เซียวหลันยวนกำลังคุยเรื่องนี้กับฟู่จาวหนิงเพระาคนที่ช่วยคนในที่ว่าการไว้ คือลุกน้องของหลานหรงหลานหรงสั่งคนส่งจดหมายกลับเมืองหลวง แล้วเจอกับพวกผู้ประสบภัยก่อเรื่องขึ้น ช่วยออกมาอย่างหวุดหวิดได้แค่คนเดียว"ให้ตายเถอะ" ฟู่จาวหนิงอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา "องครักษ์ตอนนั้นช่วยเซียวเหยียนจิ่งไม่ทันหรือ? ลูกน้องของหลานหรงน่าจะรู้จักเซียวเหยียนจิ่งกระมัง?"พอได้ยินนางถามเช่นนี้ เซียวหลันยวนจึงเอียงตัวเข้ามา มองนางนิ่งๆ"ทำอะไรน่ะ? ทำไมถึงมองข้าแบบนั้น..." ฟู่จาวหนิงถอยหลัง เขาก็ยังบีบชิดเข้ามา มือรองไปที่หลังขาเธอ ไม่ได้เธอหกล้อม"เจ้าอยากจะช่วยชีวิตเซียวเหยียนจิ่งหรือ?""ทำไมข้าต้องอยากช่วยชีวิตเขา? ข้าก็แค่อยากรู้อยากเห็นเท่านั้น ถึงอย่างไรเขาก็เป็นสายเลือดราชวงศ์คนหนึ่ง จะว่าไป ลูกน้องของเขาก็ไม่น่าจะยืนมองเขาถูกผู้ประสบภัยไปนี่นา เพราะว่าหลานหรงทางนั้นยังไม่รู้ว่าช่วงนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า?"ฟู่จาวหนิงเห็นสภาพของเซียวหลันยวนก็รู้ว่าเขาหึงเสียแล้ว อดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้"ถ้าข้าอยากช่วยชีวิตเซียวเหยียนจิ่ง วันนั้นข้าแค่ขวางท่านไม่ให้ไปแจ้งทางการก็พอแล้วไหม? ถ้าตอนนั้นพวกเราไม่แ
เซียวหลันยวนเองก็ได้ยินว่ามีผู้ประสบภัย จึงไปตรวจสอบทันทีว่าสถานการณ์เป็นอย่างไรผลคือพอไปตรวจสอบก็นำเรื่องที่ชินอ๋องเซียวทำไว้สองปีก่อนมาเทียบกันได้พอดี"บนโลกนี้มีเรื่องกรรมตามสนองหรือไม่ ข้าเองก็ไม่รู้ แต่เรื่องนี้ก็เหมือนจะมีอะไรบางอย่างมาเชื่อมโยงกันอย่างลึกลับอยู่กระมัง?""ตอนนั้นเหล่าประชาชนที่ถนนจ้าจี๋บ่นไม่พอใจชินอ๋องเซียวกันหมด เกลียดชังอย่างที่สุด เพียงเพราะเขาเป็นชินอ๋อง ข้าราชการที่นั่นมีคนหนึ่งเป็นคนจากบ้านฝ่ายหญิงของพระชายาชินอ๋องเซียว ถือว่าชินอ๋องเซียวทิ้งตาข้างหนึ่งไว้ทางนั้น เหล่าประชาชนถ้าหากกล้าเคลื่อนไหวอะไรขึ้นมา ชินอ๋องเซียวก็จะรู้""ดังนั้นพวกเขาคิดจะร้องทุกข์ก็ยังลำบาก มีประชาชนที่กล้าหน่อยถูกเลือกออกมาจะไปเรียกร้องความเป็นธรรมที่เมืองหลวง ก็ถูกฆ่าตายกลางทาง โดนเอาศพไปทิ้งที่ทุ่งร้างทั้งหมด เรื่องนี้พอมีขึ้นสักสองสามครั้ง เหล่าประชาชนก็ไม่มีใครกล้าเสนอหน้าแล้ว"เซียวหลันยวนถอนหายใจมาทีหนึ่ง "ดังนั้น ข้าสงสัยว่าในกลุ่มผู้ประสบภัยเหล่านั้น ต้องมีคนที่จำตัวตนฐานะของเซียวเหยียนจิ่งได้ พวกเขาเดิมทีคือคิดจะฆ่าเขา ไม่เช่นนั้น แค่คนในที่ว่าการคุมตัวนักโทษไปเนรเทศ
ฟู่จาวหนิงรีบปลอบประโลมเขา"การช่วยเหลือผู้ประสบภัย? เจ้าเข้าใจหรือ?"ดวงตาของเซียวหลันยวนเปล่งประกายเล็กๆ อดทวนประโยคนี้ขึ้นมาไม่ได้คำพูดนี้น่าสนใจจริงๆ เรื่องแบบนี้ นางไปเข้าใจมาจากที่ไหนกัน?ฟู่จาวหนิงใจสั่นกึกมัวแต่สนใจเรื่องปลอบ จนหลุดปากไปเสียแล้วนางน่าจะไม่มีประสบการใดๆ เลยจึงจะถูกสิ?พอเห็นสายตาเซียวหลันยวนผิดปกติ นางก็ชดเชยเข้ามาทันที "ตอนอยู่ที่ต้าชื่อเคยมีประสบการณ์ครั้งสองครั้ง ยิ่งไปกว่านั้นตอนที่องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นถูกลอบโจมตีบนถนนเมืองหลวงนั่นก็ด้วย สถานการณ์ที่สับสนวุ่นวายแบบนั้น ข้าเองก็มีประสบการณ์อยู่นะ"นางทำได้แค่เอาเรื่องตอนต้าชื่อออกมาพูดเท่านั้นถึงอย่างไรก็มีแค่ตอนนี้ที่เซียวหลันยวนไม่รู้และไม่รู้ว่าเซียวหลันยวนเชื่อหรือไม่นางลุกขึ้นยืน พุ่งเข้าไปในอ้อมกอดเขา เงยหน้ามองเขา น้ำเสียงออดอ้อน "ข้าเป็นหมอ ข้าเองก็มีหน้าที่ของข้านะ"เซียวหลันยวนมองเห็นการยืนหยัดในตาของนางช่วงนี้เขารู้เรื่องของผู้ประสบภัยมาไม่น้อยเลยจริงๆ เมืองเจ้อทางนั้นเองก็ขอความช่วยเหลือไปทางเมืองหลวงแล้วหลายครั้ง ผู้บริหารท้องถิ่นเมืองเจ้อเป็นศิษย์พี่คนหนึ่งของอันเหนียน อันเหนีย
เมืองเจ้อทางนั้นใกล้จะคลั่งแล้วหนังสือราชการขอความช่วยเหลือทั้งหมดส่งไปที่เมืองหลวงอยู่ตลอดบนโต๊ะขององค์จักรพรรดิมีหนังสือราชการกองอยู่เต็ม แต่ก็ยังไม่กลับมาประชุมเช้าขุนนางที่ปรึกษาก็รู้สึกไม่ดี เข้าไปหาองค์จักรพรรดิเพื่อเสนอความเห็นอ้อมๆ"องค์จักรพรรดิ ผู้ประสบภัยมีมากขึ้นเรื่อยๆ เมืองเจ้อทางนั้นไม่อาจจัดหาที่พักได้อีกแล้ว เราควรจะประชุมเช้ากับเหล่าขุนนางเพื่อหารือเรื่องนี้แล้วกระมัง?""ข้ายังไปประชุมเช้าไม่ได้"องค์จักรพรรดิไม่สนใจ"องค์จักรพรรดิ ต่อให้ไม่หารือเรื่องผู้ประสบภัย ต้าชื่อก็จะมีทูตเข้ามาแล้ว แคว้นหมิ่นทางนั้นก็จะมีทูตมาอีก ถึงตอนนั้นถ้าระหว่างทางเจอเข้ากับกลุ่มผู้ประสบภัยจะทำอย่างไรกัน? เรื่องนี้ต้องมาหารือกันให้ดีนะ""พวกเขาคงมาไม่ถึงเร็วขนาดนั้นกระมัง? ต้าชื่อน่าจะต้องอีกเป็นเดือน แคว้นหมิ่นทางนั้นยิ่งไกลเข้าไปใหญ่ รอพวกเขามา ผู้ลี้ภัยพวกนั้นคงไม่อยู่บนถนนแล้ว"ขุนนางที่ปรึกษาแทบจะโมโหจนเป็นลมไม่มีคนไปช่วยจัดแจงที่พักให้ผู้ประสบภัย แล้วผู้ประสบภัยพวกนั้นช่วงนี้จะหายไปหรือ?องคฺ์จักรพรรดิไม่กลัวว่าถึงตอนนั้นบนถนนจะมีพวกหิวตายหรือ? บนถนนไม่มีผู้ประสบภัยเด
ถ้าไม่ใช่ว่าป่วย จะพูดวิธีการสมองกลับแบบนี้ออกมาได้หรือ?"บังอาจ!"แค่องค์จักรพรรดิได้ยินคำนี้ กลับมีปฏิกิริยาเร็วเหลือเกิน แค่พริบตาก็เข้าใจว่าเขากำลังกังขาตนเองขุนนางที่ปรึกษารีบโค้งเอวลงทันที "กระหม่อมผิดไปแล้ว""เจ้าเองก็ไม่คิดดูหน่อย ไม่ใช่แค่เมืองเจ้อที่มีผู้ประสบภัย ยังมีอีกหลายที่ที่มีผู้ประสบภัย ถ้าหากทั้งหมดต้องให้ข้าควักเงินมาเลี้ยงพวกเขา เช่นนั้นคลังหลวงก็ว่างเปล่าน่ะสิ!""องค์จักรพรรดิ ภาษีจากประชาชนก็ต้องใช้ที่ประชาชน""เหอะๆ" องค์จักรพรรดิหัวเราะเย็นชา "จะให้ข้าส่งคนไปตรวจบ้านของเจ้าไหม?"ขุนนางที่ปรึกษาพูดมาเหมือนจะน่าฟัง เหมือนเขาเป็นขุนนางที่ทำเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง ถ้าภาษีที่เก็บมาทั้งหมดต้องเอาไปใช้บนตัวประชาชน แล้วพวกขุนนางที่ปรึกษาจะไม่ละโมบกันหรือ?คนอื่นคิดว่าเขาไม่รู้ ขุนนางที่ปรึกษามีอยู่เยอะจะตาย!เพียงแต่เขารู้สึกมาตลอด น้ำใสเกินไปก็ไม่มีปลา คนเราเองก็เช่นกัน การจะหาขุนนางที่ซื่อสัตย์สุจริตจริงๆ เป็นเรื่องยากมาก มันก็มีพวกแบบที่พูดอะไรทำอะไรก็น่ารังเกียจไม่เป็นที่พอใจ อย่างเช่นอันเหนียน เขารังเกียจมาก! ดังนั้นนี่จึงจะทำให้ขุนนางที่ปรึกษานั่งอยู่ใ
เฉินฮ่าวปิง?ฟู่จาวหนิงงงงันไปแล้วนางหลายวันนี้ยุ่งแต่เรื่องหมอเทวดาหลี่กับเซียวเหยียนจิ่ง บวกกับเรื่องผู้ประสบภัย ก็เกือบจะลืมไปแล้วว่ายังมีเฉินฮ่าวปิงนี่อีกคน"นางส่งเทียบเชิญให้ข้า? เชิญข้าเนี่ยนะ?"นางไม่อยากจะเชื่อเลยเดิมทีก็คิดว่าเฉินฮ่าวปิงคนนี้พอได้ตัวตนฐานะท่านหญิงไป น่าจะพยายามไม่โผล่มาตรงหน้านาง แล้วรีบไปจัดการเรื่องเส้นสายของตัวนางเอง จัดงานแต่งดีดีขึ้นมา ใครจะคิดว่าแค่ไม่กี่วัน เฉินฮ่าวปิงก็โผล่มาตรงหน้านางแล้วหงจั๋วส่งชาร้อนเข้ามา และได้ยินเรื่องนี้พอดี จึงพูดขึ้นอย่างอดไม่อยู่ "ข้าน้อยได้ยินคนพูดเรื่องนี้มาบ้างเหมือนกัน แม่นางเฉินช่วงนี้พยายามหาเพื่อนใหม่อย่างเต็มที่ แล้วยังไปซื้อของบ่อยด้วย ข้างกายมักจะมีคุณหนูอยู่ด้วยคนสองคน""โอ๋?" ฟู่จาวหนิงสนใจขึ้นมา "นางมีเงินขนาดนั้นเชียว?""ไม่ทราบเจ้าค่ะ แต่ได้ยินว่า คุณหนูเหล่านั้นล้วนได้รับงานปักของพวกนางแม่ลูกด้วย นอกจานี้เวลาออกไปกินข้าวดื่มน้ำชา แม่นางเฉินเองก็ช่วยจ่ายเงินอยู่บ่อยครั้ง""งานปักของพวกนางนั้นก็ไม่เลวจริงๆ นั่นล่ะ"อันที่จริง ถ้าแม่ลูกฮูหยินเฉินอยากจะอยู่ในเมืองนี้จริงๆ ก็ไม่ใช่จะทำไม่ได้ งานปักขอ
เขาไปแล้วก็ดีเหมือนกัน ฟางซือฉิงตอนเผชิญหน้ากับเขาก็ดูกลัวอยู่ อยู่ต่อหน้าเขาก็ดูจะไม่ค่อยกล้าพูด นางเมื่อครู่ก็กล้ามองแค่ฟู่จาวหนิง กระทั่งเหลือบมองเซียวหลันยวนสักหน่อยก็ยังไม่กล้าเลยเพียงแต่พอเซียวหลันยวนออกไปแล้ว ในใจฟางซือฉิงกลับรู้สึกประหลาด เมื่อครู่อ๋องเจวี้ยนไม่ได้ใส่หน้ากากใช่ไหม? น่าจะไม่ได้ใส่กระมัง?แต่ใบหน้าไม่ใช่ว่าต้องน่ากลัวหรอกหรือ?นางหันหน้ามองออกไป ก็เห็นเพียงแผ่นหลังของเซียวหลันยวนที่ยืดตรงเท่านั้น"ซือฉิง?"ฟู่จาวหนิงเรียกนางขึ้นมาฟางซือฉิงรีบดึงสติกลับมา "ข้าไม่ได้คิดจะมองอ๋องเจวี้ยนนะ..."นางอธิบายขึ้นมาด้วยสัญชาตญาณฟู่จาวหนิงหัวเราะ กวักมือ "มานั่งนี่มา"หงจั๋วรีบเข้ามารินชา"ไม่เจอกันนานเลย ขอโทษด้วยนะ หลังจากกลับมาแล้วเรื่องก็เยอะมาก เลยไม่ได้ออกเมืองไปเล่นกับเจ้าเลย"ฟู่จาวหนิงอันที่จริงก็รู้สึกเชิงขอโทษหน่อยๆ ฟางซือฉิงจะอย่างไรก็ถือเป็นเพื่อนคนแรกในแคว้นเจาของนาง นางออกไปต้าชื่อกว่าครึ่งปี หลังจากกลับมาก็ไม่ได้ไปหานางเลยแต่ว่า นางก็ให้คนส่งของขวัญไปที่บ้านตระกูลฟางแล้ว ของดีที่นำมาจากต้าชื่อฟางซือฉิงได้ยินนางขอโทษอย่างใจกว้างขนาดนี้ กลับรู
ฟางซือฉิงกลัดกลุ้มหน่อยๆ "ถึงอย่างไรก็เป็นท่านหญิง พวกเราเองก็ไม่กล้าปฏิเสธ ดังนั้นข้าจึงตอบรับเข้าร่วม แต่ก็ยังกังวลอยู่บ้าง""ข้าเองก็จะไปด้วย"ฟู่จาวหนิงหยิบเทียบเชิญที่นางได้รับมา "ดูสิ""เจ้าเองก็ได้หรือ?""ใช่เลย ก่อนหน้าที่เจ้าจะมาก็เพิ่งได้รับ ดูท่าท่านหญิงปิงอวี้จะเอาข้าวางไว้หลังสุดเลย"ฟู่จาวหนิงรู้สึกน่าขำ ดูท่า เฉินฮ่าวปิงยังคง 'ให้ความสำคัญ' กับนางมากที่สุดอยู่ หลังจากเชิญทุกคนหมดแล้ว ถึงเพิ่งส่งเทียบเชิญมาให้นาง แบบนี้ถึงจะรู้สึกปลอดภัยกว่าหน่อยหรือ?พอมีองค์หญิงหนานฉืออันชิงกับฟางซือฉิง เฉินฮ่าวปิงถึงรู้สึกว่านางน่าจะไปสินะหรือก็คือ เฉินฮ่าวปิงยังลงความคิดมาทำความเข้าใจกับนางอีก ถึงอย่างไรก็ยังรู้สถานการณ์เพื่อนๆ นางบางส่วนอยู่"เจ้ากับท่านหญิงปิงอวี้คนนี้ ไม่ค่อยญาติดีกันเท่าไรสินะ?" ฟางซือฉิงถามขึ้นตรงๆเพราะได้ยินน้ำเสียงของฟู่จาวหนิง เหมือนจะรู้จักท่านหญิงคนนี้ แต่ว่าความสัมพันธ์คงไม่เท่าไร"ความสัมพันธ์ไม่ค่อยดีจริงๆ นั่นล่ะ เหมือนางจะเคียดแค้นข้าอยู่""หา? ถ้าอย่างนั้นท่านหญิงปิงอวี้คนนั้นก็คงไม่ใช่พวกดีเด่อะไรสินะ" ฟางซือฉิงพูดออกมาอย่างหนักแน่นทันที
ส่วนฟู่จาวหนิงเองก็มองมาทางเขา เพราะเซียวหลันยวนไม่ได้ยื่นมือมาประคองนางในตอนแรก แต่กลับมองนางอย่างงงงันหน่อยๆฟู่จาวหนิงยังไม่รู้ว่าตอนนี้เขากำลังคิดอะไร ใจก็ดำดิ่งหน่อยๆยังดีที่ตอนนางมองไปอีกครั้ง เซียวหลันยวนก็ยื่นมือมาดึงนางลุกขึ้นแล้ว จากนั้นไข่มุกหมึกในมือนางก็ส่งคืนไปยังเจ้าอาราม"คืนให้ท่าน"พริบตาที่เจ้าอารามยื่นมารับ เสียงเปรี๊ยะก็ดังขึ้น ไข่มุกหมึกลูกนั้นแตกละเอียดกะทันหันคนทั้งหมดล้วนตกตะลึง มองไปทางเศษหินที่รวงลงมานั่นพวกเขาล้วนถือไข่มุกหมึกกันมาแล้ว เดิมทีก็ยังดีดีอยู่ ไม่มีรอยร้าวอะไรเลย ยิ่งไปกว่านั้นตัวลูกปัดหยกก็ตันและแข็งแกร่ง หล่นลงพื้นก็ไม่แน่ว่าจะแตกด้วยซ้ำแต่ตอนนี้จู่ๆ มันก็เป็นแบบนี้ไปแล้วเจ้าอารามโค้งตัวลงเก็บชิ้นส่วนหยกขึ้นมา หยิบขึ้นมามองๆ"ไข่มุกหมึกทำนายดารา ข้าเองก็เหลืออยู่แค่เม็ดเดียวด้วย"อยู่กับเขามาหลายสิบปี ใช้มาก็ตั้งหลายครั้ง ตอนนี้จู่ๆ ก็แตกเสียแล้วเซียวหลันยวนยื่นมือตัวเองออกมา "ข้าไม่ได้ออกแรงนะ""แล้วก็ไม่เหมือนบีบจนแตกด้วย"เจ้าอารามพูดพลางมองไปทางฟู่จาวหนิงฟู่จาวหนิงหรุบตาลง เศษหินบนพื้นเหล่านั้น "หรือพวกท่านสงสัยว่าข้าทำ
เจ้าอารามสูดลมหายใจลึก"ผลลัพธ์นี้ไม่ค่อยดีนัก สิ่งที่มันชี้นำไป ทำให้อายวนเดินไปยังทางเลือกที่จะพาสู่ความพินาศ"พอได้ยินคำพูดเขา ฟู่จาวหนิงก็หน้าเปลี่ยนสีแต่นางกลับโมโหขึ้นมา"เฮอะ"ก่อนหน้านี้นางยังรู้สึกว่าจะอย่างไรก็ได้แต่ว่าตัวนางจะเป็นอย่างไร นางก็ยังไม่สนใจได้ เพราะนางไม่ใส่ใจ และไม่เชื่อว่าสิ่งเหล่านี้จะส่งผลกระทบกับตัวนางแต่เรื่องดันไปอยู่บนตัวเซียวหลันยวน นางก็ไม่ชอบใจขึ้นมาแล้วยิ่งไปกว่านั้น นางไม่รู้ว่าเซียวหลันยวนจะได้รัรบผลกระทบไหม ตัวนางเป็นคนที่ผ่านการข้ามภพมา แต่เขาไม่ใช่"อายวน" นางยื่นมือไปประคองเซียวหลันยวนเขาจับมือนางลุกขึ้นยืน มองดุนาง ยื่นมือลูบใบหน้านาง สีหน้าดูซับซ้อน"เจ้าลองดู"ฟู่จาวหนิงใจดำดิ่งหน่อยๆเพราะเขารู้สึกแปลกไปอย่างเห็นได้ชัด ปฏิกิริยานี้คือถูกส่งผลกระทบเข้าแล้วเมื่อครู่เขายังบอกนางอยู่เลยว่าถ้าไม่อยากคะเนทำนายก็ไม่ต้องทำ ตอนนี้เขากลับบอกว่าให้ลองดูเสียแล้วจิตใจต่อต้านกับความอยากเอาชนะของฟุ่จาวหนิงถูกกระตุ้นขึ้นมาแล้ว"ได้"นางขานรับ และไม่ลังเลอีก นั่งลงตรงหน้ามิติดาราทั้งสามผืนนั้น"ไข่มุกหมึก"เซียวหลันยวนส่งไข่มุกหมึก
เขาไม่อยากให้นางต้องฝืนตัวทำอะไรเพื่อตัวเขา"ข้ายินยอมทดสอบดู ไม่เป็นไร" ฟู่จาวหนิงบอกเขาเซียวหลันยวนชะงักไป "เช่นนั้นข้าก่อนแล้วกัน เจ้าลองดูผลลัพธ์ของข้าก่อนว่าเป็นอย่างไร แล้วค่อยตัดสินใจ"ตอนนี้เขาเองก็ยอมที่จะคะเนทำนายด้วย เพราะคำพูดประโยคนั้นที่เจ้าอารามพูดเมื่อครู่สามปีก่อนตอนที่เขาจะกลับเมืองหลวง ก็มีการวัดคะเนดาราไว้จริงๆ ทำให้เขารู้สึกได้อย่างชัดเจน ว่าเขาควรจะออกจากยอดเขาโยวชิงเวลานั้น และไปถึงเมืองหลวงในวันนั้นเขาเจอกับจาวหนิงถอนหมั้นกลางถนนในวันนั้น แต่งงานกับนางในวันนั้น ตอนนี้พอมาคิดก็ดูจะเป็นคู่รักวาสนาที่ฟ้าประทานมาจริงๆเพื่อความแม่นยำครั้งนี้ เขาเองก็ไม่กังขากับการวัดคะเนดาราเซียวหลันยวนนั่งขัดสมาธิลงตรงหน้ามิติดาราทั้งสามชิ้น ยื่นมือไปทางเจ้าอาราม "ไข่มุกหมึก""เจ้าจำไว้ด้วยว่าต้องขจัดสิ่งรบกวนออก อย่าต่อต้านการชี้นำ" เจ้าอารามส่งไข่มุกหมึกให้เขา จากนั้นจึงจุดธูปขึ้นเซียวหลันยวนหลับตา สองมือกุมไข่มุกหมึกตอนที่เขาเข้าสู่สภาวะลืมตนอย่างสมบูรณ์ ฟู่จาวหนิงก็แหงนหน้ามองท้องฟ้าด้วยสัญชาตญาณ เหมือนจะพบว่าแสงดาวเต็มท้องฟ้าจะสว่างเจิดจ้ากว่าเดิมเซียวหลันยวน
เจ้าอารามถอนใจอย่างจนใจอีกครั้ง ร้องเรียกพวกเขาไว้"กลับมาก่อน ทำไมพูดไม่ถูกหูหน่อยเดียวก็จะไปแล้วล่ะ? เดี๋ยวนี้อารมณ์ขึ้นง่ายขนาดนี้เชียว? ข้าก็แค่พูดเฉยๆ ไม่ใช่ว่ามองเสี่ยวฟู่แบบนี้เสียหน่อย"ฟู่จาวหนิงเองก็ยืนนิ่ง นางดึงเซียวหลันยวนไว้ตอนนี้นางเองก็น่าจะมองการวัดคะเนดาราของเจ้าอารามเป็นเหมือนเกมลึกลับเกมนึง เมื่อครู่ที่เห็นการเปลี่ยนแปลงขององค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้น นางรู้สึกอยากรู้อยากเห็นมากยิ่งไปกว่านั้น ฟู่จาวหนิงรู้สึกว่าเจ้าอารามทำให้นางจับทางไม่ถูกเหมือนกัน คนผู้นี้ต้องมีตัวตนที่ไม่ธรรมดาสำหรับเซียวหลันยวนแน่นอนสำหรับฮูหยินเฉิง เซียวหลันยวนบทจะไม่ยอมรับก็ไม่ยอมรับได้ จะหมดความผูกพันนั่นก็หมดไป แต่สำหรับเจ้าอารามนั้นไม่ได้เด็ดขาดไม่เช่นนั้นคงไม่พานางเดินทางนับพันลี้มายอดเขาโยวชิงแค่เพราะคำๆ เดียวของเจ้าอารามหรอกนางเองก็อยากรู้มาก สาเหตุอะไรที่ต้องให้พวกเขามาทำนายชะตาอะไรนี่ เจ้าอารามคิดจะทำอะไรกันแน่นอกเหนือจากนี้ ตัวนางเองก็ยังอยากรู้ ว่าการที่นางมายังแคว้นเจานี่ เป็นเพราะมีพลังลึกลับอะไรหรือเปล่าถ้าไม่ทำให้ชัดเจน หลังจากนี้นางคงจะตั้งรับไม่ไหวองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นถึ
เขามองไปทางเจ้าอารามอีกครั้ง น้ำเสียงเข้มงวดขึ้นมา"ท่านน้าเฉิงถ้าพูดแบบนี้จริง เช่นนั้นสายตานางก็ตื้นเขินไม่รู้จักกาลเทศะ นางเองก็ไม่เข้าใจจาวหนิง และยิ่งไม่เข้าใจว่าจาวหนิงผ่านอะไรมาบ้าง แล้วมีสิทธิ์อะไรถึงใช้ความคิดของตัวเองมาสรุป ดูท่าหลายปีนี้คงถูกเอาอกเอาใจในเมืองจื่อซวีจนเสียคนแล้วจริงๆ"เดิมทีเขาได้ยินว่าฮูหยินเฉิงตาแดงก่ำลงจากเขาไป ยังเคยคิดว่าว่าเพราะช่วยนี้เย็นชากับนางมากเกินไปหรือเปล่า เอาไว้ตอนที่จะกลับ พอผ่านอุทยานเขาเฉิงอวิ๋น ยังคิดจะเข้าไปบอกลานางเสียหน่อยแต่ตอนนี้เขารู้สึกแล้วจริงๆ ว่าใจคนมันพังไปแล้ว เช่นนั้นก็ยากที่จะได้รับการเคารพจากคนอื่นจริงๆ"ข้าจดจำได้ว่าตอนที่ข้ายังเล็กท่านน้าเฉิงเคยมาดูแลอยู่หลายครั้ง แต่อันที่จริงพวกเราก็ไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น หลังจากข้าโตมา พวกเราก็เจอกันน้อยครั้งมาก เจอกันก็เพียงแค่ทักทาย ข้าเรียกนางว่าท่านน้า ก็เพราะเคยชินมาจากตอนเด็กเท่านั้น"เซียวหลันยวนตอนพูดถึงจุดนี้น้ำเสียงก็เย็นลงมา"ตอนยังเล็กนางดูแลข้ามาหลายครั้ง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอาเจ้าอุทยานกำชับไว้ ข้าจึงเคารพนาง แต่นางก็ควรวางตัวให้ถูก ไม่ใช่จะขึ้นมาเป็นผู้อาวุโสของข้าจริ
สายตาที่องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นมองเซียวหลันยวนดูซับซ้อนมาก ดูลังเล กำลังตัดสินใจและดูเจ็บปวดทรมานมากแต่หลังจากนี้นางกลับละทิ้งเรื่องที่จะกลับเมืองหลวงหาคนอื่นหรือกระทั่งเรื่องไปแคว้นหมิ่น แล้วิคดจะอยู่ข้างกายเจ้าอารามแทนหรือ?นี่มัน...ฟู่จาวหนิงพูดไม่ออกไปชั่วขณะ ไม่รู้ว่าการเปลี่ยนความคิดกะทันหันของนางมันเกิดขึ้นมาได้อย่างไรตอนนี้นางกลับรู้สึกอยากรู้อยากเห็นต่อวัดคะเนดารานี้เสียแล้ว องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นสัมผัสได้ถึงอะไรกันนะ?"องค์หญิงใหญ่พักอยู่ที่นี่สองสามวันก่อนก็ได้ เอาไว้ค่อยว่ากัน"เจ้าอารามเหลือบมองกระจกทรงมุมที่แสงดับไปแล้วผาดหนึ่ง จากนั้นก็มองใบหน้าองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้น แอบถอนหายใจในใจเขาเองก็ทำไม่สำเร็จ บิดชะตาฝูอวิ้นกลับมาไม่ได้ชั่วคราวผิดพลาดตรงไหนกันแน่นะ?เจ้าอารามมองต่อไปทางฟู่จาวหนิง จากการทำนายส่วนตัวของเขา ทำนายไปทำนายมา ต้นกำเนิดตัวแปรทั้งหมดก็คือฟู่จาวหนิงดังนั้น เรื่องที่เกี่ยวกับฟู่จาวหนิง เขาต้องมาขบคิดให้ดีจริงจัง""เจ้าอารามรับข้าไว้เถอะ แม้ข้าจะทำอะไรไม่เป็นเลย แต่ก็ยังเรียนรู้ได้ ข้าเรียนรู้ทำกับข้าว จริงด้วย ข้าเป็นแแม่สื่อได้ด้วยนะ หลังจากนี้ชายเส
บนพื้นมีสามจุดเปล่งแสงขึ้นรางๆ ปรากฏรูปร่างสามแบบคือ แปดเหลี่ยม ทรงกลม ทรงมุมฟู่จาวหนิงเดินเข้าไปสองก้าว จึงพบว่านั่นเป็นกระจกหลากสีเรียบลื่นสามชิ้นสลักฝังอยู่บนพื้น ใต้กระจกน่าจะเป็นหินหยกผิวเรียบ และระหว่างหยกกับกระจกมีของเหลวสีแดงเจือสีเงินไหลเอื่อยๆ อยู่ยิ่งไปกว่านั้น เพียงไม่นาน ด้านบนยังมีแสงระยิบเหมือนดวงดาว ราวกับจำลองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยแสงดาวออกมาเจ้าอารามเดินเข้าไปใกล้ กวักมือให้กับองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้น"มานี่"องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นก็ค่อนข้างว่าง่าย เดินเข้าไปทันทีเจ้าอารามส่งลูกปัดหยกสีดำเม็ดหนึ่งให้นาง"นั่งขัดสมาธิ กำลูกปัดเม็ดนี้ไว้ สัมผัสดูว่ามันนำเจ้าไปยังมิติดาราไหน แล้วจงชี้ออกมา"องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นไม่ค่อยเข้าใจ แต่ก็ทำตามที่เขาบอกนั่งลงขัดสมาธิบนพื้น สองมือกุมลูกปัดนั้น ตั้งสมาธิสัมผัสผ่านไปครู่หนึ่ง นางจึงหันหลังอย่างลังเลไปทางทรงมุมนั้น"ทางนี้"ฟู่จาวหนิงยืนมองอยู่ข้างๆจากที่นางเห็น เจ้าอารามเหมือนคนที่กำลังเล่นละครหลอกคนอย่างไรอย่างนั้น เรื่องแบบนี้จะทำนายดวงชะตาออกมาได้อย่างไร?กำลูกปัดลูกหนึ่งไว้ ก็สามารถชักนำให้ตนเองเลือกกระจกหลากสีแผ่นไหนแบ
ดาวสองดวงนั้นประกายจ้ามาก แล้วยังอยู่ใกล้มากด้วย ส่องประกายให้กันและกัน เหมือนขานรับกันและกันไม่รู้เพราะอะไร พอเห็นดาวสองดวงนี้ ฟู่จาวหนิงรู้สึกมีความสุขขึ้นมานางมองไปทางเซียวหลันยวน ถามขึ้นเสียงแผ่วเบา "ท่านเห็นดาวดวงไหนหรือ?"เซียวหลันยวนไม่ตอบ แต่กุมมือนางมัน จับนิ้วนางชี้ออกไป"เอ๋?"ที่เซียวหลันยวนชี้ก็คือดาวสองดวงนั้น!หรือพวกเขาจะมองเห็นแบบเดียวกัน?แน่นอนว่าอาจจะเพราะดาวสองดวงนั้นสว่างไสวมากที่สุด คนอื่นเองก็อาจจะมองเห็นพวกมันด้วยฟู่จาวหนิงคิดเช่นนี้ เลยมองไปทางองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้น แต่กลับเห็นนางมองไปทางอื่นนางมองไล่ตามสายตาองค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นไป ตรงนั้นมีดาวดวงหนึ่ง สว่างอยู่เหมือนกัน แต่ดาวที่อยู่รอบๆ เล็กเอามากๆ จึงส่องระยับอยู่เพียงดวงเดียวที่องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นมองอยู่น่าจะเป็นดวงนั้นกระมัง?ตอนที่นางจะเก็บสายตาก็กวาดไปเห็นซางจื่อพอดี และเห็นซางจื่อก็กำลังมองท้องฟ้า แต่สายตาของเขาดูสับสน สีหน้าเองก็ตกตะลึงไปฟู่จาวหนิงคิดๆ ถอยหลังสองก้าวไปอยู่ข้างๆ ซางจื่อซางจื่อเก็บสายตากลับ มองไปทางนาง ไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ นางก็มาอยู่ข้างๆ"ซางจื่อ เจ้าชอบดาวดวงไหน?"ซา
"แต่ก่อนท่านเคยเห็นเขาระบำมาก่อนไหม?""ไม่มีเคยเลย"ตอนที่พวกเขาหยุดเท้ายืนมอง องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นก็มาถึงข้างกายพวกเขานางเองก็มองการร่ายรำบนแท่นชมดาว สายตาดูเคลิบเคลิ้มหน่อยๆ"ข้าได้ยินว่า แต่ก่อนตงฉิงก็มีระบำทำนายดวงดาวอยู่ประเภทหนึ่ง คิดค้นขึ้นมาโดยตระกูลราชครูตงฉิง นี่เป็นระบำที่ลึกลับมาก จังหวะก้าวเท้าทุกก้าวล้วนพิถีพิถัน นำมาซึ่งพลังแห่งดวงดาว ทำให้ผู้ทำนายดวงดาวมีพลังที่ลึกลับมากขึ้น ผลลัพธ์การทำนายเองก็แม่นยำขึ้น"องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นเองก็ลืมสิ่งที่เซียวหลันยวนพูดไว้เมื่อครู่ เรื่องที่ไม่ให้นางเข้ามาใกล้นัก แต่มายืนอยู่ข้างกายพวกเขา พูดเรื่องที่ตนเองรู้มาก่อนหน้านี้ออกมาอย่างอดไม่อยู่"ตระกูลราชครูของตงฉิง?" ฟู่จาวหนิงเหลือบมองนางผาดหนึ่ง"ใช่ นี่เป็นสิ่งที่ข้าได้ยินองค์จักรพรรดิของข้าบอกมา" องค์หญิงใหญ่ฝูอวิ้นพอเห็นว่านางยอมพูดกับตนเอง ก็รู้สึกเหมือนได้รับเกียรติจนประหลาดใจขึ้นมา "ยิ่งไปกว่านั้นข้าก็ได้ยินว่าองค์จักรพรรดิข้าค้นหาตระกูลราชครูตงฉิงอยู่ตลอด ว่ากันว่า ตระกูลราชครูนั้นรู้ความลับมากมายของตงฉิง สามารถช่วยให้อาณาจักรมั่นคงได้ด้วย"เซียวหลันยวนร้องเฮอะขึ้นมาต้