ทุกครั้งที่ซูมี่นางเข้ามาในมิติ ฟาไฉกับไฉฟู่จะออกจากป่ามาอยู่กับนางด้วยทุกครั้งและครั้งนี้ซูมี่นางพาทั้งสองตัวเข้าไปนอนในห้องกับนางด้วย"นายหญิงป่าชั้นกลางเปิดแล้วขอรับ" ฟาไฉบอกเรื่องที่มิติปลดล็อกป่าชั้นกลางออกแล้ว"เป็นไปได้อย่างไร" เพราะนางไม่รู้ว่าไปช่วยคนมากถึงสามร้อยคนในตอนไหน"นายหญิง ท่านนำผักผลไม้ออกไปขาย ชาวบ้านที่กินของท่านร่างกายก็แข็งแรงขึ้นมาก็นับว่าเป็นการช่วยคนแล้วเจ้าค่ะ" เป่าเปาที่นอนกลิ้งอยู่บนที่นอนเอ่ยขึ้น"เช่นนั้นหรือ" หนึ่งคน หนึ่งทูต สองตัว ต่างนัดวันที่จะเข้าไปสำรวจป่าชั้นกลางแต่ครั้งนี้นางไม่คิดจะพาใครไปด้วย เพราะฟาไฉบอกว่าด้านในอันตราย หากมีคนมากเกินไปตัวฟาไฉก็อาจจะดูแลได้ไม่ดีรุ่งเช้าทุกคนก็ออกจากในมิติแล้วไปจัดการงานของตนเอง ต้าหลางให้เสี่ยวซานนำผักไปส่งที่เหลาอาหารเฉิงไฉ ก่อนที่พวกตระกูลจางจะตื่นนอน ผลไม้ที่ส่งไปยังร้านขายก็นำไปส่งได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดยให้เสี่ยวซานแจ้งเรื่องกับหลงจู๊หม่าว่าช่วงนี้ตนจะนำผักมาส่งเอง และให้เสี่ยวอีจัดการเรื่องภายในร้านผลไม้ไปก่อน หากลูกค้าไม่พอใจ ให้ลงชื่อแจ้งไว้แล้วจะส่งตามไปให้ที่เรือนในภายหลังนางไฉ่หงเมื่อตื่นแ
เมื่อเดินกลับมาที่เรือน ตระกูลจางที่เก็บของกันอยู่ก็ยังมิได้ออกมา ซูมี่เดินตามมารดาเข้าไปที่ห้องของท่านตาท่านยาย ก็เห็นทั้งคู่นั่งร้องไห้อยู่ภายในห้อง"ท่านพ่อท่านแม่ ข้าขอโทษเจ้าค่ะ เรื่องที่ผ่านไปแล้วข้าจะไม่พูดถึงอีก" นางจางกุ้ยเอ่ยขอโทษ"เป็นแม่ที่ผิดต่อเจ้า""ท่านแม่อย่าได้พูดอีกเลยเจ้าค่ะ" นางยอมรับว่าผิดหวังกับคำพูดของมารดาที่เข้าข้างพี่สะใภ้ในวันนี้ แต่ถึงอย่างไรนางก็คือมารดาที่ให้กำเนิด"ท่านพ่อ ท่านเก็บไว้เถิดเจ้าค่ะ นี่คือความกตัญญูสุดท้ายของข้า" ซูมี่ส่งตัวเงินให้มารดาหนึ่งหันตำลึง เพื่อยื่นให้ท่านตาของนาง"พ่อจะรับของเจ้าไว้ได้อย่างไร" ผู้เฒ่าจางดันมือของจางกุ้ยกลับไป"ท่านพ่อรับไว้เถิด ข้าหวังว่าเงินก้อนนี่ท่านจะเก็บไว้ใช้" นางจางกุ้ยมองไปที่มารดาของนางซูมี่แตะแขนมารดาเพื่อเรียกสติ เพราะให้ไปแล้วไม่ว่าหลังจากนี้ ท่านตาของนางจะใช้เรื่องใดก็ไม่เกี่ยวกับพวกนางแล้วผู้เฒ่าจางรับเงินจากมือจางกุ้ยมาเก็บไว้ในอกเสื้อ ก่อนที่เขาจะลุกขึ้นเพื่อกลับเรือนของตน"ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านกินข้าวเสียก่อนข้าจะให้เสี่ยวเอ้อไปส่งพวกท่าน" นางจางกุ้ยช่วยประคองมารดาออกจากห้องเพื่อไปกินอาหารทั
เพียงเดือนกว่าผ่านไป ทหารในกองทัพก็ต้องตกใจ เมื่อข้าวที่พวกเขาบอกไว้พร้อมเก็บเกี่ยวแล้ว และผลผลิตที่ได้ก็มากพอให้คนในกองทัพกินไปได้หลายเดือนปลูกครั้งเดียวก็ได้มากมายถึงเพียงนี้ แถมใช้เวลาไม่มากอีกด้วย ผักก็เช่นกันเก็บเกี่ยวรอบแรกไปแล้ว ทหารที่ได้กินล้วนสามารถฝึกได้ยาวนานกว่าเดิม เมื่อฝึกเสร็จก็รู้สึกว่าไม่ได้อ่อนล้าเช่นที่ผ่านมาซูมี่ที่อยู่ภายในมิติตอนนี้นางกำลังเริ่มสำรวจป่าชั้นกลาง โดยมีฟาไฉกับเป่าเปาที่ติดตามไปกับนางด้วยไฉฟูนางไม่ได้ตามมาด้วยเพราะกำลังตั้งท้องอยู่ตลอดทางมีต้นไม้และสัตว์ป่ามากกว่าที่พบเห็นจากป่าด้านนอก ยิ่งสมุนไพรอย่างโสมพันปียังมีให้เห็นอยู่มากมาย ซูมี่กำลังจะถามทั้งสองว่าพื้นที่ป่าชั้นกลางผู้ใดเป็นคนดูแลเสียงคำรามของสัตว์ป่าก็ดังก้องไปทั่วป่า เพียงทั้งสามเหยียบเข้าไปครึ่งทาง"เสียงอันใด" ซูมี่นางชะงักเท้า แล้วเอ่ยถามอย่างหวาดกลัวแม้จะเป็นมิติของนาง แต่เสียงที่ได้ยินก็รู้ว่าเป็นเสียงของสัตว์ใหญ่ยังไม่เห็นตัวก็รู้ว่าน่ากลัวแล้ว"นายหญิง" เป่าเปาร้องเรียกซูมี่ เมื่อมีหมีควายตัวใหญ่กว่านางถึงสามเท่าวิ่งมาทางที่นางอยู่ฟาไฉ เดินเข้ามาขวางหน้าซูมี่พร้อมทั้งแยกเขี้ย
เมื่อซูมี่ออกมาจากภายในมิติ นางจางกุ้ยก็เดินเข้ามาหาบุตรสาวในห้องเพื่อนำจดหมายที่ฮุ่ยหมิ่นส่งมานำมาให้ซูมี่ แต่นางจางกุ้ยก็ต้องตกใจเมื่อเห็นซูมี่ที่หายเข้าไปในมิติทั้งวัน ออกมาแล้วมีรูปร่างที่เปลี่ยนไป"มี่เออร์เจ้า" จางกุ้ยแทบไม่อยากเชื่อว่าคนตรงหน้าคือบุตรสาวของนาง เพราะนางงดงามเกินกว่าจะเป็นบุตรสาวของนางได้"ท่านแม่ข้าขอยืมเสื้อผ้าท่านได้หรือไม่" นางจางกุ้ยต้องกลับห้องเพื่อไปเอาเสื้อผ้ามาให้บุตรสาวโม่ลี่ที่เข้ามาช่วยซูมี่เปลี่ยนเสื้อผ้ายังเผลอจ้องมองใบหน้าของคุณหนูอยู่เสียนาน"ข้าว่าข้าต้องไปซื้อเสื้อผ้าเสียใหม่แล้ว" ซูมี่มองชุดมารดาที่นางสวมใส่แล้วถอนหายใจ"คุณหนูจะออกไปข้างนอกจริงหรือเจ้าค่ะ" ซูมี่หันไปมองโม่ลี่อย่างแปลกใจ"หากข้าไม่ไปซื้อด้วยตนเอง ใช่แล้ว ข้านำผ้าออกมาให้ป้าอวี้ตัดให้ก็ได้" ซูมี่เมื่อคิดได้ก็รีบพาโมลี่ออกไปพบป้าอวี้ เพื่อวัดขนาดตัวนางผ้าไหมที่นำมาจากในมิติ มาจากยุคของนาง ความสวยงามและเนื้อผ้าก็ยังละเอียดมากกว่าในยุคนี้นักทุกคนที่นั่งล้อมรอบกองผ้าต่างก็เข้ามาลูบคลำอย่างชอบใจ ซูมี่นางก็ไม่ได้หวงต่างให้ทุกคนเลือกตามที่ตนชอบ โม่ลี่นางก็เลือกที่ถูกใจไปถึงสามพับ ซ
วันงานปักปิ่นจางกุ้ยปลุกซูมี่แต่เช้าเพื่อเรียกให้นางแต่งหน้าทำผม"ใช้อันนี้เจ้าค่ะ" จางกุ้ยที่กำลังเลือกปิ่นจะใช้ตอนทำพิธี ซูมี่ก็ยื่นปิ่นของฮุ่ยหมิ่นให้นาง"งามนัก เจ้าเอามาจากที่ใด ใยแม่ไม่เคยเห็นมาก่อน" จางกุ้ยมองปิ่นหยกขาวในมือ"คุณชายไป๋ให้มาเจ้าค่ะ" นางเล่าเรื่องที่ฮุ่ยหมิ่นเป็นคนแกะสลักด้วยตนเองให้มารดาฟัง"เจ้ารู้ความหมายหรือไม่มี่เออร์" จางกุ้ยเอ่ยถามบุตรสาว เรื่องของซูมี่กับฮุ่ยหมิ่นมิใช่นางจะไม่รับรู้ นางรู้มาโดยตลอดแต่นางให้บุตรสาวตัดสินใจเอง"รู้เจ้าค่ะ" ซูมี่ก้มหน้าลงอย่างเขินอาย น้อยครั้งนักที่นางจะแสดงท่าทีเช่นนี้ภายในห้องของซูมี่จึงมีเสียงหยอกล้อของป้าเหมย ป้าอวี้ โม่ลี่ที่เข้ามาช่วยนางแต่งตัวอยู่ด้วยเมื่อถึงเวลาเข้าพิธี ซูมี่ถูกโม่ลี่ประคองออกไปที่ลานจัดงาน ชาวบ้านที่พบเห็นหน้าซูมี่น้อยครั้งก็อดที่จะตกตะลึงกับความงามของนางไม่ได้ นายท่านฉุยกับหลงจู๊หม่าที่มาร่วมงานยังเผลอมองนางอย่างเหม่อลอยก่อนที่นายท่านฉุยจะนึกเสียดายที่ไม่ได้ทาบทามให้บุตรชายเสียตั้งแต่แรก หากจะมาพูดกันในยามนี้ก็ดูจะกระไรอยู่ แม้ฐานะของซูมี่จะมิได้สูงแต่ด้วยความสามารถของนางตอนนี้ก็ทำให้นางเป็นฝ่าย
เสี่ยวเจากับเสี่ยวจงกำลังให้ทหารที่มาด้วยช่วยกันลำเลียงหีบยาขึ้นเกวียนเทียมม้าอย่างระมัดระวัง ซูมี่อดที่จะเอ่ยถามถึงเหตุการณ์ทางชายแดนไม่ได้เพราะหากไม่มีสงครามเหตุใดฮุ่ยหมิ่นถึงได้เตรียมยามากมายไว้ถึงเพียงนี้"จะมีสงครามหรือ" "เพียงเตรียมการไว้เท่านั้นขอรับ""แคว้นต้าหาน ส่งสายสืบเข้ามาในแคว้นต้าฉีมากจนผิดสังเกต ท่านแม่ทัพไป๋จึงได้เริ่มเตรียมยาและเสบียงขอรับ" เสี่ยวจงเดินเข้ามาพูดเสียงเบาเพื่อบอกถึงเหตุการณ์ทางชายแดนในยามนี้ให้ซูมี่ฟัง"เช่นนั้นหรือ" ก่อนที่เสี่ยวเจากับเสี่ยวจงจะออกเดินทาง ซูมี่ยังได้ฝากจดหมายไปให้ฮุ่ยหมิ่น เพื่อถามเรื่องจะเกิดสงครามจริงหรือไม่ นางจะได้เตรียมการต่างๆ ไว้ให้พร้อม และหากเขาขาดเหลือสิ่งใด นางก็พร้อมจะยื่นมือเข้าช่วย"เป่าเปา ตำราวิชายุทธ ข้าให้ฮุ่ยหมิ่นยืมได้หรือไม่" ซูมี่เมื่อเข้ามาในมิติก็เอ่ยถามเป่าเปา"ยืมได้เจ้าค่ะ แต่คุณชายไป๋ก็ไม่อาจฝึกจนเทียบเท่าท่านได้ ถึงคุณชายไป๋จะเป็นถึงแม่ทัพ เพราะต้องเปลี่ยนถ่ายไขกระดูกเช่นเดียวกันกับท่านเสียก่อน" ซูมี่ส่ายหัว เรื่องนี้เป็นไปได้ยากเสียแล้วหากจะทำเช่นนั้นฮุ่ยหมิ่นต้องเข้ามาในมิติของนาง เขาจะเดินทางมาที่เจ
ซูมี่บอกลาบรรดาสัตว์ป่าทั้งหลายก่อนที่นางจะออกจากป่า โดยมีเสี่ยวไป๋ เสี่ยวเฮย ฟาไฉ ออกมาส่งนางด้วย"เป่าเปา เจ้าออกจากมิติได้แล้ว จะไปพร้อมข้าเลยหรือไม่" เป่าเปาพยักหน้าราวไก่จิก พร้อมบินไปรอบๆ อย่างยินดี"เอ่อ แล้วรูปลักษณ์ของเจ้าเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่" คนในจวนคงไม่เป็นอันใด แต่หากมีชาวบ้านหรือคนที่เข้ามารับผักผลไม้ พบเข้าคงจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น"ได้เจ้าค่ะ" เป่าเปาปรากฏตัวอีกครั้งในรูปลักษณ์ของเด็กสาวตัวน้อยวัยห้าหกหนาว หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูเมื่อฝากมิติไว้กับเสี่ยวไป๋ เสี่ยวเฮ่ยและฟาไฉแล้ว ทั้งคู่ก็ออกมาด้านนอก เมื่อทุกคนในเรือนเห็นเด็กสาวตัวน้อยมากับซูมี่ก็อดที่จะแปลกใจไม่ได้ แต่เมื่อดูใบหน้าของเด็กน้อยดีดี ก็พบว่าเป็นเป่าเปา ทุกคนต่างก็พากันห้อมล้อมนางอย่างยินดี ก่อนจะพาเป่าเปาเดินสำรวจเรือนและสวนด้านหลังอย่างสนุกสนานซูมี่นางได้รับจดหมายจากฮุ่ยหมิ่นเรื่องแคว้นเซี่ยเตรียมเสบียงเป็นเรื่องจริง แต่เขายังยืนยันกับนางไม่ได้ว่าเรื่องสงครามจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ และหากเกิดขึ้นจริงจะเป็นเมื่อใดครั้งนี้เสี่ยวเจาเป็นคนที่เดินทางมารับน้ำวิเศษเพื่อไปใช้เพาะปลูก ซูมี่นางจึงฝากจดหมายไปให้ฮุ่ยหม
สตรีที่แสนอ่อนหวานเข้าอกเข้าใจเขาไปเสียทุกเรื่อง ช่วยเหลือเขามาตลอด มาบัดนี้สตรีนางนั้นได้หายไปเสียแล้ว เหลือเพียงสตรีที่ตามหึงหวงจนเขามิอาจขยับตัวไปที่ใดได้มีเงินมีทอง มีชีวิตที่สุขสบาย บ่าวไพร่มีให้ใช้งานแต่มิอาจมีความสุขเช่นเมื่อก่อนได้ ชิงฉางได้แต่ยอมรับโชคชะตาที่ตนเป็นคนเลือกเอง"ข้าเห็นกับตาท่านจะแก้ตัวเช่นไร" ถิงถิงเริ่มบีบน้ำตาของนางอีกแล้ว"ประเดี๋ยว เรื่องนี้ข้าคงไม่เกี่ยวข้ากระมัง ขอตัว" ซูมี่ที่เห็นถิงถิงกำลังจะแสดงงิ้วก็รีบตัดบทเสียก่อน"เจ้าจะมิเกี่ยวได้อย่างไร เจ้าลอบนัดพบกันลับหลังข้าเช่นนี้" ซูมี่เมื่อได้ยินก็หัวเราะเยาะ"ฮูหยินชิง ท่านคงคิดว่าผู้อื่นจะทำเช่นเดียวกับเจ้าใช่หรือไม่ ของที่ข้าทิ้งไปแล้วข้าซูมี่มิคิดจะเก็บกลับคืน เจ้าวางใจได้" ซูมี่กอดอกตอบโต้อย่างไม่ยอม"ข้าทำอันใด" ถิงถิงเหมือนจะเสียสติไปแล้ว นางโวยวายอย่างไม่ยินยอม ชาวบ้านก็ลืมมุ่งดูกันหนาตา"จะให้ข้ารื้อฟื้นจริงรึ" ซูมี่กระซิบถาม เพื่อให้ทั้งคู่ได้ยิน"ถิงถิง พอได้แล้ว กลับไปคุยที่จวน" ชิงฉางรีบคว้ามือของถิงถิงเพื่อพานางกลับไปด้วยกัน"เป็นเจ้าที่เลือกเช่นนี้" ซูมี่ตบไปที่บ่าของชิงฉางแล้วพูดกับเขาก่อน
ซูมี่นางส่งฮ่องเต้และฮองเฮาลงแช่น้ำโดยให้ มามาและหยางกงกงคอยดูแลแล้วก็พาองค์รัชทายาทไปที่ถ้ำของเสี่ยวไป๋"เพราะพระองค์เห็นหม่อมฉันเป็นน้องสาว และหม่อมฉันก็เห็นพระองค์เป็นพี่ชาย จึงได้พามาที่ถ้ำของเสี่ยวไป๋" ซูมี่นางอธิบายเรื่องการเปลี่ยนไขกระดูกและการฝึกวรยุทธให้องค์รัชทายาทได้เข้าใจอย่างน้อยองค์รัชทายาทก็ต้องมีวรยุทธไว้ปกป้องพระองค์เอง เพื่อเกิดเหตุการณ์เช่นกบฏองค์ชายรองอีกครั้ง"มี่เออร์ เปิ่นหวางไม่เสียทีที่รักเจ้าเหมือนดั่งน้องสาว" องค์รัชทายาทเอ่ยออกมาจากใจ เพราะเขารักนางเหมือนน้องสาวตั้งแต่ครั้งแรกที่นางช่วยเสด็จพ่อของตนไว้ ไม่คิดว่านางจะไว้ใจตนจนมอบเรื่องวิเศษเช่นนี้ให้"พระองค์อดทนให้ได้นะเพคะ" ซูมี่บอกองค์รัชทายาทเมื่อมาถึงด้านในถ้ำของเสี่ยวไป๋"เปิ่นหวางจะอดทน" ซูมี่พยักหน้าให้ฮุ่ยหมิ่นคอยดูแลองค์รัชทายาท ส่วนนางจะกลับไปดูทางฮ่องเต้ ฮองเฮาก่อนเสียงกรีดร้องขององค์รัชทายาทดังออกมาจากนอกถ้ำ เสี่ยวไป๋ส่งเสียงขึ้นจมูกอย่างดูแคลน"ร้องดังกว่าเจ้าในยามนั้นเสียอีก" ซูมี่อดจะหัวเราะเสียงดังออกมามิได้เมื่อได้ยินคำพูดของเสี่ยวไป๋เมื่อกลับมาถึงถ้ำของเสี่ยวเฮย ฮ่องเต้ก็ขึ้นจากน้ำมาเรี
นายท่านไป๋กับฮูหยินไป๋เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งก็พบว่าตรงหน้าของตนได้เปลี่ยนไป แปลงสมุนไพรที่มีสมุนไพรหายากมากมาย ผัก ผลไม้ที่ขึ้นเต็มไปหมดเสี่ยวไป๋ในยามนี้ตัวใหญ่จนน่าตกตะลึง แล้วไหนจะหมาป่าสี่ตัวกับหมีควายที่กำลังวิ่งมาทางนี้อีก ฮูหยินไป๋เกือบจะเป็นลมแต่ถูกฮุ่ยหมิ่นประคองไว้เสียก่อนเป่าเปาที่ปรากฏกายด้วยรูปร่างที่แท้จริงบินไปตรงหน้าของนายท่านไป๋ เขาจ้องมองทุกสิ่งอย่างไม่อยากเชื่อสายตา แม้จะผ่านเรื่องน่าเหลือเชื่อมาหลายครั้ง แต่ครั้งนี้นับว่าเกินเขาจะรับไว้"มี่เออร์นี่เรื่องอันใด" เขาเอ่ยเสียงที่แทบหาไม่เจอออกมาอย่างอยากเย็นซูมี่เล่าเรื่องภายในมิติของนางให้นายท่านไป๋และฮูหยินไป๋ได้ฟัง นางพาทั้งคู่ไปที่ถ้ำของเสี่ยวเฮย เพื่อให้พวกเขาลงไปแช่ในน้ำ เพราะทั้งคู่ไม่ต้องเปลี่ยนไขกระดูกเช่นนางกับฮุ่ยหมิ่นจึงไม่ต้องไปที่ถ้ำของเสี่ยวไป๋เมื่อทั้งสองลงไปแช่ในน้ำ เพียงหนึ่งชั่วยามเมื่อขึ้นมาจากน้ำต่างก็พบความเปลี่ยนแปลงของตน นายท่านไป๋ที่มีโรคปวดตามข้อตามอายุของตนก็หายเป็นปลิดทิ้ง แม้ก่อนหน้านี้จะกินผักผลไม้ของตระกูลซูแต่ก็ต้องกินเป็นระยะเวลานานถึงจะเห็นผลรูปลักษณ์ของทั้งคู่ก็ดูจะอ่อนเยาว์ขึ้นอ
เสี่ยวซานก็จัดการหาฤกษ์มงคล พร้อมทั้งหาแม่สื่อไปพูดคุยกับซูถัง ป้าอวี้ บิดามารดาของโม่ลี่เพื่อสุ่ขอนางตามธรรมเนียม เรื่องสินสอดและสินเดิมซูมี่นางก็จัดการให้อย่างใจกว้างจนบ่าวในเรือนที่ชอบพอกันมาบอกกล่าวนางว่าตนอยากจะแต่งกับคนนั้น คนนี้ ซูมี่ก็ไม่ขัดข้องพร้อมทั้งจัดการให้ทุกคน เพราะทุกคนที่กล้ามาพูดกับนางล้วนอยู่กับนางมาตั้งแต่ที่เมืองเจียงซวนงานมงคลของบ่าวในจวนแม่ทัพจัดขึ้นภายในเรือน แม้แต่จวนอื่นก็ไม่อยากจะเชื่อว่า แม่ทัพไป๋กับฮูหยินจะใจกว้างถึงกับจัดงานในบ่าวของตนด้วยเพียงวันเดียวก็มีคู่แต่งงานในจวนถึงห้าคู่ ซูมี่แบกท้องที่ใหญ่โตของนางไปร่วมงานด้วย ทั้งยังอยู่ร่วมรับประทานอาหารกับทุกคน ต้าหลาง จางกุ้ยก็พาบ่าวในจวนของเขามาร่วมงานด้วยเช่นกัน"ท่านพี่ ข้าคิดว่าข้าจะคลอดแล้วเจ้าค่ะ"ซูมี่ดึงแขนเสื้อของฮุ่ยหมิ่นที่ร่วมดื่มเหล้ามงคล"ตามหมอตำแยประเดี๋ยวนี้" ฮุ่ยหมิ่นตกตะลึง เมื่อดึงสติมาได้ เขาก็ตะโกนเสียงดังภายในจวนจึงได้วุ่นวายไปหมด โม่ลี่ที่อยู่ในห้องหอก็อยากจะออกมาดูนายหญิงของตนใจแทบขาด แต่ก็โดนสั่งห้ามไว้ เพราะมีคนอยู่ในจวนมากมายให้นางวางใจได้ แต่นางก็มิยอมฟังยังออกจากห้องหอมาที่เ
คุณหนูหานร้องอย่างตกใจ พร้อมทั้งกระโดดไปที่ฮุ่ยหมิ่น แต่มีหรือที่คนอย่างฮุ่ยหมิ่นจะยอมให้สตรีนางอื่นมาโดนตัว เขาพุ่งหลบไปอีกทางอย่างรวดเร็วโดยไม่ลืมที่จะดึงซูมี่ออกห่างมาด้วยคุณหนูหานจึงล้มลงไปกองที่พื้นเสียงดัง สาวใช้ของนางต้องรีบเข้ามาประคองนายของตนอย่างเสียขวัญไหนจะมีเสือขาวที่นอนหมอบจ้องมาทางพวกนางเหมือนจ้องตะครุบเหยื่อ แต่ก็ไม่กล้าที่จะทิ้งนายตนเองมิเช่นนั้นเมื่อกลับจวนไม่รู้ว่าจะโดนลงโทษเช่นใด"ไล่มันออกไปสิเจ้าค่ะ" นางร้องสั่งฮุ่ยหมิ่นให้ไล่เสือขาว"เป็นเจ้าที่ต้องออกไป เสี่ยวไป๋เป็นสัตว์เลี้ยงของมี่มี่" ฮุ่ยหมิ่นเอ่ยเสียงเย็นอย่างไม่ไว้หน้าคุณหนูหานไม่คิดว่าฮุ่ยหมิ่นไม่รับตัวนางไว้ แล้วยังออกปากไล่นางออกจากจวนอีก นางจึงร้องไห้รีบร้อนออกจากจวนท่านแม่ทัพไปอย่างอับอาย"นางเข้ามาได้อย่างไร" ฮุ่ยหมิ่นเอ่ยถามบ่าวเสียงเข้ม"ข้าให้นางเข้ามาเองเจ้าค่ะ อยากรู้ว่านางมาด้วยเรื่องอันใด" ซูมี่ถูกฮุ่ยหมิ่นประคองมายังที่นั่ง"แล้วรู้หรือยังว่านางเข้ามาด้วยเรื่องอันใด" เขาเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ เพราะเขากับตระกูลหานไม่ได้สนิทถึงขั้นต้องไปมาหาสู่กัน อีกอย่างฮูหยินรองก็ไม่ถูกกับมารดาของตนอีกด้
ฮุ่ยหมิ่นก็ตั้งใจทำเช่นที่เขาพูดจริง นับตั้งแต่วันนั้นมา ฮุ่ยหมิ่นก็เหมือนจะเร่งมือเรื่องทำบุตรทุกค่ำคืน เพราะซูมี่นางกลับไปที่จวนโหวทุกวันเพื่อดูน้องชายบ้างวันฮุ่ยหมิ่นกลับมาจากค่ายทหารยังหาภรรยารักไม่พบ จนต้องตามไปที่จวนท่านพ่อตาเพื่อรับนางกลับจวน"เกิดอันใดขึ้น" ฮุ่ยหมิ่นที่เพิ่งกลับมาถึงเรือน ก็เห็นบ่าววิ่งกันให้วุ่น"ท่านแม่ทัพ ฮูหยินนางกินอันใดมิได้ขอรับ บ่าวในเรือนจึงต้องไปทำใหม่เสียหลายรอบ" พ่อบ้านซานรีบบอกฮุ่ยหมิ่น"ตามหมอหรือยัง" ฮุ่ยหมิ่นเหมือนจะลืมไปว่าซูมี่นางรู้วิชาแพทย์"ฮูหยินมิได้ตามขอรับ" พ่อบ้านซานหลบสายตาของฮุ่ยหมิ่น"ประเสริฐ" เขารีบร้อนเดินไปที่เรือนของตนเพื่อดูอาการของซูมี่ และอยากจะตำหนินางที่ไม่ยอมตามหมอ"มี่มี่ เหตุใด เจ้าถึงไม่ตามหมอ" ฮุ่ยหมิ่นเข้ามาถึงก็เอ่ยถามทันทีแต่เมื่อเห็นโม่ลี่ประคองกระโถนในมือเพื่อให้ซูมี่นางอาเจียนก็รีบร้อนเข้ามานั่งข้างนางทันที"ท่านยังมิรู้อีกหรือว่าข้าเป็นอันใด" ซูมี่เอ่ยถามอย่างอ่อนแรง เสี่ยวไป๋ก็เข้ามาซุกอยู่ที่ท้องของนางอย่างห่วงใย"ดื่มก่อนเจ้าค่ะนายหญิง" เป่าเปาส่งถ้วยน้ำในมือของนางให้ซูมี่ เมื่อนางดื่มเข้าไปอาการอยากอาเจี
ภายในห้องโถงเรือนหลักของจวนแม่ทัพ ในยามนี้มีเพียงบิดามารดาของฮุ่ยหมิ่นเท่านั้น เพราะเขาแยกจวนมาอยู่ที่จวนท่านแม่ทัพแล้ว วันนี้นายท่านไป๋กับฮูหยินไป๋เพียงมาพักช่วงรับตัวเจ้าสาวเข้าจวน"คารวะท่านพ่อ ท่านแม่เจ้าค่ะ" ซูมี่ยกน้ำชาขึ้นเหนือคิ้วของนาง ส่งให้นายท่านไป๋กับฮูหยินไป๋"นับจากนี้เจ้าเป็นบุตรสาวของข้าอีกคนแล้ว" ฮูหยินไป๋จินชาเล็กน้อย ก่อนจะวางโฉนดที่ดินนอกเมืองให้ซูมี่ห้าร้อยหมู่เพื่อรับขวัญลูกสะใภ้"หากมีเรื่องอันใดที่จัดการไม่ได้ ก็บอกแม่สามีของเจ้าแล้วกัน" นายท่านไป๋ก็ชาขึ้นดื่มเล็กน้อยพร้อมทั้งโบ้ยให้ทางฮูหยินไป๋รับเรื่องไว้ฮุ่ยหมิ่นส่ายหัว เมื่อเห็นมารดาทำหน้าเหมือนอยากจะทุบบิดาของตน ซูมี่นำของที่นางเตรียมไว้มอบให้นายท่านไป๋และฮูหยินไป๋ เมื่อทั้งคู่เปิดดูก็ต้องตกตะลึงจนอ้าปากค้าง เพราะนางให้โสมที่นางปลูกไว้ให้ทั้งสองถึงห้าหัวแต่ถ้าทั้งคู่รู้ว่าโสมของนางมีเป็นพันหัวไม่รู้จะแสดงสีหน้าเช่นไร แม้โสมทั้งห้าหัวจะไม่ได้มีขนาดใหญ่เช่นที่เสี่ยวเฮยนำมาให้ซูมี่ แต่ถ้าเทียบกับที่จวนอื่นมี ในมือของทั้งคู่ตอนนี้ก็ถือว่าใหญ่ที่สุด ฮูหยินไป๋กอดกล่องไม้ไม่ยอมส่งให้สาวใช้ถือ เมื่อทานอาหารเช
ขบวนรับเจ้าสาวออกจากจวนโหวไปจวนแม่ทัพอย่างยิ่งใหญ่ ที่ไม่พูดถึงไม่ได้คงจะเป็นสินเดิมของเจ้าสาวที่มีมากมาย ภายในหีบนอกจากเงินทองแล้ว ของทุกอย่างมีค่าควรเมือง แม้แต่ในราชวังของบางอย่างที่ซูมี่นางมีคงไม่เคยได้พบเห็นตามธรรมเนียมต้องเปิดหีบทุกใบออกเพื่อให้ทุกคนได้รู้ว่าได้เห็นสิ่งที่อยู่ด้านในมิใช่หีบเปล่า หรือใส่ก้อนหินไว้แทน กล่องที่ดูจะเด่นที่สุดเห็นจะเป็นโสมหัวใหญ่ของเสี่ยวเฮย เพียงมองด้วยตาเปล่าก็คำนวณอายุออกมาน่าจะไม่น้อยกว่าพันปีเป็นแน่ไม่รู้ว่าจวนโหวไปหาของเหล่านี้มาจากที่ใด เพราะข่าวลือที่รู้มา ซูมี่นางเป็นเพียงหญิงชาวบ้านเท่านั้น ต่างคนต่างความคิด ซูมี่อดจะหัวเราะออกมาไม่ได้ เพราะนางล่วงรู้ความคิดของคนทั้งหมดบางคนคิดว่าจวนท่านแม่ทัพให้นางมา บางคนกล่าวว่าเป็นสินสงครามที่ฮุ่ยหมิ่นยึดมาได้แต่ไม่ส่งเข้าคลังหลวง เรื่องทั้งหมดไม่ว่าชาวเมืองจะคิดเช่นไร แต่คนของราชวงศ์อย่างฮ่องเต้และฮองเฮาล้วนรู้ดีถึงความพิเศษของนาง แต่เขามิได้พูดเรื่องของซูมี่ออกมาเพราะได้รับปากนางไว้แล้ว โสมในวังไม่ใช่จะไม่มีที่อายุนับพันปี แต่เมื่อเทียบกับของที่ซูมี่นำมามอบไว้ให้ย่อมเทียบกันไม่ติดเมื่อมาถึงจวนแม่
ฮุ่ยหมิ่นเดินเข้ามาซูมี่ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความปรารถนา ซูมี่เห็นท่าไม่ดีนางจึงหายเข้าไปในมิติ ฮุ่ยหมิ่นยืนนิ่งอยู่กับที่อย่างตกตะลึง ก่อนที่จะหัวเราะออกมาเบาๆ เขานั่งรอซูมี่อยู่บนเตียง แต่ไม่เห็นนางออกมาเสียทีจึงได้เขียนจดหมายทิ้งไว้ให้นาง แล้วกลับจวนของตนเองไป เพราะพรุ่งนี้เช้าเขาก็ต้องมารับตัวนางไปอยู่ด้วยที่จวนแล้วซูมี่ที่แอบหลบอยู่ในมิติ นางยังเห็นด้านนอกว่าฮุ่ยหมิ่นทำสิ่งใด เมื่อเขากลับออกไปจากห้องของนางแล้ว ซูมี่ที่กำลังจะออกจากมิติ เสี่ยวไป๋ก็เดินเข้ามาหานาง"ข้าให้ท่านนายหญิง" "นี่คืออันใด" ซูมี่หยิบสิ่งที่เสี่ยวไป๋ให้ขึ้นมา มันเหมือนลูกแก้วกลมใส ขนาดเท่าหัวนิ้วมือ"ท่านกลืนลงไปก็จะรู้" เสี่ยวไป๋มองสบตากับซูมี่ซูมี่นางกลืนลงไปทันที เพราะเชื่อใจเสี่ยวไป๋ เพียงไม่นานภาพเหตุการณ์ต่างๆก็ปรากฏขึ้น ภาพด้านนอกมิติ และภาพชีวิตของสัตว์ป่าทุกตัวที่อยู่ในมิติปรากฏชัดเหมือนนางอยู่ตรงนั้นด้วยตนเองด้านในมิตินางมิได้แปลกใจสักเท่าใด แต่ภาพในเรือนของนางไม่ว่าใครจะทำสิ่งใด เมื่อนางนึกถึงก็จะเห็นผู้นั้นทำสิ่งต่างๆ ทันที แล้วยังล่วงรู้ความคิดของทั้งหมดโดยที่ไม่ต้องพูดออกมาอีกด้วย"นี่มัน"
ฮุ่ยหมิ่นนับว่าได้ความดีความชอบที่กลับมาช่วยจัดการกลุ่มกบฏขององค์ชายรองไว้ได้ทัน ฮ่องเต้จะให้ฮุ่ยหมิ่นกลับมาดูแลเมืองหลวง พร้อมทั้งพระราชทานจวนท่านแม่ทัพให้แก่เขาส่วนทางชายแดนเหนือยกให้รองแม่ทัพขึ้นเป็นแม่ทัพแทน ฮุ่ยหมิ่นจึงต้องส่งทหารทางชายแดนเหนือที่ตนพามาด้วยกลับชายแดนไปหลังจากจบเรื่องกบฏองค์ชายรอง ฮุ่ยหมิ่นก็ต้องจัดระเบียบทหารในค่ายของเมืองหลวงเสียใหม่ และต้องใช้เวลาฝึกทหารที่ไม่ได้เรื่องอีกมากนักที่ดินที่ใช้ปลูกเสบียงสำหรับกองทัพ ฮุ่ยหมิ่นก็ใช้น้ำวิเศษของซูมี่ในแปลงผัก และนาข้าว ฮุ่ยหมิ่นจัดการฝึกวรยุทธให้ทหารในค่ายด้วยตนเอง จนใกล้ถึงวันงานเขาจึงได้กลับไปที่เรือนตระกูลไป๋"หมิ่นเออร์ จวนหลังใหม่ของเจ้าจะเข้าไปอยู่เลยหรือไม่" ฮูหยินไป๋เอ่ยถามบุตรชายเมื่อเขาเข้ามาพบนางที่ห้องโถง"ข้าจะเข้าไปอยู่เลยขอรับ เรื่องบ่าวหรือข่าวของในจวนข้าจะจัดการเองขอรับ" เพราะเขาจะให้ซูมี่นางจัดการให้"เช่นนั้นก็แล้วแต่เจ้า" ฮูหยินไป๋มิได้เข้าไปจัดการ เพราะเห็นว่าบุตรชายและซูมี่นางน่าจะจัดการได้ดีตกดึกฮุ่ยหมิ่นก็ไปหาซูมี่ที่เรือนของนาง เพราะเขามิได้พบหน้านางมาหลายวัน นับตั้งแต่ต้องไปจัดการเรื่องภายใ