มินตาเข้าบ้านมาอย่างเงียบๆ หล่อนลงนั่งที่บันไดขั้นล่างแล้วถอดรองเท้าผ้าใบออก ถอดถุงเท้าออกตาม แล้วม้วนถุงเท้าเป็นก้อนกลมๆ ยัดเข้าไปในรองเท้า หิ้วรองเท้าขึ้นบันไดด้วยฝีเท้าแผ่วเบา จนเกือบจะไม่น่าเชื่อว่านี่คือมินตา...นี่หากเพื่อนร่วมงานมาเห็นท่าเดินเหมือนเท้าแทบจะไม่ได้แตะพื้นของหล่อนละก้อ คงจะได้หัวเราะกันเกรียว เพราะยามอยู่ในออฟฟิศ มินตาจะมีก้าวย่างหนักแน่นรุนแรงเป็นจังหวะ บางทีแค่ได้ยินเสียงฝีเท้าก็รู้กันแล้วว่าเป็นหล่อน
ประตูด้านหน้ายังไม่ได้ปิดลงกลอน แต่แง้มๆ เอาไว้ หล่อนค่อยๆ ผลักเข้าไปอย่างแผ่วเบา...แต่บานพับที่ค่อนข้างจะฝืดสักหน่อยก็ให้เสียงเอี๊ยดอ๊าด...มินตาจับประตูให้อยู่นิ่งๆ หล่อนกลัวว่าเสียงนี้จะปลุกให้มารดาตื่นลงมา...หล่อนกลับบ้านดึกเสมอก็งานล่วงเวลามันเงินดีเหลือเกิน หล่อนจะยอมให้พลาดไปอย่างไรได้ วันนี้ก็งานล่าช้าเพราะอุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ ที่ธันวาได้รับ หล่อนเลยมีงานให้สะสาง เพราะเอาเวลาขับรถพาธันวาไปส่งโรงพยาบาล
พรุ่งนี้ก่อนออกจากบ้าน หล่อนจะเอาน้ำมันมาหยอดบานพับเสียหน่อย ไม่ให้มีเสียงแบบนี้เกิดขึ้นมาอีก
ย่องๆ จะไปถึงหน้าห้องของหล่อนอยู่แล้ว มินตาก็ชะงักเมื่อแสงสว่างพึ่บขึ้น หล่อนหยุดอยู่ตรงกลางบ้านนี่เอง
“เพิ่งกลับหรือ”
เสียงทักออกจะเยาะๆ ชอบกลอยู่ มินตาพึมพำตอบออกไปเสียงเบา
“ค่ะ”
“ดึกทุกคืนเลยนะ...มัวแต่ไปเที่ยวซ่กๆ อยู่ล่ะซิ งานเลิกตั้งแต่ห้าโมง ก็อยู่ในกรุงเทพแค่นี้ หนทางไปมาสะดวก ไม่น่าจะให้เกินหนึ่งทุ่ม”
หล่อนไม่โต้ตอบเลย เพราะรู้ว่าต่อให้หล่อนอธิบายอย่างไร ก็จะไม่ได้รับการสนใจ เหมือนหล่อนบอกกล่าวกับลมแล้งมากกว่า หล่อนยืนนิ่งๆ แต่นั่นกลับยิ่งไปยั่วให้เกิดความโมโหได้
“ฉันพูดด้วยก็หันหน้ามาหน่อยซิ...อาไร้...ยายมินแกจะยืนหันหลังให้ฉัน...แกนี่เหลือเกิ๊น...กระด้างอะไรยังงี้” เสียงบ่นแหลมๆ มันเข้าไปกระเทือนอยู่ในแก้วหู แต่มันไม่ได้ทำให้หล่อนสะเทือนใจอะไรนักหนาอาจจะเพราะหล่อนชินชาเสียแล้ว หากวันใดคุณมารศรีพูดกับหล่อนดีๆ น้ำเสียงอ่อนหวานซิ ที่จะทำให้มินตาต้องระมัดระวังตัวให้มากกว่าปกติสักหน่อย หล่อนค่อยๆ หันตัวกลับมา รองเท้ายังถือค้างอยู่ในมือ
คุณมารศรีเดินลงมา หล่อนได้กลิ่นน้ำอบไทยหอมฟุ้ง หญิงสาวยืนก้มหน้าลงน้อยๆ มืออีกข้างทับมาบนมือที่หิ้วรองเท้าอยู่ คุณมารศรีเดินวนไปรอบๆ ตัวหล่อน ผมที่หล่อนจับมันพันๆ ทบไว้ง่ายๆ และหลุดลุ่ยอยู่แล้วหลุดกระจายลงมา เป็นเส้นผมดำมันขลับยาวเกือบถึงกลางหลังเส้นผมที่เหยียดตรงมีน้ำหนักสลวย แต่หล่อนแทบจะไม่ได้ปล่อยให้มันเคลื่อนไหวตามเส้นสายของมัน อย่างง่ายที่สุดคือจับรวบแล้วพันทบสวมหมวกเข้าไปอีกใบ ไม่ค่อยจะมีใครรู้ว่าหล่อนเป็นเจ้าของเส้นผมสวยงามเพียงนี้
“ดูมอมแมมจริงๆ นะเรา”
“มินเพิ่งเลิกงาน”
“งานอีกแล้ว เอะอะอ้างงานยันเต”
“ก็มินทำงานจริงๆ”
หล่อนยังไม่วายจะเถียง แต่แล้วพอนึกได้หล่อนก็นิ่งเงียบเสีย เพราะรู้ว่าพูดไปก็เท่านั้นเอง คุณมารศรีพยายามจะคาดคั้นถามให้ได้ว่าหล่อนหายไปไหนหลังจากเลิกงาน มิไยที่หล่อนจะยืนยันว่าหล่อนอยู่ในออฟฟิศ มันเป็นธุรกิจเล็กๆ ที่ต้องพึ่งพาอาศัยกันทุกฝ่ายให้งานเดินรุดหน้า มันแข่งกับเวลาแข่งกับระบบแข่งขัน และการหมุนเวียนของดอกเบี้ยที่งดงามเหลือเกินในธนาคาร พวกหล่อนกำลังตั้งตัว...กำลังเริ่มต้นเพื่ออนาคตวันหน้า
“แม่รอแกตั้งแต่ตอนเย็น...ไปนั่งคุยกันก่อน”
“ค่ะ”
“หล่อนเดินมานั่งลงเรียบร้อย ต่อหน้าเธอหล่อนจะวางตัวเป็นสาวสงบเสงี่ยม...ถ้าหากไม่มีเก้าอี้ให้นั่ง หล่อนก็จะลงไปนั่งพับเพียบเรียบร้อย เก็บเท้าได้มิดชิด วางมือประสานกันเอาไว้บนตัก มินตารู้ว่าหากเพื่อนๆ มาเห็นก็คงจะต้องตาถลนกับอีกรูปแบบหนึ่งของเหล่อน
“พรุ่งนี้ชุดแต่งตัวใหม่ของพี่มิ่งจะมานะ...”
หล่อนมองสบสายตากับเธอแต่ใจหายวับไปแล้ว...หล่อนเข้าใจเพียงแต่เธอเริ่มต้นเท่านั้น
“ก็มีกระจกหนึ่งบาน โต๊ะอีกหนึ่งตัว เก้าอี้อีกตัว...ราคามันก็หมื่นสอง”
มินตาเงียบกริบ หัวใจเท่านั้นที่ไหวระรัว สีหน้าของหล่อนยังเป็นปกติ เงินหมื่นสองจากหยาดเหงื่อแรงงานของหล่อนกำลังจะปลิวไปจากกระเป๋าอีกแล้ว...แต่หล่อนก็มิได้ทักท้วงสักคำ
“ค่ะ...แต่มินไม่มีเงินสด มินจะเขียนเช็คทิ้งเอาไว้ให้แล้วกันนะคะ”
“นี่แม่ไปดูพรมเอาไว้อีกผืนหนึ่ง แหม...มันซ้วยสวย เจ้าของร้านเขาบอกว่า จะเซลห้าสิบเปอร์เซ็นต์ตอนเดือนหน้า คงจะทันเอามาปูห้องให้พี่มิ่งพอดี”
“ค่ะ”
เสียงรับคำของมินตาเบาลงไปอีก... “แม่ดูราคามาก็แล้วกัน...มินจะจัดการให้”
“มีจดหมายของพี่มิ่งถึงแกด้วยนะ แม่เอาไปไว้ในห้องให้แล้ว...” คุณมารศรีนิ่งไปนิดหนึ่งก่อนจะถามต่อด้วยเสียงอันอ่อนโยนลงเล็กน้อย “นี่แกกินอะไรมาหรือยัง”
“เรียบร้อยแล้วค่ะ”
ถึงหล่อนจะไม่ได้กินอะไรมาเลย มินตาก็ไม่อาจจะกินอะไรได้ลงคออีก หล่อนตีบตันในลำคอ มันตื้อลงไปถึงกระเพาะอาหารนั่นทีเดียว หล่อนเข้ามาในห้องปิดตาลงอย่างเหนื่อยล้า ยืนพิงบานประตูอย่างนั้นอีกนาน รองเท้าที่หิ้วเอาไว้ค่อยๆ หล่นลงไปกองกับพื้น เงินของหล่อนหมดไปกับเรื่องของมิ่งขวัญเสมอๆ
มิ่งขวัญจะกลับบ้านเดือนหน้า...แม่กระตือรือร้นเหลือเกินที่จะจัดห้องให้มิ่งขวัญใหม่ เริ่มต้นจากผ้าม่าน เตียงนอน แล้วก็โต๊ะแต่งตัว เดือนหน้าจะเป็นพรมปูห้อง...มินตาลืมตาขึ้น...พรมหรือ...หล่อนนัยน์ตาตกมองดูพื้นห้องของตัวเอง
ก่อนจะยิ้มหยันๆ ออกมา
หล่อนมีเงินพอจะซื้อพรมแพงๆ ให้มิ่งขวัญใช้ปูห้องแม้จะเป็นตอนที่ลดราคาก็เถอะ หล่อนรู้ว่ารสนิยมของมารดาเป็นอย่างไร คุณมารศรีไม่เคยซื้อของถูกเธออ้างเสมอๆ ว่า
...ของดีราคาไม่เคยถูก ของดีต้องแพง ของไม่แพงไม่ใช่ของดี...
แต่พื้นห้องนี้เป็นเสื่อกกสีน้ำตาลคล้ำๆ ทอด้วยมือเป็นผืนสี่เหลี่ยมจัตุรัส ขนาดหนึ่งตารางฟุตเอามาปูต่อๆ กัน...มันน่าขันเหลือเกิน มินตาเดินโซเซไปที่เตียงนอนล้มตัวลงนอนโดยที่ไม่ได้ดึงเอาผ้าคลุมเตียงออกเสียก่อน มือข้างหนึ่งพาดไปบนหน้าผาก สองเท้ายังห้อยอยู่เรี่ยๆ พื้น...หล่อนไร้เรี่ยวแรง มันสิ้นไร้แบบนี้ทุกครั้งที่คุณมารศรีมีค่าใช้จ่ายเบิกจ่าย
โต๊ะแต่งตัวหมื่นสองหรือ...แล้วของหล่อนล่ะ...โต๊ะแต่งตัวชุดเก่าดั้งเดิม หล่อนเอาสีมาทาใหม่ให้ขาวนวล...มันเป็นนวลใยแม้ในยามนี้ที่ไม่ได้เปิดไฟในห้อง เพราะหล่อนเปิดหน้าต่างห้องทิ้งเอาไว้ แสงจันทร์สาดส่องเข้ามากระทบมันตกทอดมาถึงหล่อนหลังจากที่เกือบจะถูกโยนทิ้งไปกับรถขยะ หล่อนเอามาปรุงโฉมเสียใหม่ ทาสีใหม่ หาผ้าลูกไม้สวยๆ มาปูทับ แล้วมีกระจาดใบน้อยๆ มาตั้งเรียงรายสำหรับใส่สิ่งของที่ใช้ส่วนตัว...แต่หล่อนจะต้องจ่ายเงินหมื่นสองให้กับมิ่งขวัญ
กระจกหนึ่งบาน โต๊ะหนึ่งตัว เก้าอี้อีกตัว...คงจะสวยงามหยดย้อยกระมัง
หญิงสาวลุกขึ้นมานั่ง เมื่อนึกขึ้นได้ถึงจดหมายของมิ่งขวัญ...เปิดไฟในห้องให้สว่าง แล้วหล่อนจึงเอากรรไกรเล็กๆ ขลิบริมซอง...กระดาษแผ่นบางหล่นลงมา...ลวดลายของกระดาษช่างสวยงาม ข้าวของที่มิ่งขวัญใช้สวยงามเสมอ คุณมารศรีปลูกฝั่งสิ่งนี้ให้กับมิ่งขวัญมาแต่เล็กๆ
ข้อความทั้งหมดเป็นการส่งข่าวความเคลื่อนไหวว่าได้ทำอะไรลงไปบ้าง มิ่งขวัญไปเรียนปริญญาตรี...หล่อนเรียนไม่สู้จะเก่งมากนักหลังจากที่ร่ำเรียนไม่เป็นชิ้นเป็นอันอยู่นาน คุณมารศรีก็อดทนไม่ได้ เธอส่งมิ่งขวัญไปกวดภาษาอย่างหนักแล้วส่งมิ่งขวัญไปอเมริกา หวังอย่างยิ่งว่าจะเป็นการชุบตัวลูกสาวคนโตให้งดงามพร้อมสรรพกลับมา
มิ่งขวัญเดินทางโดยสายการบินที่แพงที่สุด หล่อนจะได้บินกลับบ้านทุกปิดภาค กลับมาพร้อมกับมีข่าวของหล่อนลงตีพิมพ์...ชื่อของหล่อนเป็นที่รู้จักตามหน้านิตยสาร และมิ่งขวัญก็เคยมีรูปลงนิตยสารเพราะหล่อนเป็นสาวสวยเพียงพอ
เมื่อมิ่งขวัญอยู่ใกล้ๆ กับมินตา มิ่งขวัญจะสดสวยและทำให้มินตาดูหมองมัวไปเสียสิ้น
ทุกๆ ปี มินตาไม่กล้าคำนวณเงินหรอกว่ามิ่งขวัญใช้เงินเท่าไร...แต่คุณมารศรีไม่เคยปริปากบ่นสักคำ เธอมีเงินส่งไปเสมอๆ ตามที่มิ่งขวัญร้องขอมา ยิ่งนานปีก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น มินตาเป็นคนไปธนาคาร หล่อนรู้ยอดเงินที่จัดส่งไปทุกครั้ง รู้แล้วหล่อนก็ได้แต่ใจหาย
แต่มิ่งขวัญก็เป็นพี่สาวของหล่อน หักใจได้ดังนี้คราวไร มินตาก็หายใจได้โล่งอกขึ้น กับข้อความย่อหน้าสุดท้ายของมิ่งขวัญทำให้มินตาต้องอ่านอยู่นานกว่าปกติสักหน่อย
...พี่จะรีบกลับบ้านให้ไวที่สุด พี่เปลี่ยนใจที่จะไปยุโรปกับญี่ปุ่นต่อแล้ว จะตรงกลับกรุงเทพทันทีหลักจากที่เที่ยวทางภาคตะวันตกของอเมริกานี่เรียบร้อย พี่มีเรื่องบางอย่างที่จะต้องกลับมาสะสางต่อ เรื่องของหัวใจจ้ะ ขอปิดเป็นความลับก่อนนะ แต่เขาประทับใจพี่มาก ขอให้วาดภาพของเขาได้เลยว่าสง่างามเหมือนเจ้าชาย ร่ำรวย และหล่อระเบิด...มินตาย่นจมูกนิดๆ หล่อนไม่เห็นภาพพจน์อย่างที่มิ่งขวัญบอก ก็พี่สาวของหล่อนเป็นแบบนี้เสมอ หลงใหลง่าย...เห็นหนุ่มๆ ร่ำรวยเข้าหน่อย มิ่งขวัญก็ตาโตเนื้อเต้นไปได้ทุกหน“พี่มิ่งเอ๊ย...เจ้าชายจริงหรือเปล่า เดี๋ยวก็เป็นเจ้าชายเสกของนางฟ้าเข้าหรอก...เดี๋ยวนี้เจ้าชายเดินดินกินข้าวแกงกันแล้วทั้งน้าน...ฝันหวานจะกลายเป็นฝันสลาย”////////////////////////////////////////////////////กางเกงยีนส์เก่าๆ กับเสื้อเชิ้ตที่หล่อนสวมใส่อยู่ ทำให้คุณมารศรีย่นจมูกเข้าใส่เมื่อมินตาเดินเข้ามาในห้องอาหาร หล่อนรีบเอาซองยาวๆ ที่ข้างในเป็นเช็คส่วนตัวของหล่อนเลื่อนไปตรงหน้าเธอโดยเร็ว หล่อนอาจจะบาปก็เป็นได้ ที่ปิดปากมารดาด้วยเงิน แล้วก็ได้ผลเสียด้วยเมื่อหน้าที่บึ้งๆ อยู่เปลี่ยนเป็นยิ้มแย้มได้“ค่าอะไรอีกล
มินตาเอารถเข้าไปจอดด้านหลังของภัตตาคารหรูๆ แห่งนี้ หล่อนไม่ทันได้เห็นว่าตัวเองตกอยู่ในสายตาคนคนหนึ่งตลอดเวลานับจากหล่อนเลี้ยวรถเข้ามาแล้ว หญิงสาวเปิดประตูก้าวลงมา แล้วด้วยความเชื่อมั่นในตัวเอง หล่อนก้าวเดินฉับๆ ไม่ทันสังเกตว่าหล่อนถูกมองด้วยดวงตาหลายๆ คู่ ก่อนจะมารู้สึกว่าหล่อนเป็นเหมือนตัวประหลาดตรงทางเข้านี่เองมินตาก้มลงมองตัวเอง แล้วหล่อนก็จึงรู้ว่าอะไรเป็นเหตุ ทำให้เจ้าหนุ่มตรงทางเข้าที่มักจะโค้งต้อนรับลูกค้ามองหล่อนด้วยแววตาชอบกล เสื้อผ้าของหล่อนนี่เอง หญิงสาวเพิ่งนึกเสียใจเป็นหนแรกที่หล่อนแทบจะไม่เคยนุ่งกระโปรงออกจากบ้านมาทำงาน และเสื้อกางเกงชุดนี้ก็ไม่ใช่ชุดลำลองของสาวสมัยเสียด้วย มันดูบึกบึนตามแบบสาวทำงานมากกว่า“คุณจองโต๊ะไว้หรือเปล่าครับ”หล่อนได้ยินคำถาม ตอนแรกมินตาก็ไม่แน่ใจว่าถามหล่อน จนกระทั่งได้ยินเสียงถามอีกหน หล่อนจึงจิ้มอกตัวเองเหมือนย้อนถามกลับ“คุณแหละครับ...จองโต๊ะไว้หรือเปล่า”“ฉันไม่รู้ เพื่อนฉันนัดฉันที่นี่”“อาจจะมีการเข้าใจผิดก็ได้นะครับ”เลือดขึ้นหน้ามินตานิดๆ แล้ว ริมฝีปากเม้นเข้ากัน นี่หล่อนกลายเป็นตัวอะไรไปแล้วหรือถึงได้รับการปฏิบัติแบบนี้...กะแค่เสื้อผ้
“ถึงโรงพยาบาลแล้วจ้า”มินตาบอกด้วยเสียงยินดี มีเสียงเหมือนระบายลมหายใจแบบโล่งอกตามติดมาด้วย ในย่านชานเมืองแบบนี้หล่อนได้ขับรถเที่ยวหาโรงพยาบาลเอกชนสักแห่งที่ดูดีสักหน่อยจนคนเจ็บได้โอดโอยว่ากว่าจะพบเลือดคงจะไหลออกจากบาดแผลหมดตัวเสียก่อนเป็นแน่แท้“โชคนายยังดี เลือดยังไหลออกไม่หมด...”หล่อนเลี้ยวรถขึ้นไปตามทางที่ลาดขึ้นสูง ไปสู่ทางจอดตรงประตูกระจกชั้นล่างของโรงพยาบาลพอดี“เฮ้ย...ระวังคันหน้า ทำไมต้องไปจ่อติดแบบนั้นด้วย”“ฉันก็ระวังแล้ว”หล่อนบอก แต่ฝีมือการขับรถของหล่อนออกจะย่ำแย่สักหน่อย...เพราะเมื่อรถคันหน้าจอดลง ก็มีเสียงกระแทกโครมตามติดมา พร้อมกับเสียงโวยวายของหล่อนลั่นรถ จนเพื่อนหนุ่มเอามือข้างที่ไม่มีบาดแผลอุดหูทันที แต่กระนั้นเสียงหล่อนก็ยังเข้าไปในหูอีกข้างจนได้“เขาเบรกกะทันหันนะ เขาผิด ฉันไม่ผิด”“เออ...แก้ตัวเอาไว้ให้ดีก็แล้วกัน จะต้องเสียงเงินอีกตามเคย”คนที่นั่งทำตัวงอๆ จมลงไปกับเบาะที่นั่งข้างๆ คนขับยืดคอขึ้นมาก่อน แล้วจึงชะเง้อขึ้นมาทั้งตัว“ชนกับไอ้รถใหม่เอี่ยมป้ายแดงเชียวนะ...เอาไอ้กระป๋องบาดทะยักคันนี้ไปชนกับรถผู้ดีอีกแล้ว เจ้ามิน”“เขาผิด”มินตายังบอกย้ำ หล่อนเกาะพวงม
มินตาหน้าแห้ง พยักหน้ากับเพื่อน แล้วเดินกลับไปกลับมา หล่อนชะเง้อมองเข้าไปหลายหน แต่หล่อนมองไม่เห็นว่าธันวาเข้าไปตรงไหนของห้องนั้น หล่อนได้เห็นแต่เจ้าหนุ่มคู่กรณีของหล่อน เห็นเขาเข้าไปยืนอยู่ใกล้ๆ เตียงของแม่สาวที่ธันวาบอกว่าตกเลือด ไม่ใช่เมียก็อาจจะเป็นคู่รักกระมัง...หล่อนพินิจมองเขา...ก่อนจะนึกออก หล่อนดีดนิ้วออกมาแรงๆ สีหน้าสดใสขึ้น เมื่อนึกได้ว่าเขาคือใครมิน่าเล่า หน้าตาถึงคุ้นเหลือเกินธันวาเดินหน้าตาซีดเซียวออกมาจากห้องนั้นในอีกครึ่งชั่วโมงต่อมา มินตารีบลุกไปหา “หน้าตานายเหมือนคนใกล้ตาย”“เจ็บนี่หว่า”เขาพูดจาแบบนี้กับมินตา...ใครๆ ก็พูดกับหล่อนแบบนี้ เพราะในออฟฟิศนั้นมินตาเหมือนเพื่อนผู้ชายคนหนึ่ง หล่อนเป็นสาวคนเดียวที่ออฟฟิศมี และจากการทำงานกันนานวันเข้า มินตาก็ทำเหมือนหล่อนไม่ใช่ผู้หญิง หล่อนแข็งแกร่งพอจะยืนหยัดไปพร้อมๆ กับเพื่อนคนอื่นๆ หลายหนเข้าทุกคนจึงลืมเหมือนกันว่าหล่อนเป็นผู้หญิง พูดจากับหล่อนก็ไม่ค่อยจะอ่อนโยน และมินตาก็ไม่เคยถือสา หล่อนมีนิสัยง่ายๆ ตรงไปตรงมา แต่หล่อนก็ขีดเส้นเอาไว้เหมือนกัน ไม่มีใครก้าวล้ำเส้นนั่นไปได้ มินตาเป็นผู้หญิงรักตัวเอง...หล่อนไม่มีแฟน และทำท่า
มินตาเอารถเข้าไปจอดด้านหลังของภัตตาคารหรูๆ แห่งนี้ หล่อนไม่ทันได้เห็นว่าตัวเองตกอยู่ในสายตาคนคนหนึ่งตลอดเวลานับจากหล่อนเลี้ยวรถเข้ามาแล้ว หญิงสาวเปิดประตูก้าวลงมา แล้วด้วยความเชื่อมั่นในตัวเอง หล่อนก้าวเดินฉับๆ ไม่ทันสังเกตว่าหล่อนถูกมองด้วยดวงตาหลายๆ คู่ ก่อนจะมารู้สึกว่าหล่อนเป็นเหมือนตัวประหลาดตรงทางเข้านี่เองมินตาก้มลงมองตัวเอง แล้วหล่อนก็จึงรู้ว่าอะไรเป็นเหตุ ทำให้เจ้าหนุ่มตรงทางเข้าที่มักจะโค้งต้อนรับลูกค้ามองหล่อนด้วยแววตาชอบกล เสื้อผ้าของหล่อนนี่เอง หญิงสาวเพิ่งนึกเสียใจเป็นหนแรกที่หล่อนแทบจะไม่เคยนุ่งกระโปรงออกจากบ้านมาทำงาน และเสื้อกางเกงชุดนี้ก็ไม่ใช่ชุดลำลองของสาวสมัยเสียด้วย มันดูบึกบึนตามแบบสาวทำงานมากกว่า“คุณจองโต๊ะไว้หรือเปล่าครับ”หล่อนได้ยินคำถาม ตอนแรกมินตาก็ไม่แน่ใจว่าถามหล่อน จนกระทั่งได้ยินเสียงถามอีกหน หล่อนจึงจิ้มอกตัวเองเหมือนย้อนถามกลับ“คุณแหละครับ...จองโต๊ะไว้หรือเปล่า”“ฉันไม่รู้ เพื่อนฉันนัดฉันที่นี่”“อาจจะมีการเข้าใจผิดก็ได้นะครับ”เลือดขึ้นหน้ามินตานิดๆ แล้ว ริมฝีปากเม้นเข้ากัน นี่หล่อนกลายเป็นตัวอะไรไปแล้วหรือถึงได้รับการปฏิบัติแบบนี้...กะแค่เสื้อผ้
...พี่จะรีบกลับบ้านให้ไวที่สุด พี่เปลี่ยนใจที่จะไปยุโรปกับญี่ปุ่นต่อแล้ว จะตรงกลับกรุงเทพทันทีหลักจากที่เที่ยวทางภาคตะวันตกของอเมริกานี่เรียบร้อย พี่มีเรื่องบางอย่างที่จะต้องกลับมาสะสางต่อ เรื่องของหัวใจจ้ะ ขอปิดเป็นความลับก่อนนะ แต่เขาประทับใจพี่มาก ขอให้วาดภาพของเขาได้เลยว่าสง่างามเหมือนเจ้าชาย ร่ำรวย และหล่อระเบิด...มินตาย่นจมูกนิดๆ หล่อนไม่เห็นภาพพจน์อย่างที่มิ่งขวัญบอก ก็พี่สาวของหล่อนเป็นแบบนี้เสมอ หลงใหลง่าย...เห็นหนุ่มๆ ร่ำรวยเข้าหน่อย มิ่งขวัญก็ตาโตเนื้อเต้นไปได้ทุกหน“พี่มิ่งเอ๊ย...เจ้าชายจริงหรือเปล่า เดี๋ยวก็เป็นเจ้าชายเสกของนางฟ้าเข้าหรอก...เดี๋ยวนี้เจ้าชายเดินดินกินข้าวแกงกันแล้วทั้งน้าน...ฝันหวานจะกลายเป็นฝันสลาย”////////////////////////////////////////////////////กางเกงยีนส์เก่าๆ กับเสื้อเชิ้ตที่หล่อนสวมใส่อยู่ ทำให้คุณมารศรีย่นจมูกเข้าใส่เมื่อมินตาเดินเข้ามาในห้องอาหาร หล่อนรีบเอาซองยาวๆ ที่ข้างในเป็นเช็คส่วนตัวของหล่อนเลื่อนไปตรงหน้าเธอโดยเร็ว หล่อนอาจจะบาปก็เป็นได้ ที่ปิดปากมารดาด้วยเงิน แล้วก็ได้ผลเสียด้วยเมื่อหน้าที่บึ้งๆ อยู่เปลี่ยนเป็นยิ้มแย้มได้“ค่าอะไรอีกล
มินตาเข้าบ้านมาอย่างเงียบๆ หล่อนลงนั่งที่บันไดขั้นล่างแล้วถอดรองเท้าผ้าใบออก ถอดถุงเท้าออกตาม แล้วม้วนถุงเท้าเป็นก้อนกลมๆ ยัดเข้าไปในรองเท้า หิ้วรองเท้าขึ้นบันไดด้วยฝีเท้าแผ่วเบา จนเกือบจะไม่น่าเชื่อว่านี่คือมินตา...นี่หากเพื่อนร่วมงานมาเห็นท่าเดินเหมือนเท้าแทบจะไม่ได้แตะพื้นของหล่อนละก้อ คงจะได้หัวเราะกันเกรียว เพราะยามอยู่ในออฟฟิศ มินตาจะมีก้าวย่างหนักแน่นรุนแรงเป็นจังหวะ บางทีแค่ได้ยินเสียงฝีเท้าก็รู้กันแล้วว่าเป็นหล่อนประตูด้านหน้ายังไม่ได้ปิดลงกลอน แต่แง้มๆ เอาไว้ หล่อนค่อยๆ ผลักเข้าไปอย่างแผ่วเบา...แต่บานพับที่ค่อนข้างจะฝืดสักหน่อยก็ให้เสียงเอี๊ยดอ๊าด...มินตาจับประตูให้อยู่นิ่งๆ หล่อนกลัวว่าเสียงนี้จะปลุกให้มารดาตื่นลงมา...หล่อนกลับบ้านดึกเสมอก็งานล่วงเวลามันเงินดีเหลือเกิน หล่อนจะยอมให้พลาดไปอย่างไรได้ วันนี้ก็งานล่าช้าเพราะอุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ ที่ธันวาได้รับ หล่อนเลยมีงานให้สะสาง เพราะเอาเวลาขับรถพาธันวาไปส่งโรงพยาบาลพรุ่งนี้ก่อนออกจากบ้าน หล่อนจะเอาน้ำมันมาหยอดบานพับเสียหน่อย ไม่ให้มีเสียงแบบนี้เกิดขึ้นมาอีกย่องๆ จะไปถึงหน้าห้องของหล่อนอยู่แล้ว มินตาก็ชะงักเมื่อแสงสว่างพึ
มินตาหน้าแห้ง พยักหน้ากับเพื่อน แล้วเดินกลับไปกลับมา หล่อนชะเง้อมองเข้าไปหลายหน แต่หล่อนมองไม่เห็นว่าธันวาเข้าไปตรงไหนของห้องนั้น หล่อนได้เห็นแต่เจ้าหนุ่มคู่กรณีของหล่อน เห็นเขาเข้าไปยืนอยู่ใกล้ๆ เตียงของแม่สาวที่ธันวาบอกว่าตกเลือด ไม่ใช่เมียก็อาจจะเป็นคู่รักกระมัง...หล่อนพินิจมองเขา...ก่อนจะนึกออก หล่อนดีดนิ้วออกมาแรงๆ สีหน้าสดใสขึ้น เมื่อนึกได้ว่าเขาคือใครมิน่าเล่า หน้าตาถึงคุ้นเหลือเกินธันวาเดินหน้าตาซีดเซียวออกมาจากห้องนั้นในอีกครึ่งชั่วโมงต่อมา มินตารีบลุกไปหา “หน้าตานายเหมือนคนใกล้ตาย”“เจ็บนี่หว่า”เขาพูดจาแบบนี้กับมินตา...ใครๆ ก็พูดกับหล่อนแบบนี้ เพราะในออฟฟิศนั้นมินตาเหมือนเพื่อนผู้ชายคนหนึ่ง หล่อนเป็นสาวคนเดียวที่ออฟฟิศมี และจากการทำงานกันนานวันเข้า มินตาก็ทำเหมือนหล่อนไม่ใช่ผู้หญิง หล่อนแข็งแกร่งพอจะยืนหยัดไปพร้อมๆ กับเพื่อนคนอื่นๆ หลายหนเข้าทุกคนจึงลืมเหมือนกันว่าหล่อนเป็นผู้หญิง พูดจากับหล่อนก็ไม่ค่อยจะอ่อนโยน และมินตาก็ไม่เคยถือสา หล่อนมีนิสัยง่ายๆ ตรงไปตรงมา แต่หล่อนก็ขีดเส้นเอาไว้เหมือนกัน ไม่มีใครก้าวล้ำเส้นนั่นไปได้ มินตาเป็นผู้หญิงรักตัวเอง...หล่อนไม่มีแฟน และทำท่า
“ถึงโรงพยาบาลแล้วจ้า”มินตาบอกด้วยเสียงยินดี มีเสียงเหมือนระบายลมหายใจแบบโล่งอกตามติดมาด้วย ในย่านชานเมืองแบบนี้หล่อนได้ขับรถเที่ยวหาโรงพยาบาลเอกชนสักแห่งที่ดูดีสักหน่อยจนคนเจ็บได้โอดโอยว่ากว่าจะพบเลือดคงจะไหลออกจากบาดแผลหมดตัวเสียก่อนเป็นแน่แท้“โชคนายยังดี เลือดยังไหลออกไม่หมด...”หล่อนเลี้ยวรถขึ้นไปตามทางที่ลาดขึ้นสูง ไปสู่ทางจอดตรงประตูกระจกชั้นล่างของโรงพยาบาลพอดี“เฮ้ย...ระวังคันหน้า ทำไมต้องไปจ่อติดแบบนั้นด้วย”“ฉันก็ระวังแล้ว”หล่อนบอก แต่ฝีมือการขับรถของหล่อนออกจะย่ำแย่สักหน่อย...เพราะเมื่อรถคันหน้าจอดลง ก็มีเสียงกระแทกโครมตามติดมา พร้อมกับเสียงโวยวายของหล่อนลั่นรถ จนเพื่อนหนุ่มเอามือข้างที่ไม่มีบาดแผลอุดหูทันที แต่กระนั้นเสียงหล่อนก็ยังเข้าไปในหูอีกข้างจนได้“เขาเบรกกะทันหันนะ เขาผิด ฉันไม่ผิด”“เออ...แก้ตัวเอาไว้ให้ดีก็แล้วกัน จะต้องเสียงเงินอีกตามเคย”คนที่นั่งทำตัวงอๆ จมลงไปกับเบาะที่นั่งข้างๆ คนขับยืดคอขึ้นมาก่อน แล้วจึงชะเง้อขึ้นมาทั้งตัว“ชนกับไอ้รถใหม่เอี่ยมป้ายแดงเชียวนะ...เอาไอ้กระป๋องบาดทะยักคันนี้ไปชนกับรถผู้ดีอีกแล้ว เจ้ามิน”“เขาผิด”มินตายังบอกย้ำ หล่อนเกาะพวงม