"ไม่เจ้าค่ะ วันนี่ฉีฉีกับฉูฉู่ไปต่างเมือง ข้าจะไปช่วยท่านแม่ซักผ้า"
"สหายข้าก็ไม่อยู่เช่นกัน อีกหลายวันกว่าจะกลับขอรับ" "งั้นพวกเจ้าไปซักผ้ากับแม่แล้วกัน" หลังทำความสะอาดโต๊ะอาหารเสร็จเด็ก ๆ ก็เดินนำมาที่หลังบ้าน เห็นตะกร้าผ้าเตรียมไว้สามใบก็ยิ้มกว้างหอบขึ้นมาคนละอัน นอกจากการไปเล่นในตัวเมือง การช่วยงานบ้านก็เป็นความสนุกอย่างหนึ่งสำหรับพวกตนเช่นกัน เห็นสตรีที่เดินนำอยู่หอบตะกร้าใบใหญ่ไว้แนบอกก็รู้สึกว่าควรต้องทำอะไรสักอย่าง จางจื่อเสวียนจึงเดินเข้าไปแย่งมาถือไว้เองก่อนจะเอ่ยบอกด้วยความจริงใจ เขาไม่เคยอยู่นิ่งๆ มาก่อน ทุกวันมีเรื่องให้จัดการมากมาย การที่จะมานอนเป็นคนป่วยแบบนี้ทำให้เขาไม่ชินนัก "ข้าบาดเจ็บที่หัว ไม่ใช่ที่แขน ให้ข้าช่วยงานเถอะ" "ก็ได้" "ข้าจะซักผ้าด้วยเหมือนกัน" เขาเสนอตัวอีกครั้ง เพราะอย่างไรเสื้อผ้าก็มีของเขาอยู่ด้วยจะปล่อยให้สตรีที่ไม่คุ้นเคยซักให้ก็กระไรอยู่ "ท่านทำเป็นหรือ" หม่าเยี่ยนถิงไม่ได้เจตนาดูถูก แต่ตอนเจอจางจื่อเสวียนเขาแต่งตัวดูมีฐานะพอสมควร คุณหนูค"บนเขา ที่ที่ชาวบ้านมักไปเก็บของป่า ข้าเห็นท่านหมดสติอยู่ทั้งบาดเจ็บหนัก เลยให้คนอื่นช่วยแบกลงมา""คนที่ชื่อซวี่คุนหรือ?" ไม่รู้ทำไมเขาจึงติดใจกับชายคนนี้นัก คล้ายมีความไม่พอใจเกิดขึ้นทุกครั้งที่เห็นหน้า หรือแม้แต่เอ่ยถึง ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยรู้จักหรือสิ่งนี้เรียกว่าไม่ถูกชะตา?"ไม่ใช่" จางจื่อเสวียนหายใจโล่งขึ้นมาเสียเฉย ๆ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเป็นเช่นนี้ แต่ก็ดีแล้วจางจื่อเสวียนรู้มาว่าหม่าเยี่ยนถิงมักจะไปเก็บของป่าบนภูเขาทุกวัน วันนี้จึงตั้งใจจะไปด้วย ทว่าก็โดนห้ามไว้ ด้วยเห็นว่าเขายังป่วยอยู่ เขาอยู่เฉย ๆ ก็อยู่ไม่สุขเพราะเหมือนเอาเปรียบกับความใจดีของนาง ไว้ร่างกายหายดีเขาต้องตอบแทนแน่หลังนางพาเด็กๆ ออกจากบ้านไปจางจื่อเสวียนก็ดำเนินกิจวัตรของคนป่วยไปตามเดิมคือกวาดใบไม้และทำความสะอาดบ้านที่นี่ไม่มีปืนให้ใช้ และเขาก็ไม่เคยฝึกวิชากระบี่ หากจะป้องกันตัวด้วยวิธีที่คุ้นเคยหรือจับถนัดมือบ้างก็คงเป็นไม้พลอง จางจื่อเสวียนหยิบเอาด้ามไม้กวาดมากวัดแกว่ง ให้ร่างกายได้คุ้นชินกับการเคลื่อนไหวของเครื่องมือที่อาจเป็นอาวุธประ
แต่หม่าเยี่ยนถิงเหมือนจะทำอะไรได้ด้วยตัวเองไปเสียหมด หนำซ้ำยังทำได้ดีกว่าเขาด้วยนี่ฉันมาทำอะไรอยู่ที่นี่กันอดีตมาเฟียถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนตามสามแม่ลูกเข้าไปในบ้านถ้าไม่มีคอนเนกชั่นที่ท่านปู่สร้างไว้อยู่แต่แรกล่ะก็ ลำพังแค่ตัวฉันเองจะทำให้แก๊งเติบโตได้มากขนาดนี้ไหมนะ"จื่อเสวียน ท่านเป็นอะไรหรือไม่ รู้สึกเจ็บตรงไหหนอีกหรือ?" หม่าเยี่ยนถิงเห็นเขายืนหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่กลางบ้านเสียนาน นางก็อดเป็นห่วงไม่ได้ เดินเข้ามาแตะหน้าผากอย่างถือวิสาสะเพื่อวัดไข้ แต่ตัวก็ไม่ได้ร้อน ทว่ากลับหน้าแดงคล้ายคนไม่สบาย"ไม่เป็นไร ข้าไม่เป็นอะไรเลยจริง ๆ""แต่หน้าท่านแดง""แดดมันแรงน่ะ""วันนี้เมฆมาก มีแดดที่ไหนกัน"จางจื่อเสวียนคิดคำตอบไม่ทันจึงเดินหนีไปทางอื่น หยิบอุปกรณ์ทำสวนออกมาอย่างลวก ๆ แล้วเดินออกไปถางหญ้าข้างบ้านเพื่อทำแปลงใหม่หม่าเยี่ยนถิงเห็นเช่นนั้นก็หลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อย ไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ท่าทางลนลานนั่นน่าช่างน่าเอ็นดูจริง ๆหญิงสาวมือสังหารเดินอ
การเริ่มต้นทำร้านขายผักและผลไม้ในตอนนี้แบบเต็มเวลาคงยังไม่หมด มันต้องหาอย่างอื่นเพื่อมาสนับสนุนค่าใช้จ่ายในบ้าน"ไม่มีอะไร ข้าคิดอะไรอยู่นิดหน่อยเท่านั้น"หม่าเยี่ยนถิงเอ่ยตอบพร้อมจูงมือบุตรชายบุตรสาวคนละข้างมีชายหนุ่มที่อาศัยอยู่ด้วยเดินตามหลังพร้อมรถเข็นที่ใส่อุปกรณ์ค้าขายแม้เมืองนี้จะเป็นเมืองขนาดกลางไม่เล็กไม่ใหญ่ แต่ก็มีสำนักคุ้มภัยขึ้นชื่อ หากนางใช้ความสามารถส่วนตัวทำงานได้ละก็อาจจะหาเงินได้มากกว่านี้ก็ได้ แต่ที่นางลังเลยังไม่ไปหางานทำไกลเพราะห่วงเจ้าแฝดทั้งสอง แต่ความจนเริ่มบีบบังคับให้นางลงมือทำอะไรสักอย่างแล้วจริง ๆหม่าเยี่ยนคิดและสรุปความตั้งใจของตัวเองในหัวอยู่คนเดียว นี่เป็นวิธีที่เร็วที่สุดที่นางคิดออก ตอบตัวเองได้ดังนั้นก็พยักหน้า คลายความกังวลใจลง"จางจื่อเสวียน ไหน ๆ ก็ผ่านถนนเส้นนี้แล้ว ท่านไปให้ท่านหมอตรวจสักหน่อยดีหรือไม่" คนถูกถามมองตามหม่าเยี่ยนถิงก็พบว่าพวกตนหยุดอยู่หน้าโรงหมอพอดีเขาพยักหน้า เห็นด้วยที่จะทำอย่างนั้น หากได้รับคำยืนยันว่าไม่เป็นอะไรแล้วเขาก็จะทำงานได้อย่างสบา
"คนมีฝีมือระดับเจ้าทำไมถึงมาเข้าสำนักคุ้มภัยไร้ชื่อล่ะ""จุดประสงค์ของสำนักไร้ชื่อคืออะไร ข้าก็เป้าหมายเดียวกัน"หม่าเยี่ยนถิงรู้มาว่าสำนักคุ้มภัยแห่งนี้เดิมเป็นเพียงกลุ่มคนเล็ก ๆ ที่มีฝีมือแต่ไม่อยากเปิดเผยตัว คนในเมืองต่างวางใจไหว้วานให้พวกเขาคุ้มกันสินค้า ปกป้องตัว จนเป็นที่พูดถึงปากต่อปากนานวันก็เริ่มมีคนเข้ากลุ่มมาเรื่อย ๆ จนเริ่มจัดการได้ไม่ทั่วถึง จึงยื่นเรื่องก่อตั้งเป็นสำนักอย่างเป็นทางการต่อท่านเจ้าเมือง จึงมีคนมาช่วยดูแลในส่วนของการทำภารกิจและจัดสรรคนตัวเจ้าสำนักรุ่นก่อนไม่ได้อยากเป็นคนมีชื่อเสียง ตั้งใจทำประโยชน์ให้ผู้คนเท่านั้น แต่เมื่อเวลาเปลี่ยนหลายอย่างก็ไม่เหมือนเดิม เพราะว่าเจตนารมณ์ที่ตั้งใจจะทำประโยชน์ให้ผู้คนนั้นไม่ได้หายไปเมื่อได้คำตอบที่พอใจ เจ้าสำนักคนปัจจุบันก็ซัดมีดบินเล่มสุดท้ายไปปักข้างเสา"เจ้าผ่านแล้ว""ขอบคุณท่านเจ้าสำนักที่ออมมือ"หม่าเยี่ยนถิงประสานมือโค้งคำนับด้วยความขอบคุณก่อนจะไปเก็บมีดบินตัวเองกลับมา มีดนี้นางใช้เงินที่ขายผักตัดใจยอมทำไว้เมื่อหล
"ตื่นแล้วก็มากินข้าวกันเถอะ แม่พวกเจ้าทำอาหารเช้าเตรียมไว้ให้แล้ว"เสียงเล็กๆ สองเสียงร้องเย่ แย่งกันเข้าไปจัดโต๊ะในครัว"วันนี้ท่านแม่ก็จะไม่นอนกับเราอีกหรือเจ้าคะ" หม่าหนี่เหวินทำแก้มพองลมเขาไม่แน่ใจว่าทำไมผู้เป็นมารดาถึงเรียกบุตรฝาแฝดด้วยชื่อเล่น สำหรับเขาที่มาจากโลกที่มีสิ่งนี้เป็นปกติแล้วนั้นก็คงไม่ได้รู้สึกแปลกอะไร แต่สำหรับคนที่นี่มันคงประหลาดน่าดูแต่จางจื่อเสวียนก็รู้ดีว่าคนแปลกแหกคอกมีอยู่ทุกยุคทุกสมัย หม่าเยี่ยนถิงก็คงเป็นหนึ่งในนั้น"ตั้งแต่นี้ไปก็อาจจะได้นอนด้วยกันน้อยลงแล้ว พวกเจ้าก็ฝึกนอนด้วยตัวเองเถอะ โตไปกว่านี้ก็ต้องแยกห้องแล้ว""แต่เหมียวเหมียวอยากนอนกับท่านแม่" นางอมลมไว้ในแก้มมากกว่าเดิม"แยกห้องนอนได้แต่ว่าโตแล้ว โตแล้วก็หมายความว่าอีกไม่กี่ปีเจ้าสามารถปักปิ่นได้"หม่าหนี่เหวินปิดปากสนิททันที ด้วยวัยของนางนี้ชอบเพ้อฝันจากนิทานเรื่องเล่า หวังให้ตนเป็นดั่งเจ้าหญิง อยากเติบโตเป็นสตรีผู้เพรียบพร้อมและได้เจอชายในฝัน พี่ชายฝาแฝดจึงมักล่อหลอกนางได้ง่ายเวลาใช้ข้
หลังกลับมาถึงบ้านเด็ก ๆ ก็ทั้งออดอ้อนทั้งงอแงกับนางใหญ่ว่าต้องแยกห้องนอนอย่างถาวรแล้วหรือ หม่าเยี่ยนถิงไม่รู้ว่าจางจื่อเสวียนพูดอะไรกับบุตรทั้งสองของนางบ้างทั้งที่นางยังไม่ได้บอก แต่เขาก็ทำได้ตรงกับสิ่งที่นางคิดไว้ หลังจากนี้หม่าเยี่ยนถิงตั้งใจจะแยกห้องนอนจริง ๆ เพราะสะดวกกับเวลาที่ต้องออกไปทำงาน"พวกเจ้านอนด้วยกันจะกลัวอะไรเล่า และหากโตไปกว่านี้ก็ต้องแยกห้องนอนกันอีกอยู่" หม่าเยี่ยนถิงนั่งลงให้ระดับสายตาเสมอกัน ลูบศีรษะบุตรสาวบุตรชายด้วยความรักใคร่เอ็นดู"พวกข้าจะเป็นเด็กดีเชื่อฟัง" ทั้งสองพยักหน้าหงึกหงักเย็นวันนั้นหลังจากทานมื้อค่ำกันเสร็จแล้วนางก็ส่งเด็ก ๆ เข้านอน หลังแน่ใจว่าลูก ๆ หลับสนิทแล้วนางจึงค่อยผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดที่ทะมัดทะแมงและคล่องตัว"คืนนี้ก็จะไปอีกหรือ"หม่าเยี่ยนถิงปรายตามองเพียงครู่ก็พยักหน้า รับรู้ได้จากเสียงฝีเท้าว่าเขาตื่นอยู่แล้วเดินมาดูอยู่นานแล้ว"ข้าจะไปทำงาน ฝากเฝ้าบ้านด้วย""ดูรับมือได้เก่งและมีสติเกินกว่าที่จะเป็นคุณหนูตกยากเลย ไม่ประหลา
"นั่นท่านเป็นอะไร!?" หม่าเยี่ยนถิงพี่พึ่งกลับมาตอนเช้ามืดถามด้วยความตกใจ นางหันมาก็สะดุ้งโหยงนึกว่ามีผีดิบอยู่ในบ้านเสียอีก จางจื่อเสวียนส่ายหน้าท่าทางอ่อนเพลีย ดูก็รู้ว่าไม่ได้นอนทั้งคืนหรือเด็ก ๆ รบกวนเขามากไป?"ท่านคงเหนื่อยแย่ ให้ข้าจ้างพี่เลี้ยงดีหรือไม่""ไม่ ๆ ไม่ต้องหรอกถ้าทำได้ จะให้คนแปลกหน้าที่ไหนก็ไม่รู้เข้ามาอยู่ลำพังกับเด็กในบ้านได้อย่างไร" เขานั่งแผละอยู่ตรงระเบียงนอกห้องครัว ผ่าฟืนไปด้วย"แต่ท่านดูเหนื่อยมาก""ข้าแค่นอนไม่พอนิดหน่อย ไม่ใช่ว่าเด็ก ๆ กวนหรอก""อย่างนี้เอง""...ถ้าคิดว่าจะออกไปทำงาน"คนกำลังแล่ปลาปรายตามองคู่หนึ่ง เอ่ยถามต่อโดยไม่มองเขาอีก ดวงตาจดจ่ออยู่กับการปรุงวัตถุดิบ"ถ้าท่านคิดว่าไหวข้าก็ไม่ห้าม แต่อย่าฝืนเกินไปก็แล้วกัน""ช่วงกลางวันข้าจะไปทำงาน กลับมาก็จะช่วยเจ้าดูเด็ก ๆ ก็แล้วกัน"มือที่กำลังหั่นผักชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะทำต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ความรู้สึกหนึ่งวูบขึ้นมาในใจเราได้ฟังประโยคนั้น นั่นมันเหมือนกั
แม้เขาจะมาอยู่ที่นี่ได้หลายวันแล้ว แต่เขาก็พยายามฟังเรื่องเล่าชาวบ้านพูดคุยได้หลายอย่างพอจะจับประเด็กได้ว่าตัวเองอยู่แคว้นเซี่ย เขาไม่ได้หม่าเยี่ยนถิงเพราะกลัวว่านางจะสังเกตเห็นว่าเขาไม่ใช่คนในโลกนี้จริง ๆ"ยินดีด้วย ตอนนี้เรากลับกันเถอะ"จางจื่อเสวียนแสดงออกถึงความยินดีด้วยการอุ้มเด็กน้อยผู้เป็นพี่ขึ้นมากอดแนบเอว ส่วนผู้เป็นมารดาก็อุ้มบุตรสาวไว้แนบอก ดูเป็นภาพครอบครัวที่อบอุ่นนักพวกเขาเดินเคียงคู่กันกลับไปอย่างเป็นธรรมชาติ โดยที่มือหนึ่งของบุรุษร่างกำยำนั้นเข็นรถเข็นด้วยมือเดียวกลับไปด้วย คล้ายว่าภาพนี้จะเป็นที่ชินตาไปเสียแล้วสำหรับคนที่ถนนด้านหลังเป็นความอบอุ่นที่หลายครอบครัวพากันอิจฉา เพราะตนทำไม่ได้อย่างนั้น ปรารถนาให้สามีหรือภรรยาของตนอ่อนโยนและมอบความหวานให้ชีวิตเหมือนตอนยังหนุ่มสาวบ้าง แต่เวลาผันผ่านความรักก็จืดจางจึงห่างเหินกันมากขึ้น ทำได้ก็แต่ถอนหายใจรับความจริง ไม่มีใครรู้สึกตัวเลยว่าหากอยากสร้างภาพนั้นขึ้นมาก็สามารถเริ่มได้ที่ตัวเองเมื่อกลับมาถึงบ้านแล้วจางจื่อเสวียนก็ออกไปฝึกกระบวนท่าในสวนพร้อมกับรด
"ถ้าลูกรับตำแหน่งจะลาออกจริงหรือ?""แน่นอน""ท่านคิดไว้หรือยังว่าอยากไปไหน""ต่างแคว้น"ในแคว้นนี้จางจื่อเสวียนไปเที่ยวชมมาทุกเมืองตลอดสิบปีนี้หลายครั้งแล้ว ถึงเวลาต้องเปิดหูเปิดตาข้างนอกแดนเกิดของตนบ้าง"ข้าเชื่อว่าอยู่กับเจ้าข้าจะปลอดภัย" บุรุษข้างกายยิ้มเผล่จนนางอดกลอกตาใส่ไม่ได้ จะมีใครภูมิใจในตัวภรรยาได้เท่าเขาอีก"ท่านก็วางใจเกินไป หากเกิดศึกไม่พ้นเรียกตัวท่านกลับมาอยู่ดี""แคว้นนี้สงบสุขมาเป็นสิบปี ไม่เคยมีใครกล้าบุกนับแต่ข้าได้ชัย อย่าห่วงเลย""ทุกครั้งที่มีไอ้บ้าคนหนึ่งคิดแบบนี้จะต้องมีหายนะเกิดขึ้นทุกทีสิน่า"หม่าเยี่ยนถิงไม่ได้เชื่อเรื่องโชคชะตาอะไรนั่น มันก็แค่ค่าเฉลี่ยของผู้วางบทที่ไม่มีทฤษฎีด้วยซ้ำ แต่ต้องยอมรับเลยว่านางเริ่มเอนเอียงจากนิสัยเดิมตัวเองไปไม่น้อย อาจเพราะอายุที่มากขึ้นทำให้นางกังวลไปหมดทั้งที่เมื่อไม่เป็นบ่อยเท่านี้จางจื่อเสวียนประคองภรรยาเดินมาตลอดทาง บ่าวไพร่เห็นกันตั้งแต่หน้าจวนยันท้ายจวน หลังพวกเขาเดินผ่านก็รีบจับกลุ่มคุยกันถึงเรื่องรักๆ ของเ
ทว่าพอจะหันกลับมาแล้วออกไปจากช่องว่างที่นอนตรงนั้นนางก็หลุดเสียงกรี๊ดดังขึ้น เพราะได้สบตาเข้ากับมารดาที่มองอยู่"ท่านแม่! ตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่เจ้าคะ!" คนพึ่งถูกปลุกจากเสียงรบกวนนัยน์ตาหลุกหลิกคิดข้ออ้างไม่ทัน"พวกเจ้าเสียงดัง" เด็กสองคนมองหน้ากันงง ๆ มั่นใจว่าเมื่อครู่พวกตนคุยกันเสียงเบายิ่งกว่าเสียงยุง ขนาดท่านพ่อยังไม่ตื่นเลยแล้วมารดารู้สึกตัวได้อย่างไรเสียงกรี๊ดก่อนหน้านี้ของคุณหนูน้อยทำให้เวรยามมากรูกันที่หน้ากระโจม"นายท่าน ฮูหยิน เกิดอะไรขึ้นด้านในหรือไม่ขอรับ!?""ไม่ ไม่มีอะไร ลูกสาวข้าตกใจเท่านั้น พวกท่านทำงานต่อเถอะ""เช่นนั้นไม่รบกวนแล้วขอรับ" เงาที่ยืนมุงอยู่ด้านนอกห่างออกไปเรื่อย ๆ กระจายกันไปประจำจุดเฝ้ายามเหมือนเดิม มือสังหารสาวถอนหายใจเฮือกใหญ่ คืนนี้นางไม่ได้นอนแน่แล้ว..."ข้าไม่นึกว่าระดับเซียนผู้หยั่งรู้อย่างท่านแม่จะทายผิดได้จริงๆ""ข้าหวังว่าตัวเองจะทายผิดบ้าง และอีกอย่างนะลูกรัก ข้ายังไม่ได้ทายอะไรทั้งนั้น" หม่าเยี่ยนถิงสุดจะเอือมระอา ฝากลูกไว้กับแม่ย่าทุกหน้าร้อนมาสิบปี นางพลาด
"เรื่องเช่นนี้เหตุใดต้องมาถามข้า เจ้าทูลแก่ฝ่าบาทเลยจะไม่เร็วกว่าหรือ""หม่อมฉันคิดว่าแรงสนับสนุนจากฮองเฮาก็เป็นสิ่งจำเป็นเพคะ"มารดาแผ่นดินไม่เข้าใจเจตนาของนางชัดเจน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าคำพูดเมื่อครู่นั้นสะกิดใจนางอยู่ อยากรู้ว่าสตรีผู้นี้จะมาไม้ไหนกันแน่ ฮองเฮาโบกมือไล่นางกำนันทั้งหมดออกไปจากตรงนั้น เหลือเพียงแต่นางและแขกผู้มาเยือนในห้องปิดมิดชิด"เจ้าอยากให้ข้าทำอะไร""พิจารณาวันพักผ่อนของข้าราชการชั้นขุนนางเพคะ""เจ้าว่าอะไรนะ" นางไม่เคยได้ยินความคิดอะไรประหลาดแบบนี้มาก่อนเลย"ฮองเฮาฟังหม่อมฉันก่อนจึงค่อยตัดสินพระทัยก็ได้เพคะ…"หม่าเยี่ยนถิงปราศรัยความคิดของนางให้มารดาแผ่นดินฟัง จากในใจคิดต่อต้านและคัดค้านเพราะฟังดูเป็นไปไม่ได้ตั้งแต่แรก ฮองเฮาปักใจไปส่วนหนึ่งอีกด้วยว่านางช่างสามหาวนักถึงกล้ามาพูดเรื่องนี้ แต่พอได้ฟังสิ่งที่นางคิดจริง ๆ แล้วมารดาแผ่นดินก็เปลี่ยนใจ..."ต้องทำให้ข้าประหลาดใจอีกกี่ครั้งถึงจะพอนะ""เรื่องปกติแท้ๆ" หม่าเยี่ยนถิงไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ว่าสาม
เวลาอาหารของครอบครัวผ่านพ้นไป ก็ได้เวลาเข้านอน หน้าห้องมีเงาร่างที่เห็นชัดเจนว่าเป็นสตรียืนขวางอยู่ จางจื่อเสวียนไม่ได้เรียกใช้ใครจึงงุนงงร้องถามออกไป"ใคร""ข้าเอง"เสียงของภรรยาใครจะกล้าลืมลง แม่ทัพแดนเหนือรีบมาเปิดประตูให้ทันทีก่อนจะพบเข้ากับหญิงสาวในชุดเรียบ ๆ และไร้เครื่องประดับผม"เอ่อ...""ถอยสิ ข้าจะเข้าไปด้านใน"จางจื่อเสวียนเบี่ยงตัวหลบทันทีแล้วค่อย ๆ แง้มประตูปิดไว้ดังเดิม เขาหันไปมองอีกคนที่นั่งไขว่ห้ารออยู่บนเตียงด้วยอาการเก้อเขิน ซึ่งก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะเขินอายไปทำไมเช่นกัน ทั้งที่ไม่ใช่ครั้งแรกนี่จริง ๆ แล้วข้าเป็นคนแบบนี้หรอกหรือคิดไปก็เม้มปากไป แต่มุมปากดันยกค้างไม่หยุดเสียอย่างนั้น"ถวายพระพรพระพันปีเพคะ""นั่งสิ ไม่ได้พบกันเสียนาน ชีวิตสาวชาวไร่เป็นอย่างไรบ้าง"อุทยานหลวงมีผู้มาเยี่ยมเยียนอีกครั้ง ที่แห่งนี้ยังคงเป็นสถานที่โปรดของพระพันปี สิ่งที่ต่างไปหลังจากเหตุการณ์นั้นคือพระนางสามารถมาที่นี่ได้บ่อยครั้งขึ้น"สงบสุขดีดังท
หม่าเยี่ยนถิงยิ้มให้มันก่อนจะผละออกไป จอมยุทธ์หญิงมาส่งนางที่ตีนเขากว่าจะกลับมาถึงจวนของผู้เป็นสามีก็เย็นแล้ว พอเห็นผู้เป็นแม่มา สองฝาแฝดก็โดดเข้าใส่นางจนแทบหงาย รู้สึกได้ถึงความต่างของน้ำหนักตัวก่อนหน้านี้ได้เลยว่าเด็กๆ โตขึ้นมาก และโตเร็วด้วย"ท่านแม่หายไปทั้งวันเลยนะเจ้าคะ" จางหนี่เหวินคลอเคลียอยู่กับขาก็เป็นมารดา"แม่ไปเยี่ยมคนรู้จักน่ะ พวกเจ้าล่ะไปหาท่านย่ามาเป็นอย่างไร""ท่านย่าพาไปกินของอร่อยในเมืองขอรับ"วันนี้เด็ก ๆ อยู่กับแม่สามีทั้งวัน พรุ่งนี้หม่าเยี่ยนถิงต้องไปเยี่ยมและขอบคุณนางเสียหน่อย หญิงสาวจูงมือลูกคนละข้างแล้วเดินไปด้วยกัน เด็กสองคนที่นางรับมาเป็นพี่เลี้ยงเพิ่มเดินตามหลังโดยเว้นระยะห่างออกไปราวสามถึงห้าก้าวพวกเขาไม่รู้มาก่อนเลยว่าคุณหนูคุณชายที่ตนมาทำงานด้วยมีฐานะสูงส่งเพียงนี้ ทำให้เด็กชาวบ้านทั้งสองคนอดเกร็งไม่ได้ พวกเขาค่อนข้างจะสงบปากสงบคำมากกว่าเดิม เรียกได้ว่าไม่พูดเลยด้วยซ้ำ"เหรินอี้ เจียเหยา ไม่ต้องเกร็งไปหรอก ทำตัวสบาย ๆ เหมือนอยู่บ้านสวนก็ได้""ไม่ได้
ทิวเขาป่าไผ่เบื้องหน้า คือทิวทัศน์อัศจรรย์ที่นางได้เห็นเป็นครั้งที่สอง การมาถึงของบุคคลธรรมดาไม่เป็นที่สนใจของบรรดาผู้ฝึกตนนัก แต่เจ้าสำนักย่อมรู้ว่านางมา สตรีหนึ่งในกลุ่มที่เคยติดต่อกันเป็นผู้นำทางและคุ้มกันในครั้งนี้แม้สัตว์อสูรตนนั้นจะไม่ทำร้ายนางแต่สัตว์อสูรเฝ้ายามตัวเดิมของสำนักใช่ว่าจะไม่ทำร้ายนางไปด้วย พวกมันสองตัวถูกจับแยกกันไปอยู่คนละฝั่งขอบหุบเขา หากพวกมันปะทะกันขึ้นมาหุบเขาคงสะเทือน"หลังมันคลอดลูกแล้วจะเป็นอย่างไรต่อ""ในฤดูรักปีถัดไปมันอาจจะจับคู่กับตัวที่เคยอยู่เดิมหรือเลือกที่จะไม่จับคู่เลยก็ได้ ส่วนลูก ๆ ของมัน เมื่อโตพอจะจัดให้อยู่เขตหุบเขาชั้นนอก"ทำอย่างกับเลี้ยงสัตว์ทั่วไปเลยนะ สำนักนี้ก็น่ากลัวใช่ย่อยตอนนั้นหม่าเยี่ยนถิงแค่เฉียดถูกมันจะตะปบยังเสียวสันหลังวาบไม่หาย เวลานึกถึงก็ยังขนลุกอยู่เลยบันไดหินทอดยาว มีทางแยกแตกออกไป หม่าเยี่ยนถิงไม่รู้ว่ามันอยู่ตรงไหนแต่ร่างกายกลับเดินไปตามทางเหมือนมีอะไรเรียกหา สัญชาตญาณดึงดูดให้ไปเส้นทางนั้นต้นไผ่สูงยาวโค้งงอลงมาให้ร่มเงาเหมือนซุ้มประต
มีบิดาเป็นถึงแม่ทัพ ตัวนางก็ได้รับยศเป็นท่านหญิง แม้จะเป็นขั้นต่ำที่สุดแต่ก็ได้รับเกียรติมากมาย บุตรทั้งสองหากไม่ละทางโลกเข้าทางธรรม ไม่ไปพเนจรเป็นจอมยุทธ์น้อย ไม่พ้นถูกดึงไปข้องเกี่ยวกับเรื่องในวังหลังไปได้นี่ข้าคาดหวังอะไรอยู่กัน มันจบตั้งแต่สามีของหม่าเยี่ยนถิงเป็นแม่ทัพแล้ว ตัวนางก็ใช่สามัญชนธรรมดาตั้งแต่เสียเมื่อไร"ท่านอาจารย์ จะให้พวกข้าทำอะไรอีกหรือขอรับ" เด็กชายนั่งแผ่ขาอย่างไร้เรี่ยวแรง เขาแหงนหน้าขึ้นฟ้าเพื่อสูดอาการหลังจากทำท่าเดิม ๆ มาจนเมื่อยและแขนสั่นไปหมด"ไต่เชือกไปกลับคนละสิบเที่ยว""สิบเที่ยว!"ทั้งสองเข้าใจแล้วว่าบ้านไม้ครึ่ง ๆ กลาง ๆ ที่มีแต่เชือกห้อยไปมานั้นมาอยู่กลางสวนด้วยจุดประสงค์ใด"ทำช้า ๆ ไม่ต้องรีบ แค่ครบสิบครั้งก็พอ"ฝาแฝดโอดครวญเรียกนางกันใหญ่ แต่คนแซ่เยี่ยนก็หาได้สนใจไม่ ระหว่างที่พวกเขากำลังค่อย ๆ โหนตัวเองไปกับเชือกป่านทีละเส้น ๆ เพื่อไปให้ถึงฝั่งตรงข้ามแต่สายตาก็ยังสังเกตหญิงสาวที่อ้างตัวว่าเป็นอาจารย์อยู่ทุกขณะ เพราะระแวงว่านางจะสั่งอะไรแผลง ๆ อี
สาวใช้เหมียนเหมียนมองผู้มาเยือนตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสีหน้าอึ้งๆ ไม่รู้ฮูหยินของนางไปว่าจ้างใครมาถึงได้ไม่น่าไว้ใจไปทุกส่วนแบบนี้ ผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหน้านางคือสตรีสวมชุดคล่องตัวอย่างพวกชาวยุทธ์และปกปิดใบหน้าตั้งแต่ใต้ตาลงมาผู้มาเยือนกระแอมไอก่อนกล่าวด้วยเสียงทุ้ม ๆ ของสตรี "ท่านหญิงหรูเหอเชิญข้ามา ไม่ทราบว่านี่บ้านแม่นางหม่าเยี่ยนถิงหรือไม่""อะ เอ่อ เชิญด้านใน" แม้จะยังงุนงงแต่เถาเหมียนเหมียนก็ยังทำหน้าที่นำทางไปไม่ให้ขายหน้าผู้เป็นนายนางนำทางสตรีผู้นั้นมาถึงลานด้านหลังที่ฮูหยินทำไว้เป็นพื้นดินโล่งๆ สำหรับการทำกิจกรรมออกแรงในครอบครัว คุณหนูคุณชายพอเห็นคนแปลกหน้ามาก็ตัวตรงแน่ว ในมือถือดาบไม้ไว้คนละอัน แหงนหน้ามองสตรีผู้นั้นจนคอตั้งบ่า"คุณหนูคุณชายเจ้าคะ นี่ท่านอาจารย์เยี่ยนที่ท่านแม่เชิญมาเจ้าค่ะ"ทั้งสองจึงรีบโค้งลงทำความเคารพ เถาเหมียนเหมียนถอยไปยืนดูอยู่ไกล ๆ ให้ไม่รบกวนผู้เป็นอาจารย์ สตรีแซ่เยี่ยนผู้นั้นแทนจะเริ่มสอนวิชากลับให้พวกคุณชายวางอาวุธเสียอย่างนั้น แม้จะรู้สึกอยากเข้าไปคัดค้านแต่นางก็สงบปากสงบคำร
มือน้อย ๆ ดึงแก้มผู้เป็นพ่อเบา ๆ บุตรชายที่เป็นคนเกาะหลังเลยยื่นหน้ามาอีกฝั่งหนึ่งเพื่อดึงแก้มบิดายืดออกเหมือนน้องสาว ภาพนั้นทำเอาหม่าเยี่ยนถิงหัวเราะออกมาเพราะจางจื่อเสวียนก็ไม่ห้ามลูกเลย "ท่านจะค้างหรือ?" "มาถึงขนาดนี้แล้วจะไม่ให้ข้านอนด้วยสักคืนเชียว" "ข้าไม่ได้ว่าอะไรเสียหน่อย แค่ถามดูเท่านั้น" เป็นเวลาเย็นแล้ว จะให้กลับไปทั้งแบบนี้ก็กระไรอยู่ อีกทั้งนี่ก็ช่วยให้ลูกหายเศร้าจากการลาจากกระทันหันเมื่อไม่กี่วันก่อนนั้นด้วย แบบนี้เด็ก ๆ ก็เชื่อได้ว่าพวกเขาได้ลาจากกันนานนัก แต่อย่างไรวันพรุ่งนี้จางจื่อเสวียนก็ต้องรีบกลับไปทำงานราชการต่อ ห้องครัวเดิมมีขนาดคับแคบ การทำอาหารให้พวกนายท่านจึงทุลักทุเลเล็กน้อย หม่าเยี่ยนจะต่อเติมให้พวกเขาใช้งานสะดวกขึ้นพร้อม ๆ กับการขยายที่ดิน หม่าเยี่ยนถิงมาส่งเด็ก ๆ เข้านอนแล้วก็กลับออกไป นางสูดลมหายใจก่อนจะเปิดประตูห้องนอนของตัวเองที่ทำใหม่ ห้องเดิมที่เคยให้สามีใช้ก็กำลังต่อเติมอยู่เช่นกันจางจื่อเสวียนจึงต้องมานอนกับนาง พอเห็นภรรยาเข้ามาจางจื่อเสวียนก็ตบที่นอนปุ ๆ นอกจากผู้เป็นภรรยาจะไม่แสดงสีหน้าอะไรแล้วยังเดินผ่านไปนั่งสางผมหน้าโต๊ะกระจก "เย็นชาเ