกไปจนหมด ศึกกบฏจบลง ชาวบ้านต้าชิงรอดพ้นจากภัยพิบัติครั้งใหญ่แต่ก่อนที่ทุกอย่างจะกลับคืนสู่ความสงบ องค์หญิงมู่หรงเซียวกลับหายตัวไป ร่างของนางถูกลักพาตัวไปในยามวิกาล โดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้เมื่อมู่หรงเซียวได้สติ นางพบว่าตัวเองถูกกักขังอยู่ในตำหนักลับที่ไม่คุ้นเคยแสงไฟในห้องสลัว กลิ่นกำยานหอมกรุ่นลอยฟุ้งปะปนไปกับกลิ่นสมุนไพรจางๆ อากาศภายในตำหนักชวนให้อึดอัด ราวกับมีเงาของสิ่งชั่วร้ายแฝงตัวอยู่เบื้องหน้าของนางคือสตรีวัยกลางคนผู้เปี่ยมไปด้วยอำนาจ อาภรณ์ของนางปักลวดลายมังกรหงส์อย่างวิจิตร“ไทเฮา!”มู่หรงเซียวเม้มปากแน่น แม้นางจะถูกจับมาโดยไม่รู้ตัว แต่นางยังคงรักษาความสงบนิ่งของตนเองเอาไว้สตรีผู้นั้นมองนางนิ่งๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา"เจ้าช่างเหมือนนางเหลือเกิน"แม้มู่หรงเซียวจะไม่ได้เอ่ยคำใด แต่ภายในใจของนางรู้ดีว่า ไทเฮาหมายถึงผู้ใด"อย่ามาแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง ข้ารู้แล้วว่าเจ้าคือเซียวหยางมี่ ที่มาเกิดใหม่ด้วยอาคมของหวังเฟิ่ง!"เสียงของไทเฮาดังขึ้นเรื่องๆ น้ำเสียงของหญิงวัยกลางคนนั้นแฝงไปด
หวังเฟิ่งหยุดชะงักชั่วครู่ สีหน้าของพระองค์เคร่งขรึมขึ้นทันที"สามหาว!""เจ้ามิเคยสงสัยบ้างเลยหรือ ว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ทั้งหมด? ใครกันที่พาหลิวหงหลัน? ใครปล่อยพิษกู่? และใครเป็นต้นเหตุให้เมียเจ้าต้องตาย?""เจ้า!"รองแม่ทัพหลี่หัวเราะในลำคอ ก่อนจะพูดต่อเพื่อต้องการย้อนเกล็ดขององค์จักรพรรดิ์ผู้นี้"คิดว่าหลิวหงหลันและเสนาบดีหลิวจะอาจหาญก่อการภายในวังได้หรือ ถ้าไม่มีไทเฮาสนับสนุน?"หวังเฟิ่งกัดกรามแน่น บัดนี้ร่างของพระองค์สั่นสะท้านด้วยความโกรธถึงขีดสุด"เล่าออกมาให้หมด!""ถึงท่านไม่บอก ข้าก็จะเล่าอยู่แล้ว"รองแม่ทัพหลี่กล่าวด้วยน้ำเสียงเหยียดหยัน"ข้ากับหงหลันเป็นสหายกันมานาน ข้าเฝ้ามองนาง... แต่นางกลับเฝ้ามองแต่ท่าน เมื่อรู้ว่าท่านต้องการแต่งงานกับ เซียวหยางมี่บุตรสาวของอดีตราชครู นางก็ร้อนใจเป็นอย่างมาก ไทเฮาผู้ไม่ยอมรับการแต่งงานของท่าน จึงออกอุบายแกล้งป่วย ทำให้เซียวหยางมี่ไม่สามารถวินิจฉัยและรักษาได้ จากนั้นก็ทำทีให้หลิวหงหลันรักษาจนหาย เพื่อเปิดทางให้หงหลันเข้าใกล้ท่าน!""ไม่จริง..."หวังเฟิ่งพึมพำ ดวงตาของพระองค์เต็มไปด้วยความสับสน"เสด็จแม่...""ใช่ เสด็จแม่ของท่านต้องก
บุคคลนิรนามสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะรีบหันไปทางรองแม่ทัพหลี่"เจ้ารีบออกไปเสียบัดนี้ เขามาแล้ว!"รองแม่ทัพหลี่ไม่รอช้า รีบหลบออกไปทางลับของตำหนักโดยทันทีเพียงไม่นาน ประตูตำหนักก็ถูกเปิดออก ร่างสูงของจักรพรรดิต้าชิงก้าวเข้ามา นัยน์ตาสีทองของพระองค์กวาดมองไปรอบห้อง ก่อนจะหยุดลงที่สตรีผู้นั่งอยู่บนบัลลังก์"เสด็จแม่ ลูกเหมือนได้ยินท่านคุยกับใคร"ไทเฮาแย้มรอยยิ้มบาง นางขยับพัดในมือเล็กน้อย ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน"เจ้าคิดมากไปแล้ว อาเฟิ่งลูกแม่ ว่าแต่เจ้ามีอะไร ถึงมาหาข้ายามนี้?""ลูกจะออกไปบัญชาการทัพ เนื่องจากด้านนอกยามนี้เกิดเหตุร้าย เกรงว่าจะเป็นกลุ่มกบฏ"ไทเฮาชะงักไปเพียงครู่ ก่อนจะคลี่ยิ้มอ่อนโยน ราวกับมารดาผู้เปี่ยมไปด้วยความรักและห่วงใย"แม่ห่วงเจ้ามาก อาเฟิ่ง เจ้าไม่ไปได้หรือไม่?"หวังเฟิ่งมองมารดาของพระองค์ สัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่ผิดแปลก แต่เพียงพริบตาเดียว นางก็กลับมาเป็นไทเฮาผู้เมตตาดังเดิม"แต่ข้าจำเป็นต้องไป"หวังเฟิ่งตอบด้วยน้ำเสียงที่ช่างดูราบเรียบ ก่อนจะค้อมศีรษะให้ แล้วหมุนตัวเดินจากไปเบื้องหลังของพระองค์ ไทเฮายังคงยิ้ม แต่รอยยิ้มนั้นกลับเยียบเย็น ราวกับมิใช่ของผู้เป็น
ภายในจวนของเสนาบดีหลิว บรรยากาศอึมครึมปกคลุมไปทั่ว ทุกมุมห้องถูกปกคลุมด้วยความมืดสลัว มีเพียงแสงเทียนที่ริบหรี่ส่องให้เห็นชายชราที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่บัดนี้เขาดูซูบเซียวลงไปไม่น้อย ตั้งแต่บุตรสาวเพียงคนเดียวถูกคุมขังในข้อหาปองร้ายฮ่องเต้หวังเฟิ่ง ไม่ว่าเขาจะใช้เส้นสายเท่าใด ก็ไม่อาจช่วยนางออกมาได้เขาอับอาย เขาโกรธแค้น และเหนือสิ่งอื่นใด เขาไม่อาจยอมรับความพ่ายแพ้ได้ หลิวหงหลันคือสายเลือดเดียวของเขา เขาย่อมไม่มีวันยอมให้บุตรสาวต้องตายในคุกของต้าชิง!เสียงฝีเท้าดังขึ้นเบาๆ ก่อนที่ขันทีคนสนิทของไทเฮาจะเดินเข้ามาอย่างระมัดระวัง ใบหน้าของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความวิตกกังวล"นายท่าน... พวกเราจะทำเช่นไรต่อไปดี?"เสนาบดีหลิวเปิดเปลือกตาขึ้น นัยน์ตาของเขาขุ่นมัวด้วยความเครียด"พวกสุนัขเฝ้าประตูวังไม่ยอมปล่อยนางง่ายๆ หากข้ายังเพิกเฉย ชื่อเสียงตระกูลหลิวต้องป่นปี้แน่""เช่นนั้น"เขาหลับตาลงชั่วครู่ ก่อนจะสูดลมหายใจลึก แล้วลืมตาขึ้นใหม่"ส่งสารลับไปยังพวกทางใต้ บอกพวกมันว่า หากต้องการโอกาสบุกต้าชิง ข้าจะเป็นผู้เปิดทางให้เอง"ขันทีที่ยืนอยู่ถึงกับหน้าเสีย ใบหน้าของเขาซีดเผือดไปทันที"ถ้าฝ่าบาททร