“ถึงโรงพยาบาลแล้วจ้า”
มินตาบอกด้วยเสียงยินดี มีเสียงเหมือนระบายลมหายใจแบบโล่งอกตามติดมาด้วย ในย่านชานเมืองแบบนี้หล่อนได้ขับรถเที่ยวหาโรงพยาบาลเอกชนสักแห่งที่ดูดีสักหน่อยจนคนเจ็บได้โอดโอยว่ากว่าจะพบเลือดคงจะไหลออกจากบาดแผลหมดตัวเสียก่อนเป็นแน่แท้
“โชคนายยังดี เลือดยังไหลออกไม่หมด...”
หล่อนเลี้ยวรถขึ้นไปตามทางที่ลาดขึ้นสูง ไปสู่ทางจอดตรงประตูกระจกชั้นล่างของโรงพยาบาลพอดี
“เฮ้ย...ระวังคันหน้า ทำไมต้องไปจ่อติดแบบนั้นด้วย”
“ฉันก็ระวังแล้ว”
หล่อนบอก แต่ฝีมือการขับรถของหล่อนออกจะย่ำแย่สักหน่อย...เพราะเมื่อรถคันหน้าจอดลง ก็มีเสียงกระแทกโครมตามติดมา พร้อมกับเสียงโวยวายของหล่อนลั่นรถ จนเพื่อนหนุ่มเอามือข้างที่ไม่มีบาดแผลอุดหูทันที แต่กระนั้นเสียงหล่อนก็ยังเข้าไปในหูอีกข้างจนได้
“เขาเบรกกะทันหันนะ เขาผิด ฉันไม่ผิด”
“เออ...แก้ตัวเอาไว้ให้ดีก็แล้วกัน จะต้องเสียงเงินอีกตามเคย”
คนที่นั่งทำตัวงอๆ จมลงไปกับเบาะที่นั่งข้างๆ คนขับยืดคอขึ้นมาก่อน แล้วจึงชะเง้อขึ้นมาทั้งตัว
“ชนกับไอ้รถใหม่เอี่ยมป้ายแดงเชียวนะ...เอาไอ้กระป๋องบาดทะยักคันนี้ไปชนกับรถผู้ดีอีกแล้ว เจ้ามิน”
“เขาผิด”
มินตายังบอกย้ำ หล่อนเกาะพวงมาลัยอยู่นิ่งๆ ยามหน้าโรงพยาบาลวิ่งมาดู พร้อมกับเตียงคนป่วยที่ถูกเข็นผ่านประตูกระจก ที่เปิดเลื่อนโดยระบบอัตโนมัติออกมาโดยบุรุษพยาบาลรูปร่างแข็งแรงวิ่งกันมาไขว่ไปหมด
มินตาเบิกตากว้าง...หล่อนกระทุ้งข้อศอกเข้ามาถูกแขนของธันวา แขนข้างที่มือเจ็บพันเอาไว้ด้วยผ้าสีขาวหนาและมีเลือดเปรอะไปหมด ได้ยินเสียงโอดโอยเหมือนเจ็บหนัก
“เขาเอาเตียงมาเข็นนายด้วยล่ะ...ที่นี่บริการเยี่ยมเลยนะ...คนเจ็บมาก็เข็นเข้าไป...นายทำหน้าสวยๆ หน่อยนะตอนนอนเข้าไปน่ะ อย่าทำเจี๋ยมเจี้ยมเป็นหมูต้มล่ะ...”
มินตาเปิดประตูรถก้าวลงมา เรื่องที่หล่อนคิดว่าจะเป็นเรื่องใหญ่คือรถชนท้ายรถคันข้างหน้ากลายเป็นเรื่องที่ไม่มีใครมาสนใจสักนิด หล่อนเห็นคนเข้าไปรุมล้อมรถใหม่เอี่ยมสีเขียวคันนั้น แล้วเมื่อประตูตอนหลังเปิดออก หล่อนก็เห็นว่ามีการหามหัวหามท้ายผู้หญิงคนหนึ่งออกมา หล่อนชะเง้อคอมอง...แล้วจึงหันมาบอกธันวาเหมือนกับจะผิดหวังไม่น้อย เมื่อเตียงนั้นถูกเข็นเข้าไปโดยมีผู้หญิงคนนั้นนอนเข้าไปด้วย
“นายคงจะต้องเดินเข้าไปเองแล้ว เตียงเขาเอามารับรถคันโน้น...เป็นอะไรน้อ...หน้าซีดจนเกือบจะเขียว แล้วเลือดก็เปื้อนมาเต็มกระโปรง”
ธันวาย่องแย่งมายืนอยู่เคียงข้าง เขามีคำตอบแก้ข้อข้องใจของมินตาเพียงมองไปแวบเดียว
“ตกเลือดน่ะ”
เขากระซิบเบาๆ ที่ริมหูหล่อน แล้วมินตาก็ทำให้เขาหน้ามุ่ยเมื่อหล่อนหันกลับมาถามย้ำ
“นายว่าไงนะ...ตกเลือด...เป็นยังไง ตกเลือดนี่น่ะ”
เสียงของหล่อนไม่เบานัก...บุรุษร่างสูงที่ยืนอยู่เงียบๆ แล้วโดดเด่นเหนือบุรุษคนอื่นๆ นับจากมาดและการแต่งตัวของเขาจึงหันมา ดวงตาสีเข้มนั่นลุกวาวขึ้น เหมือนไม่พอใจ ทำให้ธันวาส่งยิ้มแห้งๆ ไปให้ กระชากมินตาเข้ามาใกล้ตัว โดยลืมไปว่ามือที่ใช้นั้นคือมือที่เจ็บ เขาสะบัดมือออกเร่าๆ เมื่อกำมือเข้าหากันจึงกระเทือนบาดแผลเลือดไหลออกมาอีกแล้วก็เปื้อนเสื้อของมินตา
“หุบปากซะ เจ้ามิน...เห็นลูกกะตาไอ้หมอนั่นไหม...มันมองยังกะจะกินเลือดเนื้อ”
มินตาเห็นแล้ว หล่อนยืนอยู่ห่างจากผู้ชายคนนั้นไม่มากนัก หล่อนมองเห็นเขาเต็มตา แล้วเขาก็ก้าวเข้ามาหยุดเบื้องหน้าหล่อนโดยไม่พูดจาอะไรสักคำ แต่ดวงตาของเขาเหลือร้ายนัก มันเหมือนเขามีกองไฟอยู่ในดวงตาแผดเผาทำลาย...มินตากลืนน้ำลายลงคอ หล่อนก้าวถอยหลังมานิดหนึ่งโดยไม่ได้ตั้งใจแล้วไปยืนแอบอยู่เบื้องหลังธันวา
“รถผมเสียหาย”
เขาก้มๆ ลงไปมองท้ายรถของตัวเองนิดหนึ่ง...เสี้ยวหน้าด้านข้างนั่นคุ้นสายตาเหลือเกิน มินตายกมือลูบคางอีกมือกอดเอาไว้ใต้อก อันเป็นท่าที่หล่อนจะใช้ยามเมื่อใช้ความคิดอย่างหนัก เหมือนหล่อนเคยเห็นคนหน้าตาแบบนี้...
เคยเห็นแน่ๆ แต่ที่ไหนกันหนอ...
หล่อนอยากจะทุบหัวตัวเอง เวลานึกอะไรที่มันช่างนึกไม่ออกแล้วกลายเป็นเรื่องยาก
เมื่อเขายืดตัวขึ้นมา ได้มองเห็นกันตรงๆ รูปหน้าสี่เหลี่ยมแนวขากรรไกรกว้างแข็งแรง เหมือนรูปปั้นสมบูรณ์แบบเหลือเกิน...หล่อนลดมือลงจากปลายคางเมื่อได้ยินเสียงของเขาแจ้งข้อกล่าวหา
“รถผมไฟแตก กันชนบุบ...ผมจะเรียกบริษัทประกันมาตกลงกับทางคุณ”
“อะไรกัน”
มินตาก้าวออกไปอย่างลืมตัว... “ไฟแตก กันชนบุบเชียวหรือ ไหน...เป็นรถใหม่ ป้ายแดง ทำไมบุบง่ายนักเล่า”
หล่อนก้มลงไปดูบ้าง แล้วเมื่อยืดตัวขึ้นมาอีกหนหล่อนก็เห็นดวงดาวระยิบระยับ เมื่อศีรษะโขกเข้ากับอะไรอย่างหนึ่งแข็งๆ หล่อนไม่ได้ร้อง แต่ได้ยินเสียงร้องเบาๆ จากปากเขา แล้วมินตาจึงได้รู้ว่าหล่อนเอาหัวไปกระแทกคางของเขา
“ตายจริง” หล่อนอุทาน...แล้วธันวาก็สั่นศีรษะเหมือนระอาใจ อย่างหนักกับการที่ได้เห็นเพื่อนหญิงของเขาจับแขนผู้ชายแปลกหน้าคนนั้น แล้วยื่นมือแตะตรงปลายคางเหลี่ยมๆ มีรอยผ่านิดๆ ...
ธันวาได้แต่ส่งเสียงครางอยู่ในใจ
...เอาละ ไอ้ตัวยุ่ง เริ่มยุ่งแล้ว...
“คุณเจ็บหรือเปล่า ขอโทษนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ”
แล้วมือของมินตาก็ตกผล็อยลง เมื่อเขามองหล่อนเหมือนจะฆ่าหล่อนเสียให้ได้ ดวงตาคมจัดคู่นั้นทำให้หล่อนตัวสั่นได้อย่างประหลาด หล่อนค่อยๆ ถอยจนติดตัวถังรถของตัวเองแล้วก็เลื่อนตัวปราดๆ มายืนเคียงธันวาอีกหน ปากของหล่อนเท่านั้นที่ยังส่งเสียงได้เจื้อยแจ้วอยู่
“ฉันขอโทษแล้วนี่”
“ผมจะรวมเข้าไปในค่าเรียกร้องก็แล้วกัน”
แล้วเขาก็หันหลังกลับเดินดุ่มๆ จากไป ประตูกระจกนั่นเลื่อนเปิดรับเขาเข้าไปแล้ว มินตาแทบจะเต้นเร่าๆ
“ต๊าย...อีตางก คนรวยนี่มันงกเหมือนกันหมดเลยนะ ยิ่งรวยยิ่งงก อะไรๆ ก็ตีค่าเป็นเงินทั้งนั้น ยากหรอกย่ะ ฉันจะไม่จ่ายสักสลึง ฉันไม่ได้ผิด...” แล้วหล่อนก็ยิ้มหวานเจี๊ยบให้กับเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลที่มาขอร้องให้หล่อนเอารถลงไปจอดชั้นล่าง เพราะมีรถกำลังจะเลี้ยวขึ้นมาเพื่อส่งคนไข้...
“ค่ะ” มินตารับคำ...หล่อนไล่ธันวาเข้าไปข้างใน
“ดูมือนายซิ เลือดไหลออกมาอีกแล้ว เข้าไปหาหมอก่อน เดี๋ยวฉันจะตามเข้าไป...เอารถไปจอดข้างล่างก่อน ไม่ใช่คนรวยมาจากไหนนี่...จะได้มีคนมาเอารถไปจอดให้”
ปากหนอปาก...ธันวานึกในใจ เพื่อนของเขาคนนี้ปากดีนัก หล่อนสามารถแกว่งปากไปหาเรื่องได้ไม่ยากเลย เขาเดินระทดระทวยเข้ามา...ไปหยุดยืนรีๆ รอๆ อยู่หน้าห้องฉุกเฉินตามคำบอกของนางพยาบาลที่ออกมาต้อนรับเมื่อมองเห็นมือโชกเลือดของเขา แต่เขาก็ยังเข้าไปในห้องนั้นไม่ได้นอกจากมองผ่านเข้าไปทางช่องกระจกใสๆ ที่อยู่ตรงระดับสายตาพอดี เขาเห็นหมอและพยาบาลกำลังวิ่งกันวุ่นข้างในนั้น
คงเป็นแม่สาวที่ถูกหามลงมาจากรถคันเมื่อครู่ หล่อนอาจจะแท้ง...แล้วเขาก็หันกลับ...เกือบจะชนกับบุรุษหนุ่มหน้าตาแววตาดุๆ จนเกือบจะเป็นโหดเหี้ยมคนนั้นเข้าแล้ว
เขาหลีกทางให้เจ้าของดวงตาดุนั้น พอดีกันมินตาขึ้นมาจากชั้นล่าง หล่อนเข้ามาหาเขา...
“คุณธันวา...”
พยาบาลที่ไปทำบัตรให้กับเขาเดินมาเรียก แล้วให้เขาก้าวผ่านเข้าไปในห้อง มีมินตาทำท่าเหมือนจะตามเข้ามาด้วยเหมือนกัน แต่มีเสียงขอร้องอ่อนหวานเสียก่อน
“ข้างในห้องคนมากค่ะ เชิญนั่งรอข้างนอกนะคะ”
มินตาหน้าแห้ง พยักหน้ากับเพื่อน แล้วเดินกลับไปกลับมา หล่อนชะเง้อมองเข้าไปหลายหน แต่หล่อนมองไม่เห็นว่าธันวาเข้าไปตรงไหนของห้องนั้น หล่อนได้เห็นแต่เจ้าหนุ่มคู่กรณีของหล่อน เห็นเขาเข้าไปยืนอยู่ใกล้ๆ เตียงของแม่สาวที่ธันวาบอกว่าตกเลือด ไม่ใช่เมียก็อาจจะเป็นคู่รักกระมัง...หล่อนพินิจมองเขา...ก่อนจะนึกออก หล่อนดีดนิ้วออกมาแรงๆ สีหน้าสดใสขึ้น เมื่อนึกได้ว่าเขาคือใครมิน่าเล่า หน้าตาถึงคุ้นเหลือเกินธันวาเดินหน้าตาซีดเซียวออกมาจากห้องนั้นในอีกครึ่งชั่วโมงต่อมา มินตารีบลุกไปหา “หน้าตานายเหมือนคนใกล้ตาย”“เจ็บนี่หว่า”เขาพูดจาแบบนี้กับมินตา...ใครๆ ก็พูดกับหล่อนแบบนี้ เพราะในออฟฟิศนั้นมินตาเหมือนเพื่อนผู้ชายคนหนึ่ง หล่อนเป็นสาวคนเดียวที่ออฟฟิศมี และจากการทำงานกันนานวันเข้า มินตาก็ทำเหมือนหล่อนไม่ใช่ผู้หญิง หล่อนแข็งแกร่งพอจะยืนหยัดไปพร้อมๆ กับเพื่อนคนอื่นๆ หลายหนเข้าทุกคนจึงลืมเหมือนกันว่าหล่อนเป็นผู้หญิง พูดจากับหล่อนก็ไม่ค่อยจะอ่อนโยน และมินตาก็ไม่เคยถือสา หล่อนมีนิสัยง่ายๆ ตรงไปตรงมา แต่หล่อนก็ขีดเส้นเอาไว้เหมือนกัน ไม่มีใครก้าวล้ำเส้นนั่นไปได้ มินตาเป็นผู้หญิงรักตัวเอง...หล่อนไม่มีแฟน และทำท่า
มินตาเข้าบ้านมาอย่างเงียบๆ หล่อนลงนั่งที่บันไดขั้นล่างแล้วถอดรองเท้าผ้าใบออก ถอดถุงเท้าออกตาม แล้วม้วนถุงเท้าเป็นก้อนกลมๆ ยัดเข้าไปในรองเท้า หิ้วรองเท้าขึ้นบันไดด้วยฝีเท้าแผ่วเบา จนเกือบจะไม่น่าเชื่อว่านี่คือมินตา...นี่หากเพื่อนร่วมงานมาเห็นท่าเดินเหมือนเท้าแทบจะไม่ได้แตะพื้นของหล่อนละก้อ คงจะได้หัวเราะกันเกรียว เพราะยามอยู่ในออฟฟิศ มินตาจะมีก้าวย่างหนักแน่นรุนแรงเป็นจังหวะ บางทีแค่ได้ยินเสียงฝีเท้าก็รู้กันแล้วว่าเป็นหล่อนประตูด้านหน้ายังไม่ได้ปิดลงกลอน แต่แง้มๆ เอาไว้ หล่อนค่อยๆ ผลักเข้าไปอย่างแผ่วเบา...แต่บานพับที่ค่อนข้างจะฝืดสักหน่อยก็ให้เสียงเอี๊ยดอ๊าด...มินตาจับประตูให้อยู่นิ่งๆ หล่อนกลัวว่าเสียงนี้จะปลุกให้มารดาตื่นลงมา...หล่อนกลับบ้านดึกเสมอก็งานล่วงเวลามันเงินดีเหลือเกิน หล่อนจะยอมให้พลาดไปอย่างไรได้ วันนี้ก็งานล่าช้าเพราะอุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ ที่ธันวาได้รับ หล่อนเลยมีงานให้สะสาง เพราะเอาเวลาขับรถพาธันวาไปส่งโรงพยาบาลพรุ่งนี้ก่อนออกจากบ้าน หล่อนจะเอาน้ำมันมาหยอดบานพับเสียหน่อย ไม่ให้มีเสียงแบบนี้เกิดขึ้นมาอีกย่องๆ จะไปถึงหน้าห้องของหล่อนอยู่แล้ว มินตาก็ชะงักเมื่อแสงสว่างพึ
...พี่จะรีบกลับบ้านให้ไวที่สุด พี่เปลี่ยนใจที่จะไปยุโรปกับญี่ปุ่นต่อแล้ว จะตรงกลับกรุงเทพทันทีหลักจากที่เที่ยวทางภาคตะวันตกของอเมริกานี่เรียบร้อย พี่มีเรื่องบางอย่างที่จะต้องกลับมาสะสางต่อ เรื่องของหัวใจจ้ะ ขอปิดเป็นความลับก่อนนะ แต่เขาประทับใจพี่มาก ขอให้วาดภาพของเขาได้เลยว่าสง่างามเหมือนเจ้าชาย ร่ำรวย และหล่อระเบิด...มินตาย่นจมูกนิดๆ หล่อนไม่เห็นภาพพจน์อย่างที่มิ่งขวัญบอก ก็พี่สาวของหล่อนเป็นแบบนี้เสมอ หลงใหลง่าย...เห็นหนุ่มๆ ร่ำรวยเข้าหน่อย มิ่งขวัญก็ตาโตเนื้อเต้นไปได้ทุกหน“พี่มิ่งเอ๊ย...เจ้าชายจริงหรือเปล่า เดี๋ยวก็เป็นเจ้าชายเสกของนางฟ้าเข้าหรอก...เดี๋ยวนี้เจ้าชายเดินดินกินข้าวแกงกันแล้วทั้งน้าน...ฝันหวานจะกลายเป็นฝันสลาย”////////////////////////////////////////////////////กางเกงยีนส์เก่าๆ กับเสื้อเชิ้ตที่หล่อนสวมใส่อยู่ ทำให้คุณมารศรีย่นจมูกเข้าใส่เมื่อมินตาเดินเข้ามาในห้องอาหาร หล่อนรีบเอาซองยาวๆ ที่ข้างในเป็นเช็คส่วนตัวของหล่อนเลื่อนไปตรงหน้าเธอโดยเร็ว หล่อนอาจจะบาปก็เป็นได้ ที่ปิดปากมารดาด้วยเงิน แล้วก็ได้ผลเสียด้วยเมื่อหน้าที่บึ้งๆ อยู่เปลี่ยนเป็นยิ้มแย้มได้“ค่าอะไรอีกล
มินตาเอารถเข้าไปจอดด้านหลังของภัตตาคารหรูๆ แห่งนี้ หล่อนไม่ทันได้เห็นว่าตัวเองตกอยู่ในสายตาคนคนหนึ่งตลอดเวลานับจากหล่อนเลี้ยวรถเข้ามาแล้ว หญิงสาวเปิดประตูก้าวลงมา แล้วด้วยความเชื่อมั่นในตัวเอง หล่อนก้าวเดินฉับๆ ไม่ทันสังเกตว่าหล่อนถูกมองด้วยดวงตาหลายๆ คู่ ก่อนจะมารู้สึกว่าหล่อนเป็นเหมือนตัวประหลาดตรงทางเข้านี่เองมินตาก้มลงมองตัวเอง แล้วหล่อนก็จึงรู้ว่าอะไรเป็นเหตุ ทำให้เจ้าหนุ่มตรงทางเข้าที่มักจะโค้งต้อนรับลูกค้ามองหล่อนด้วยแววตาชอบกล เสื้อผ้าของหล่อนนี่เอง หญิงสาวเพิ่งนึกเสียใจเป็นหนแรกที่หล่อนแทบจะไม่เคยนุ่งกระโปรงออกจากบ้านมาทำงาน และเสื้อกางเกงชุดนี้ก็ไม่ใช่ชุดลำลองของสาวสมัยเสียด้วย มันดูบึกบึนตามแบบสาวทำงานมากกว่า“คุณจองโต๊ะไว้หรือเปล่าครับ”หล่อนได้ยินคำถาม ตอนแรกมินตาก็ไม่แน่ใจว่าถามหล่อน จนกระทั่งได้ยินเสียงถามอีกหน หล่อนจึงจิ้มอกตัวเองเหมือนย้อนถามกลับ“คุณแหละครับ...จองโต๊ะไว้หรือเปล่า”“ฉันไม่รู้ เพื่อนฉันนัดฉันที่นี่”“อาจจะมีการเข้าใจผิดก็ได้นะครับ”เลือดขึ้นหน้ามินตานิดๆ แล้ว ริมฝีปากเม้นเข้ากัน นี่หล่อนกลายเป็นตัวอะไรไปแล้วหรือถึงได้รับการปฏิบัติแบบนี้...กะแค่เสื้อผ้
มินตาเอารถเข้าไปจอดด้านหลังของภัตตาคารหรูๆ แห่งนี้ หล่อนไม่ทันได้เห็นว่าตัวเองตกอยู่ในสายตาคนคนหนึ่งตลอดเวลานับจากหล่อนเลี้ยวรถเข้ามาแล้ว หญิงสาวเปิดประตูก้าวลงมา แล้วด้วยความเชื่อมั่นในตัวเอง หล่อนก้าวเดินฉับๆ ไม่ทันสังเกตว่าหล่อนถูกมองด้วยดวงตาหลายๆ คู่ ก่อนจะมารู้สึกว่าหล่อนเป็นเหมือนตัวประหลาดตรงทางเข้านี่เองมินตาก้มลงมองตัวเอง แล้วหล่อนก็จึงรู้ว่าอะไรเป็นเหตุ ทำให้เจ้าหนุ่มตรงทางเข้าที่มักจะโค้งต้อนรับลูกค้ามองหล่อนด้วยแววตาชอบกล เสื้อผ้าของหล่อนนี่เอง หญิงสาวเพิ่งนึกเสียใจเป็นหนแรกที่หล่อนแทบจะไม่เคยนุ่งกระโปรงออกจากบ้านมาทำงาน และเสื้อกางเกงชุดนี้ก็ไม่ใช่ชุดลำลองของสาวสมัยเสียด้วย มันดูบึกบึนตามแบบสาวทำงานมากกว่า“คุณจองโต๊ะไว้หรือเปล่าครับ”หล่อนได้ยินคำถาม ตอนแรกมินตาก็ไม่แน่ใจว่าถามหล่อน จนกระทั่งได้ยินเสียงถามอีกหน หล่อนจึงจิ้มอกตัวเองเหมือนย้อนถามกลับ“คุณแหละครับ...จองโต๊ะไว้หรือเปล่า”“ฉันไม่รู้ เพื่อนฉันนัดฉันที่นี่”“อาจจะมีการเข้าใจผิดก็ได้นะครับ”เลือดขึ้นหน้ามินตานิดๆ แล้ว ริมฝีปากเม้นเข้ากัน นี่หล่อนกลายเป็นตัวอะไรไปแล้วหรือถึงได้รับการปฏิบัติแบบนี้...กะแค่เสื้อผ้
...พี่จะรีบกลับบ้านให้ไวที่สุด พี่เปลี่ยนใจที่จะไปยุโรปกับญี่ปุ่นต่อแล้ว จะตรงกลับกรุงเทพทันทีหลักจากที่เที่ยวทางภาคตะวันตกของอเมริกานี่เรียบร้อย พี่มีเรื่องบางอย่างที่จะต้องกลับมาสะสางต่อ เรื่องของหัวใจจ้ะ ขอปิดเป็นความลับก่อนนะ แต่เขาประทับใจพี่มาก ขอให้วาดภาพของเขาได้เลยว่าสง่างามเหมือนเจ้าชาย ร่ำรวย และหล่อระเบิด...มินตาย่นจมูกนิดๆ หล่อนไม่เห็นภาพพจน์อย่างที่มิ่งขวัญบอก ก็พี่สาวของหล่อนเป็นแบบนี้เสมอ หลงใหลง่าย...เห็นหนุ่มๆ ร่ำรวยเข้าหน่อย มิ่งขวัญก็ตาโตเนื้อเต้นไปได้ทุกหน“พี่มิ่งเอ๊ย...เจ้าชายจริงหรือเปล่า เดี๋ยวก็เป็นเจ้าชายเสกของนางฟ้าเข้าหรอก...เดี๋ยวนี้เจ้าชายเดินดินกินข้าวแกงกันแล้วทั้งน้าน...ฝันหวานจะกลายเป็นฝันสลาย”////////////////////////////////////////////////////กางเกงยีนส์เก่าๆ กับเสื้อเชิ้ตที่หล่อนสวมใส่อยู่ ทำให้คุณมารศรีย่นจมูกเข้าใส่เมื่อมินตาเดินเข้ามาในห้องอาหาร หล่อนรีบเอาซองยาวๆ ที่ข้างในเป็นเช็คส่วนตัวของหล่อนเลื่อนไปตรงหน้าเธอโดยเร็ว หล่อนอาจจะบาปก็เป็นได้ ที่ปิดปากมารดาด้วยเงิน แล้วก็ได้ผลเสียด้วยเมื่อหน้าที่บึ้งๆ อยู่เปลี่ยนเป็นยิ้มแย้มได้“ค่าอะไรอีกล
มินตาเข้าบ้านมาอย่างเงียบๆ หล่อนลงนั่งที่บันไดขั้นล่างแล้วถอดรองเท้าผ้าใบออก ถอดถุงเท้าออกตาม แล้วม้วนถุงเท้าเป็นก้อนกลมๆ ยัดเข้าไปในรองเท้า หิ้วรองเท้าขึ้นบันไดด้วยฝีเท้าแผ่วเบา จนเกือบจะไม่น่าเชื่อว่านี่คือมินตา...นี่หากเพื่อนร่วมงานมาเห็นท่าเดินเหมือนเท้าแทบจะไม่ได้แตะพื้นของหล่อนละก้อ คงจะได้หัวเราะกันเกรียว เพราะยามอยู่ในออฟฟิศ มินตาจะมีก้าวย่างหนักแน่นรุนแรงเป็นจังหวะ บางทีแค่ได้ยินเสียงฝีเท้าก็รู้กันแล้วว่าเป็นหล่อนประตูด้านหน้ายังไม่ได้ปิดลงกลอน แต่แง้มๆ เอาไว้ หล่อนค่อยๆ ผลักเข้าไปอย่างแผ่วเบา...แต่บานพับที่ค่อนข้างจะฝืดสักหน่อยก็ให้เสียงเอี๊ยดอ๊าด...มินตาจับประตูให้อยู่นิ่งๆ หล่อนกลัวว่าเสียงนี้จะปลุกให้มารดาตื่นลงมา...หล่อนกลับบ้านดึกเสมอก็งานล่วงเวลามันเงินดีเหลือเกิน หล่อนจะยอมให้พลาดไปอย่างไรได้ วันนี้ก็งานล่าช้าเพราะอุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ ที่ธันวาได้รับ หล่อนเลยมีงานให้สะสาง เพราะเอาเวลาขับรถพาธันวาไปส่งโรงพยาบาลพรุ่งนี้ก่อนออกจากบ้าน หล่อนจะเอาน้ำมันมาหยอดบานพับเสียหน่อย ไม่ให้มีเสียงแบบนี้เกิดขึ้นมาอีกย่องๆ จะไปถึงหน้าห้องของหล่อนอยู่แล้ว มินตาก็ชะงักเมื่อแสงสว่างพึ
มินตาหน้าแห้ง พยักหน้ากับเพื่อน แล้วเดินกลับไปกลับมา หล่อนชะเง้อมองเข้าไปหลายหน แต่หล่อนมองไม่เห็นว่าธันวาเข้าไปตรงไหนของห้องนั้น หล่อนได้เห็นแต่เจ้าหนุ่มคู่กรณีของหล่อน เห็นเขาเข้าไปยืนอยู่ใกล้ๆ เตียงของแม่สาวที่ธันวาบอกว่าตกเลือด ไม่ใช่เมียก็อาจจะเป็นคู่รักกระมัง...หล่อนพินิจมองเขา...ก่อนจะนึกออก หล่อนดีดนิ้วออกมาแรงๆ สีหน้าสดใสขึ้น เมื่อนึกได้ว่าเขาคือใครมิน่าเล่า หน้าตาถึงคุ้นเหลือเกินธันวาเดินหน้าตาซีดเซียวออกมาจากห้องนั้นในอีกครึ่งชั่วโมงต่อมา มินตารีบลุกไปหา “หน้าตานายเหมือนคนใกล้ตาย”“เจ็บนี่หว่า”เขาพูดจาแบบนี้กับมินตา...ใครๆ ก็พูดกับหล่อนแบบนี้ เพราะในออฟฟิศนั้นมินตาเหมือนเพื่อนผู้ชายคนหนึ่ง หล่อนเป็นสาวคนเดียวที่ออฟฟิศมี และจากการทำงานกันนานวันเข้า มินตาก็ทำเหมือนหล่อนไม่ใช่ผู้หญิง หล่อนแข็งแกร่งพอจะยืนหยัดไปพร้อมๆ กับเพื่อนคนอื่นๆ หลายหนเข้าทุกคนจึงลืมเหมือนกันว่าหล่อนเป็นผู้หญิง พูดจากับหล่อนก็ไม่ค่อยจะอ่อนโยน และมินตาก็ไม่เคยถือสา หล่อนมีนิสัยง่ายๆ ตรงไปตรงมา แต่หล่อนก็ขีดเส้นเอาไว้เหมือนกัน ไม่มีใครก้าวล้ำเส้นนั่นไปได้ มินตาเป็นผู้หญิงรักตัวเอง...หล่อนไม่มีแฟน และทำท่า
“ถึงโรงพยาบาลแล้วจ้า”มินตาบอกด้วยเสียงยินดี มีเสียงเหมือนระบายลมหายใจแบบโล่งอกตามติดมาด้วย ในย่านชานเมืองแบบนี้หล่อนได้ขับรถเที่ยวหาโรงพยาบาลเอกชนสักแห่งที่ดูดีสักหน่อยจนคนเจ็บได้โอดโอยว่ากว่าจะพบเลือดคงจะไหลออกจากบาดแผลหมดตัวเสียก่อนเป็นแน่แท้“โชคนายยังดี เลือดยังไหลออกไม่หมด...”หล่อนเลี้ยวรถขึ้นไปตามทางที่ลาดขึ้นสูง ไปสู่ทางจอดตรงประตูกระจกชั้นล่างของโรงพยาบาลพอดี“เฮ้ย...ระวังคันหน้า ทำไมต้องไปจ่อติดแบบนั้นด้วย”“ฉันก็ระวังแล้ว”หล่อนบอก แต่ฝีมือการขับรถของหล่อนออกจะย่ำแย่สักหน่อย...เพราะเมื่อรถคันหน้าจอดลง ก็มีเสียงกระแทกโครมตามติดมา พร้อมกับเสียงโวยวายของหล่อนลั่นรถ จนเพื่อนหนุ่มเอามือข้างที่ไม่มีบาดแผลอุดหูทันที แต่กระนั้นเสียงหล่อนก็ยังเข้าไปในหูอีกข้างจนได้“เขาเบรกกะทันหันนะ เขาผิด ฉันไม่ผิด”“เออ...แก้ตัวเอาไว้ให้ดีก็แล้วกัน จะต้องเสียงเงินอีกตามเคย”คนที่นั่งทำตัวงอๆ จมลงไปกับเบาะที่นั่งข้างๆ คนขับยืดคอขึ้นมาก่อน แล้วจึงชะเง้อขึ้นมาทั้งตัว“ชนกับไอ้รถใหม่เอี่ยมป้ายแดงเชียวนะ...เอาไอ้กระป๋องบาดทะยักคันนี้ไปชนกับรถผู้ดีอีกแล้ว เจ้ามิน”“เขาผิด”มินตายังบอกย้ำ หล่อนเกาะพวงม