...พี่จะรีบกลับบ้านให้ไวที่สุด พี่เปลี่ยนใจที่จะไปยุโรปกับญี่ปุ่นต่อแล้ว จะตรงกลับกรุงเทพทันทีหลักจากที่เที่ยวทางภาคตะวันตกของอเมริกานี่เรียบร้อย พี่มีเรื่องบางอย่างที่จะต้องกลับมาสะสางต่อ เรื่องของหัวใจจ้ะ ขอปิดเป็นความลับก่อนนะ แต่เขาประทับใจพี่มาก ขอให้วาดภาพของเขาได้เลยว่าสง่างามเหมือนเจ้าชาย ร่ำรวย และหล่อระเบิด...
มินตาย่นจมูกนิดๆ หล่อนไม่เห็นภาพพจน์อย่างที่มิ่งขวัญบอก ก็พี่สาวของหล่อนเป็นแบบนี้เสมอ หลงใหลง่าย...เห็นหนุ่มๆ ร่ำรวยเข้าหน่อย มิ่งขวัญก็ตาโตเนื้อเต้นไปได้ทุกหน
“พี่มิ่งเอ๊ย...เจ้าชายจริงหรือเปล่า เดี๋ยวก็เป็นเจ้าชายเสกของนางฟ้าเข้าหรอก...เดี๋ยวนี้เจ้าชายเดินดินกินข้าวแกงกันแล้วทั้งน้าน...ฝันหวานจะกลายเป็นฝันสลาย”
////////////////////////////////////////////////////
กางเกงยีนส์เก่าๆ กับเสื้อเชิ้ตที่หล่อนสวมใส่อยู่ ทำให้คุณมารศรีย่นจมูกเข้าใส่เมื่อมินตาเดินเข้ามาในห้องอาหาร หล่อนรีบเอาซองยาวๆ ที่ข้างในเป็นเช็คส่วนตัวของหล่อนเลื่อนไปตรงหน้าเธอโดยเร็ว หล่อนอาจจะบาปก็เป็นได้ ที่ปิดปากมารดาด้วยเงิน แล้วก็ได้ผลเสียด้วยเมื่อหน้าที่บึ้งๆ อยู่เปลี่ยนเป็นยิ้มแย้มได้
“ค่าอะไรอีกล่ะ”
เสียงแหบๆ ของนายโกมุทเอ่ยถาม ดวงตาของเขามองดูซองในมือของภรรยาเขม็ง มินตาเป็นคนตอบคำถามนั้น
“ไม่ใช่เงินหรอกค่ะ พ่อ...เอกสารเรื่องของพี่มิ่งน่ะ” หล่อนกล่าวแก้เพราะไม่อย่างนั้นจะเป็นเรื่องยาว “วันนี้พ่อเป็นยังไงบ้างคะ”
สุขภาพของนายโกมุทไม่ดีนัก หลังจากที่เขาประสบความล้มเหลวในหน้าที่การงาน...เขาตัดสินใจลาออก แล้วก็มานั่งๆ นอนๆ อยู่บ้านกินใช้เงินจากกองมรดกเก่าๆ ที่พ่อแม่สะสมทิ้งเอาไว้ หลังจากลาออกมาได้สองปี นายโกมุทก็ตรวจพบว่าตัวเองมีปอดที่ไม่แข็งแรงนัก เขาเจ็บออดแอดมาตลอด...และเหมือนหมดความกระตือรือร้นกับเรื่องทุกอย่างในบ้าน อำนาจที่เคยมีมากในมือภรรยาเลยยิ่งมากกว่าเดิม เหมือนนายโกมุทเป็นเพียงเครื่องประดับบ้านหลังนี้เท่านั้น
“ก็เหมือนทุกวัน...” ดวงตาของเขาค่อนข้างเหม่อลอย มันไม่สดใส มินตาไม่เคยเข้าใจพ่อ...หล่อนพยายามจะเข้าใจแต่เหมือนพ่อจะมีโลกส่วนตัวที่ใคร ก็เข้าไปสัมผัสด้วยไม่ได้ แม่เคยบอกว่าพ่อเป็นคนไม่อดทน...
...นี่ถ้าไม่ด่วนลาออก ก็คงจะไปได้อีกไกล ได้เป็นซีสิบก่อนจะเกษียณแน่ๆ...
แม่มักจะกระฟัดกระเฟียดเสมอๆ แต่หล่อนก็ไม่อยากจะโทษพ่อ...พ่อมีสิทธิ์จะลาออกจากงาน พ่อทำได้ในสิทธิ์ข้อนั้น
“แต่วันนี้อากาศดีนะ...พ่อจะออกไปดูพวกช่างมันปรับปรุงเรือนเล็กริมน้ำด้านโน้น”
ดวงตาของมินตาฉายแววยินดีขึ้นมาชั่วแวบ
“ได้ช่างมาแล้วหรือคะ มินไม่ยักรู้...”
“ช่างมาจากบ้านนอก...พ่อแกไปเฟ้นหาเอามา เห็นคุยนักหนาว่าเป็นช่างไม้ฝีมือเยี่ยม”
“แพงไหมคะ”
“ไม่แพงหรอกลูก...พ่อเสียดายบ้านเก่า...มันจะผุเสียหมด...เอามาปรับปรุงเสียใหม่ มันยังใช้ได้...”
“มินขอนะคะ”
หล่อนโพล่งออกไป แล้วก็แทบจะกัดลิ้นตัวเองเมื่อเห็นคุณมารศรีค้อนขวับเข้าให้
“นี่แกเป็นอีกลูกช่างขอด้วยรึ”
ทั้งเธอทั้งมินตาไม่ทันได้เห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปแวบๆ ของนายโกมุท...มารู้สึกกันอีกทีก็ตอนที่นายโกมุทเกาะพื้นโต๊ะลุกขึ้นยืน “ฉันจะไปล่ะนะ...”
“คุณเพิ่งดื่มนมไปแก้วเดียวเอง”
“ฉันอิ่มแล้ว...เรื่องเรือนหลังเล็กนั่นเอาซิ มิน...ถ้าลูกอยากจะได้เอาไปได้เลย”
มินตายิ้มชื่น ก่อนจะค่อยๆ เฝื่อนลงเมื่อคุณมารศรีมองมาเขม็ง ครั้นลับร่างของบิดาแล้ว เธอก็เอ่ยออกมาด้วยเสียงประชดๆ
“ทำไมล่ะ แม่มิน อยู่บ้านหลังนี้สุขสบายไม่พอหรือไงจ๊ะ ถึงดิ้นรนขอบ้านหลังนั้นน่ะ หรือจะเก็บสะสมสมบัติเอาไว้ตั้งแต่พ่อแม่ยังไม่ตาย”
“มินไม่ใช่คนงกสมบัติสักหน่อย” หล่อนปฏิเสธข้อหาหลังก่อน สีหน้าของหล่อนเป็นปกติจนยากจะรู้ว่าหล่อนคิดสิ่งใดอยู่ในใจ “แม่ก็รู้ว่ามินกลับไม่ค่อยจะเป็นเวลา มินเกรงใจที่ต้องให้ปรางคอยเปิดประตูรั้ว ถ้ามินไปอยู่ที่เรือนเล็กโน่น มินก็เข้าออกได้สะดวก ไม่ต้องรบกวนแล้วบางทีมินก็มีงานที่ต้องเอากลับมาทำที่บ้าน มันเกะกะไปหมด แม่ก็เคยเห็นๆ”
“แก้ตัวงี้ คล่องปากเชียวนะ”
เธอตวัดตาค้อน แต่เช็คอุ่นๆ ในกระเป๋าเสื้อทำให้ไม่อยากจะพูดมากไปกว่านี้ นอกจากสำทับเพิ่มเติมอีกนิดว่า”แล้วแกอย่าลืมล่ะว่าแกยังต้องจ่ายเงินค่าพรมปูห้องพี่มิ่ง อย่าเพิ่งเอาเงินไปทุ่มซื้อของเข้าเรือนโน้น”
“มินจะขนของที่ห้องลงไป แล้วที่โน่นก็มีเครื่องเรือนเก่าๆ อยู่ เอามาปัดๆ ฝุ่นก็ยังใช้ได้ดี มินไปก่อนนะคะ”
หล่อนจรดฝีเท้าลงกับพื้นอย่างแผ่วเบา ครั้นพ้นสายตาของมารดา การเดินเหินของหล่อนก็สะดวกขึ้น มินตานั่งอยู่ที่หัวบันได หล่อนสวมถุงเท้าก่อน แล้วจึงสอดเข้าไปในรองเท้าผูกเชือกจนกระชับ จึงเดินลงไปที่รถยนต์...ขับออกไปจากบ้าน พอเลี้ยวพ้นแนวกำแพง หล่อนก็ได้ยินเสียงกดแตรเร่งจากด้านหลัง มองจากกระจกข้าง หญิงสาวก็อมยิ้มชะลอรถแล้วก็จอดแอบเข้าข้างทาง ให้รถยนต์คันนั้นขึ้นมาจอดเทียบไขกระจกลง
“กดแตรซะแสบแก้หูเชียวนะ คุณเอ...วันนี้ทำไมออกแต่เช้า”
บุรุษหนุ่มที่ถูกเรียกว่าคุณเอหัวเราะเบาๆ เขาเป็นคนหนุ่มรุ่นพี่ของมินตาก็รุ่นเดียวกันกับมิ่งขวัญ แต่เติบโตมาด้วยกัน จนคุ้นเคย ระยะหลังๆ ที่ต่างฝ่ายได้เติบโตกันมากขึ้นนี่ต่างหากที่ทำให้ห่างเหินกันไป ไม่สู้จะได้พบหน้ากันนักทั้งที่รั้วบ้านก็ชิดติดกัน เดินเข้าเดินออกถึงกันได้ทางประตูข้าง
“คุณแม่ใช้ให้ไปบ้านคุณยาย...ไปรับเด็กคนรับใช้มาใหม่ คุณยายฝึกเด็กไว้ให้เรียบร้อยแล้ว”
“ดีนะ...มีคนฝึกให้ก่อน เอามาไว้บ้านจะไม่ต้องขัดตาคุณป้า...”
แม่ของเขากับแม่ของหล่อน ก็ไม่แตกต่างกันสักเท่าไหร่ แค่นึกถึงมินตาก็ยังเอือมๆ นึกถึงภาพตัวเองยามต้องอยู่ต่อหน้าผู้หญิงทั้งสองกับบทเสงี่ยมหงิม พับเพียบเรียบร้อยที่หล่อนได้เพียรพยายามทำได้...ไม่เหมือนมิ่งขวัญที่กระชดกระช้อยนุ่มนวลเป็นกุลสตรีทุกกระเบียดนิ้ว สีหน้าของหล่อนมีรอยยิ้มขันๆ ที่ทำให้ดวงหน้าของหล่อนสว่างขึ้นอีกมาก
“ไม่ค่อยจะได้เจอมิน งานยุ่งล่ะซิ”
“ยุ่งมาก...ตัวเป็นเกลียว...หัวเป็นน็อตเชียวละ”
“มิน่า...” เขามองดูหัวหล่อนก่อน “ผมเผ้าถึงเหมือนไม่ได้เจอหวีเลย ยุ่งไปหมดแล้ว ยายมินเอ๊ย...มอมแมมอย่างนี้อีกกี่ปีจะขายออก”
“พูดเป็นแม่อีกคนแล้ว ขายไม่ออกก็ไม่เห็นจะเป็นไร อยู่เป็นสาวโสดให้เบิกบานใจเล่นดีกว่า”
“เห็นว่ารวยแล้วด้วย”
“คุณเอนี่ไปฟังข่าวลือจากไหน มินก็ยังจ๊นจน” หล่อนออกเสียงกระดกลิ้นแต่นัยน์ตาเป็นประกายพราว “นี่คงไม่ได้ชวนจอดรถคุยกันเรื่องสัพเพเหระแบบนี้นะ มินจะต้องรีบไป”
“กลางวันนี้กินข้าวด้วยกันไหม”
มินทำตาโต เกือบจะไม่เชื่อหูตัวเอง สาวิตต์ชวนหล่อนไปกินข้าวมื้อกลางวัน...หล่อนต้องบังคับตัวเองไม่ให้แสดงความลิงโลดออกมามากกว่านี้...ทั้งที่ใจข้างในเต้นโครมครามไปหมดแล้ว
“ที่ไหนคะ...แล้วเลี้ยงมินเนื่องในโอกาสอะไรกัน”
“ก็เลี้ยงเฉยๆ อยากคุยด้วยเท่านั้น...ไม่ค่อยจะมีเวลาคุยกัน เคยแวะเข้าไปตอนเย็นๆ คุณน้าก็บอกว่ามินกลับมืดทุกวัน”
นี่เขารู้ด้วยหรือว่าหล่อนทำอะไรบ้าง เหมือนสูบลมเข้าไปในหัวใจของหล่อนเพิ่มอีก มือของตัวเองแท้ๆ มินตายังรู้สึกว่ามันเกะกะไปหมดแล้ว
“บอกมินมาแล้วกันว่าจะไปกินที่ไหน มินจะไปรอ”
“พี่ไปรับที่ออฟฟิศก็ได้นะ”
“ไม่ต้องค่ะ ไม่ต้อง มินไปเองดีกว่า”
เรื่องอะไรจะให้พวกเพื่อนๆ มันโห่เอา...แต่ไหนแต่ไรแล้วที่มินตาไม่เคยมี ‘นัด’ กับเพศตรงข้าม หากอยู่ๆ มีผู้ชายบุกบั่นไปหา และพาหล่อนออกไปทานมื้อกลางวันคงจะเป็นเรื่องที่พูดล้อเล่นกันได้เป็นเดือนๆ แล้วมินตาก็ยังไม่อยากถูกค่อนแคะด้วย ในเมื่อสาวิตต์กับหล่อนแตกต่างกันมาก เพื่อนๆ หล่อนคงจะไม่ยอมเชื่อเด็ดขาดว่าสาวิตต์จะมาชอบพอหล่อน
อย่างน้อยหากจะเป็นความสุขมินตาก็อยากเก็บไว้ชื่นชมคนเดียว เพราะหล่อนรู้ว่าสุขนี้จะเป็นแต่ความฝันเท่านั้น มันจะไม่เป็นจริงเป็นอันขาด
สาวิตต์บอกสถานที่ โดยที่มินตาก็ไม่ทันได้คิดมาก หล่อนเพียงแต่กระหยิ่มยินดี และตลอดทางที่ขับรถไปถึงออฟฟิศหล่อนรื่นเริงพอจะฮัมเพลงหวานๆ ไปตลอดทางทีเดียว
มินตาเอารถเข้าไปจอดด้านหลังของภัตตาคารหรูๆ แห่งนี้ หล่อนไม่ทันได้เห็นว่าตัวเองตกอยู่ในสายตาคนคนหนึ่งตลอดเวลานับจากหล่อนเลี้ยวรถเข้ามาแล้ว หญิงสาวเปิดประตูก้าวลงมา แล้วด้วยความเชื่อมั่นในตัวเอง หล่อนก้าวเดินฉับๆ ไม่ทันสังเกตว่าหล่อนถูกมองด้วยดวงตาหลายๆ คู่ ก่อนจะมารู้สึกว่าหล่อนเป็นเหมือนตัวประหลาดตรงทางเข้านี่เองมินตาก้มลงมองตัวเอง แล้วหล่อนก็จึงรู้ว่าอะไรเป็นเหตุ ทำให้เจ้าหนุ่มตรงทางเข้าที่มักจะโค้งต้อนรับลูกค้ามองหล่อนด้วยแววตาชอบกล เสื้อผ้าของหล่อนนี่เอง หญิงสาวเพิ่งนึกเสียใจเป็นหนแรกที่หล่อนแทบจะไม่เคยนุ่งกระโปรงออกจากบ้านมาทำงาน และเสื้อกางเกงชุดนี้ก็ไม่ใช่ชุดลำลองของสาวสมัยเสียด้วย มันดูบึกบึนตามแบบสาวทำงานมากกว่า“คุณจองโต๊ะไว้หรือเปล่าครับ”หล่อนได้ยินคำถาม ตอนแรกมินตาก็ไม่แน่ใจว่าถามหล่อน จนกระทั่งได้ยินเสียงถามอีกหน หล่อนจึงจิ้มอกตัวเองเหมือนย้อนถามกลับ“คุณแหละครับ...จองโต๊ะไว้หรือเปล่า”“ฉันไม่รู้ เพื่อนฉันนัดฉันที่นี่”“อาจจะมีการเข้าใจผิดก็ได้นะครับ”เลือดขึ้นหน้ามินตานิดๆ แล้ว ริมฝีปากเม้นเข้ากัน นี่หล่อนกลายเป็นตัวอะไรไปแล้วหรือถึงได้รับการปฏิบัติแบบนี้...กะแค่เสื้อผ้
“ถึงโรงพยาบาลแล้วจ้า”มินตาบอกด้วยเสียงยินดี มีเสียงเหมือนระบายลมหายใจแบบโล่งอกตามติดมาด้วย ในย่านชานเมืองแบบนี้หล่อนได้ขับรถเที่ยวหาโรงพยาบาลเอกชนสักแห่งที่ดูดีสักหน่อยจนคนเจ็บได้โอดโอยว่ากว่าจะพบเลือดคงจะไหลออกจากบาดแผลหมดตัวเสียก่อนเป็นแน่แท้“โชคนายยังดี เลือดยังไหลออกไม่หมด...”หล่อนเลี้ยวรถขึ้นไปตามทางที่ลาดขึ้นสูง ไปสู่ทางจอดตรงประตูกระจกชั้นล่างของโรงพยาบาลพอดี“เฮ้ย...ระวังคันหน้า ทำไมต้องไปจ่อติดแบบนั้นด้วย”“ฉันก็ระวังแล้ว”หล่อนบอก แต่ฝีมือการขับรถของหล่อนออกจะย่ำแย่สักหน่อย...เพราะเมื่อรถคันหน้าจอดลง ก็มีเสียงกระแทกโครมตามติดมา พร้อมกับเสียงโวยวายของหล่อนลั่นรถ จนเพื่อนหนุ่มเอามือข้างที่ไม่มีบาดแผลอุดหูทันที แต่กระนั้นเสียงหล่อนก็ยังเข้าไปในหูอีกข้างจนได้“เขาเบรกกะทันหันนะ เขาผิด ฉันไม่ผิด”“เออ...แก้ตัวเอาไว้ให้ดีก็แล้วกัน จะต้องเสียงเงินอีกตามเคย”คนที่นั่งทำตัวงอๆ จมลงไปกับเบาะที่นั่งข้างๆ คนขับยืดคอขึ้นมาก่อน แล้วจึงชะเง้อขึ้นมาทั้งตัว“ชนกับไอ้รถใหม่เอี่ยมป้ายแดงเชียวนะ...เอาไอ้กระป๋องบาดทะยักคันนี้ไปชนกับรถผู้ดีอีกแล้ว เจ้ามิน”“เขาผิด”มินตายังบอกย้ำ หล่อนเกาะพวงม
มินตาหน้าแห้ง พยักหน้ากับเพื่อน แล้วเดินกลับไปกลับมา หล่อนชะเง้อมองเข้าไปหลายหน แต่หล่อนมองไม่เห็นว่าธันวาเข้าไปตรงไหนของห้องนั้น หล่อนได้เห็นแต่เจ้าหนุ่มคู่กรณีของหล่อน เห็นเขาเข้าไปยืนอยู่ใกล้ๆ เตียงของแม่สาวที่ธันวาบอกว่าตกเลือด ไม่ใช่เมียก็อาจจะเป็นคู่รักกระมัง...หล่อนพินิจมองเขา...ก่อนจะนึกออก หล่อนดีดนิ้วออกมาแรงๆ สีหน้าสดใสขึ้น เมื่อนึกได้ว่าเขาคือใครมิน่าเล่า หน้าตาถึงคุ้นเหลือเกินธันวาเดินหน้าตาซีดเซียวออกมาจากห้องนั้นในอีกครึ่งชั่วโมงต่อมา มินตารีบลุกไปหา “หน้าตานายเหมือนคนใกล้ตาย”“เจ็บนี่หว่า”เขาพูดจาแบบนี้กับมินตา...ใครๆ ก็พูดกับหล่อนแบบนี้ เพราะในออฟฟิศนั้นมินตาเหมือนเพื่อนผู้ชายคนหนึ่ง หล่อนเป็นสาวคนเดียวที่ออฟฟิศมี และจากการทำงานกันนานวันเข้า มินตาก็ทำเหมือนหล่อนไม่ใช่ผู้หญิง หล่อนแข็งแกร่งพอจะยืนหยัดไปพร้อมๆ กับเพื่อนคนอื่นๆ หลายหนเข้าทุกคนจึงลืมเหมือนกันว่าหล่อนเป็นผู้หญิง พูดจากับหล่อนก็ไม่ค่อยจะอ่อนโยน และมินตาก็ไม่เคยถือสา หล่อนมีนิสัยง่ายๆ ตรงไปตรงมา แต่หล่อนก็ขีดเส้นเอาไว้เหมือนกัน ไม่มีใครก้าวล้ำเส้นนั่นไปได้ มินตาเป็นผู้หญิงรักตัวเอง...หล่อนไม่มีแฟน และทำท่า
มินตาเข้าบ้านมาอย่างเงียบๆ หล่อนลงนั่งที่บันไดขั้นล่างแล้วถอดรองเท้าผ้าใบออก ถอดถุงเท้าออกตาม แล้วม้วนถุงเท้าเป็นก้อนกลมๆ ยัดเข้าไปในรองเท้า หิ้วรองเท้าขึ้นบันไดด้วยฝีเท้าแผ่วเบา จนเกือบจะไม่น่าเชื่อว่านี่คือมินตา...นี่หากเพื่อนร่วมงานมาเห็นท่าเดินเหมือนเท้าแทบจะไม่ได้แตะพื้นของหล่อนละก้อ คงจะได้หัวเราะกันเกรียว เพราะยามอยู่ในออฟฟิศ มินตาจะมีก้าวย่างหนักแน่นรุนแรงเป็นจังหวะ บางทีแค่ได้ยินเสียงฝีเท้าก็รู้กันแล้วว่าเป็นหล่อนประตูด้านหน้ายังไม่ได้ปิดลงกลอน แต่แง้มๆ เอาไว้ หล่อนค่อยๆ ผลักเข้าไปอย่างแผ่วเบา...แต่บานพับที่ค่อนข้างจะฝืดสักหน่อยก็ให้เสียงเอี๊ยดอ๊าด...มินตาจับประตูให้อยู่นิ่งๆ หล่อนกลัวว่าเสียงนี้จะปลุกให้มารดาตื่นลงมา...หล่อนกลับบ้านดึกเสมอก็งานล่วงเวลามันเงินดีเหลือเกิน หล่อนจะยอมให้พลาดไปอย่างไรได้ วันนี้ก็งานล่าช้าเพราะอุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ ที่ธันวาได้รับ หล่อนเลยมีงานให้สะสาง เพราะเอาเวลาขับรถพาธันวาไปส่งโรงพยาบาลพรุ่งนี้ก่อนออกจากบ้าน หล่อนจะเอาน้ำมันมาหยอดบานพับเสียหน่อย ไม่ให้มีเสียงแบบนี้เกิดขึ้นมาอีกย่องๆ จะไปถึงหน้าห้องของหล่อนอยู่แล้ว มินตาก็ชะงักเมื่อแสงสว่างพึ
มินตาเอารถเข้าไปจอดด้านหลังของภัตตาคารหรูๆ แห่งนี้ หล่อนไม่ทันได้เห็นว่าตัวเองตกอยู่ในสายตาคนคนหนึ่งตลอดเวลานับจากหล่อนเลี้ยวรถเข้ามาแล้ว หญิงสาวเปิดประตูก้าวลงมา แล้วด้วยความเชื่อมั่นในตัวเอง หล่อนก้าวเดินฉับๆ ไม่ทันสังเกตว่าหล่อนถูกมองด้วยดวงตาหลายๆ คู่ ก่อนจะมารู้สึกว่าหล่อนเป็นเหมือนตัวประหลาดตรงทางเข้านี่เองมินตาก้มลงมองตัวเอง แล้วหล่อนก็จึงรู้ว่าอะไรเป็นเหตุ ทำให้เจ้าหนุ่มตรงทางเข้าที่มักจะโค้งต้อนรับลูกค้ามองหล่อนด้วยแววตาชอบกล เสื้อผ้าของหล่อนนี่เอง หญิงสาวเพิ่งนึกเสียใจเป็นหนแรกที่หล่อนแทบจะไม่เคยนุ่งกระโปรงออกจากบ้านมาทำงาน และเสื้อกางเกงชุดนี้ก็ไม่ใช่ชุดลำลองของสาวสมัยเสียด้วย มันดูบึกบึนตามแบบสาวทำงานมากกว่า“คุณจองโต๊ะไว้หรือเปล่าครับ”หล่อนได้ยินคำถาม ตอนแรกมินตาก็ไม่แน่ใจว่าถามหล่อน จนกระทั่งได้ยินเสียงถามอีกหน หล่อนจึงจิ้มอกตัวเองเหมือนย้อนถามกลับ“คุณแหละครับ...จองโต๊ะไว้หรือเปล่า”“ฉันไม่รู้ เพื่อนฉันนัดฉันที่นี่”“อาจจะมีการเข้าใจผิดก็ได้นะครับ”เลือดขึ้นหน้ามินตานิดๆ แล้ว ริมฝีปากเม้นเข้ากัน นี่หล่อนกลายเป็นตัวอะไรไปแล้วหรือถึงได้รับการปฏิบัติแบบนี้...กะแค่เสื้อผ้
...พี่จะรีบกลับบ้านให้ไวที่สุด พี่เปลี่ยนใจที่จะไปยุโรปกับญี่ปุ่นต่อแล้ว จะตรงกลับกรุงเทพทันทีหลักจากที่เที่ยวทางภาคตะวันตกของอเมริกานี่เรียบร้อย พี่มีเรื่องบางอย่างที่จะต้องกลับมาสะสางต่อ เรื่องของหัวใจจ้ะ ขอปิดเป็นความลับก่อนนะ แต่เขาประทับใจพี่มาก ขอให้วาดภาพของเขาได้เลยว่าสง่างามเหมือนเจ้าชาย ร่ำรวย และหล่อระเบิด...มินตาย่นจมูกนิดๆ หล่อนไม่เห็นภาพพจน์อย่างที่มิ่งขวัญบอก ก็พี่สาวของหล่อนเป็นแบบนี้เสมอ หลงใหลง่าย...เห็นหนุ่มๆ ร่ำรวยเข้าหน่อย มิ่งขวัญก็ตาโตเนื้อเต้นไปได้ทุกหน“พี่มิ่งเอ๊ย...เจ้าชายจริงหรือเปล่า เดี๋ยวก็เป็นเจ้าชายเสกของนางฟ้าเข้าหรอก...เดี๋ยวนี้เจ้าชายเดินดินกินข้าวแกงกันแล้วทั้งน้าน...ฝันหวานจะกลายเป็นฝันสลาย”////////////////////////////////////////////////////กางเกงยีนส์เก่าๆ กับเสื้อเชิ้ตที่หล่อนสวมใส่อยู่ ทำให้คุณมารศรีย่นจมูกเข้าใส่เมื่อมินตาเดินเข้ามาในห้องอาหาร หล่อนรีบเอาซองยาวๆ ที่ข้างในเป็นเช็คส่วนตัวของหล่อนเลื่อนไปตรงหน้าเธอโดยเร็ว หล่อนอาจจะบาปก็เป็นได้ ที่ปิดปากมารดาด้วยเงิน แล้วก็ได้ผลเสียด้วยเมื่อหน้าที่บึ้งๆ อยู่เปลี่ยนเป็นยิ้มแย้มได้“ค่าอะไรอีกล
มินตาเข้าบ้านมาอย่างเงียบๆ หล่อนลงนั่งที่บันไดขั้นล่างแล้วถอดรองเท้าผ้าใบออก ถอดถุงเท้าออกตาม แล้วม้วนถุงเท้าเป็นก้อนกลมๆ ยัดเข้าไปในรองเท้า หิ้วรองเท้าขึ้นบันไดด้วยฝีเท้าแผ่วเบา จนเกือบจะไม่น่าเชื่อว่านี่คือมินตา...นี่หากเพื่อนร่วมงานมาเห็นท่าเดินเหมือนเท้าแทบจะไม่ได้แตะพื้นของหล่อนละก้อ คงจะได้หัวเราะกันเกรียว เพราะยามอยู่ในออฟฟิศ มินตาจะมีก้าวย่างหนักแน่นรุนแรงเป็นจังหวะ บางทีแค่ได้ยินเสียงฝีเท้าก็รู้กันแล้วว่าเป็นหล่อนประตูด้านหน้ายังไม่ได้ปิดลงกลอน แต่แง้มๆ เอาไว้ หล่อนค่อยๆ ผลักเข้าไปอย่างแผ่วเบา...แต่บานพับที่ค่อนข้างจะฝืดสักหน่อยก็ให้เสียงเอี๊ยดอ๊าด...มินตาจับประตูให้อยู่นิ่งๆ หล่อนกลัวว่าเสียงนี้จะปลุกให้มารดาตื่นลงมา...หล่อนกลับบ้านดึกเสมอก็งานล่วงเวลามันเงินดีเหลือเกิน หล่อนจะยอมให้พลาดไปอย่างไรได้ วันนี้ก็งานล่าช้าเพราะอุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ ที่ธันวาได้รับ หล่อนเลยมีงานให้สะสาง เพราะเอาเวลาขับรถพาธันวาไปส่งโรงพยาบาลพรุ่งนี้ก่อนออกจากบ้าน หล่อนจะเอาน้ำมันมาหยอดบานพับเสียหน่อย ไม่ให้มีเสียงแบบนี้เกิดขึ้นมาอีกย่องๆ จะไปถึงหน้าห้องของหล่อนอยู่แล้ว มินตาก็ชะงักเมื่อแสงสว่างพึ
มินตาหน้าแห้ง พยักหน้ากับเพื่อน แล้วเดินกลับไปกลับมา หล่อนชะเง้อมองเข้าไปหลายหน แต่หล่อนมองไม่เห็นว่าธันวาเข้าไปตรงไหนของห้องนั้น หล่อนได้เห็นแต่เจ้าหนุ่มคู่กรณีของหล่อน เห็นเขาเข้าไปยืนอยู่ใกล้ๆ เตียงของแม่สาวที่ธันวาบอกว่าตกเลือด ไม่ใช่เมียก็อาจจะเป็นคู่รักกระมัง...หล่อนพินิจมองเขา...ก่อนจะนึกออก หล่อนดีดนิ้วออกมาแรงๆ สีหน้าสดใสขึ้น เมื่อนึกได้ว่าเขาคือใครมิน่าเล่า หน้าตาถึงคุ้นเหลือเกินธันวาเดินหน้าตาซีดเซียวออกมาจากห้องนั้นในอีกครึ่งชั่วโมงต่อมา มินตารีบลุกไปหา “หน้าตานายเหมือนคนใกล้ตาย”“เจ็บนี่หว่า”เขาพูดจาแบบนี้กับมินตา...ใครๆ ก็พูดกับหล่อนแบบนี้ เพราะในออฟฟิศนั้นมินตาเหมือนเพื่อนผู้ชายคนหนึ่ง หล่อนเป็นสาวคนเดียวที่ออฟฟิศมี และจากการทำงานกันนานวันเข้า มินตาก็ทำเหมือนหล่อนไม่ใช่ผู้หญิง หล่อนแข็งแกร่งพอจะยืนหยัดไปพร้อมๆ กับเพื่อนคนอื่นๆ หลายหนเข้าทุกคนจึงลืมเหมือนกันว่าหล่อนเป็นผู้หญิง พูดจากับหล่อนก็ไม่ค่อยจะอ่อนโยน และมินตาก็ไม่เคยถือสา หล่อนมีนิสัยง่ายๆ ตรงไปตรงมา แต่หล่อนก็ขีดเส้นเอาไว้เหมือนกัน ไม่มีใครก้าวล้ำเส้นนั่นไปได้ มินตาเป็นผู้หญิงรักตัวเอง...หล่อนไม่มีแฟน และทำท่า
“ถึงโรงพยาบาลแล้วจ้า”มินตาบอกด้วยเสียงยินดี มีเสียงเหมือนระบายลมหายใจแบบโล่งอกตามติดมาด้วย ในย่านชานเมืองแบบนี้หล่อนได้ขับรถเที่ยวหาโรงพยาบาลเอกชนสักแห่งที่ดูดีสักหน่อยจนคนเจ็บได้โอดโอยว่ากว่าจะพบเลือดคงจะไหลออกจากบาดแผลหมดตัวเสียก่อนเป็นแน่แท้“โชคนายยังดี เลือดยังไหลออกไม่หมด...”หล่อนเลี้ยวรถขึ้นไปตามทางที่ลาดขึ้นสูง ไปสู่ทางจอดตรงประตูกระจกชั้นล่างของโรงพยาบาลพอดี“เฮ้ย...ระวังคันหน้า ทำไมต้องไปจ่อติดแบบนั้นด้วย”“ฉันก็ระวังแล้ว”หล่อนบอก แต่ฝีมือการขับรถของหล่อนออกจะย่ำแย่สักหน่อย...เพราะเมื่อรถคันหน้าจอดลง ก็มีเสียงกระแทกโครมตามติดมา พร้อมกับเสียงโวยวายของหล่อนลั่นรถ จนเพื่อนหนุ่มเอามือข้างที่ไม่มีบาดแผลอุดหูทันที แต่กระนั้นเสียงหล่อนก็ยังเข้าไปในหูอีกข้างจนได้“เขาเบรกกะทันหันนะ เขาผิด ฉันไม่ผิด”“เออ...แก้ตัวเอาไว้ให้ดีก็แล้วกัน จะต้องเสียงเงินอีกตามเคย”คนที่นั่งทำตัวงอๆ จมลงไปกับเบาะที่นั่งข้างๆ คนขับยืดคอขึ้นมาก่อน แล้วจึงชะเง้อขึ้นมาทั้งตัว“ชนกับไอ้รถใหม่เอี่ยมป้ายแดงเชียวนะ...เอาไอ้กระป๋องบาดทะยักคันนี้ไปชนกับรถผู้ดีอีกแล้ว เจ้ามิน”“เขาผิด”มินตายังบอกย้ำ หล่อนเกาะพวงม