"เพคะ?" นางตกใจจนเผลอเงยหน้าขึ้นมองเขาก่อนจะรีบหลบตาลงต่ำอีกครั้ง กฏของวังหลวงนางได้อ่านแล้ว ถึงการเข้าออกวังจะเข้มงวด แต่นักบวชไม่ได้มีคำสั่งห้ามออกจากวังนี่น่า หรือนางอ่านข้ามส่วนไหนไปกันนะ "ต้องให้พูดซ้ำอีกรอบรึไม่?" แม้น้ำเสียงเขาจะราบเรียบแต่ตอนนี้จูมี่เอินรู้แล้วว่าเสียงแบบนั้นของเขาไม่ปกติ "หม่อมฉันทราบแล้วเพคะ" จูมี่เอินโค้งหัวลงและยกฝ่ามือขึ้นกลางอกหนึ่งข้างทำท่ารับทราบในแบบนักบวช เหรินโยว่หลุนยิ้มบางพออกพอใจที่สามารถสั่งการนางได้ดั่งใจ แถมหลังๆ มานางก็รู้จักพูดมากขึ้นกว่าเมื่อก่อน ตอนพานางมาจากอารามวันๆ ถามอะไรไปก็ทำเพียงส่ายหน้า ไม่ก็พยักหน้าแค่นั้น และไม่รู้ว่าเป็นเพราะนางอยู่ในอารามนานเกินไปรึยังไงใบหน้าเล็กๆ นั้นนอกจากจะตกใจแล้วก็ไม่ค่อยแสดงสีหน้าแบบอื่นให้เห็นอีกเลย ร่างสูงยืนขึ้น คิดจะทำตามความคิดในหัวเมื่อครู่ที่ตนนิ่งไป ก่อนหน้านี้ ที่เขานิ่งไปก็คือเขาวางแผนจะหาทางแกล้งนางยังไงดี ตอนนี้จึงเดินไปหานาง ตั้งใจจะหยิบถาดไม้มาถือ แต่ก็แอบเอามือของตนกุมมือเล็กไว้ปลายๆ เป็นดังที่เขาคาด จูมี่เอินตกใจจนชักมือกลับไปทันทีที่เขาสัมผัสโดนมือของนา
"โรคระบาด ท้องร่วง มากับน้ำ หมู่บ้านทางเหนือ" จูมี่เอินคล้ายยังจมดิ่งไปกับความรู้สึกที่ได้เห็นภาพเมื่อครู่ในหัวของนาง "รู้ชื่อหมู่บ้านรึไม่?" "ไม่ทราบเพคะ" จูมี่เอินไม่รู้ว่าหมู่บ้านแห่งนั้นชื่ออะไร นางได้เห็นหมอคนหนึ่งส่งจดหมายขอความช่วยเหลือจากทางการ บนแผ่นกระดาษนั้นเขียนเพียงตัวสมุนไพรที่ต้องการและชนิดของโรคเท่านั้น ภายนอกโรงหมอนั้นนางได้ยินคนพูดถึงแค่ว่าหมู่บ้านทางเหนือ ภาพต่อมาก็เห็นผู้คนล้มตายจำนวนมาก "มีอะไรที่เป็นจุดน่าสังเกตรึไม่ จะได้รีบส่งทหารออกไปค้นหาหมู่บ้านที่เจ้าเห็น เผื่อจะได้ยับยังไม่ให้คนในหมู่บ้านดื่มน้ำนั้น" เหรินโยว่หลุนกำลังจะหันไปทางหน้าประตูเพื่อจะเรียกองครักษ์ด้านหน้ามาสั่งงาน แต่มือเล็กที่กำต้นแขนเขาไว้ก็บีบแน่น เขาหันกลับมามองนางก่อน เห็นดวงหน้างามเมื่อครู่ที่คราแรกมมีเพียงอาการตกใจตอนนี้กลับน้ำตานองเต็มสองแก้มนวล นางส่ายหน้า คล้ายเหม่อลอย แม้ดวงตาจะจ้องมองมาที่เขาโดยตรงแต่ราวกลับมองผ่านร่างของเขาไป "ฝ่าบาท..." นางเรียกเขาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เหรินโยว่หลุนรู้สึกถึงน้ำหนักที่แขนที่ตนเกี่ยวเอวบางไว้ รับรู้ได้ว่ายามนี้เ
"อะฮึ่มๆ" เหรินโยว่หลุนกระแอมไอรีบหันมองไปทางอื่น นึกถึงเมื่อครู่ว่าตนจะส่งให้ใครดูแลแล้วเสบียงกลับถูกยักยอกก็ยกยิ้มขึ้นมา คิดหาทางจัดการตัวโกงกินบ้านเมืองไว้ในหัวเรียบร้อย นอกจากจูมี่เอินจะช่วยเหลือชาวบ้านได้แล้ว นางยังได้ช่วยเขาจับโจรที่ชอบคดโกงบ้านเมืองได้ด้วย ถึงแม้นางจะไม่ได้เห็นว่าเป็นใครแต่ผลสรุปของเรื่องราวทำให้เขารู้ว่าคนที่เขาจะส่งไปช่วยชาวบ้านนั้นไว้ใจไม่ได้ ถึงเขาจะทำเป็นหลับหูหลับตามาตลอดกับเรื่องคดโกงบ้านเมืองของเหล่าขุนนาง หากแต่ครั้งนี้ความตายของราษฎรขึ้นอยู่กับเสบียงและยาในครั้งนี้ มันมากเกินจะทนหลับตาไม่สนใจได้อีก "ฝ่าบาทเพคะ" พอได้ยินเสียงหวานเรียกเขา เหรินโยว่หลุนก็หันกลับมามองนาง "ทำแผนซ้อนแผนดีรึไม่เพคะ?" คราแรกนางคิดจะให้ฮ่องเต้จัดการเรื่องยักยอกด้วยตนเอง แต่พอคิดไปคิดมารวมกับนิมิตรที่ได้เห็น นางว่านางสามารถช่วยเขาได้ แถมยังได้ช่วยชาวบ้านด้วย เหรินโยว่หลุนเลิกคิ้ว นางที่เขาเข้าใจว่าซื่อบื้ออ่อนต่อโลกกลับรู้จักวางแผนเสียด้วย จูมี่เอินยังไม่ได้บอกแผนในทันที นางขอให้เขาสั่งคนไปเตรียมยาสมุนไพรตามที่นางเขียนไว้ก่อนเพื่อไม่ให้เป็นการ
"เพคะ หม่อมฉันเข้า..." จูมี่เอินนิ่งไป เมื่อนางคิดทบทวนเรื่องเวลาอีกครั้ง และอีกเรื่องที่เหมือนจะยังไม่ได้บอกฮ่องเต้ออกไป "ฝ่าบาท!" นางคว้าแขนเขาแน่นสีหน้าตื่นเต้นดีใจ นางจับเหรินโยว่หลุนเขย่าไปมาหลายที "จูมี่เอิ่นสงบสติลงก่อน" เหรินโยว่หลุนไหนเลยจะเคยโดนเขย่าเช่นนี้ แต่ได้เห็นท่าทางแบบนั้นของนางแล้วเขาก็อดที่จะยิ้มตามไม่ได้ แถมนางก็ดูตื่นเต้นจนไม่ทันสังเกตว่าเขาเรียกชื่อนางโดยตรง เพราะปกติมักจะเรียกนางว่า 'ท่านนักบวชจูมี่เอิน' มาตลอด จนกระทั่งวันนี้ที่ได้รู้ความลับเรื่องนั้นของนางเข้า "เออ...ขอ ขอประทานอภัยเพคะ" จูมี่เอินกระพริบตาถี่เพิ่งจะรู้ตัวว่าทำอะไรลงไป ยามนั้นก็ปล่อยมือจากแขนของฮองเต้ แต่มือใหญ่ของเขาก็คว้ามือของนางไว้ก่อนที่นางจะได้เอาออก แต่เขาก็คว้าไว้ได้เพียงข้างเดียว อีกข้างนางก็ลดมือลงมาข้างตัวแล้ว "มีอะไรให้ดีใจขนาดนั้น" เขารีบถามนางก่อนนางลืม และเมื่อครู่ที่บอกให้นางสงบสติลงไม่ใช่ว่าเขาอยากให้นางเอามืออกจากตนเสียหน่อย ยามนี้เขาเลยได้กุมมือนางไว้ข้างหนึ่งติดกับแขนของเขาไว้ "ในนิมิตรเมื่อเสบียงไปถึงห้าคนนั้นเพิ่งเสียไปก่อนหน้านั้นเพียงหนึ่งวันเพค
เหรินโยว่หลุนไม่รู้สึกเจ็บเลยสักนิดที่โดนจูมี่เอินล้มลงมาทับเช่นนี้ เขาจงใจด้วยซ้ำไป มือใหญ่โอวเข้าที่เอวบางถือโอกาสตักตวงผลประโยชน์ยามที่นางไม่รู้ตัว เขายกยิ้มขึ้นอย่างชอบใจ คนที่เคยมีสีหน้าแบบเดียวยามนี้กลับเปลี่ยนไปเมื่ออยู่ต่อหน้าหญิงสาวที่ตนตามหามานาน ดวงตาคมยังคงจ้องมองใบหน้าครึ่งซีกของจูมี่เอินที่หันไปทางที่ซึ่งตนจากมา "ใครกัน!" เสียงของบุรุษผู้นั้นดังขึ้นอีกครั้ง "ออกมานะ...ไม่มีหรอกรึ?นั้นสินะทหารยามเฝ้าคงไม่มีคนแปลกหน้าหรอก" ประโยคหลังคล้ายพึมพำกับตนเองเบาๆ จูมี่เอินจำได้ว่าเป็นท่านนักบวชหลวงฉือเจา นางได้ยินเสียงเขาอยู่ไม่ไกลจากตนเท่าไหร่ แม้ตลอดชีวิตที่ผ่านมาต้องคอยหลบซ่อนมาตลอดแต่ครานี้ก็อดที่จะตื่นเต้นไม่ได้อยู่ดี หัวใจดวงน้อยเต้นไม่เป็นจังหวะ ด้านเหรินโยว่หลุนก็หลุดอมยิ้มออกมา เขาได้ยินเสียงหัวใจของนางอย่างชัดเจน จังหวะนั้นมือใหญ่เลื่อนลงไปอีกนิดสัมผัสได้ถึงสะโพกช่วงแรกของนางที่ค่อนข้างมีน้ำมีนวล ตัวของนางนุ่มมาก แม้นางจะคล้ายเด็กที่ไม่โตเต็มวัยตามช่วยอายุของตน แต่กลับมีส่วนเว้าส่วนโค้งที่ทำให้บุรุษต่างก็ต้องหลงไหลเมื่อได้สัมผัส เหรินโยว่หลุ
"ท่านป่วยหรือ?" พรืดดด เหรินโยว่หลุนถึงกลับหลุดหัวเราะ เขาพยายามจะกลั้นเสียงไว้เพี่อไม่ให้บุรุษผู้นั้นกลับมา ทั้งขำและถอดถอนใจอยู่ในคราเดียวกัน ฮ่องเต้ทรงพระสรวล? จูมี่เอินแปลกใจแต่นางก็ไม่ได้กล่าวอันใดออกไป หากทักท้วงไปเขาจะอาจจะมีท่าทีขึงขังขึ้นมาก็ได้ นางเลือกที่จะเงียบไว้ดีกว่า ทำเพียงขยับตัวลงมานั่งที่ข้างตัวเขาอย่างระมัดระวัง เหรินโยว่หลุนเองก็พอใจมากแล้วจึงยอมปล่อยนางลงจากตัวไป จากนั้นจึงเท้าแขนลุกขึ้นนั่งโดยมีมือเล็กของคนข้างตัวช่วยประคอง "เข้านอนเถิด พรุ่งนี้เจ้ายังมีเรื่องที่ต้องทำ" เขาไม่รีบ ยังมีเวลาอีกมากที่จะทำตามที่ตนเองวางแผนไว้ ถึงเหรินโยว่หลุนจะบอกตนเองเช่นนั้นแต่สายตากลับจ้องมองนางตลอด มองดูนางยืนขึ้นก่อน มองดูนางช่วยพยุงเขาตัวยืนขึ้น มองดูนางยกมือขึ้นมาร่ำลาเขา มองดูนางจากไป ใช้สายตาส่งนางจนสุดทาง จูมี่เอินนั้นก็ซื่อบื้อเหนือใครเปรียบ นางก้มหน้าตลอดเวลาไม่รู้ว่ากำลังถูกมอง เมื่ออีกฝ่ายให้ไปนอนนางก็ไปทันที หากหันกลับมามองคนด้านหลังสักนิด บางทีอาจจะรู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติไปจากเดิม เหรินโยว่หลุนยกมือทาบที่หน้าอกของตน ยังรู้สึกได
สามวันต่อมา ขบวนเสบียงช่วยเหลือมาถึงหมู่บ้านแล้ว เจียงหลี่เฉียงหมอที่ทำการส่งจดหมายของความช่วยเหลือเมื่อได้ทราบข่าวก็รีบวิ่งออกมาทันที่ มองเห็นขบวนรถขนของเรียงรายยาวสุดลูกหูลูกตาที่หน้าหมู่บ้าน ด้านหน้าสุดยังมีคนบนม้าอีกสิบกว่าคนคล้ายผู้คุ้มกัน "ท่านหมอ" เสียงของผู้นำขบวนเอ่ยขึ้น น้ำเสียงใสก้องกังวาลไพเราะเอ่ยเรียกฝั่งตรงข้ามคล้ายสนิทสนม คล้ายคนที่รู้จักมานาน และเหมือนคนกำลังจะร้องไห้อยู่กลายๆ "ท่านคือ?" เจียงหลี่เฉียงไม่ทราบว่าคนในชุดคลุมสีน้ำเงินคือผู้ใคร รู้เพียงว่าเป็นสตรีนางหนึ่งที่มีน้ำเสียงก้องกังวาลบางเบาคล้ายระขังที่ดังจากไกลๆ เป็นเสียงที่ฟังได้ชัดแต่ไม่หนวกหูเลยสักนิด คราแรกที่ได้ยินว่าทางการส่งสมุมไพรตามที่ได้ขอไปมาให้รวมทั้งน้ำและอาหารเขาแทบไม่อยากเชื่อหูตัวเอง คิดว่าตนเองแก่จนหูตึงไปเสียแล้ว เพียงแค่หกวันหลังจากจดหมายส่งไปของก็ถูกส่งมายังหมู่บ้าน เป็นเรื่องที่ยากจะเชื่อได้จริงๆเพราะสมุนไพรนั้นไม่ใช่แค่หยิบมือ หากแต่ต้องการเป็นจำนวนมาก การจะหาได้ในเวลาอันสั้นไหนจะเรื่องขนส่งอีก ใช้เวลาเพียงแค่หกวันดูเหมือนจะเกินจริงไปบ้าง แต่ยามนี้เล่า เมื่อได
..... ช่วงหัวค่ำในวันนั้นเหรินโยว่หลุนหลังจากสั่งการและดูความเรียบร้อยในการปลอมรถส่งเสบียงเสร็จก็นึกถึงใบหน้าของจูมี่เอินตอนที่เขาปฎิเสธออกไป ใบหน้านั้นดูเศร้าหมองจนคนมองรู้สึกผิดที่ไม่อาจทำตามที่นางขอได้ ก็เขาไม่อยากให้นางเดินทางไปนอกวัง ไม่อยากให้นางไปไกลจากสายตา กว่าจะหานางพบนางกลับคิดจะหนีจากเขาให้ได้ จะให้วางใจได้ยังไง และก็ไม่รู้ว่าการไปรอบนี้ของนางเป็นแผนที่คิดจะออกจากวังเพื่อหนีไปจากเขาอีกรึไม่ แต่ท่าทางเศร้าสร้อยของนางนั้นกลับทำให้เขาไม่สบายใจยิ่งนัก เรื่องโรคระบาดครั้งนี้เขาไม่สามารถเดินทางไปที่หมู่บ้านที่ติดโรคได้ด้วยตนเอง เพราะพิธีกรรมขอฝนที่ผ่านมาเขาใช้เวลาอยู่นอกวันเกือบสิบสี่วัน งานที่ต้องรีบจัดการยังคงค้างคามีกองเป็นภูเขา ไม่อาจทิ้งทั้งแคว้นไปยังหมู่บ้านเดียวได้ ทำได้แต่เพียงส่งคนออกไปและรอผลอยู่ในวังหลวงเท่านั้น นั่งคิดทบทวนอยู่สักพักในห้องทรงอักษร 'หม่อมฉันไม่ได้จะไปจากวังหลวงเพคะ' นางบอกว่านางไม่คิดจะจากวังไปเขาจะลองเชื่อนางได้รึไม่ เหรินโยว่หลุนตัดสินใจเด็ดขาด ยอมส่งนางออกไปพร้อมขบวนรอบสอง! พอตัดสินใจได้แล้วเขาก็คิดจะไปบอกนาง
"ฝ่าบาท!" จูมี่เอินรู้ทันทีว่าจะเกิดอะไรขึ้น นางส่ายหน้า ขอร้องเขา "อย่า...หม่อมฉันขอร้องเพคะ" มือเล็กที่กุมมือเขาไว้บีบแน่นขึ้น หัวใจดวงน้อยราวกลับหยุดเต้นไปแล้วก็กลับมาเต้นใหม่อีกทีด้วยความตกใจกลัว นางส่ายหน้าไปมา แต่ฮ่องเต้ที่นั่งทับนางกลับยกยิ้มชอบใจที่เห็นนางมีท่าทีเช่นนี้ จูมี่เอินขอถอนคำพูดที่เคยคิดว่าเขามีจิตใจที่เมตตาต่อปวงประชา นางเองก็เป็นคนใต้อาณัติของเขา ต่อให้เขาเป็นฮ่องเต้แล้วสามารถบังคับนางได้หรือ นิสัยเสียเกินไปแล้ว เหรินโยว่หลุนดึงข้อมือที่ถูกกุมไว้ออก คล้ายเล่นแข่งจ้องตากับนางขณะลงมือถอดอาภรณ์บนตัวที่ยังถอดไม่เสร็จออกไป ตุบ เขาโยนเสื้อคลุมของตนไปที่พื้นข้างเตียง จูมี่เอินหันมองตามเสื้อคลุมนั้นแต่แล้วก็ถูกมือใหญ่จับใบหน้าให้หันกลับมามองตน ถึงยามนี้คนที่อยู่ในศีลในธรรมมาตลอดได้เห็นรูปร่างกำยำตรงหน้าก็ถึงกับลอบกลืนน้ำลายเบิกตาโตมองเขา ก่อนหน้านี้ที่เข้ามาในห้องและเห็นแผ่นอกของเขานางก็ไม่ได้รู้สึกอันใด แต่พอรู้ว่าเขาจะทำอะไรและถอดอาภรณ์ออกเช่นนี้ก็ใจไม่ดีขึ้นมา ผิวของเขาขาวเนียนไร้รอยแผลเพราะไม่เคยออกรบ แต่กลับมีรูปร่างเหมือนนักดา
"ฮ่องเต้...หม่อมฉันเป็นนักบวชนะเพคะ!" "ข้าให้เจ้าพูดอีกรอบ" มองริมฝีปากบางของนางแล้วจิตใจด้านมืดของเขาก็รู้สึกอยากทำให้มันบวมขึ้นมา เมื่อครู่เขาแค่ประกบปากลงไปสัมผัสแผ่วเบาเท่านั้น ยามนี้คนที่กำลังอยู่ในแขนของตนก็หน้าแดงไปจนถึงใบหู ปากก็ยังคงโกหกเขาไม่เลิก นางคิดว่าเขาเป็นใครกัน ฮ่องเต้ของแคว้นจะโดนนางหลอกได้โดยง่ายรึยังไง "หม่อมฉันเป็นนักบวชเพคะ!" นางย้ำด้วยสีหน้าจริงจัง จ้องมองเขาตาไม่กระพริบ ทั้งยังมีความโกรธเจือปนอยู่ในน้ำเสียงใสกังวาลของนาง "เจ้าคือนักบวช?" เขาถามย้ำอีกรอบ มุมปากยกยิ้มขึ้นอย่างเจ้าเล่ห์ พลางผลักนางลงบนที่นอนของตนเอง ใช้แขนสองข้างของตนคร่อมนางไว้ แถมยังลงแรงนั่งทับเอวของนางไว้อีกด้วย "..." คนตัวเล็กพยักหน้าหลายทีเพื่อยืนยันสิ่งที่ตนพูดออกไป ไม่เข้าใจว่าทำไมเรื่องถึงดำเนินมาเป็นเช่นนี้ได้ ท่าทางที่เขากระทำอยู่มันช่างล่อแหลมจนเกินเลยที่ต้องการจะรู้นิมิตรของนางจากการสัมผัสร่างกายกันมากไปแล้ว จูมี่เอินไม่อาจสู้แรงเขาได้ ต่อให้สู้ได้ก็ไม่กล้าผลักเขาออกอีกรอบ ด้วยกลัวหัวจะหลุดออกจากบ่า มองคนที่เสื้อผ้าหลุดลุยจนเห็นแผงอกแข็งแกร่งอย่างชัดเจนก
"ในเมื่อเท่าที่เจ้าเล่ามา... การสัมผัสอาจทำให้เจ้าเห็นอนาคตของผู้อื่นเพิ่มมากขึ้น งั้นเรามาลองกันหน่อยดีหรือไม่?" เหรินโย่วหลุนมองหญิงสาวในชุดขาวไม่วางตา ใบหน้าสวยสะครานตาก้มหน้าลงต่ำ ผมดำยาวของนางถูกจัดแต่งทรงไว้อย่างงดงาม หัวไหล่มนเล็กที่คล้ายสามารถโดนลมพัดปลิวได้พาให้คนอยากปกป้อง ความน่าดึงดูดที่แปลกประหลาดที่เกิดจากตัวนางนั้น มาจากความสามารถพิเศษของนางหรือไม่เขาก็ไม่อาจคาดเดาได้ แต่นางกลับสามารถทำให้เขาไม่อาจละสายตาไปจากนางได้เลย โดยไม่รู้ตัวทุกวันเมื่อเมื่อยล้าสายตาก็จะหันไปมองนาง ก็จะเห็นนางนั่งอยู่ต่อหน้าตนเองตลอด อยู่ในห้องทรงอักษรด้วยกันกับเขา นั่งหลับตาคล้ายตัดตนออกจากโลกภายนอก ยามนางจากไปเพียงไม่กี่วันเขาก็แทบทนไม่ไหว รู้ตัวอีกทีก็ต้องการเอาเชือกมาผูกมัดนางไว้กับเขาตลอดเวลาเสียแล้ว หากพูดถึงถ้านางไม่ได้เป็นนักบวช ใบหน้าเช่นนี้คงถูกจับมาเป็นบุตรสาวบุญธรรมของพวกขุนนางไปแล้ว คนพวกนั้นต้องการอำนาจมากมายเพียงใดทำไมเขาจะไม่รู้ ต่อจากรับนางมาเป็นบุตรสาวแล้วก็คงจับนางแต่งเข้ามาเป็นสนมของเขาเป็นแน่ ทว่ายามนี้นางกลับสวมอาภรณ์ของนักบวชหญิง ใครอยากทำเช่นนั้นก็ทำได้แ
"เหตุใดเหรินเยว่เทียนถึงมากับเจ้า?" จูมี่เอินตกใจจนเผลอเงยหน้าขึ้น ฮ่องเต้ไม่ใช่คนส่งเขามาหรือ งั้นนางควรตอบออกไปเช่นไร นางไม่ใช่คนชอบพูดปด ครั้งที่เคยโกหกออกไปนั้นก็แทบนับได้ ก่อนหน้านี้ฮ่องเต้ทรงมีรับสั่งว่าให้อยู่ห่างจากอ๋องห้า นางก็คิดว่าเขาคงห่วงน้องชายตนที่มาคลุกคลีอยู่กับนักบวชที่มีชนชั้นธรรมดา แต่ต่อมาเหรินเยว่เทียนก็มาหานางที่หมู่บ้านนั้นและบอกเป็นพระประสงค์ของฝ่าบาท พอตอนนี้ฮ่องเต้ทรงถามเช่นนี้ก็รู้ได้ว่าเหรินเยว่เทียนนั้นโกหก ดังนั้นตอนนี้นางควรตอบเช่นไรเพื่อให้ไม่มีใครได้รับผลกระทบดี "บังเอิญผ่านมาเจอกันเท่านั้นเพคะ" พูดจบก็ลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างอยากลำบาก มือเล็กกำถาดไม้แน่นขึ้น บังเอิญเจอ? เหรินโยว่หลุนมีสีหน้าเรียบเฉยแววตามืดดำลงหลายส่วน เขาสอบถามทหารสองคนนั้นที่ได้ส่งให้ตามจูมี่เอินไป คอยดูแลนางและอย่าให้นางออกนอกเส้นทาง ก็ได้ความว่าเหรินเยว่เทียนตามไปช่วยนางที่หมู่บ้าน นี่มันคนละทางกับคำตอบของสตรีตรงหน้าเลยนี่น่า มี่เอิน...เจ้ากลับเลือกที่จะโกหกข้าเพราะเหรินเยว่เทียน?หรือบางทีเหรินเยว่เทียนจะรู้ว่านางไม่ได้เป็นนักบวชจริงๆ ถึงได้ตามใกล้ชิดส
จูมี่เอินกลับมาก็ได้อาบน้ำชำระร่างกายเปลี่ยนชุดเตรียมเข้านอน นางหยิบผ้าคลุมที่เปื้อนเลือดขึ้นมาจากโต๊ะน้ำชากลางห้อง ดีที่มันค่อนข้างหนาทำให้ไม่ไปเลอะชุดด้านในของนางที่เป็นสีขาว ชุดพระราชทานนั้นหากเสียหายขึ้นมานางคงโดนโทษหนักเป็นแน่ ถึงคนที่ทำเลอะจะเป็นคนที่ให้นางมาก็ตามเถอะ เหม่อมองดูผ้าคลุมสีน้ำเงินเข้มที่เปื้อนเลือดคิดว่าซักยังไงก็คงไม่ออกนางเลยตัดสินใจทิ้งไป "ท่านนักบวชหลวง" พลันได้ยินเสียงเรียกของสตรีดังขึ้นหน้าห้องของตน จูมี่เอินวางเสื้อคลุมลงที่โต๊ะน้ำชาตามเดิมแล้วเดินไปที่หน้าประตู "มีอะไรรึ" ยามนี้ก็ดึกมากแล้วเหตุใดนางกำนัลถึงมาเรียกนางหน้าห้องเวลานี้ "ฝ่าบาทมีรับสั่งให้เข้าเฝ้า พระองค์ทรงตรัสว่ารู้สึกไม่ดี เหมือนจะนอนไม่หลับ อยากให้ท่านนักบวชไปจุดธูปหอมและปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายให้เจ้าค่ะ" "ข้าเข้าใจแล้ว เจ้ารอข้าสักครู่เถิด" จูมี่เอินคิดว่าฝ่าบาทเองก็คงตกใจกับเหตุการณ์ที่ได้พบวันนี้ นางจึงรีบเดินกลับเข้าไปในตัวห้องนอนเพื่อไปเปลี่ยนชุดทันที ได้ยินว่าในรัชศกของฮ่องเต้องค์ก่อนได้ลงนามเป็นพันธมิตรกับแคว้นโดยรอบทั้งหมดแล้ว ทำให้นอกจากโรคภัยไข้เจ็บ ภ
"มี่เอิน ข้าช่วยประคองเสด็จพี่เอง" เป็นเหรินเยว่เทียนที่พูดขึ้นอย่างจงใจ มุมปากตอนนี้ก็กดยิ้มไว้แน่นพยายามกลั้นรอยยิ้มไว้สุดฤทธิ์ แต่แววตากับเป็นประกายระยิบระยับไม่อาจซ้อนไว้ได้ จูมี่เอินหันเพิ่งจะหันไปสนใจสามคนที่ตามมา ดวงตากลมโตกระพริบสองสามครั้ง นั่นสิ ให้พวกเขาช่วยน่าจะพาฮ่องเต้กลับไปได้ไวยิ่งกว่า "ใครอยากให้เจ้าช่วยกัน!" เหรินโยว่หลุนยืดตัวขึ้นเอามือพ่ายหลังท่าทางวางอำนาจ แถมยังแผ่กระจายความกดดันรอบตัวใส่ผู้อื่นอีกด้วย จูมี่เอินถึงกับผละออกมามองท่าทางของเขาอีกที ไม่เจ็บแล้ว? หรือยังทนไหว? พลันมีคำถามในหัวขึ้นมากมาย ตอนนั้นองค์รักษ์ส่วนพระองค์ก็ปรากฏกายขึ้นด้านหลังของเหรินโยว่หลุนและกล่าวว่า "จัดการด้านในเรียบร้อยแล้วพะยะค่ะ" เป็นฟางอี้นั้นเอง จูมี่เอินเมื่อได้ยินเข้าใจได้ในทันที นิมิตรนั้นคนที่ได้รับบาดเจ็บหรือถึงขั้นเสียชีวิตไม่ใช่ฮ่องเต้ของตน กลับเป็นอีกคนที่อยู่ในห้องนั้น เลือดบนตัวนี้หาใช่ของฝ่าบาทไม่ เพราะนางไม่เห็นบาดแผลของเขาเลย น่าจะเป็นเลือดของอีกฝ่าย แล้วเลือดของอีกฝ่ายจะมาเปื้อนเขาขนาดนี้ได้ยังไงถ้าเขาไม่ได้อยู่ใกล้ขนาดระยะปะชิด และเป็นคนล
"มี่เอิน?" เสียงในความมืดตอบกลับมาด้วยความแปลกใจ เหรินโยว่หลุนไหนเลยจะไปคาดคิดว่าจะเจอนางที่นี่ และสภาพเช่นนี้ มองสองคนที่ตนส่งให้ดูแลนางตลอดการเดินทางวิ่งตามมาด้านหลังไม่ไกลก็โล่งใจขึ้นมานิดหนึ่ง คิดว่านางโดนใครทำร้ายแล้ววิ่งหนีมาและเผอิญเจอเขาพอเข้าดีเสียอีก "ฝ่าบาท!" ร่างบางพุ่งเข้ามาประชิดตัวของเหรินโยว่หลุน มือเล็กจับรอบลอยเลือดแผ่วเบา ท่าทางระแวดระวังไม่ได้สัมผัสตรงกลางรอยโดยตรงเพราะกลัวจะไปโดนแผลของเขาเข้า ยามนี้จางเฉินและหวงตงก็มาถึงพอดี เมื่อได้รู้ว่าจูมี่เอินเรียกคนตรงหน้าว่าอะไรพวกเขาก็รีบก้มหน้าลงไม่กล้ามองพระพักตร์ฮ่องเต้โดยตรง ทั้งคู่มีสีหน้ากังวลขึ้นมา ตอนได้ภารกิจนี้คิดว่าง่ายมาก รอเพียงพาท่านนักบวชหลวงกลับไปก็จะได้เลื่อนขั้นไปอีกขั้น แต่พอตอนนี้มาเจอฮ่องเต้เข้าระหว่างทางก็รู้ว่าตนนั้นได้ทำงานพลาดแล้วที่ไม่ส่งท่านนักบวชหลวงกลับให้ถึงวังตั้งแต่แรก แต่เมื่อทหารทั้งสองสังเกตรอบกายก็คล้ายมีกลิ่นเลือดปะปนในอากาศ จึงพากันเงยหน้าขึ้นมอง ตอนนั้นถึงได้เห็นเสื้อของฮ่องเต้มีรอยเลือดอยู่ พวกเขาเตรียมท่าจะเข้าไปช่วยกลับถูกฝั่งตรงข้ามยกมือขึ้นห้ามก่อน ย
"พี่เฉิน!" ร่างบางในชุดคลุมน้ำเงินรีบวิ่งไปหาหนึ่งในทหารที่ตามนางมาด้วย ในใจร้อนรนอย่างบอกไม่ถูก ฮ่องเต้ของนาง ในนิมิตรนั้น เลือดนั้น ทำให้นางมือสั่นจนห้ามตนเองไม่อยู่ "มี่เอินเจ้าเจองูรึ?" จางเฉินเห็นนางวิ่งมาหน้าตั้งก็คิดว่าเจอสัตว์ร้ายอะไรเข้า เหรินเยว่เทียนที่อยู่แถวนั้นด้วยก็รีบวิ่งมาดูด้วยความเป็นห่วง "โรงน้ำชาชื่อเยว่กวาง [1] ท่านรู้จักหรือไม่?" ดวงตากลมเบิกโตคล้ายมีน้ำตาชั้นบางเคลือบอยู่หนึ่งชั้น ^ (เยว่กวาง แปลว่าแสงจันทร์) เหรินเยว่เทียนมองท่าทางร้อนลนของนางด้วยความแปลกใจ เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นนักบวชหญิงเป็นเช่นนี้ "รู้จัก" จางเฉินก่อนได้มาเป็นทหารในวัง ได้รับมอบหมายลาดตะเวนที่นอกวังอยู่ห้าเดือน เป็นคนที่รู้จักในเมืองหลวงทุกซอกทุกมุม นางถามถูกคนแล้ว "อยู่ที่ใด!?" จูมี่เอินขยับเท้าไปอีกก้าวเร่งให้เขาตอบ "เป็นร้านน้ำชาที่ตั้งอยู่ที่เขตชานเมือง" "รีบเถิด ต้องรีบไป" จูมี่เอินวิ่งหันหลังกลับทันทีไม่ได้บอกว่าอะไรเป็นอะไร นางกลับไปที่ม้าของตน ปีนขึ้นม้าด้วยตนเองทั้งที่ยามปกติต้องมีคนคอยช่วยเพราะตัวนางค่อนข้างตัวเล็ก "นำทางข้าที!" ขึ
แม้การช่วยเหลือท่านหมอและชาวบ้านจะไม่ได้ยากอะไรแต่ก็อยู่ต่างที่ทำให้รู้สึกแปลกไปบ้าง พอมีเหรินเยว่เทียนมาอยู่เป็นเพื่อนพูดคุยด้วยทั้งวันก็ทำให้คล้ายตนเองได้กลับไปอยู่ที่อารามของหมู่บ้านจิ้งสบายใจอย่างหายห่วง "ฮ่องเต้ทรงส่งเจ้ามาช่วยปัดเป่าวิญญาณอย่างนั้นหรือ" เหรินเยว่เทียนหาบน้ำเข้ามาในห้องครัวสองถัง เขาวางมันลงแล้วยกแขนเสื้อเช็ดเหงื่อ คราบคุณชายเจ้าสำราญถูกปัดทิ้งไปจากสายตาของจูมี่เอินแล้ว "..." จูมี่เอินพยักหน้าไป เป็นการโกหกที่นางไม่ชินเอาเสียเลย "แต่ดีที่ยังไม่มีผู้เสียชีวิต" จูมี่เอินยกยิ้มขึ้น เดินไปหาเขาแล้วตักน้ำไปเติมในข้าวต้มที่ต้มไว้อยู่ในกระทะใหญ่ ภายในห้องครัวที่มีเพียงคนสองคน กับไปความร้อนที่พวยพุ่งออกมาจากอาหาร เป็นภาพความทรงจำที่เหรินเยว่เทียนไม่เคยได้พบ ยามได้มองสตรีผู้นี้ทำอาหารก็ดูสงบใจอย่างบอกไม่ถูก การที่นางเป็นนักบวชมันทำให้ความรู้สึกของคนรอบข้างเบาสบายใจเช่นนั้นหรือไม่ "..." เหรินเยว่เทียนมองยังคงมองดูจูมี่เอินทำอาหาร และคิดว่าการช่วยเหลือมาทันได้ยังไง แม้จะดีที่ราษฎรในหมู่บ้านยังไม่มีใครเสียชีวิตจากโรคท้องร่วง แต่การส่งเสบียงมาได้ไวเช่