หลังจากสองนายบ่าวนั่งกินอาหารกันที่โต๊ะไม้ตัวเก่าคร่ำคร่าที่อยู่ในห้องโถงหน้าเรือนเล็ก ที่อาหารในจานนั้นมีเพียงผัดผักเย็นชืด เต้าหู้ผัดไข่ และผักกาดดองจนท้องอิ่มแล้ว นางก็ยกถาดไม้มาเก็บถ้วยชามเพื่อจะนำไปล้างที่โรงครัวใหญ่ที่ต้องเดินไปค่อนข้างไกลพอสมควร
“ ชุ่ยเอ๋อ เจ้าเอาไปล้างที่ครัวเล็กหลังเรือนของเราก็ได้ แล้วเก็บถ้วยชามเอาไว้ใช้ที่เรือนนี้ คราวหลังเราทำกับข้าวกินกันเองบ้างก็ได้ เจ้าก็สำรวจดูเสียว่าเครื่องครัวขาดสิ่งใดบ้าง จดเอาไว้เสีย และทุกอย่างที่จำเป็นจะต้องใช้ก็เดินตรวจสอบดูให้ทั่ว พรุ่งนี้จะได้เข้าไปตลาดไปสั่งซื้อมา ”
ชุ่ยเอ๋อหยักหน้าอย่างเห็นด้วย พวกนางมีกันเพียงสองปากสองท้องทำกับข้าวไม่ได้ยากเย็นนัก แถมยังจะได้กินอาหารดีๆมากกว่าที่โรงครัวจัดให้เสียอีก ช่างน่าอนาถยิ่งนัก เป็นถึงฮูหยินแม่ทัพใหญ่กลับได้กินอาหารที่มองดูแย่กว่ากับข้าวบ่าวที่จวนหลิวเสียอีก ชุ่ยเอ๋อครุ่่นคิดขณะที่ยกจานชามไปล้างที่ในครัวหลังเรือน
เช้าวันต่อมาเมื่ออาบน้ำหน้าห้องสุขาหลังเรือนแล้ว โดยการตักจ้วงจากถังน้ำที่ชุ่ยเอ๋อต้มน้ำมาเทผสมให้กลายเป็นน้ำอุ่นและให้คุณหนูของนางตักจ้วงเอาจากในถังน้ำแล้วยืนอาบที่หน้าห้องสุขา เพราะไม่มีถังอาบน้ำใบใหญ่ที่จะใช้แช่ตัวดังเช่นตอนที่อยู่ที่จวนหลิว นับว่าความเป็นอยู่แย่กว่าบุตรสาวอนุในจวนขุนนางเล็กๆเสียอีก แต่อี้ชิงก็ไม่อยากจะคิดมาก ในเมื่อนางยอมแต่งงานกับแม่ทัพโยวแล้วก็จำต้องทนกับเรื่องราวภายในเรือนของเขาให้ได้ แม้นางจะมองว่าแม่สามีปฏิบัติกับนางแย่ยิ่งนัก แต่จะให้ทำอย่างไรได้เล่า ก็พวกเขาไม่ได้อยากจะได้สะใภ้เช่นนางจึงได้ทำกับนางเช่นนี้
หลังจากกินอาหารเช้าแล้วนางกับชุ่ยเอ๋อก็เดินตรงไปที่เรือนของฮูหยินใหญ่ที่ปลูกอยู่ข้างๆ เรือนหลักของแม่ทัพโยว เมื่อเดินเข้าไปในห้องโถงแล้ว ก็พบฮูหยินใหญ่กับหลานสาวที่ชื่อว่าเสี่ยวหลานนั่งจิบน้ำชาอยู่ที่โต๊ะกลมกลางห้อง “ มาก็ดีแล้วข้ามีงานจะให้เจ้าทำ ” ฮูหยินใหญ่หันมาเห็นอี้ชิงก็เอ่ยขึ้นทันที อี้ชิงเดินไปย่อกายทำความเคารพมารดาของสามีอย่างอ่อนช้อยโดยมีเสี่ยวหลานเบ้ปากน้อยๆ ขณะที่จ้องมองอี้ชิง “ ไม่ต้องยกน้ำชาให้กับข้าหรอกนะ หยางเล่อก็ไม่ได้อยู่ที่จวนนี้ หากเขากลับมาข้าจะให้เขาแต่งงานกับเสี่ยวหลานรับนางเป็นฮูหยินอีกคนหนึ่ง " ฮูหยินใหญ่เอ่ยขึ้นอย่างหน้าตาเฉยโดยไม่ได้สนใจว่าอี้ชิงจะรู้สึกเช่นไร ในเมื่อแม่สามีบอกว่าไม่ต้องยกน้ำชานางก็ไม่ยก
“ ในเมื่อเจ้าเข้ามาอยู่ในจวนแม่ทัพนี้ ก็ควรจะต้องช่วยทำงานด้วย ไม่ใช่อยู่เฉยๆปล่อยวันเวลาให้ผ่านไป ข้าจะให้เจ้าช่วยดูแลทำความสะอาดในจวนและเรื่องอาหารการกินในจวนก็ให้เจ้าช่วยจัดการดูแลด้วย ส่วนเรื่องบัญชีรายรับรายจ่ายของจวนข้าจะจัดการดูแลเอง " อี้ชิงจำต้องรับคำโดยไม่รู้ว่าแม่สามีกับเสี่ยวหลานมีแผนการณ์ที่จะบีบคั้นให้นางอยู่ที่จวนแม่ทัพต่อไปไม่ได้และยอมหย่ากับแม่ทัพโยวไปเอง และพวกนางก็จะอ้างกับแม่ทัพหนุ่มว่าอี้ชิงไม่มีความอดทนต่อการดูแลการงานในจวนแม่ทัพเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระของฮูหยินใหญ่
เมื่อออกมาจากเรือนฮูหยินใหญ่แล้ว อี้ชิงก็เดินไปหาพ่อบ้านโยวที่เรือนหลัก “ ข้ามีเรื่องจะถาม เมื่อครู่ข้าไปพบฮูหยินใหญ่นางบอกว่าต้องการให้ข้าช่วยแบ่งเบางานในจวนแม่ทัพให้ช่วยดูแลเรื่องการทำความสะอาดจวนและอาหารการกินในจวนแม่ทัพทั้่งหมด ท่านพอจะแนะนำอะไรข้าบ้างได้หรือไม่ เพราะข้าก็ไม่เคยดูแลจวนใหญ่เช่นนี้มาก่อน “ อี้ชิงถามเขา ถึงงานที่นางต้องทำว่ามีอะไรบ้าง
” งานหลักก็แค่ดูแลควบคุมบ่าวไพร่ที่ทำความสะอาดในจวนและในสวนขอรับ มีอะไรต้องซ่อมแซมก็สั่งให้บ่าวจัดการไป ส่วนเรื่องในครัวก็อาหารการกินต่างๆ ที่ฮูหยินน้อยต้องช่วยดูแลว่าควรจะทำรายการอาหารอะไรบ้าง และคงต้องประหยัดค่าใช้จ่ายของจวนลงยิ่งกว่าเดิมขอรับ เพราะก่อนออกศึกนี้ท่านแม่ทัพใช้เงินของจวนไปหาซื้อเสบียงของทหารเป็นจำนวนมากเพื่อนำติดตัวไปด้วย ทำให้ตอนนี้เงินทองของจวนเหลือน้อยมากคงจะต้องประหยัดการใช้จ่ายลงอีกขอรับ ส่วนเรื่องในครัวต้องไปพบหัวหน้าคนครัวขอรับเพื่อถามรายละเอียดกับเขา "
อี้ชิงนิ่งงันไป แม่สามีของนางต้องการให้ดูแลเรื่องอาหารการกินและการทำความสะอาดในจวนแต่ไม่ได้ให้นางดูแลบัญชีรายรับรายจ่ายอย่างนั้นหรือ นางเดินย้อนกลับไปที่เรือนของแม่สามีอีกครั้งเพื่อสอบถามเรื่องนี้ ทั้งสองป้าหลานจ้องมองอี้ชิงอย่างแปลกใจว่านางย้อนกลับมาอีกทำไมกัน
“ ท่านแม่เจ้าคะ ข้าจะสอบถามเรื่องเงินทองที่เป็นค่าใช้จ่ายประจำของจวนนี้เจ้าค่ะ ท่านแม่จ่ายให้กับพวกเขาอย่างไรบ้างเจ้าคะ เพราะข้าจำต้องรู้เพื่อจะได้ดูแลค่าใช้จ่ายให้พอเพียง เพราะข้าไปถามพ่อบ้านโยวมาแล้ว เขาบอกว่าตอนนี้เงินของจวนมีน้อยมาก คงต้องประหยัดค่าใช้จ่ายลงให้มาก จึงได้มาถามท่านแม่ว่่าท่านแม่จะจ่ายค่าใช้จ่ายจำพวกค่ากับข้าวและค่าของใช้ที่จำเป็นอย่างไรเจ้าคะ ” อี้ชิงเอ่ยถามถึงเรื่องที่นางต้องการรู้ทันที
เมื่อได้ยินเรืื่องที่สะใภ้ที่นางไม่ได้ต้องการเอ่ยถามขึ้น ใบหน้าของฮูหยินใหญ่ก็ตึงไปเล็กน้อย “ ค่ากับข้าวข้าจะจ่ายให้ทุกวันหัวหน้าคนครัวเขาจะมารับกับข้าตอนเย็นเพื่อจะเอาไปจ่ายตลาดวันพรุ่งนี้ ส่วนค่าใช้จ่ายอื่นๆพ่อบ้านโยวจะมารับกับข้าเองมันเป็นรายจ่ายที่ต้องจ่ายประจำบ้าง หรือรายจ่ายเล็กๆน้อยๆ ในจวนพ่อบ้านโยวเขาจะมาเบิกเป็นรายการไป ส่วนเรื่องลดค่าใช้จ่ายเจ้าก็ไปคิดเอาเองว่าจะทำอย่างไรให้มันประหยัด และเงินที่ค่าจ่ายไปให้มันพอใช้กันไปได้จนกว่าหยางเล่อจะเสร็จศึกกลับมา ส่วนเรื่องรายรับข้าไม่จำเป็นต้องบอกกับเจ้า แค่ให้เจ้าช่วยแบ่งเบาภาระของข้าแค่นี้เจ้าทำได้หรือไม่ ” และอี้ชิงก็จำต้องรับคำเบาๆ แม้จะยังหนักใจอยู่มากก็ตาม
“ อ๋อ ก่อนที่จะไป ข้าจะบอกกับเจ้าอีกอย่าง ไม่ควรเรียกข้าว่าท่านแม่ ให้เรียกข้าว่าฮูหยินใหญ่เพราะข้าไม่ใช่แม่ของเจ้า ” อี้ิชิงชะงักฝีเท้าที่กำลังจะก้าวออกไปจากห้องโถงในเรือนของฮูหยินใหญ่ “ ได้เจ้าค่ะ ฮูหยินใหญ่ ” แล้วนางก็เดินออกไป โดยมีสายตาสองคู่เฝ้ามองตามหลังของนางออกไปอย่างกระหยิ่มยิ้มย่องที่แผนการณ์ขั้นแรกผ่านไปได้อย่างง่ายดาย
อี้ชิงเดินต่อไปที่ห้องครัว เมื่อก้าวเข้าไปในครัวก็เห็นมีบ่าวสี่ห้าคนกำลังเตรียมวัตถุดิบที่คงจะใช้ทำอาหารตอนกลางวันอยู่ “ หัวหน้าคนครัวอยู่ที่ใด ข้ามีเรื่องจะสอบถามเล็กน้อย ” นางเอ่ยถามสาวใช้คนหนึ่งที่กำลังหั่นผักอยู่ นางชี้ไปคนที่หญิงร่างใหญ่คนหนึ่งที่กำลังคัดแยกเนื้อหมูในกะละมังเคลือบอยู่บนโต๊ะอีกตัวหนึ่งอยู่ นางจึงได้เดินไปหาหญิงผู้นั้น
“ ฮูหยินน้อยต้องการพบข้าเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ ข้าชื่อซื่อหลัน เป็นหัวหน้าคนครัวเจ้าค่ะ ” หัวหน้าคนครัวหันมาถามสตรีที่เพิ่งเดินเข้ามาที่ทุกคนต่างก็รู้ว่าเป็นฮูหยินที่เพิ่งแต่งเข้ามาของแม่ทัพโยว “ ฮูหยินใหญ่ให้ข้าดูแลเรื่องในจวนนี้น่ะ ให้ดูแลทั้่งเรื่องอาหารการกินและเรื่องอื่นๆในจวนด้วย จึงจะมาถามเรื่องรายการอาหารที่ทำในแต่ละวันด้วยว่าเราจะลดค่าใช้จ่ายใดๆได้บ้าง เพราะพ่อบ้านโยวบอกว่าตอนนี้เงินทองของจวนร่อยหรอลงมากเพราะท่านแม่ทัพใช้เงินไปกับการกักตุนเสบียงของทหาร คงต้องรอให้ท่านแม่ทัพกลับมาจากชายแดนก่อนทุกอย่างก็จะดีขึ้น ” หัวหน้าคนครัวทำหน้าอ่อนใจ “ ฮูหยินน้อยเจ้าคะ ทุกวันนี้เวลาข้าไปรับเงินค่ากับข้าวจากฮูหยินใหญ่มันก็น้อยมากกว่าเดิมเต็มทีแล้วเจ้าค่ะ แทบไม่พอค่าใช้จ่าย กับข้าวแทบจะไม่มีเนื้อสัตว์อยู่แล้ว แทบจะต้องทำแต่ผัดผักแล้วเจ้าค่ะ ยิ่งหลังจากงานเลี้ยงงานแต่งงานยิ่งได้ค่ากับข้าวน้อยลงอีกเจ้าค่ะ ข้าก็ไม่รู้จะประหยัดได้อย่างไรอีกแล้ว พวกบ่าวก็บ่นกับอุบเรื่องกับข้าวที่มีแค่เศษเนื้อ กินข้าวก็ไม่ค่อยอิ่มกันแล้วเจ้าค่ะ ” อี้ชิงอึ้งไปทันที นางไม่รู้มาก่อนเลยว่าในจวนแม่ทัพจะขาดแคลนเงินทอ
หลังจากอี้ชิงกับชุ่ยเอ๋อสองนายบ่าวไปเดินหาตึกแถวให้เช่าในตลาดจนได้ห้องแถวสองคูหาอยู่กลางตลาดมาได้ เพราะคุณชายจางเลี่ยงหลินเจ้าของร้านขายผ้าร้านใหญ่ในตลาดเป็นผู้จัดการให้ เขาช่วยเหลือเพราะเขาเองก็เคยแอบพึงใจในตัวของหลิวอี้ชิงมาก่อน เพียงแต่เขานั้นช้ากว่าแม่ทัพโยวเท่านั้นเอง เพราะเขานั้นมัวแต่ทำการค้ายุ่งวุ่นวายและมักจะเดินทางไปมาระหว่างเมืองอยู่บ่อยครั้ง ทำให้ไม่มีเวลาเกี้ยวพาอี้ชิงได้เลย ได้แต่ประวิงเวลารอให้มีเวลาว่างอีกสักหน่อยก่อนจนนางแต่งงานไปกับแม่ทัพโยวหยางเล่อเมื่อรู้ข่าวเขาเองก็แอบเสียดายนางไม่น้อย แต่เมื่อเห็นนางมาเดินหาห้องแถวให้เช่าก็แปลกใจอยู่ไม่น้อย นางแต่งงานไปเป็นฮูหยินของแม่ทัพแล้วเหตุไฉนจึงได้มาเดินหาตึกแถวเพื่อทำการค้าอีก เมื่อสงสัยเขาได้จึงได้ไต่ถามนางและได้คำตอบว่านางต้องการทำร้านอาภรณ์มานานแล้ว แต่เพิ่งได้มีโอกาสทำ แต่เขาไม่รู้ว่าที่นางจำต้องทำการค้าในตอนนี้มันมีสาเหตุอื่นด้วย เขาแค่คิดว่านางแค่ทำตามความฝันของตัวเองเพียงเท่านั้นเมื่อรู้แล้วคุณชายจางก็จัดการติดตาหาเช่าห้องแถวให้นางจนได้โดยใช้เส้นสายช่วยนิดหน่อย เพราะเขาสงสารนางที่ไม่รู้จักใครเลย และเขาช่วยให้นาง
เมื่อช่วยกันขนข้าวของเข้าไปในเรือนที่จะใช้ทำเป็นโรงงานขนาดย่อมในจวนแม่ทัพนี้แล้ว อี้ชิงก็เริ่มต้นแบ่งหน้าที่ให้สาวใช้แต่ละคนและช่วยกันกับชุ่ยเอ๋อช่วยสอนงานพวกนาง รวมถึงบ่าวชายสองคนนั้นด้วย นางให้บ่าวชายดึงผ้าออกจากม้วนผ้าขนาดใหญ่แล้วพับทบกันให้มีหลายชั้นแล้วก็ค่อยๆตัดตามแนวที่ชุ่ยเอ๋อทำเครื่องหมายไว้ให้ ชุ่ยเอ๋อรอดูจนบ่าวชายทั้งสองทำงานได้อย่างดีแล้วและพวกเขาเข้าใจในสิ่งที่นางสอนดีแล้ว จึงได้ปล่อยมือ หลังจากนั้นก็มาสอนพวกสาวใช้ถึงขั้นตอนในการตัดผ้าเป็นชิ้นส่วนแต่ละชิ้นที่มีแบบที่ทำจากกระดาษที่นางกับคุณหนูช่วยกันตัดเมื่อคืนเอาไว้แล้วบ้างแล้ว และได้มาถึงสี่ห้าแบบด้วยกัน แล้วจึงได้สาวใช้ช่วยกันทาบผ้าที่ทบเป็นหลายชั้นแล้วกับกระดาษที่เป็นแบบชิ้นส่วนอาภรณ์ แล้วจึงลงมือตัดให้เป็นชิ้นส่วนที่จะนำมาเย็บประกอบกันเป็นอาภรณ์ตามแบบที่อี้ชิงต้องการสาวใช้ต่างช่วยกันตัดผ้าเป็นชิ้นหลายขนาดแล้วต่อมาก็มาสอนแผนกเย็บซึ่งอี้ชิงก็ลงมือสอนด้วยตัวเอง เมื่อสอนจนพวกนางเย็บได้ดีแล้ว ก็ส่งต่อให้กับคนที่มีหน้าที่ทำขั้นตอนต่อไป ส่งกันเป็นทอดๆเช่นนี้ โดยมีชุ่ยเอ๋อคอยช่วยอี้ชิงตรวจสอบงานแต่ละขั้นตอนว่าพวกเขาทำงานได
“ ท่านป้าเจ้าค่ะ ดูเหมือนว่าแผนที่เราวางไว้ให้มันถอดใจเพราะทิ้งภาระค่าใช้จ่ายไว้ให้มันทั้งหมดจะไม่เป็นผลนะเจ้าคะ กลับกลายเป็นว่ามันรับมือได้ดีและมีแต่คนสรรเสริญมันเสียอีกที่มีน้ำใจเจ้าค่ะ เราจะทำอย่างไรดีเจ้าคะ ” เสี่ยวหลานหันไปปรึกษากับท่านป้าของนางที่นั่งจิบช้าเงียบอยู่ “ หรือว่าท่านป้าเปลี่ยนใจยอมรับมันเป็นสะใภ้แล้วเจ้าค่ะ อีกไม่นานท่านพี่กลับมาก็คงจะเป็นครอบครัวสุขสนต์ที่คงจะไม่มีข้าอยู่ในนั้น ” เสี่ยวหลานเอ่ยขึ้นอย่างน้อยใจที่ท่านป้าเหมือนนิ่งเฉยปล่อยให้มันทำความดีจนบ่าวไพร่ในจวนต่างยอมรับมันกันแล้ว “ ไม่ได้นิ่งเฉยแต่ป้าก็ยังคิดไม่ออกว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี ” ฮูหยินใหญ่ที่นึกไม่ออกจริงๆ เพราะความจริงแม้นางไม่ชอบสะใภ้คนนี้ที่ไม่สามารถเป็นหน้าเป็นตาให้ตระกูลแม่ทัพอย่างตระกูลโยวได้ แต่นางก็ไม่ได้ร้ายจนต้องถึงกับคิดแผนชั่วร้ายไปกว่านี้เพื่อกำจัดสะใภ้ที่ไม่ต้องการ เมื่อเสี่ยวหลานเห็นท่านป้าของนางเหมือนเฉยชาไป นางก็จึงได้แต่ครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไป จนวันหนึ่งนางให้สาวใช้ที่ทำงานในเรือนของท่านป้าไปบอกอี้ชิงว่าให้มาไหว้บรรพชนที่ศาลบรรพชนในตระกูล เพราะตั้งแต่แต่งเข้ามานางยังไม่ได้มาไห
ทั้งสามช่วยกันจัดท่าทางของทั้งสองให้เหมือนกับลื่นล้มหัวฟาดไปเอง แล้วจึงได้แยกย้ายกันไป จำเป็นต้องสั่งสอนคนชั่วเช่นนี้ให้สำนึกเสียบ้าง แต่พวกนางก็ยังไม่ถึงตาย “ ต่อไปเราคงต้องระวังตัวนะเจ้าคะ ตีงูให้หลังหักเช่นนี้ไม่รู้ว่ามันจะแว้งกัดเราหรือไม่ ” ชุ่ยเอ๋อพูดกับนายหญิงของตนเองเบาๆ ขณะที่เดินมาถึงหน้าเรือนของตนเองแล้ว “ ก็ต้องระวังตัวกันไปก่อน ยังไม่แน่ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ” แล้วทั้งสองก็กลับเช้าเรือนของตนเองไป จนกระทั่งรุ่งเช้าวันต่อมา ข่่าวของเสี่ยวหลานและสาวใช้ของนางที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจนต้องนอนเจ็บป่วยอยู่แต่ในเรือนเพราะยังไม่สามารถเดินได้ ฮูหยินใหญ่ให้พ่อบ้านโยวไปตามหมอมารักษาพวกนาง และเขาก็รายงานฮูหยินใหญ่ว่าสองนายบ่าวคงจะออกมาดูฮูหยินน้อยที่ถูกลงโทษแต่มันคงจะเป็นเพราะความมืดจึงได้สะดุดหินล้มลงจนได้รับบาดเจ็บทั้งนายทั้งบ่าวแต่เมื่อนอนอยู่ในสวนทั้งคืนจึงทำให้เกิดจับไข้ขึ้นมาอีกด้วย ท่านหมอตรวจอาการแล้วก็ให้นอนพักรักษาตัวและกินยาที่เขาจัดเอาไว้ให้จนกว่าอาการจะดีขึ้น ทั้งสองมีบาดแผลฉกรรจ์ไม่น้อย ท่านหมอได้ทำแผลให้กับพวกเขาแล้ว จึงได้ลากลับไปด้านอี้ชิงก็ไม่ได้รู้สึกอะไรท
ใบหน้าของฮูหยินโยวยิ่งเข้มขึ้นเพราะความไม่พอใจ ที่เหมือนลูกสะใภ้พูดจาทวงบุญคุณและยังท้าทายให้นางจ่ายค่าใช้จ่ายในจวนนี้อีกด้วย ถึงแม้จะมีเงินที่นางแอบซุกซ่อนเอาไว้ แต่คนที่คมเค็มเช่นฮูหยินโยวก็ไม่ยอมควักออกมาเป็นค่าใช้จ่ายในจวนหรอก นางจะจ่ายเท่าที่เคยจ่ายเท่านั้นแหละ ส่วนใครจะพอใช้หรือไม่นางไม่สนใจ ฮูหยินใหญ่คิดเช่นนั้น “ นังหญิงแพศยา ข้าจะบอกให้หยางเล่อหย่ากับเจ้าทันทีที่เขากลับมาจากชายแดน ” อี้ชิงยิ้มมุมปาก นางไม่ได้สะดุ้งสะเทือนอะไร ตอนนี้นางเฉยชาไปแล้ว สามีก็ไม่ได้อยู่ที่จวน และนางก็ไม่เคยได้รับการเลี้ยงดูอะไรจากพวกเขา นางจ่ายเงินของตัวเองทุกอีแปะตั้งแต่เข้ามาอยู่ที่นี่แถมยังช่วยค่าใช้จ่ายในจวนไปตั้งมากอีกด้วย นางคิดว่านางทำดีที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว หลังจากนี้หากสามีและแม่สามีไม่เห็นความดีของนางก็แล้วไป นางไม่สนใจอีกต่อไปแล้ว “ ก็แล้วแต่ท่านแม่นะเจ้าคะ ข้าไม่มีปัญหาใด ถ้าท่านพี่เชื่อท่านแม่ ยอมเขียนหนังสือหย่าให้กับข้า ข้าก็ยินดีไปจากที่นี่ แต่ข้ากับท่านแม่ท่านพี่จะเชื่อใครข้าก็ยังสงสัยนะเจ้าคะ หากท่านแม่ไม่มีอะไรแล้ว ข้าขอตัวก่อนนะเจ้าคะ ข้ามีงานที่รออยู่มากมายที่ต้องทำให้แ
เมื่อศึกเสร็จสิ้นแล้ว เขาก็ส่งจดหมายไปบอกมารดาและอี้ชิงว่าเขาจะกลับไปแล้ว กำลังจะเคลื่อนทัพใหญ่กลับเข้าเมืองหลวงพร้อมกับชัยชนะ หมอหลิวตามติดไปด้วย นางแกล้งหกล้มจนได้รับบาดเจ็บและขึ้นไปนั่งม้าตัวเดียวกับแม่ทัพหนุ่ม เพราะนางขี่ม้าไม่เป็น ขบวนทัพยาตรากลับเข้าเมืองอย่างคึกคักเพราะมีชาวเมืองที่ยืนรอต้อนรับตั้งแต่ปากทางเข้าเมืองอย่างหนาแน่เต็มทั้งสองข้างทาง แม่ทัพหนุ่มขี่ม้านำขบวนทัพเข้ามา โดยมีร่างของสตรีคนหนึ่งนั่งอยู่บนม้าตัวเดียวกับเขาทำให้เป็นที่จับตามองของสตรีไปตลอดสองข้างทาง สตรีเหล่านั้นล้วนส่งสายตาหวานฉ่ำและโบกผ้าเช็ดหน้าในมือให้กับท่านแม่ทัพหนุ่ม บางก็ร้องเรียกนามของเขาไปตลอดเส้นทาง แม่ทัพหนุ่มนั้นมิได้สนใจสิ่งเหล่านั้น เพราะใจของเขานั้นอยู่ที่จวนแล้วในตอนนี้เพราะมันมุ่งไปหาใครบางคนก่อนหน้าที่เจ้าตัวจะย่างกรายเข้ามาในประตูเมืองด้วยซ้ำ แต่เขาจำต้องไปถวายรายงานการรบครั้งนี้ที่ในวังหลวงก่อนเมื่อกองทัพยกทัพกลับมาเพราะชนะศึกแล้ว เขาเร่งขี่ม้าผ่านผู้คนที่มาต้อนรับอย่างเอิกเกริกทั้งสองข้างทาง อี้ชิิงก็ไปยืนรอต้อนรับขบวนทัพที่หน้าตลาดด้วยเพราะขณะนั้นนางอยู่ที่ร้านค้าที่ตลาด
“ อี้ชิงไปไหนกันท่านแม่ ทำไมนางไม่มารอรับข้า สามีกลับจากชายแดนทั้งทีนางไม่อยู่รอรับเลย เหมือนนางไม่เห็นความสำคัญ ” เขาเอ่ยถามมารดา “ คงจะไปที่ตลาดกระมัง นางไปเปิดร้านขายอาภรณ์ที่ตลาด ได้ยินว่าคุณชายจางก็มีส่วนช่วยนางนะ เห็นว่าออกทุนรอนให้กันด้วย ” แม่ทัพหนุ่มขมวดคิ้ว ทำไมนางต้องทำงาน แค่เพียงช่วยมารดาดูแลจวนแม่ทัพก็พอแล้ว นางเป็นฮูหยินของแม่ทัพ ทำไมต้องทำงานอีก งานในจวนก็ยุ่งมากพอแล้ว เขาสงสัย และคิดว่าจะไปสอบถามพ่อบ้านโยวน่าจะดีกว่ามารดา เขาจึงได้เงียบไป และหันไปสอบถามเรื่องสุขภาพของมารดาขณะที่พากันเดินเข้าไปในจวน มารดาเล่าเรื่องเสี่ยวหลานท่ี่ประสบอุบัติเหตุหกล้มหัวฟาดพื้นกับสาวใช้ของนางในตอนไปเดินที่สวนในตอนกลางคืน แล้วยังไม่ได้หายดี แม้ตอนแรกจะสงสัยอี้ชิง แต่ในเมื่อมาคิดดูอีกทีก็สงสัยว่าเสี่ยวหลานไปทำอะไรดึกดื่น นางเกิดความคิดว่าเสี่ยวหลานน่าจะไปทำร้ายอี้ชิง แล้วถูกตอบโต้กลับอย่างรุนแรง จึงได้หยุดพูดถึงเรื่องสาเหตุที่นางต้องมานอนเจ็บเช่นนี้ไปเสีย แม่ทัพหนุ่่มนั้นไปส่งมารดาที่เรือนของนาง แล้วบอกพ่อบ้านให้จัดการหาที่พักให้กับหมอหลิวแล้ว เขาจึงได้เดินไปอาบน้ำในเรือนของตัวเอง เ
เมื่อหมอสาวหลิวซิงเหยียนได้ตั๋วเงินจากพ่อบ้านแล้ว นางก็ตัดสินใจเดินทางจากไปทันที ไม่มีประโยชน์ใดที่นางจะทู่ซี้อยู่ที่จวนแม่ทัพแห่งนี้อีกแล้ว เพราะข้าวของของนางมีไม่มากเก็บเพียงครู่เดียวก็เสร็จ นางไม่แม้แต่จะร่ำลาฮูหยินใหญ่โยว เพราะไม่มีประโยชน์อันใดที่จะเสวนากับนางอีก เพราะไม่มีผลประโยชน์ใดที่จะต้องการพึงพิงสตรีผู้เฒ่านั่นอีก จึงได้ก้าวออกไปจากจวนแม่่ทัพทันทีอย่างไม่เหลียวหลังกลับมามองด้วยซ้ำ ส่วนเสี่ยวหลานเมื่อสาวใช้คนสนิทของนางเข้ามาบอกเรื่องหมอสาวที่จากไปแล้ว และนางได้ยินว่าพ่อบ้านโยวให้เงินนางติดตัวไปด้วย เพราะท่านแม่ทัพเคยสั่งเอาไว้ว่าให้เงินนางไปตั้งตัวเพราะนางเคยมีบุญคุณกับกองทัพในยามศึก เสี่ยวหลานนิ่งคิดว่าหมอสาวนั้นต้องรู้แน่แก่ใจแล้วว่าท่านพี่หยางเล่อ คงไม่อาจจะกลับมาหายดีดังเดิมได้นางจึงได้ตัดสินใจจากไป เช่นนี้แล้วเสี่ยวหลานเองเล่า นางจะอยู่ในจวนแม่ทัพเพื่อทู่ชี้จะเป็นฮูหยินของเขาอีกหรือ นางตอบตนเองได้ว่าไม่ เพราะนางยังสาวยังมีความงดงามอยู่ นางสามารถหาสามีที่ดีกว่านี้ได้ นางก็จะไม่ยอมทิ้งอนาคตของตนเองเอาไว้กับคนพิการเช่นพี่หยางเล่ออย่างแน่นอน ท่านพี่หยางเล่อแม้จะมีเงิน
เมื่อหมอสาวเดินออกมาจากห้องนอนของแม่ทัพหนุ่ม ทุกคนที่นั่งรออยู่ด้านนอก ทั้งฮูหยินใหญ่ เสี่ยวหลาน และบรรดาสาวใช้ทุกคนต่างหันไปจ้องมองนางอย่างมีความหวัง เสี่ยวหลานนั้นถึงกับวางเรื่องทุกอย่างเอาไว้ก่อน นางต้องการรู้ว่าท่านพี่อาการเป็นเช่นไร และจะมีโอกาสหายดีเป็นปกติหรือไม่ หมอสาวส่ายหน้าให้กับทุกคน “ หมายความว่าอย่างไรกันซิงเหยียน ” หมอสาวเดินมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าของฮูหยินใหญ่ “ ข้าตรวจอาการของเขาอย่างละเอียดเท่าที่ความสามารถของข้ามีแล้วเจ้าค่ะ ข้าคิดว่าหมอผู้้นั้นพูดถูก ท่านแม่ทัพนั้น เส้นประสาทของเขาเสียหายหนักมากจนทำให้ตัั้งแต่ช่วงล่างตั้งแต่เอวลงไปถึงปลายเท้านั้นไม่มีความรู้สึกอีก และไม่แน่ใจว่าจะสามารถรักษาให้หายดีเป็นปกติได้หรือไม่ ” ทุกคนอึ้งงันไปอย่างมาก โดยเฉพาะฮูหยินใหญ่และเสี่ยวหลาน “ เจ้าหมายความท่านพี่จะไม่มีโอกาสหายดีเป็นปกติและกลับมาเดินได้อีกครั้งอย่างนั้นหรือ ” เสี่ยวหลานอดไม่ไหว นางต้องการรู้อย่างแน่ชัดว่าท่านพี่หยางเล่อของนางจะหายดีเป็นปกติหรือไม่ “ ข้าบอกตามตรงนะ ว่าโอกาสที่จะกลับมาเป็นปกตินั้นแทบไม่มี แต่หากกระดูกและบาดแผลสมานอาจจะพอนั่งรถเข็นได้ แต่คงจะกลับมาเ
อี้ชิงรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาเมื่อยามสายมากแล้ว นางเห็นมีแสงแดดส่องเป็นลำเข้ามาตามรอยแยกของฝาไม้ ทอดลงมาบนพื้นห้อง นางค่อยๆขยับกายลุกขึ้น ทั้งตัวเจ็บระบมไปหมด โดยเฉพาะร่องอวบที่ทั้งเจ็บทั้งแสบ ขณะที่นางกำลังจะหย่อนขาลงจากเตียงนั้น ก็มีเสียงดังขึ้นด้านหลัง “ เมียจ๋า เจ้าอยู่ที่จวนนี้รอพี่ก่อนนะ พี่จะไปจัดการเรื่องในจวนให้แล้วเสร็จ รับรองว่าเจ้ากลับไปคราวนี้จะไม่มีสตรีใดอยู่ในจวนอีก แล้วพี่ขอสัญญากับเจ้าว่าด้วยเกียรติของแม่ทัพใหญ่แคว้นชิง พี่จะไม่ยอมรับสตรีอื่นใดเข้าจวนอีก จะมีเพียงเจ้าตลอดชีวิต เจ้าจะยอมคืนดีและกลับไปเป็นฮูหยินของพี่ตามเดิมได้หรือไม่ พี่รักเพียงเจ้าเท่านั้น และต้องการมีบุตรกับเจ้าเพียงเท่านั้น สตรีอื่นใดพี่ไม่ต้องการ ” อี้ขิงหันไปมองบุรุษที่กำลังลุกขึ้นนั่งบนเตียงด้านหลังของนาง แล้วกระเถิบเข้ามาโอบกอดนางเอาไว้ในอ้อมกอดที่แสนอุ่นของเขา “ ถ้าท่านพี่ทำได้จริงอย่างเช่นที่สัญญากับข้า ข้าก็ยอมคืนดีกับท่านก็ได้เจ้าค่ะ ” นางเอนกายพิงอกแกร่งของเขา ในใจของนางนั้นยังมีเขาอยู่เต็มเปี่ยมแต่เพราะนางรักเขามาก นางจึงเจ็บมากที่เห็นเขาเริงรักกับสตรีอื่น “ แต่หากท่านไม่รักษาสัญญา
“ อ๊าาา อ๊าางง อ๊าางงง อ๊าาา อ๊าาา อ๊าากก ” ทั้งสองร้องครวญครางผสานกันอย่างเสียวซ่าน แม่ทัพหนุ่มทนต่อไปไม่ไหวแล้ว เพราะบัดนี้เจ้าลูกชายตาเดียวของเขาที่มันโหยหานางเต็มที่ มันคับแน่นจนตึงแทบปริแตก หัวบานของมันมีน้ำรักไหลออกมาอย่างมากมายเพราะความเสียวที่มากจนเกินจะทนได้เขาถอดนิ้วแกร่งของตนเองออก แล้วมือหนาก็เลื่อนลงมาดึงเอวกางเกงหูรูดของตนเองลงจนพ้นสะโพกหนาของตนเอง เพื่อปลดปล่อยเจ้าลูกรักออกมาเป็นอิสระ ทันทีที่มันพ้นออกมาจากขอบเอวกางเกงของเขา มันก็ผงาดง้ำและพรักพร้อมอย่างเต็มที่แล้วอี้ชิงก้มลงมองลำกายอวบใหญ่ที่ผงาดง้ำและกำลังทิ่มแทงที่ท้องน้อยของนางอยู่อย่างตื่นตระหนก “ ท่านพี่เจ้าคะ ท่านพี่ ข้ากลัว อย่า…..ไม่นะ….ปล่อยข้า…….” อี้ชิงพยายามอ้อนวอนเพราะนางหวาดหวั่นเหลือเกิน“ เจ้าจะมีความสุข เชื่อพี่…...” เขากระซิบนางเสียงกระเส่า เขาไม่คิดจะรั้งรออะไรอีกแล้ว และไม่อาจจะปล่อยโอกาสให้นางเปลี่ยนใจ มือหนาของเขาจับเจ้าลูกชายตาเดียวของเขา เอาส่วนหัวถูไถเข้ากับเมล็ดดอกไม้ของนางด้วยจังหวะที่ถี่ระรัว“ อ๊าาาา อ๊าางง อู๊ยยยย อู๊ยยยยย อู๊ยยยย ” อี้ชิงครางออกมาอีกครั้งด้วยเสียงกระเส่า ปากจิ้มลิ
แม่ทัพหนุ่มเฝ้าจูบฮูหยินร่างอวบที่เขาดึงนางขึ้นมานั่งอยู่บนตักแกร่งอย่างเร่าร้อน เขาจูบนางยาวนานจนแทบจะสูบวิญญาณ จนร่างของอี้ชิงอ่อนระทวยซบลงที่อกแกร่งของเขา มือบางของหล่อนลูบไล้อยู่ที่อกแกร่งหนั่นแน่นนั้นอย่างลืมตัวเขาจูบจนพอใจแล้วจึงได้เลื่อนใบหน้าหล่อเหลาซุกไซร้ไปจนทั่วซอกคอขาวผ่องของหล่อนและขบเม้มทำรอยรักเอาไว้อย่างรุนแรง เขาซุกไซร้ไม่หยุด ทั้งขบเม้ม ทั้งไล้เลียจนผิวสาวเปียกชุ่มไปหมด “ หอมจัง ” เขากระซิบเบาๆ เสียงทุ้มของเขาคำรามอยู่ใกล้ๆ ใบหูขาวผ่องของนาง “ อา….ท่านแม่ทัพ….ท่าน..อย่านะ อย่า ….อ๊าาาา " ตอนนี้เขาไม่ได้แค่ซุกไซร้ลำคอขาวผ่องของนางเพียงเท่านั้น แต่มือหนาของเขายังลูบไล้ไปทั่วร่างบางขาวผ่องที่บัดนี้อาภรณ์นั้นถูกเลิกขึ้นมาสูงจนแทบจะเปลือยทั้งร่างให้เขาเห็นอยู่แล้ว สายรัดเอวหายไปตอนไหนนางก็ไม่อาจจะรู้ได้ มือของเขาซุกซนเหลือเกิน ตอนนี้มันกำลังฟอนเฟ้นอกอวบใหญ่ที่บัดนี้อาภรณ์ที่ปกปิดมันนั้นหลุดลุ่ย ทำให้เห็นทั้งสองเต้าที่อวบใหญ่เหลือเกินเพราะสาปเสื้อนั้นหลุดลุ่ยหลุดจากไหล่มนไปแล้วมือหนานั้นทั้งฟอนเฟ้นอกอวบจนโนมเนื้อของนางปลิ้นออกมาตามง่ามนิ้วของเขา และนิ้วแกร่งนั้นก็สะก
บัดนี้อาภรณ์ของนางแทบจะหลุดลุ่ยเพราะมือหนาที่ไม่อยู่สุกเลยนั้น ตราบจนม้าคู่กายของแม่ทัพหนุ่มตะบึงห้อมาจนถึงหน้าประตูจวนเล็กของเขาที่อยู่นอกเมือง จวนหลังนี้เขาปลูกเอาไว้เพื่อหลีกหนีความวุ่นวายในจวนใหญ่ของเขาตั้งแต่เขายังไม่ได้แต่งงาน และเขามักจะปลีกตัวมาพำนักที่นี่ เพื่อฝึกฝนวรยุทธ์และเมื่อต้องการวางแผนการรบที่ต้องใช้สมาธิ เขาก็มักจะควบม้ามาอยู่ที่นี่กับองครักษ์และคนสนิทเพียงไม่กี่คน แต่ที่นี่ก็มีสาวใช้และคนดูแลอยู่หลายคน เมื่อแม่ทัพหนุ่มควบม้ามาถึง รอเพียงครู่ซีห้าวก็ควบม้าตะบึงตามหลังมาหยุดลงที่ด้านหลังของแม่ทัพหนุ่ม แล้วเขาก็โหนตัวลงจากรถม้าเดินไปใช้ที่เคาะทองเหลืองหน้าประตูเคาะประตูใหญ่สามสี่ครั้ง ครู่หนึ่งก็มีชายคนหนึ่งเปิดประตูออก แล้วเยี่ยมหน้าออกมาเมียงมอง“ ท่านแม่ทัพมาหรือขอรับ ” แล้วเขาก็เปิดประตูใหญ่นั้นออกกว้าง แม่ทัพหนุ่มบังคับม้าให้เดินเข้าไปในประตูจวน ส่วนซีห้าวก็อุ้มตัวของชุ่ยเอ๋อลงมายืนข้างตัวม้า แล้วเขาก็จูงม้าคู่กายของตนเองเดินตามท่านแม่ทัพเข้าไปในจวน โดยมีชุ่ยเอ๋อหอบห่อผ้าของตนเองและนายหญิงเข้าไปในจวนด้วยเมื่อขี่ม้ามาอยู่ลงที่หน้าเรือนหลักของตนเองแล้ว แม่ทัพหนุ่ม
เมื่อแม่ทัพโยวและซีห้าว ขี่ม้าคู่กายโดยไม่หยุดพักเลย พวกเขาตามจนพบขบวนรถม้าที่แล่นตามกันเพื่อมุ่งหน้าไปทางหนิงโจวและพวกเขาแน่ใจว่าใช่ขบวนรถม้าของคุณชายจางลี่หลินพ่อค้าใหญ่ที่มีกิจการค้าอยู่หลายเมืองอย่างแน่นอน พวกเขาจึงได้ขี่ม้าแซงไปเพื่อหยุดขบวนรถม้านี้เอาไว้ และเมื่อคนขับเห็นดังนั้นจึงจำต้องหยุดม้า เพราะเขาเห็นชายร่างสูงใหญ่สองคนที่ควบอยู่บนม้าตัวสูงใหญ่และพวกเขาดูมีไอสังหารเข้มข้น ลักษณะองอาจผึ่งผายดูไม่ใช่โจรป่าที่มาดักปล้นขบวนรถม้า แต่ก็ไม่แน่ใจว่าพวกเขาใช่ทหารหรือไม่ และเมื่อรถม้าทั้งสามคันหยุดลง คุณชายจางจึงได้เปิดผ้าม่านออกไปดูว่ารถม้าของพวกเขานั้นหยุดลงเพราะสิ่งใดกัน และก็พบกับแม่ทัพโยวที่กำลังโหนตัวลงมาจากรถม้า สีหน้าของคุณชายหนุ่มเปลี่ยนไปทันที เขาคิดเอาไว้อยู่แล้วว่าในอีกไม่นาน แม่ทัพโยวหยางเล่อจะต้องมาตามอี้ชิงอย่างแน่นอน แต่ไม่คิดว่าจะรวดเร็วถึงปานนี้ คุณชายหนุ่มจึงได้ก้าวเดินลงจากรถม้าของตัวเอง เพื่อจะเผชิญหน้ากับแม่ทัพโยว เพราะพวกเขาเป็นแค่พ่อค้า มีเพียงผู้คุ้มกันที่จ้างมาเท่านั้น ไม่น่าจะสามารถเป็นคู่ต่อสู้ของแม่ทัพหนุ่มที่มีฝีมือเก่งกาจ และชำนาญการใช้อาวุธและม
ด้านที่เรือนฮูหยินใหญ่ หมอสาวหลิวซิงเหยียนนั่งคุกเข่าลงที่หน้าฮูหยินใหญ่ “ ฮูหยินใหญ่ต้องช่วยข้านะเจ้าคะ ข้าทำสำเร็จแล้ว แต่ท่านแม่ทัพกลับจะขับไล่ข้าออกไปจากจวน เช่นนี้แล้วสิ่งลงมือทำไปอาจจะสูญเปล่าได้นะเจ้าคะ เพราะแม้ฮูหยินของเขาออกไปจากจวนแล้ว แต่ไม่แน่ว่านางจะย้อนกลับมาได้อีกหรือไม่ ได้ยินว่าท่านแม่ทัพฉีกหนังสือหย่าที่นางเขียนทิ้งเอาไว้ไปเสียหมดแล้วด้วยเจ้าค่ะ อย่างนี้แล้วยังจะวางใจว่านางนั้นจะไปแล้วไปลับได้หรือไม่เจ้าคะ ”หมอสาวเจ้าเล่ห์เอ่ยปากอ้อนวอนและเติมความวิตกกังวลให้ฮูหยินผู้เฒ่าที่นั่งอยู่ตรงหน้าของนางด้วย เพื่อใช้เป็นโล่ห์กำบังจากโทสะของแม่ทัพหนุ่มที่พลันเกิดขึ้นทันที หลังจากที่ฤทธิ์ของยาปลุกกำหนัดนั้นคลายลง และเขาได้รู้ว่าอี้ชิงฮูหยินของเขานั้นมาเห็นเหตุการณ์เข้าพอดี และนางนั้นถึงกับเขียนหนังสือหย่าและขนข้าวของออกไปจากจวนแม่ทัพแทบจะทันทีในคืนนั้นแต่แทนที่ทั้งฮูหยินผู้เฒ่่าและหมอสาวที่อุตส่าห์ลงทุนลงแรงไปมาก จะได้ดีใจที่กำจัดสตรีผู้นั้นออกไปได้แล้ว แต่ท่านแม่ทัพกลับฉีกหนังสือหย่านั่นทิ้งไปเสียแล้ว ก็ทำให้แผนที่วางไว้ยังไม่แน่ว่าจะสำเร็จจริงหรือไม่ “ เอาละ ไม่ต้องกังวลไป
“ ท่านพี่ ท่านทำเช่นนี้กับข้าได้อย่างไร ” อี้ชิงเอ่ยขึ้นแล้วนางก็กลับหลังหันออกไปจากห้องหนังสือนั่นทันที แม่ทัพหนุ่มที่นอนทอดร่างให้หมอสาวขย่มเขามิได้รับรู้เลยว่าเมียรักมายืนจ้องมองพวกเขาอยู่เพราะเขานอนอยู่ด้านล่าง แต่คนที่เห็นร่างของอี้ชิงเต็มตานั้นคือหมอสาวเจ้าเล่ห์ นางจ้องมองอี้ชิงอย่างเย้ยหยันพลางยกยิ้มเยาะเย้ยนาง จนเห็นนางหันหลังกลับไป หมอสาวจึงยิ่งขย่มแม่ทัพหนุ่มอย่างร่านร้อน ทั้งสองร้องครวญครางผสานกันอย่างเสียวซ่านเหลือเกิน หมอสาวจงใจร้องครวญครางเสียงดังยิ่งขึ้นเพื่อให้ฮูหยินที่กำลังจะเป็นอดีีตนั่นได้ยินให้ชัดเจน ด้านอี้ชิงเมื่อนางเห็นสามีนอกใจนางเช่นนี้ แม้บุรุษนั้นต่างก็มีภรรยาหลายคน แต่เขากับนางยังไม่ได้พูดจากันตกลงกัน แม้นางจะสงสัยในความสัมพันธ์ของสามีกับสตรีที่เขาพากลับมาด้วย แต่ตอนนี้นางสิ้นสงสัยแล้ว ว่าทั้งสองเป็นอะไรกันแน่ และสตรีผู้นั้นมีความสำคัญกับสามีของตนเองเช่นไร อี้ชิงจึงได้รีบกลับไปยังเรือนเล็กท้ายจวนของตนเอง เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็พบกับชุ่ยเอ๋อที่เดินสวนออกมาเพราะนางกลับมาที่เรือนเล็กก่อนเพื่อตระเตรียมอาหารให้กับนายของตน “ ชุ่ยเอ๋อ เจ้าเก็บข้าวของแล้ว