"เพคะ หม่อมฉันเข้า..." จูมี่เอินนิ่งไป เมื่อนางคิดทบทวนเรื่องเวลาอีกครั้ง และอีกเรื่องที่เหมือนจะยังไม่ได้บอกฮ่องเต้ออกไป "ฝ่าบาท!" นางคว้าแขนเขาแน่นสีหน้าตื่นเต้นดีใจ นางจับเหรินโยว่หลุนเขย่าไปมาหลายที "จูมี่เอิ่นสงบสติลงก่อน" เหรินโยว่หลุนไหนเลยจะเคยโดนเขย่าเช่นนี้ แต่ได้เห็นท่าทางแบบนั้นของนางแล้วเขาก็อดที่จะยิ้มตามไม่ได้ แถมนางก็ดูตื่นเต้นจนไม่ทันสังเกตว่าเขาเรียกชื่อนางโดยตรง เพราะปกติมักจะเรียกนางว่า 'ท่านนักบวชจูมี่เอิน' มาตลอด จนกระทั่งวันนี้ที่ได้รู้ความลับเรื่องนั้นของนางเข้า "เออ...ขอ ขอประทานอภัยเพคะ" จูมี่เอินกระพริบตาถี่เพิ่งจะรู้ตัวว่าทำอะไรลงไป ยามนั้นก็ปล่อยมือจากแขนของฮองเต้ แต่มือใหญ่ของเขาก็คว้ามือของนางไว้ก่อนที่นางจะได้เอาออก แต่เขาก็คว้าไว้ได้เพียงข้างเดียว อีกข้างนางก็ลดมือลงมาข้างตัวแล้ว "มีอะไรให้ดีใจขนาดนั้น" เขารีบถามนางก่อนนางลืม และเมื่อครู่ที่บอกให้นางสงบสติลงไม่ใช่ว่าเขาอยากให้นางเอามืออกจากตนเสียหน่อย ยามนี้เขาเลยได้กุมมือนางไว้ข้างหนึ่งติดกับแขนของเขาไว้ "ในนิมิตรเมื่อเสบียงไปถึงห้าคนนั้นเพิ่งเสียไปก่อนหน้านั้นเพียงหนึ่งวันเพค
เหรินโยว่หลุนไม่รู้สึกเจ็บเลยสักนิดที่โดนจูมี่เอินล้มลงมาทับเช่นนี้ เขาจงใจด้วยซ้ำไป มือใหญ่โอวเข้าที่เอวบางถือโอกาสตักตวงผลประโยชน์ยามที่นางไม่รู้ตัว เขายกยิ้มขึ้นอย่างชอบใจ คนที่เคยมีสีหน้าแบบเดียวยามนี้กลับเปลี่ยนไปเมื่ออยู่ต่อหน้าหญิงสาวที่ตนตามหามานาน ดวงตาคมยังคงจ้องมองใบหน้าครึ่งซีกของจูมี่เอินที่หันไปทางที่ซึ่งตนจากมา "ใครกัน!" เสียงของบุรุษผู้นั้นดังขึ้นอีกครั้ง "ออกมานะ...ไม่มีหรอกรึ?นั้นสินะทหารยามเฝ้าคงไม่มีคนแปลกหน้าหรอก" ประโยคหลังคล้ายพึมพำกับตนเองเบาๆ จูมี่เอินจำได้ว่าเป็นท่านนักบวชหลวงฉือเจา นางได้ยินเสียงเขาอยู่ไม่ไกลจากตนเท่าไหร่ แม้ตลอดชีวิตที่ผ่านมาต้องคอยหลบซ่อนมาตลอดแต่ครานี้ก็อดที่จะตื่นเต้นไม่ได้อยู่ดี หัวใจดวงน้อยเต้นไม่เป็นจังหวะ ด้านเหรินโยว่หลุนก็หลุดอมยิ้มออกมา เขาได้ยินเสียงหัวใจของนางอย่างชัดเจน จังหวะนั้นมือใหญ่เลื่อนลงไปอีกนิดสัมผัสได้ถึงสะโพกช่วงแรกของนางที่ค่อนข้างมีน้ำมีนวล ตัวของนางนุ่มมาก แม้นางจะคล้ายเด็กที่ไม่โตเต็มวัยตามช่วยอายุของตน แต่กลับมีส่วนเว้าส่วนโค้งที่ทำให้บุรุษต่างก็ต้องหลงไหลเมื่อได้สัมผัส เหรินโยว่หลุ
"ท่านป่วยหรือ?" พรืดดด เหรินโยว่หลุนถึงกลับหลุดหัวเราะ เขาพยายามจะกลั้นเสียงไว้เพี่อไม่ให้บุรุษผู้นั้นกลับมา ทั้งขำและถอดถอนใจอยู่ในคราเดียวกัน ฮ่องเต้ทรงพระสรวล? จูมี่เอินแปลกใจแต่นางก็ไม่ได้กล่าวอันใดออกไป หากทักท้วงไปเขาจะอาจจะมีท่าทีขึงขังขึ้นมาก็ได้ นางเลือกที่จะเงียบไว้ดีกว่า ทำเพียงขยับตัวลงมานั่งที่ข้างตัวเขาอย่างระมัดระวัง เหรินโยว่หลุนเองก็พอใจมากแล้วจึงยอมปล่อยนางลงจากตัวไป จากนั้นจึงเท้าแขนลุกขึ้นนั่งโดยมีมือเล็กของคนข้างตัวช่วยประคอง "เข้านอนเถิด พรุ่งนี้เจ้ายังมีเรื่องที่ต้องทำ" เขาไม่รีบ ยังมีเวลาอีกมากที่จะทำตามที่ตนเองวางแผนไว้ ถึงเหรินโยว่หลุนจะบอกตนเองเช่นนั้นแต่สายตากลับจ้องมองนางตลอด มองดูนางยืนขึ้นก่อน มองดูนางช่วยพยุงเขาตัวยืนขึ้น มองดูนางยกมือขึ้นมาร่ำลาเขา มองดูนางจากไป ใช้สายตาส่งนางจนสุดทาง จูมี่เอินนั้นก็ซื่อบื้อเหนือใครเปรียบ นางก้มหน้าตลอดเวลาไม่รู้ว่ากำลังถูกมอง เมื่ออีกฝ่ายให้ไปนอนนางก็ไปทันที หากหันกลับมามองคนด้านหลังสักนิด บางทีอาจจะรู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติไปจากเดิม เหรินโยว่หลุนยกมือทาบที่หน้าอกของตน ยังรู้สึกได
สามวันต่อมา ขบวนเสบียงช่วยเหลือมาถึงหมู่บ้านแล้ว เจียงหลี่เฉียงหมอที่ทำการส่งจดหมายของความช่วยเหลือเมื่อได้ทราบข่าวก็รีบวิ่งออกมาทันที่ มองเห็นขบวนรถขนของเรียงรายยาวสุดลูกหูลูกตาที่หน้าหมู่บ้าน ด้านหน้าสุดยังมีคนบนม้าอีกสิบกว่าคนคล้ายผู้คุ้มกัน "ท่านหมอ" เสียงของผู้นำขบวนเอ่ยขึ้น น้ำเสียงใสก้องกังวาลไพเราะเอ่ยเรียกฝั่งตรงข้ามคล้ายสนิทสนม คล้ายคนที่รู้จักมานาน และเหมือนคนกำลังจะร้องไห้อยู่กลายๆ "ท่านคือ?" เจียงหลี่เฉียงไม่ทราบว่าคนในชุดคลุมสีน้ำเงินคือผู้ใคร รู้เพียงว่าเป็นสตรีนางหนึ่งที่มีน้ำเสียงก้องกังวาลบางเบาคล้ายระขังที่ดังจากไกลๆ เป็นเสียงที่ฟังได้ชัดแต่ไม่หนวกหูเลยสักนิด คราแรกที่ได้ยินว่าทางการส่งสมุมไพรตามที่ได้ขอไปมาให้รวมทั้งน้ำและอาหารเขาแทบไม่อยากเชื่อหูตัวเอง คิดว่าตนเองแก่จนหูตึงไปเสียแล้ว เพียงแค่หกวันหลังจากจดหมายส่งไปของก็ถูกส่งมายังหมู่บ้าน เป็นเรื่องที่ยากจะเชื่อได้จริงๆเพราะสมุนไพรนั้นไม่ใช่แค่หยิบมือ หากแต่ต้องการเป็นจำนวนมาก การจะหาได้ในเวลาอันสั้นไหนจะเรื่องขนส่งอีก ใช้เวลาเพียงแค่หกวันดูเหมือนจะเกินจริงไปบ้าง แต่ยามนี้เล่า เมื่อได
..... ช่วงหัวค่ำในวันนั้นเหรินโยว่หลุนหลังจากสั่งการและดูความเรียบร้อยในการปลอมรถส่งเสบียงเสร็จก็นึกถึงใบหน้าของจูมี่เอินตอนที่เขาปฎิเสธออกไป ใบหน้านั้นดูเศร้าหมองจนคนมองรู้สึกผิดที่ไม่อาจทำตามที่นางขอได้ ก็เขาไม่อยากให้นางเดินทางไปนอกวัง ไม่อยากให้นางไปไกลจากสายตา กว่าจะหานางพบนางกลับคิดจะหนีจากเขาให้ได้ จะให้วางใจได้ยังไง และก็ไม่รู้ว่าการไปรอบนี้ของนางเป็นแผนที่คิดจะออกจากวังเพื่อหนีไปจากเขาอีกรึไม่ แต่ท่าทางเศร้าสร้อยของนางนั้นกลับทำให้เขาไม่สบายใจยิ่งนัก เรื่องโรคระบาดครั้งนี้เขาไม่สามารถเดินทางไปที่หมู่บ้านที่ติดโรคได้ด้วยตนเอง เพราะพิธีกรรมขอฝนที่ผ่านมาเขาใช้เวลาอยู่นอกวันเกือบสิบสี่วัน งานที่ต้องรีบจัดการยังคงค้างคามีกองเป็นภูเขา ไม่อาจทิ้งทั้งแคว้นไปยังหมู่บ้านเดียวได้ ทำได้แต่เพียงส่งคนออกไปและรอผลอยู่ในวังหลวงเท่านั้น นั่งคิดทบทวนอยู่สักพักในห้องทรงอักษร 'หม่อมฉันไม่ได้จะไปจากวังหลวงเพคะ' นางบอกว่านางไม่คิดจะจากวังไปเขาจะลองเชื่อนางได้รึไม่ เหรินโยว่หลุนตัดสินใจเด็ดขาด ยอมส่งนางออกไปพร้อมขบวนรอบสอง! พอตัดสินใจได้แล้วเขาก็คิดจะไปบอกนาง
วันที่สี่ของการเคลื่อนขบวน เวลาปัจจุบัน จูมี่เอินมาถึงก็สงสารท่านหมอจับใจ มีเพียงหมอท่านนี้เพียงคนเดียวที่ช่วยดูแลคนทั้งหมู่บ้านที่มีมากกว่าพันคน หมอคนอื่นเมื่อรู้ถึงเรื่องของโรคระบาดก็ต่างพากันหนีออกไปทันที เพราะรู้ว่านี่เป็นเรื่องที่เกินกว่ากำลังของหมอไม่กี่คนจะทำได้ ยามมาถึงจูมี่เอินซึ้งในน้ำใจของหมอท่านนี้มาก นางถึงได้มีน้ำเสียงที่สั่นเครือยามเอ่ยทักเขาออกไป นางไม่ลืมที่จะแหงนหน้ามองป้ายชื่อหมู่บ้านที่เก่าทรุดโทรมแต่พอจะอ่านออก เพื่อให้เป็นไปแบบในนิมิตรของตนเมื่อคืนนั้นที่ฮ่องเต้ทรงตัดสินใจให้นางร่วมเดินทางมาในครั้งนี้ ซึ่งปัจจุบันตอนนี้ที่นางมองป้าย ส่งผลไปยังอดีตที่ผ่านมาให้นางมองเห็นป้ายชื่อของหมู่บ้านตามที่นางได้คาดการณ์ไว้ ใช่ นางรู้ว่าเป็นนางที่มองป้ายหมู่บ้านแห่งนี้ผ่านดวงตาของนางเอง เป็นอีกครั้งที่ได้เห็นตนอยู่ในนิมิตร ทุกคราที่คิดถึงความเชื่อใจที่เขามีให้แล้วก็อบอุ่นหัวใจ นอกจากบิดามารดา อาจารย์และศิษย์พี่ ก็มีเขาเพิ่มขึ้นมาอีกคนที่เชื่อใจนาง และเขาก็เป็นคนที่ส่งผลกับนิมิตรของนางที่สุด ทำให้นางมองเห็นแสงสว่างแห่งความหวังขึ้นมา หลังจากที่เสียอาจารย์ไปแล
เจียงหลี่เฉียงเห็นร่างบางในชุดคลุมสีน้ำเงินสั่งคนดูแลรถสมุนไพรให้เอารถไปที่โรงหมอก็นึกแปลกใจขึ้นมามากกว่าเดิม เขาได้ยินอย่างชัดเจนว่านางบอกตำแหน่งที่ตั้งของโรงหมอของเขากับคนดูแลรถขนเสบียงว่าตั้งอยู่ส่วนไหนของหมู่บ้าน นางรู้ที่ตั้งของโรงหมอของเขาได้เช่นไร นึกไปนึกมาอีกครา ตนยังไม่ได้บอกนามออกไปเลยนะ หรือนางเห็นจดหมายลงชื่อเขาไว้งั้นหรือ? หรือเป็นไปได้ว่านางเป็นคนของหมู่บ้านนี้ ถึงได้รู้ทั้งชื่อและรู้ถึงที่ตั้งโรงหมอของเขา เมื่อครู่ยังรู้ด้วยว่าข้อเข่าของเขาไม่ค่อยดี เขาเดินทรงตัวไม่ดีหรือนางจึงสังเกตได้ เรื่องมากมายที่ไม่เข้าใจและไม่สามารถอธิบายได้พรั่งพรูเข้ามาในหัว พินิจมองดูนางอีกหลายครา เขาอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้มาร่วมยี่สิบปีแล้ว เหมือนจะไม่เคยเห็นนางมาก่อน ผิวพรรณของนางก็ไม่เหมือนชาวบ้านที่หมู่บ้านนี้ด้วย เพราะที่นี่ปลูกข้าวทำสวนทำไร่กันเสียส่วนใหญ่ผิวค่อนข้างที่จะโดนแดดไหม้จนเข้มกว่านางหลายส่วน พอสตรีผู้นั้นสั่งการเสร็จก็เดินมาหาเขาอีกรอบ ในดวงตาที่มองเขานั้นเหมือนมองผู้มีพระคุณนั้นคืออะไรกัน เขามองผิดหรือไม่ "แม่นาง เออออ ท่านจูมี่เอิน เป็นครั้งแรกที่เห็นสตรี
ทำไมนะทำไมนางไม่เอาความฉลาดด้านนี้มาใช้กับชีวิตรอบตัวนางบ้าง แต่ก็ดี หากนางไม่ซื่อบื้อเขาเองก็โดนคนอื่นแย่งตัวนางไปนานแล้ว เหรินโยว่หลุนเงยหน้ามองฟางอี้ นี่ก็ซื้อบื้ออีกคน ฉลาดคิดฉลาดวางแผน เหรินโยว่หลุนถึงได้เลือกเขาเป็นมือขวาของตน แต่หากพูดถึงเรื่องความรักของหนุ่มสาวแล้วนั้น เรียกว่าพอๆ กับจูมี่เอินเลยทีเดียว เหรินโยว่หลุนยกมือไล่ฟางอี้ออกไป เมื่อองครักษ์ส่วนพระองค์จากไปแล้วเขาก็ลุกขึ้นเดินไปมองที่หน้าต่าง ทอดสายตามองดวงจันทร์ที่แขวนอยู่บนนภา เห็นดวงจันทร์แล้วทำให้นึกถึงใบหน้าของจูมี่เอินขึ้นมา 'นี่แค่สี่วันเอง' เหรินโยว่หลุนคิดในใจ นางจากไปแค่นี้ยังคิดถึงเสียแล้ว ครั้นเลยพาลไปให้นึกถึงตอนที่คิดจะพานางมาที่วังหลวง เพียงเพราะตามหานางมานานแค่คิดว่าอยากตอบแทนอะไรนางบ้างที่นางได้ช่วยชีวิตเขาไว้ พอเห็นอารามถูกเผาเขาก็เลยเชิญนางมาที่วังและอยากรู้ว่าสิ่งที่เขาคาดการณ์ว่านางสามารถเห็นอนาคตได้นั้นมันจริงหรือไม่ พอพิสูจน์ได้แล้วว่าจริง แต่ตอนนี้กลับไม่สามารถให้นางจากไปได้ รู้ตัวอีกทีความคิดที่อยากตอบแทนนางก็เปลี่ยนไปแล้ว ความต้องการในตัวนางกลับชัดเจนขึ้นแทนที่ ก้มมองม
วันสถาปนา กัวเจียงมิ่งยืนอยู่รวมกับผู้คนสองฟากฝั่งของทางเดินในงานพิธี ดวงตาคู่คมมองสตรีตัวเล็กที่แต่งชุดเต็มยศ บนหัวเล็กๆ นั้นประดับไปด้วยเครื่องหัวหลากชิ้น ท่าทางการเดินที่มั่งคง ใบหน้าที่เรียบนิ่งแต่เป็นมิตร อาภรณ์สีแดงสดที่นางสวมคือลายหงษ์ปักด้วยด้ายทอง พอเห็นลูกศิษย์ใส่ชุดนี้แล้วก็นึกถึงวันแรกที่เจอกัน ยามนั้นเด็กน้อยก็สวมชุดสีแดงอยู่บนหลังของอาชาตัวใหญ่ คนตัวเล็กควบม้ามาหานางที่ลอยน้ำมาติดอยู่ข้างทาง กระโดดลงจากม้าด้วยความคล่องแคล่ว ออกแรงลากนางให้ห่างจากแม่น้ำที่ไหลเชี่ยว "แม่นาง แม่นางทำใจดีๆ ไว้ ข้าจะช่วยท่านเอง" นั่นคือคำที่จูมี่เอินกล่าวกับนางในครั้งแรกที่เจอกัน กัวเจียงมิ่งคิดว่าตนจะตายอยู่ที่นั่นเสียแล้ว นางได้รับบาดเจ็บมีแผลหลายแห่งแล้วพลัดตกน้ำมาไกล อีกทั้งที่ซึ่งนางพยายามตะเกียกตะกายขึ้นมาจากแม่น้ำนั้นก็ห่างไกลไร้ผู้คน แถมทางด้านหน้าที่สตรีชุดแดงควบม้าผ่านมายังมีต้นไม้และหญ้าหนาทึบ ต่อให้มีคนผ่านมาก็ไม่น่ามองเห็นนาง ทว่าสตรีตัวเล็กผู้นี้มาจากไหนไม่รู้ ราวกับตั้งใจมาหานางโดยเฉพาะ คนตัวเล็กสั่งม้าให้นั่งลงแล้วยกนางที่ตัวใหญ่กว่าให้ขึ้นไ
"เพราะนางคือหัตถ์เซียน นามเดิมของอาจารย์คือกู่เฟยเซียน" จูมี่เอินได้รู้ความลับนี้ผ่านการมองเห็นของนางในช่วงจังหวะหนึ่งหลังจากที่ใช้ชีวิตอยู่กับอาจารย์มาสักพักแล้ว หลอมรวมกับที่เคยสังเกตการณ์ดูก็พบว่ากัวเจียงมิ่งนั้นสามารถทำให้คนเจ็บหายป่วยได้ในเร็ววันกว่าที่ตำราบอกไว้มากนัก "ตอนเด็กข้าเคยอ่านเจอเกี่ยวกับคนที่มีพลังวิเศษเหนือคนทั่วไป นั่นเป็นครั้งแรกที่ข้าได้สัมผัสความรู้สึกดีอย่างหนึ่งว่าตนเองไม่ใช่คนที่แตกต่างจากคนอื่น ยังมีอีกหลายคนที่คล้ายกันกับข้า คราแรกที่ได้อ่านข้าสะดุดชื่อของนางและความสามารถของนางเป็นที่สุด ตอนที่ได้เจอกันข้ายังไม่รู้ว่านางคือคนที่ข้าเคยอ่านเจอในตำรา แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งในนิมิตร ข้าเห็นคนเจ็บและคนผู้นั้นไม่รอด ข้าพยายามเปลี่ยนนิมิตร ต่อมาจึงเกิดนิมิตรใหม่ขึ้น ในนิมิตรที่สองข้าไปช่วยคนเจ็บไว้แล้วพามาให้นางรักษา คนที่ไม่น่ารอดก็สามารถรอดได้อย่างปาฏิหาริย์ แต่เรื่องเหล่านั้นก็ไม่ได้เกิดขึ้นจริง เพราะข้าหาของไปขวางทางไว้ก่อนที่คนผู้นั้นจะเดินทางผ่านถนนเส้นหนึ่งซึ่งจะมีต้นไม้โค่นลงมาใส่เขา ภายหลังพอจับสังเกตดูและแน่ใจแล้วก็ลองถามท่านอาจารย์ออกไป นางก็เลยเล่
...... วันต่อมาก็ได้เวลาเดินทางกลับวังหลวง รอบนี้มีอาจารย์และโม่โฉวติดตามกลับไปร่วมงานสถาปนาด้วย นอกเหนือจากนั้นแล้วยังมีคนเจ็บอีกคนที่ต้องพาเขากลับไปส่งบ้าน ซึ่งเป็นทางผ่านพอดี ที่รถม้าคันหน้า "กัวเจียงมิ่งท่านมายืนทำอะไรหน้ารถม้าผู้อื่น" เหรินโย่วหลุนเอามือพ่ายหลัง หันมองไปที่อื่น แสดงท่าทางวางอำนาจเต็มที่ แผ่รังสีความเป็นฮ่องเต้ที่มีมาแต่กำเนิดออกไปโดยรอบเพื่อกดดันสตรีชุดฟ้าหน้าไม่อายข้างกาย "สตรีก็ต้องนั่งไปกับสตรีด้วยกันสิ นู้น บุรุษไปขึ้นคันหลัง" กัวเจียงมิ่งเลียนแบบท่าทางเหรินโย่วหลุน นางหมุนตัวเอาหลังหันให้รถม้า ยืนเคียงข้างคนตัวสูงที่สูงเกือบเท่ากันแถมมือพ่ายหลังและหันหน้าไปทางเดียวกัน "สตรีหรือ? ท่านเหมือนสตรีตรงไหนกัน" รถม้าคันหลังนั้นมีคนเจ็บขึ้นไปก่อนแล้วและมีโม่โฉวเป็นคนคุมม้า ความจริงเขาก็ไม่ติดอะไรแม้รถม้าเก่ามากและจะต้องนั่งไปกับราษฎรของตนเอง แต่ที่นั่นไม่มีทั้งภรรยาไม่มีทั้งบุตรชาย เขาจึงไม่อยากไปนั่ง เขาห่างจากภรรยามาถึงสองปีแล้ว ได้อยู่ด้วยกันทั้งวันก็ยังคิดว่ายังไม่พออยู่ดี ยามนี้ยังต้องมานั่งแยกกันอีกเกือบสามวัน ยังไงเขาก็ไม่ยอม "เห
"เดี๋ยว! ท่านจะทำอันใด?" จูมี่เอินรีบเอาตัวไปยืนขวางโม่โฉวไว้ "เจ้าปกป้องเขา?" เหรินโย่วหลุนแทบไม่อยากเชื่อ "อย่าบอกนะว่าเขาเป็นพ่อของเด็กคนนั้น" ทั้งที่ได้ยินเต็มสองหูแล้ว แต่เขาก็ยังอยากจะถามย้ำให้แน่ใจอีกรอบ "ใช่...อย่า!" จูมี่เอินเห็นเหรินโย่วหลุนยกมือสั่งฟางอี้ให้เข้ามาทางโม่โฉวนางก็รีบเบี่ยงตัวปิดคนด้านหลังไว้มากกว่าเดิม "เขาเป็นพ่อบุญธรรม เป็นพ่อบุญธรรม!" ก่อนจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นนางรีบพูดต่อให้จบประโยค เพราะไม่คิดว่าก่อนหน้านี้เขาจะไม่เข้าใจจริงๆ ตอนนั้นฟางอี้ก็หยุดเท้าลงพอดี พร้อมกับเก็บมีดลับที่ดึงออกมาจากไหนไม่รู้กลับไป เพราะการเดินทางฮองเฮาบอกไม่ให้สะดุดตา จึงต้องเก็บดาบที่ใช้ประจำไว้ในรถม้า แต่เขาเป็นองครักษ์ส่วนพระองค์ย่อมไม่อาจปล่อยปะละเลยความปลอดภัยของฮ่องเต้ได้ จึงได้พกมีดสั้นที่ยาวจนถึงข้อศอกซ่อนไว้ในกายด้วย "?!" เหรินโย่วหลุนเลิกคิ้วขึ้นสูง ตอนที่ได้ยินจูมี่เอินบอกว่านั่นเป็นลูกนางเขาก็คาดเดาไปหลายอย่าง คิดว่าอาจเป็นลูกของเขาแต่เพราะท่าทางที่สนิทสนมของภรรยากับคนผู้นั้นดูไม่ปกติ แถมเด็กน้อยก็เรียกคนด้านหลังว่าท่านพ่อ แล้วภรรยาก็ดันมาบอกอีกว่
....... "เจ้าอยู่ที่นี่มาตลอดหรือ" "ใช่แล้ว" จูมี่เอินยกกาชามาวางที่โต๊ะน้ำชา นั่งลงแล้วรินชาให้สามีก่อนจะรินให้ตัวเองทีหลัง "นี่ก็เป็นชาที่ข้าดื่มตลอดสองปีเช่นกัน ไม่หอมมาก หากแต่เมื่อลองได้จิบทีละนิดและมองออกไปที่ป่าไผ่ ต่อจากนั้นค่อยๆ หลับตาฟังเสียงลมที่กระทบผ่านไป ก็พอที่จะทำให้ชารสชาติธรรมดาเช่นนี้พิเศษขึ้นมามากกว่าเดิม ชนิดที่ว่าต่อให้หาที่ไหนก็หาไม่ได้อีกแล้ว" จูมี่เอินยกจอกชาขึ้นมาจิบทำท่าหลับตาพลางพูดอธิบายไปด้วย "..." เหรินโย่วหลุนก็ลองทำตาม จิบชามองป่าไผ่ หลับตาและฟังเสียงลมที่กระทบกับใบของต้นไผ่ "สงบยิ่งนัก" แถมยังได้กลิ่นของธรรมชาติที่สดชื่นลอยมาตามลมด้วย จูมี่เอินเองสองปีกว่าที่ผ่านมา ทุกครั้งที่มีเวลาว่างมานั่งจิบชาและได้ใช้เวลาอยู่กับตนเอง เมื่อจิบชาไปด้วยแล้วได้มองป่าไผ่ ทั้งที่ทำให้รู้สึกสบายใจแต่กลับทำให้นางนึกถึงสามีทุกครั้ง หลังจากที่มานั่งจิบชาคนเดียวทีไรต่อมานางก็จะต้องหาอะไรทำเพื่อไม่ให้ตัวเองได้มีเวลาคิดถึงเขาอีก ช่างเป็นช่วงเวลาที่สงบสุขแต่ก็เศร้าใจในคราเดียว "เสียดายที่ไม่มีท่านอยู่ที่นี่" จูมี่เอินเอ่ยความรู้สึกออกมาจากใจจริง ลืมตาข
....... การเดินทางด้วยรถม้าเพื่อมาที่หมู่บ้านตงนั้นใช้เวลาเกือบสามวันเพราะมีแวะพักบ้าง ไม่เหมือนกับตอนแรกที่เหรินโย่วหลุนเร่งเดินทางอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อแบกภรรยากลับวังในตอนนั้น แต่ก็ใช้เวลาไม่นานเกินที่คาดการณ์ไว้พวกเขาก็มาถึง หน้าโรงหมอกัว หมู่บ้านตง "แปลกจัง..." จูมี่เอินที่ถูกเหรินโย่วหลุนประคองลงรถม้ามาก็มองไปที่รั้วไม้ไผ่ของโรงหมอซึ่งถูกเปิดแง้มไว้ "มีอะไรผิดปกติหรือ?" เหรินโย่วหลุนถามพลางยกมือขึ้นในระดับหัว เตรียมจะส่งสัญญาณให้องครักษ์เงาของตนที่แอบอยู่รอบตัวบุกเข้าไปด้านใน "เดี๋ยว!" ดีที่จูมี่เอินสังเกตทัน รีบยกมือดึงแขนของเขาลงทันที พอห้ามคนสั่งการได้แล้วนางก็ผ่อนลมหายใจออกมาแผ่วเบา เกือบเป็นเรื่องไปเสียแล้ว "ข้าแค่แปลกใจเล็กน้อย อาจารย์ปกติมักจะเอาแต่นั่งดื่มชามองต้นไผ่อยู่ที่โต๊ะน้ำชาตรงนั้นและไม่ค่อยเปิดรั้วทิ้งไว้ แต่บางทีนางอาจไปพักด้านในแล้วก็ได้" "อ่อ..." เหรินโย่วหลุนลากเสียงยาว ที่แท้นอกจากปากเสียแล้วก็ไม่ทำอะไรนอกจากจิบชาสินะ เป็นคนที่ขี้เกียจเสียจริง จูมี่เอินเปิดประตูเข้าไปด้วยความเคยชินและออกตัวเดินนำไปก่อน เมื่อได้กลับมา
....... รถม้าเดินทางออกจากวังแล้ว จูมี่เอินเลือกรถม้าที่ดูธรรมดาที่สุดแต่ก็ยังถือว่าค่อนข้างเตะตาไม่น้อย การเดินทางรอบนี้มีเพียงฟางอี้ที่เป็นคนขับรถม้าตามมาด้วยเท่านั้น เพราะจูมี่เอินไม่อยากให้สะดุดตา แต่นางก็รู้ว่าสามีได้เตรียมองครักษ์เงาให้ตามอยู่ห่างๆ แล้ว "ข้างนอกคึกคักยิ่งนัก" จูมี่เอินเลิกม่านมองดูเมืองหลวงที่ตนไม่ได้กลับมานานถึงสองปี ตื่นเต้นจนถึงขั้นเกาะขอบหน้าต่างดูเหมือนเด็กน้อยที่ไม่เคยออกจากบ้าน "อดีตผู้สำเร็จราชการแทนทำงานได้ดี" เหรินโย่วหลุนยามนี้ใส่ชุดสีเขียวอ่อนกำลังนั่งกอดอกพิงพนักที่นั่งและมองดูด้านนอกรถม้าเช่นกัน ตอนนี้คือยามอู่[1] ผู้คนเลยสัญจรไปมาค่อนข้างมาก ของขายข้างทางก็มีไม่น้อย เหรินโย่วหลุนเองก็รู้สึกแปลกตาเช่นกัน แต่ก็รักษาท่าทีสุขุมไว้ ([1] ยามอู่ 11.00 น. -12.59 น.) "..." จูมี่เอินนิ่งไปสักพักเมื่อเห็นสตรีงดงามผู้หนึ่งเดินเคียงมากับบุรุษที่เหมือนจะคุ้นหน้าก็ขมวดคิ้วมอง "อาหลุน คนนั้นไม่ใช่...ฟู่เจาหยางกระมัง" "..."เหรินโย่วหลุนทันทีที่ได้ยินชื่อบุรุษอื่นออกจากปากของภรรยาก็หรี่ตาลงด้วยความไม่สบอารมณ์ ขยับเอนตัวไปมองผ่านศีรษะขอ
ตอนพิเศษ 1 หนึ่งอาทิตย์ผ่านไป เหรินโย่วหลุนเห็นถิงถิงวิ่งเข้ามาขอเข้าเฝ้าหน้าตื่นก็ลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมา ด้วยวางใจว่าตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมา ภรรยาดูท่าตกลงปลงใจจะอยู่กับเขาไม่หนีไปไหนอีก เขาจึงกลับมาทำงานดังเดิม แต่ท่าทางของถิงถิงก็ทำกังวลขึ้นมา เหรินโย่วหลุนไม่แม้แต่จะรอเรื่องที่ถิงถิงได้รายงานก็รีบวิ่งออกจากห้องทรงงานของตนไปแล้ว เป็นดังคาด เมื่อเข้ามาถึงที่ห้องก็พบว่าภรรยากำลังเก็บเสื้อผ้าอยู่ "มี่เอิน เจ้าจะไปไหน!!!" เหรินโย่วหลุนตะโกนลั่นตำหนัก ดังไปไกลหลายจั้ง[1] ทำเอาคนที่กำลังหันหลังจัดห่อผ้าอยู่สะดุ้งเฮือก "อาหลุน..." คนตัวเล็กหันมาเรียกหาเขาเสียงเบา ตอนแรกยังยกยิ้มตาหยีส่งไปเพื่อระงับโทสะของอีกฝ่าย หากแต่เมื่อเห็นสามีเดินหน้าตั้งเข้ามาหาด้วยใบหน้าโกรธขึงนางก็หุบยิ้มลง หมุนกายรีบปีนหนีขึ้นเตียงไป ด้วยความตัวเล็กท่าทางตอนหนีเลยดูเหมือนกระต่ายน้อยกำลังกระโดดไปมา "ท่าน ท่าน! ใจเย็นก่อน" นางร้องเสียงหลง ไต่ตัวเข้าไปด้านในสุดของเตียง แต่พบว่าตนเองตัดสินใจผิดเสียแล้ว นอกจากทางที่เพิ่งขึ้นมาเมื่อครู่ รอบด้านก็ไม่มีทางให้หลบหนีอีก "จะหนีไปไหนอีก" เ
จูมี่เอินยืนนิ่ง จ้องมองบานประตูตำหนักของเหรินเยว่เทียนเพราะเพิ่งโดนไล่ออกมา ก่อนจะหันมองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังของตน เอาเถอะ แม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังโดนไล่ออกมา นางเองก็ควรปล่อยให้เหรินเยว่เทียนได้พักผ่อน จูมี่เอินจึงคิดจะกลับตำหนักของตนเอง "จะไปที่ใด?" เหรินโย่วหลุนเพียงแค่เห็นภรรยาขยับกายก็เอ่ยปากถามอีกรอบ วันนี้เขาพูดประโยคนี้ไปกี่ครั้งแล้วก็ไม่อาจนับได้ครบ "กลับตำหนัก" ความจริงแล้วเหรินโย่วหลุนไม่น่าถาม ที่ที่จูมี่เอินจะไปก็มีแค่ตำหนักของตนเองเท่านั้น หรือในตอนนี้ก็คือตำหนักบรรทมของฮ่องเต้นั่นเอง เพราะเขาไม่ยอมให้นางย้ายไปอยู่ที่ตำหนักในวังหลังเหมือนเมื่อก่อน กฏวังหลังถูกเขาเมินไปเสียแล้ว ครั้นพอได้นึกถึงก็คิดว่าที่แห่งนั้นยามนี้ต่อให้ไม่เหมือนในนิมิตรที่ถูกรื้อจนไม่เหลือเค้าเดิม แต่ก็คงเงียบเหงาไม่ต่างกัน พอคนตัวเล็กเดินนำ เหรินโย่วหลุนก็เดินตาม "..." ระหว่างทางเขาก็มองท้องฟ้า ยังไม่มืด หันมองภรรยาที่ร่างกายยังไม่หายดีจากรอยช้ำที่เขาทำไว้ก็ได้แต่ถอนหายใจเบาๆ หากรู้ว่าเรื่องจะมาถึงยามที่เขาและนางสามารถกลับมาอยู่ด้วยกันได้ปกติโดยที่นางไม่คิดหนีไปอีก หลายวันที่