หลิวหงหลันแอบมองเขามาตั้งแต่วัยเยาว์ ตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นองค์ไท่จื่อในสำนักศึกษา นางพยายามเข้าหาเขา พยายามแสดงความภักดี แต่องค์ชายหวังเฟิ่งกลับมีเพียง "เซียวหยางมี่" อยู่ในสายตาเสียงของเสนาบดีหลิวชาง บิดาของนางในวันนั้นยังดังก้องอยู่ในหัว"หากเจ้าไม่อาจเป็นที่รัก ก็จงเป็นผู้ควบคุมเสียเอง"ด้วยเหตุนี้นางจึงถูกผลักดันเข้าสู่วังหลังในฐานะพระสนม เพื่อนำอำนาจของตระกูลหลิวของอดีตฮองเฮามาค้ำจุนบัลลังก์ของต้าชิงแต่แล้วสิ่งที่นางได้รับกลับเป็นเพียงความเย็นชา เพราะในพระทัยของฝ่าบาทนางเป็นได้เพียงเงา ไม่สิ... ต้องกล่าวว่า ตลอดหลายปีที่ผ่านมาไม่มีสตรีนางใดเคยได้ร่วมคืนวสันต์กับฝ่าบาทเลย นอกจาก ‘เซียวหยางมี่’ เพียงผู้เดียว"ไม่ว่าจะเป็นหลิวหงหลัน หรือเหล่าพระสนมที่ถูกส่งเข้าวังหลังมามากมาย ล้วนแต่เป็นเพียงหุ่นเชิดไร้ค่าในตำหนักที่เงียบเหงา มีไว้เพื่อคานอำนาจกับตระกูลต่างๆแม้ภายนอกจะดูเหมือนจักรพรรดิทรงมีวังหลังที่พรั่งพร้อม แต่แท้จริงแล้ว ไม่มีสตรีใดเคยได้ครอบครองพระองค์ ไม่มีผู้ใดเคยได้รับแม้แต่สัมผัสแห่งความรักสตรีที่ตายจากไปเมื่อสิบหกปีก่อน กลับเป็นเพียงคนเดียวที่เคยได้ครอบครองราตรีอันอบอุ
ความโศกเศร้าถาโถมเข้ามาโดยไม่ทันตั้งตัว น้ำตาไหลลงมาจากดวงตางาม แม้นางจะพยายามกัดฟันกลั้นไว้ แต่สุดท้ายก็ไม่อาจห้ามได้อีกต่อไปภาพในอดีตผุดขึ้นมาในห้วงสำนึก เสียงหัวเราะของบิดา กลิ่นหมึกและกระดาษในห้องหนังสือ เสียงปลอบโยนของเขายามที่นางร้องไห้... ทุกสิ่งทุกอย่าง หายไปหมดแล้ว"นั่นใคร?"เสียงทุ้มของชายวัยกลางคนดังขึ้นจากมุมหนึ่งของจวนตระกูลเซียว แต่ทว่ามู่หรงเซียวไม่ตกใจเลยสักนิด กลับกัน หัวใจของนางเต้นแรงด้วยความรู้สึกคุ้นเคย เมื่อดวงตาสีนิลค่อยๆ ตวัดมองไปยังต้นเสียง หัวใจของนางก็ราวกับหยุดเต้น"มี่เอ๋อร์!"บุรุษที่ยืนอยู่ตรงหน้านาง ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเต็มไปด้วยความตกตะลึง เซียวเมิ่ง... ท่านอาของนางริมฝีปากงามสั่นระริก ก่อนที่นางจะเอ่ยออกมาเบาๆ"ท่านอา... ข้าเซียวหยางมี่ ข้ากลับมาแล้ว"เซียวเมิ่งยืนตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ราวกับว่าภาพตรงหน้าคือภาพลวงตาที่กำลังจะเลือนหายไปเขาเฝ้าฝันถึงนางทุกค่ำคืน เขาเฝ้ารอปาฏิหาริย์ที่ไม่มีวันเกิดขึ้น แต่ในคืนนี้... มันเกิดขึ้นจริงๆ เซียวเมิ่งสูดหายใจลึก มือที่สั่นเล็กน้อยกำแน่นขึ้นก่อนจะค่อยๆ ผ่อนคลาย"เจ้ายังมีชีวิตอยู่จริงๆ ใช่หรือไม่?"น้ำเสียงนั้นแฝงไ
มู่หรงเซียวสูดหายใจเข้าลึก พยายามข่มความรู้สึกทั้งหมดลง"เรื่องในอดีตช่างมันก่อน ตอนนี้ท่านต้องช่วยเหลือแคว้นเจียงหนานก่อน ไม่เช่นนั้นข้าจะกลับเจียงหนานบัดเดี๋ยวนี้!"หวังเฟิ่งหัวเราะออกมาอย่างแผ่วเบา ทว่ามันกลับเป็นเสียงหัวเราะที่แฝงไปด้วยความเย้ยหยัน"เจ้าเคยคิดบ้างไหมว่าเจียงหนานสามารถแตกพ่ายได้ทุกเมื่อ? เจ้าคิดน้อยไปแล้ว เสด็จพ่อ เสด็จแม่ และพี่ชายของเจ้าที่นั่นจะเป็นอย่างไรก็ไม่สำคัญเท่าทิฐิของเจ้าใช่หรือไม่?"มู่หรงเซียวชะงักไป นางจะลากครอบครัวของนางมาตายไม่ได้เด็ดขาด นางจะต้องมีสติมากกว่านี้"ใช่สิ เจ้าห่วงทุกคน... ยกเว้นข้าและตัวเจ้าเอง"หวังเฟิ่งนึกตัดพ้ออดีตภรรยาอยู่ในใจไม่ว่าเมื่อใด เจ้าก็ไม่เคยมองว่าข้าเป็นคนสำคัญ...ข้าพยายามเอื้อมมือไปหาเจ้าเสมอ... แต่เจ้ากลับถอยห่างออกไปเรื่อยๆข้าเคยคิดว่าเราสองคนจะเป็นสหายผู้เข้าใจกัน เป็นคู่ชีวิตที่ฝ่าฟันมาด้วยกัน แต่สุดท้ายแล้ว...ข้าเป็นได้เพียง "เงา" ในชีวิตของเจ้าเท่านั้นใช่หรือไม่?ข้ามองเห็นเจ้า... แต่เจ้าไม่เคยมองเห็นข้า"ความเมตตาของข้าที่มีให้เจ้านั้น เจ้ากลับไม่เคยสนใจมันเลย บ้านเมืองและหน้าที่คงจะสำคัญมากสำหรับสตรีใจดำนัก
แต่ในวันนี้...เมื่อนางกลับยืนอยู่ตรงหน้าเขาอีกครั้ง เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่สั่นไหวแต่หนักแน่นว่า"ข้าไม่ได้ฆ่าลูกของเรา ข้าถูกวางยา!""ข้าขอโทษ ข้าฟังเจ้ามาตลอดนะ ไม่มีวันใดที่ข้าไม่รับฟังเจ้า"มู่หรงเซียวแค่นหัวเราะออกมาเบาๆ แต่ในรอยยิ้มนั้นกลับไม่มีความสุขแม้แต่น้อย"ฟัง... แล้วเหตุใดถึงเป็นเช่นนั้น?" เหตุใดท่านถึงปล่อยให้ข้าเป็นฝ่ายที่ต้องทนทุกข์อยู่เพียงลำพัง?”หวังเฟิ่งเม้มริมฝีปากแน่น หลับตาลง สูดหายใจลึก ก่อนจะเอ่ยขึ้นช้าๆ"ข้าจะขอเล่าเรื่องในมุมมองของข้าทั้งหมดให้ฟัง"“…”"ฟังแล้วเจ้าจะคิดอย่างไรก็แล้วแต่เจ้า"หวังเฟิ่งลืมตาขึ้นมองมู่หรงเซียวอีกครั้ง แววตาของเขาไม่ใช่เพลิงโทสะดังเช่นก่อน แต่เป็นเพลิงที่กำลังมอดไหม้ ราวกับเปลวไฟสุดท้ายของมังกรที่สิ้นเรี่ยวแรง"จะปล่อยมือจากกัน หรือจะเดินเคียงกันต่อไป...ก็คงต้องขอให้คนดีเมตตาข้า"น้ำเสียงของเขาขาดห้วง คล้ายจะเอ่ยคำพูดนั้นออกมาด้วยความยากลำบาก คำว่าเมตตานั้นไม่เคยอยู่ในศักดิ์ศรีของเขา ไม่เคยมีอยู่ในตัวตนของหวังเฟิ่ง จักรพรรดิแห่งต้าชิงแต่ในตอนนี้ เขาพร้อมแล้วที่จะลดศักดิ์ศรีของตนเองลง เพื่อเอ่ยคำนี้กับนางเพราะหากไม่ใช่เจ้า... ข้าก็
มู่หรงเซียวนั่งนิ่งอยู่เพียงลำพัง ร่างบางอิงแอบอยู่กับพนักเก้าอี้ไม้ บรรยากาศรอบกายเงียบสงัดจนสามารถได้ยินเสียงลมหายใจของตนเองตลอดเวลาที่ผ่านมา นางคิดเพียงว่าหวังเฟิ่งเป็นฝ่ายที่ไม่เชื่อใจนาง เป็นฝ่ายที่ตัดสินนางไปเอง เป็นฝ่ายที่ปล่อยมือจากนางก่อนแต่ในตอนนี้...เมื่อมองย้อนกลับไป นางเริ่มเข้าใจว่าบางทีตนเองก็อาจจะมีส่วนผิดในเรื่องนี้ด้วยเช่นกันนางไม่เคยพูด ไม่เคยแสดงออกให้เขารู้ว่าความรู้สึกที่นางมีให้เขานั้นมากเกินกว่าคำว่า "หน้าที่" หรือ "พันธะ"ในฐานะของภรรยา นางทำหน้าที่ของตนอย่างสมบูรณ์แบบ ดูแลทุกอย่างที่ควรดูแล อยู่เคียงข้างเขาในวันที่ยากลำบาก แต่นางไม่เคยเอ่ยคำว่ารัก ไม่เคยแสดงออกให้ชัดเจนบางทีที่หวังเฟิ่งตีตัวออกห่างไป อาจเป็นเพราะเขาเองก็ไม่มั่นใจเช่นกันและเมื่อมีคนอย่างหลิวหงหลันมากระซิบให้หวังเฟิ่งสงสัย ในเมื่อหัวใจของเขาเต็มไปด้วยความกลัว เขาจึงปล่อยให้ความระแวงเข้ามาครอบงำมู่หรงเซียวรู้สึกถึงความร้อนผ่าวที่เอ่อคลออยู่ในดวงตา นางหลับตาลงและปล่อยให้ความเงียบกลืนกินตัวเองไปในท้ายที่สุด ไม่ว่าฝ่ายใดจะเป็นคนผิดมากกว่ากัน มันก็คงไม่สำคัญอีกต่อไปเพราะระหว่างนางกับเขา...ม
วันนี้...แท้จริงแล้ว วันนี้เมื่อสิบเก้าปีก่อน คือวันที่เซียวหยางมี่จดจำได้ขึ้นใจ เพราะเป็นวันครบรอบอภิเษกของนางและหวังเฟิ่งแต่เวลาผ่านไปนานเพียงใดก็ไม่สำคัญอีกแล้ว นางมิใช่เซียวหยางมี่อีกต่อไป นางคือ มู่หรงเซียว องค์หญิงแห่งเจียงหนาน เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของราชวงศ์ที่แตกต่างไม่มีที่ให้กลับไปอีกแล้ว...ไม่มีสิทธิ์ให้กลับไปไม่มีฐานะใดที่สามารถอยู่เคียงข้างเขาได้อีกมู่หรงเซียวเม้มริมฝีปากแน่น นางไม่สามารถปล่อยตัวปล่อยใจไปกับหวังเฟิ่งได้ นางไม่สามารถปล่อยให้ความรู้สึกที่ควรตายไปพร้อมกับอดีตฟื้นคืนมาอีกครั้งแต่มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่นางอยากทำในฐานะเซียวหยางมี่ ทำให้คนเลวได้รับผลกรรมที่พวกมันสมควรได้รับก่อนตายนางรู้เพียงว่าสาเหตุที่ทำให้ตนเองไม่อาจรักษาอดีตฮองเฮานั้นกลับเต็มไปด้วยเงื่อนงำ และเงื่อนงำนั้นย่อมเกี่ยวข้องกับตระกูลหลิวอย่างแน่นอนแต่เมื่อนางได้ฟังความจริงจากหวังเฟิ่ง นางจึงได้รู้ว่า อาวุธที่ถูกใช้เล่นงานตนเองและฮองเฮา คือพิษจากแมลงกู่และสิ่งที่น่าสงสัยที่สุดคือพิษกู่ในกายของฮองเฮาหายไปอย่างไร้ที่มา ทั้งที่เซียวหยางมี่เองซึ่งเป็นเซียนหมอรักษาไม่หาย แต่จู่ๆ อาการของพระน
เซียวหยางมี่รู้ดีว่าคืนนี้ต้องเกิดสิ่งใดขึ้น แต่ตอนนี้เขาคือสามีของนางแล้ว เรื่องที่จะเกิดขึ้นต่อนี้คือเรื่องธรรมดาของสามีภรรยานางพยายามตอบรับจุมพิตอันเร่าร้อนของเขา แม้จะยังรู้สึกประหม่าอยู่บ้างจวบจนลมหายใจสุดท้ายเขาฉกชิงเอาไปหมดแล้วริมฝีปากคู่นั้นจึงผละออกมา เหลือเพียงรสสุราจางๆ ในปากของนาง มือข้างหนึ่งของเขาเอื้อมไปด้านหลัง แล้วจับเชื้อผูกเอี๊ยมเอาไว้“เชือกเส้นนี้ ข้าปลดมันได้หรือไม่”“ได้ หากท่านต้องการเช่นนั้น”“เด็กดี ข้าจะอ่อนโยนกับเจ้าให้มาก”น้ำเสียงของเขาฟังดูแหบแห้งเล็กน้อย สายตาของชายหนุ่มมองไปทั่วร่างนวลที่อยู่ในอ้อมกอด กลิ่นกายของนางทำให้เขาทนไม่ไหวอีกต่อไป เมื่อเอี๊ยมหล่นลงมาบนตักของนาง ทรวงอกอวบอิ่มก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า“งามยิ่ง”ชายหนุ่มประคองร่างของเซียวหยางมี่ให้นอนลง ก่อนจะรีบถอดเสื้อตัวในออก เขาก้มมองร่างขาวผุดผ่องขณะที่ต้องแสงเทียน ก่อนจะก้มหน้าลงไปลิ้มลองปลายยอดอกสีชมพู ร่างของหญิงสาวสั่นไหวเล็กน้อย เมื่ออีกฝ่ายทั้งขบเม้นและดูดกลืนทรวงอกของนางเขาไม่ได้ทำในนางเจ็บสักนิด แต่ทำให้นางรู้สึกว่ามีความปรารถนาบางอย่างกำลังก่อตัวขึ้นมาหวังเฟิ่งกลืนกินทรวงอกคู่งามอย่างห
บัดนี้ มู่หรงเซียวกำลังชั่งใจว่าควรทำตามคำขอที่น่าอายของคนตรงหน้าดีหรือไม่ นางกำลังกัดริมฝีปากอย่างแน่นสายตาของหวังเฟิ่งเต็มไปด้วยความเว้าวอนที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน บุรุษผู้สูงศักดิ์ องค์จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ กลับลดตัวลงร้องขอสิ่งนี้จากนาง มันช่างน่าขัน... และน่าหงุดหงิดในเวลาเดียวกันนางควรปฏิเสธ ควรเย็นชาต่อเขาเหมือนที่เขาเคยทำกับนาง แต่แล้ว...จิตใต้สำนึกกลับทำตามที่หัวใจเรียกร้อง ริมฝีปากของนางขยับเล็กน้อย ก่อนจะเปล่งเสียงที่ไม่คิดว่าจะเอ่ยออกมาอีก"หวังเฟิ่ง"เพียงแค่คำเรียกขานสั้นๆ แต่กลับทำให้คนตรงหน้าหลับตาลงช้าๆ ราวกับกำลังซึมซับมันเข้าไปในหัวใจมู่หรงเซียวเบือนหน้าหนี นางรู้ตัวดีว่านี่ไม่ได้หมายความว่านางให้อภัยเขา ไม่ได้หมายความว่าแผลในอดีตจะจางหายไปสิ่งที่เกิดขึ้นยังคงอยู่ ความเจ็บปวดไม่เคยเลือนหาย และนางก็ไม่ได้กลับมาที่นี่เพื่อเริ่มต้นใหม่นางทำเพียงเพราะ...สงสารเขา ก็เท่านั้น“มี่เอ๋อร์ แค่เจ้ายอมคุยกับข้า... สวรรค์ก็เมตตาข้ามากแล้ว”“...”“วันนั้นเป็นข้าที่ผิดเอง ข้ารู้ดีมาตั้งแต่แรกว่าเสด็จแม่นั้นถูกพิษกู่ แต่ข้ากลับทำตามแผนของศัตรูโดยไม่บอกเจ้า ข้าเพียงต้องการกันเจ้าอ
“โปรดอย่าหยุด...หวังเฟิ่ง” “ได้ ข้าให้ตามคำที่เจ้าขอ” หวังเฟิ่งประคองสะโพกของหญิงสาวขึ้นมา แล้วแทรกตัวเข้าไปจนสุดทาง ทั้งสองร้องครางออกมาพร้อมกันทันที “เซียวเอ๋อร์...ข้า” “ทำตามที่ใจท่านปรารถนาเถิด หวังเฟิ่ง” ชายหนุ่มโยนความอดกลั้นทั้งหมดทิ้งไป แล้วสะบัดเอวเข้าไปทันที แรกเริ่มเขาเพียงต้องการให้นางปรับตัวได้ แต่ยิ่งสอดใส่มากขึ้นเท่าใด ความเสียวซ่านก็ยิ่งทวีขึ้นทุกขณะ ชายหนุ่มมองร่างอวบอิ่มที่นอนอยู่เบื้องล่าง ตอนนี้ทรวงอกคู่งามกำลังสั่นไหวตามจังหวะรักที่เขากำลังกระแทกเข้าไปไม่หยุด มู่หรงเซียวปรือตามองเขา ขณะที่สองมือกำลังจิกหมอนจนแน่น สองแก้มของนางแดงก่ำราวกับผลผิงกั่ว “เซียวเอ๋อร์...เจ้าช่างดียิ่ง” หวังเฟิ่งกัดริมฝีปากขณะที่กระแทกเอวเข้าไปถี่ๆ เขาเงยหน้าขึ้นสูดลมหายใจ ขณะที่แก่นกายแกร่งสัมผัสกับกลีบดอกไม้งามของภรรยา มู่หรงเซียวทำได้เพียงส่ายหน้าไปมาบนหมอน แล้วปล่อยให้ร่างกายและจิตใจถูกหวังเฟิ่งชักนำไปตามที่เขาต้องการ ขณะที่ความร้อนตรงจุดเชื่อมประสานยิ่งทวีขึ้นเรื่อยๆ นางใช้สองขาเกี่ยวเอวของเขาไว้
ขบวนเสด็จของมู่หรงเซียวเดินทางเข้าสู่ต้าชิงอย่างสมพระเกียรติ นางมิใช่เพียงองค์หญิงแห่งเจียงหนานอีกต่อไป แต่กำลังจะก้าวขึ้นเป็นหงส์เคียงข้างมังกรพิธีอภิเษกถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ทั่วทั้งเมืองหลวงต้าชิงเต็มไปด้วยสีแดงแห่งความมงคล ประชาชนต่างพากันเฉลิมฉลองทว่าภายในใจของผู้เป็นเจ้าของบัลลังก์มังกรนั้นกลับสงบนิ่ง ไม่ใช่เพราะไร้ความรู้สึก หากแต่เป็นเพราะรอคอยวันนี้มานานจนมิอาจกล่าวเป็นคำพูดได้ยามราตรี หวังเฟิ่งและมู่หรงเซียวทอดพระเนตรไปยังท้องฟ้ากว้าง ราวกับต้องการให้แสงจันทร์เป็นพยานแห่งโชคชะตา ครั้งหนึ่งเคยพลาดพลั้ง คำสัญญาที่เคยล่มสลาย บัดนี้ทุกสิ่งกำลังจะถูกชดเชยให้สมบูรณ์“ข้าเคยคิดว่าข้าจะไม่มีวันได้รับโอกาสแก้ไขอดีต”หวังเฟิ่งเอื้อนเอ่ยเสียงแผ่ว พลางกุมมือนางไว้แน่น“แต่แล้วโชคชะตาก็พาเจ้ากลับมา”มู่หรงเซียวยิ้มบาง ทว่าดวงตากลับสะท้อนความรู้สึกที่ลึกซึ้ง“ข้าเองก็เคยคิดว่า ข้าจะไม่มีวันให้อภัยท่านอีก”หวังเฟิ่งชะงักไปชั่วขณะ มือที่กุมมือนางไว้ยังคงมั่นคง แต่ดวงตากลับแฝงไว้ด้วยความลังเล“แล้วตอนนี้เล่า?”มู่หรงเซียวมองสบดวงตาสีทองนั้นอย่างแน่วแน่ ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความอบอุ่น“ข
ณ ประตูเมืองต้าชิง ขบวนราชทูตจากแคว้นเจียงหนานยืนเรียงรายอยู่เบื้องหลังของมู่หรงเซียว รถม้าและกองทหารพร้อมเดินทางกลับแคว้น แต่ถึงแม้ทุกอย่างจะพร้อม นางกลับยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมเบื้องหน้าของนางคือหวังเฟิ่ง ฮ่องเต้ผู้ทรงอำนาจของแคว้นต้าชิง ดวงตาสีทองของเขาจับจ้องมู่หรงเซียวแน่วแน่ ราวกับต้องการจดจำนางให้ลึกลงไปในหัวใจ"เจ้าต้องกลับไปจริงๆ หรือ?""ข้ามีหน้าที่ของข้าที่ต้องทำ เสด็จพ่อและเสด็จแม่รอข้าอยู่"หวังเฟิ่งถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะพยักหน้า ด้วยตัวเขานั้นยังมีภารกิจที่จะต้องเร่งฟื้นฟูบ้านเมือง ทำให้เขาจำต้องยมปล่อยมือนางไปชั่วคราว"ข้าเข้าใจ... เจ้าควรกลับไป""หน้าที่ของข้าสิ้นสุดลงแล้ว... แต่หากวันหนึ่งท่านต้องการให้ข้ากลับมา"หวังเฟิ่งนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนที่ริมฝีปากของเขาจะคลี่ยิ้มบาง"ข้าจะไปหาเจ้า แต่เจ้าต้องรอข้า""ข้ารอท่านได้... แต่ท่านต้องไม่มาช้าจนข้าแต่งออกเรือนไปเสียก่อน"ดวงตาของหวังเฟิ่งทอแสงอันตรายขึ้นทันที"เจ้ากล้าหรือ?"มู่หรงเซียวยกยิ้มบาง"หากท่านช้าไปจริงๆ ข้าก็อาจต้องพิจารณา""อย่าหวังเลย"หวังเฟิ่งก้าวเข้ามาใกล้ ดวงตาของเขาฉายแววมุ่งมั่นและจริงจัง"ข้าจะไม่ยอมให้
ไทเฮามองภาพตรงหน้า นางกัดฟันแน่น"น่าขยะแขยง! ความรักของพวกเจ้าเป็นเรื่องงี่เง่า ความเชื่อใจเป็นเพียงคำโกหก เจ้าไม่สมควรได้รับความสุข! เจ้าต้องเจ็บปวดเหมือนที่ข้าเคยเจ็บปวด!"ภายในตำหนักเย็นที่ถูกปกคลุมด้วยความหนาวเหน็บ แสงจากตะเกียงริบหรี่สะท้อนเงาของหญิงผู้เคยครอบครองอำนาจสูงสุดของแผ่นดินไทเฮา... บัดนี้มิใช่ "มารดาแห่งแผ่นดิน" อีกต่อไปหลังจากที่ความจริงทั้งหมดถูกเปิดเผย นางถูกปลดจากฐานะไทเฮา ถูกกักบริเวณให้ใช้ชีวิตที่เหลือไปกับความอ้างว้าง ไม่มีอำนาจ ไม่มีผู้คนให้ความเคารพ ไม่มีสิ่งใดหลงเหลือให้นางยึดเหนี่ยวเสียงฝีเท้าหนักแน่นดังขึ้นหน้าตำหนัก บานประตูถูกเปิดออก เผยให้เห็นร่างสูงสง่าของบุรุษที่เคยเรียกนางว่า ‘มารดา’"เสด็จแม่...""หึ... ตอนนี้เจ้ายังกล้าเรียกข้าว่าเสด็จแม่อยู่อีกหรือ?"ไทเฮาหัวเราะเย้ยหยัน แม้น้ำเสียงจะเต็มไปด้วยความขมขื่น"ข้าเป็นเพียงสตรีเฒ่าที่ถูกกักขังอยู่ที่นี่ รอวันหมดลมหายใจ ไยต้องแสร้งทำเป็นเมตตาข้า?"หวังเฟิ่งมองนางอย่างไม่แสดงอารมณ์ใดๆข้ามิได้มาเพื่อแสร้งเมตตา แต่ข้ามาเพื่อให้ท่านยอมรับผิดและข้าจะให้โอกาสสุดท้าย หากท่านสำนึกผิด ข้ายังอาจให้ท่านได้อยู่อ
"ว่าอย่างไรนะ!?"มู่หรงเซียวเบิกตากว้างด้วยความตกใจ"ข้าขโมยเขามาจากสนมคนหนึ่ง สนมที่อดีตฮ่องเต้โปรดปรานที่สุด""...""แต่เจ้ารู้หรือไม่ ว่าข้าไม่ได้ขโมยเขามาเพราะรัก ข้าแค่ต้องการอำนาจ แต่เด็กคนนั้นโตขึ้นมาและปฏิเสธที่จะมอบอำนาจให้แก่ข้า"มู่หรงเซียวยังคงนิ่งเงียบ นางเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวได้แล้ว"ข้าสนับสนุนเขาขึ้นเป็นไท่จื่อ ตั้งแต่ยังเยาว์วัย ข้าอบรมเขา ให้เขาทำตามที่ข้าต้องการ แต่เขากลับทรยศข้า! เขาปฏิเสธตระกูลหลิวและอีกหลายตระกูลที่อยู่ฝั่งของข้า ไม่มอบอำนาจให้ญาติฝ่ายข้า แม้กระทั่งหลังจากขึ้นครองราชย์ เขาก็ไม่ยอมให้ข้าแตะต้องอำนาจของเขาแม้แต่น้อย"ความเคียดแค้นฉายชัดในแววตาของไทเฮา"และเพราะเหตุนี้ ข้าจึงต้องการทำให้เขาเจ็บปวดที่สุด สิ่งที่ทำให้เขาเจ็บปวดได้มากที่สุด...ก็คือเจ้า เซียวหยางมี่"แต่ก่อนที่ไทเฮาจะได้เอ่ยเอื้อนประโยคต่อไป เสียงฝีเท้าหนักแน่นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นที่หน้าตำหนัก"เสด็จแม่!"ประตูถูกผลักเปิดออกอย่างแรง เผยให้เห็นร่างสูงสง่าของหวังเฟิ่งที่ก้าวเข้ามาพร้อมกับองครักษ์คู่ใจ พระเนตรสีทองของเขาเต็มไปด้วยโทสะ นัยน์ตาแดงก่ำ ราวกับถูกโหมด้วยเพลิงไฟจากภายในเขาได้ย
หลังจากการต่อสู้อันดุเดือดกินเวลานานกว่าครึ่งคืน ศัตรูที่บุกเข้ามาถูกสังหารและขับไล่ออกไปจนหมด ศึกกบฏจบลง ชาวบ้านต้าชิงรอดพ้นจากภัยพิบัติครั้งใหญ่แต่ก่อนที่ทุกอย่างจะกลับคืนสู่ความสงบ องค์หญิงมู่หรงเซียวกลับหายตัวไป ร่างของนางถูกลักพาตัวไปในยามวิกาล โดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้เมื่อมู่หรงเซียวได้สติ นางพบว่าตัวเองถูกกักขังอยู่ในตำหนักลับที่ไม่คุ้นเคยแสงไฟในห้องสลัว กลิ่นกำยานหอมกรุ่นลอยฟุ้งปะปนไปกับกลิ่นสมุนไพรจางๆ อากาศภายในตำหนักชวนให้อึดอัด ราวกับมีเงาของสิ่งชั่วร้ายแฝงตัวอยู่เบื้องหน้าของนางคือสตรีวัยกลางคนผู้เปี่ยมไปด้วยอำนาจ อาภรณ์ของนางปักลวดลายมังกรหงส์อย่างวิจิตร“ไทเฮา!”มู่หรงเซียวเม้มปากแน่น แม้นางจะถูกจับมาโดยไม่รู้ตัว แต่นางยังคงรักษาความสงบนิ่งของตนเองเอาไว้สตรีผู้นั้นมองนางนิ่งๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา"เจ้าช่างเหมือนนางเหลือเกิน"แม้มู่หรงเซียวจะไม่ได้เอ่ยคำใด แต่ภายในใจของนางรู้ดีว่า ไทเฮาหมายถึงผู้ใด"อย่ามาแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง ข้ารู้แล้วว่าเจ้าคือเซียวหยางมี่ ที่มาเกิดใหม่ด้วยอาคมของหวังเฟิ่ง!"เสียงของไทเฮาดังขึ้นเรื่องๆ น้ำเสียงของหญิงวัยกลางคนนั้นแฝงไปด
หวังเฟิ่งหยุดชะงักชั่วครู่ สีหน้าของพระองค์เคร่งขรึมขึ้นทันที"สามหาว!""เจ้ามิเคยสงสัยบ้างเลยหรือ ว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ทั้งหมด? ใครกันที่พาหลิวหงหลัน? ใครปล่อยพิษกู่? และใครเป็นต้นเหตุให้เมียเจ้าต้องตาย?""เจ้า!"รองแม่ทัพหลี่หัวเราะในลำคอ ก่อนจะพูดต่อเพื่อต้องการย้อนเกล็ดขององค์จักรพรรดิ์ผู้นี้"คิดว่าหลิวหงหลันและเสนาบดีหลิวจะอาจหาญก่อการภายในวังได้หรือ ถ้าไม่มีไทเฮาสนับสนุน?"หวังเฟิ่งกัดกรามแน่น บัดนี้ร่างของพระองค์สั่นสะท้านด้วยความโกรธถึงขีดสุด"เล่าออกมาให้หมด!""ถึงท่านไม่บอก ข้าก็จะเล่าอยู่แล้ว"รองแม่ทัพหลี่กล่าวด้วยน้ำเสียงเหยียดหยัน"ข้ากับหงหลันเป็นสหายกันมานาน ข้าเฝ้ามองนาง... แต่นางกลับเฝ้ามองแต่ท่าน เมื่อรู้ว่าท่านต้องการแต่งงานกับ เซียวหยางมี่บุตรสาวของอดีตราชครู นางก็ร้อนใจเป็นอย่างมาก ไทเฮาผู้ไม่ยอมรับการแต่งงานของท่าน จึงออกอุบายแกล้งป่วย ทำให้เซียวหยางมี่ไม่สามารถวินิจฉัยและรักษาได้ จากนั้นก็ทำทีให้หลิวหงหลันรักษาจนหาย เพื่อเปิดทางให้หงหลันเข้าใกล้ท่าน!""ไม่จริง..."หวังเฟิ่งพึมพำ ดวงตาของพระองค์เต็มไปด้วยความสับสน"เสด็จแม่...""ใช่ เสด็จแม่ของท่านต้องก
บุคคลนิรนามสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะรีบหันไปทางรองแม่ทัพหลี่"เจ้ารีบออกไปเสียบัดนี้ เขามาแล้ว!"รองแม่ทัพหลี่ไม่รอช้า รีบหลบออกไปทางลับของตำหนักโดยทันทีเพียงไม่นาน ประตูตำหนักก็ถูกเปิดออก ร่างสูงของจักรพรรดิต้าชิงก้าวเข้ามา นัยน์ตาสีทองของพระองค์กวาดมองไปรอบห้อง ก่อนจะหยุดลงที่สตรีผู้นั่งอยู่บนบัลลังก์"เสด็จแม่ ลูกเหมือนได้ยินท่านคุยกับใคร"ไทเฮาแย้มรอยยิ้มบาง นางขยับพัดในมือเล็กน้อย ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน"เจ้าคิดมากไปแล้ว อาเฟิ่งลูกแม่ ว่าแต่เจ้ามีอะไร ถึงมาหาข้ายามนี้?""ลูกจะออกไปบัญชาการทัพ เนื่องจากด้านนอกยามนี้เกิดเหตุร้าย เกรงว่าจะเป็นกลุ่มกบฏ"ไทเฮาชะงักไปเพียงครู่ ก่อนจะคลี่ยิ้มอ่อนโยน ราวกับมารดาผู้เปี่ยมไปด้วยความรักและห่วงใย"แม่ห่วงเจ้ามาก อาเฟิ่ง เจ้าไม่ไปได้หรือไม่?"หวังเฟิ่งมองมารดาของพระองค์ สัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่ผิดแปลก แต่เพียงพริบตาเดียว นางก็กลับมาเป็นไทเฮาผู้เมตตาดังเดิม"แต่ข้าจำเป็นต้องไป"หวังเฟิ่งตอบด้วยน้ำเสียงที่ช่างดูราบเรียบ ก่อนจะค้อมศีรษะให้ แล้วหมุนตัวเดินจากไปเบื้องหลังของพระองค์ ไทเฮายังคงยิ้ม แต่รอยยิ้มนั้นกลับเยียบเย็น ราวกับมิใช่ของผู้เป็น
ภายในจวนของเสนาบดีหลิว บรรยากาศอึมครึมปกคลุมไปทั่ว ทุกมุมห้องถูกปกคลุมด้วยความมืดสลัว มีเพียงแสงเทียนที่ริบหรี่ส่องให้เห็นชายชราที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่บัดนี้เขาดูซูบเซียวลงไปไม่น้อย ตั้งแต่บุตรสาวเพียงคนเดียวถูกคุมขังในข้อหาปองร้ายฮ่องเต้หวังเฟิ่ง ไม่ว่าเขาจะใช้เส้นสายเท่าใด ก็ไม่อาจช่วยนางออกมาได้เขาอับอาย เขาโกรธแค้น และเหนือสิ่งอื่นใด เขาไม่อาจยอมรับความพ่ายแพ้ได้ หลิวหงหลันคือสายเลือดเดียวของเขา เขาย่อมไม่มีวันยอมให้บุตรสาวต้องตายในคุกของต้าชิง!เสียงฝีเท้าดังขึ้นเบาๆ ก่อนที่ขันทีคนสนิทของไทเฮาจะเดินเข้ามาอย่างระมัดระวัง ใบหน้าของอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความวิตกกังวล"นายท่าน... พวกเราจะทำเช่นไรต่อไปดี?"เสนาบดีหลิวเปิดเปลือกตาขึ้น นัยน์ตาของเขาขุ่นมัวด้วยความเครียด"พวกสุนัขเฝ้าประตูวังไม่ยอมปล่อยนางง่ายๆ หากข้ายังเพิกเฉย ชื่อเสียงตระกูลหลิวต้องป่นปี้แน่""เช่นนั้น"เขาหลับตาลงชั่วครู่ ก่อนจะสูดลมหายใจลึก แล้วลืมตาขึ้นใหม่"ส่งสารลับไปยังพวกทางใต้ บอกพวกมันว่า หากต้องการโอกาสบุกต้าชิง ข้าจะเป็นผู้เปิดทางให้เอง"ขันทีที่ยืนอยู่ถึงกับหน้าเสีย ใบหน้าของเขาซีดเผือดไปทันที"ถ้าฝ่าบาททร