บทที่ 13
“นิล นิล เป็นไงบ้าง” เขาถามขึ้นอย่างดีใจ เมื่อสริตาขยับนิ้วมือเล็กน้อยทำให้อัทธ์รู้สึกตัวเงยหน้ามองใบหน้างามที่เริ่มมีสีเลือดจาง ๆ กว่าตอนที่มาโรงพยาบาลใหม่ ๆ
ดวงตาหวานกระพริบถี่ ๆ เพื่อปรับให้ชินกับแสงสว่างรอบห้อง ที่นี่คงไม่ใช่ที่ไหนนอกเสียจากห้องพักในโรงพยาบาล พลันสายตาดันไปปะทะกับใบหน้าคมที่อยู่ตรงหน้าพอดี สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความปราบปลื้มเสียเต็มประดา
“นิลเป็นยังไงบ้าง รู้สึกไม่ดีตรงไหนไหม” เขาถามเออีกครั้งเมื่อเห็นเธอยังคงนิ่งเงียบ
“ฉันอยากพัก” สริตาบอกพียงแค่นั้นแล้วหันหลังให้กับอัทธ์
เขาได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ให้กับคนที่นอนอยู่บนเตียง ก่อนเดินออกไปนอกห้องเพื่อั้จะตามหมอให้มาตรวจดูอาการของสริตาว่าหายดีหรือยังมีอะไรแทรกซ้อนหรือไม่
ไม่นานแพทย์เจ้าของไข้เข้ามาตรวจดูอาการของสริตา หญิงสาวไม่ได้เป็นอะไรนอกเสียจากพักผ่อนน้อยจึงทำให้อ่อนเพลียพักที่โรงพยาบาลก็กลับบ้านได้แล้ว
อัทธ์เหมือนกำลังจะอ้าปากเอ่ยอะไรบางอย่างกับเธอ แต่กูกรบกวนด้วยเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือจนต้องรีบออกไป หลังจากที่ชายหนุ่มไม่ได้อยู่
บทที่ 14 นับจากวันนั้นที่สริตาออกจากโรงพยาบาลโดยการที่แอบออกมาแต่ก็ถูกจัดได้ เขาก็พาเธอมที่นี่อีกครั้งร่วมรักกับเธอทุกวันจนเกือบสัปดาห์ หญิงสาวไม่ได้ออกไปไหนได้แต่อยู่ภายในบ้านหลังนี้เพราะแน่นอนว่าโซ่ตรวนที่เขาใส่ไว้ให้ที่ข้อเท้ามีเพียงอัทธ์เท่านั้นที่จะปลดปล่อยเธอได้ ร่างสวยงามของคนตัวเล็กเริ่มทรุดโทรมราวกับตรอมใจที่หมดหนทางออกไปจากเกาะแห่งนี้เพราะตนคิดถึงลูกน้อยสุดหัวใจแก๊ก แก๊กเสียงเปิดประตูทางหน้าบ้านมันไม่ทำให้สริตาเงยหน้าจากการกอดเข่าอย่างเศร้าหมอง เพราะคงเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจากอัทธ์คนใจร้ายคนนั้นเป็นแน่ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เสียงฝีเท้าของใครบางคนเดินเข้ามาหยุดตรงหน้าของเธอเสียงพูดจากจากผู้มาใหม่ สริตาจึงเงยหน้าที่เต็มไปด้วยตราบน้ำตามองคนตรงหน้า“คุณเป็นใคร!” สริตาถามด้วยน้ำเสียงแหบแห้งคอจนแทบจะเป็นผงผู้ชายคนนั้นไม่พูดอะไรนอกเสียจากหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดบางสิ่งดูเพื่อความแน่ใจ ก่อนเอ่ยถามพร้อมย่อกายลงนั่งในระดับเดียวกับสริตา “น้องนิลเพื่อนของนิ้วนางใช่ไหม”
ราคีซาตาน ความเข้าใจผิดทำให้เธอต้องมีรอยราคีจากเขา ภาธร พ่อเลี้ยงหนุ่ม ที่เข้าใจผิดที่มีต่อเธอนั้น แต่กว่าจะรู้เธอก็หนีไปแสนไกล ------------------------------------------------------- “คุณภาคให้คุณวิทไปตามบัวมีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ” เธอถามและยิ้มให้คนที่กำลังหันหน้ามา “ไปเก็บของซะ” ไม่พูดพร่ำทำเพลงสั่งให้กชสรไปเก็บของอย่างรวดเร็ว “เก็บของ หมายความว่ายังไงคะ คุณภาค” หมายความว่ายังไง คำถามนี้ยังคงวนอยู่ในสมองน้อย ๆ ของเธอ แต่แล้วก็กระจ่างแจ้งเมื่อเขาเป็นคนชี้แจ้งทั้งหมดให้เธอฟัง “หึ หมายความว่ายังไง นี่ไม่รู้หรือแกล้งโง่กันแน่ฮะกชสร พูดง่าย ๆ คือ ฉันเบื่อนางบำเรออย่างเธอแล้ว” ------------------------------------------------------- “ออกไปจากบ้านของฉันเดี๋ยวนี้นะคุณภาธร” ว่าที่คุณแม่ตวาดเสียงแข็ง “ไม่ ฉันจะไม่ไปไหนทั้งนั้น จนกว่าเธอจะคุยกับฉัน” “คุยกับฉัน แต่ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับคุณ เพราะฉะนั้นกลับไร่ของคุณไปซะ” “ฉันไม่กลับ จนกว่าเธอจะคุยกับฉัน คุยเรื่องของเรา” ภาธรเอ่ยด้วยเสียงจริงจังและจริงใจ แต่คนฟังกลับไม่รู้สึกอะไรเช่นนั้น “พูดมาได้นะคะ ว่าเรื่องของเรา ระหว่างคุณกับฉันมัน
บทนำ“บัว” กชสร ผู้หญิงที่มีใบหน้าสวยคมราวกับลูกครึ่ง มองอย่างไรเขาก็ไม่มีทางที่จะจำหญิงสาวผิดไปได้ ถึงแม้ว่าจะไม่เจอเธอมาหลายเดือน จากรูปร่างบอบบางอ้อนแอ้นกลับแปรเปลี่ยนเป็นมีนำมีนวลขึ้น อาจจะเป็นเพราะลูกน้อยในครรภ์ของเธอก็เป็นได้ เด็กคนนั้นคงเป็นลูกคนอื่นไม่ได้นอกจากลูกของเขาท่างกลางผู้คนมากมายที่กำลังเดินจับจ่ายใช้สอยซื้ออาหารและสิ่งต่าง ๆ กลับไปประกอบอาหารในยามเย็น คงจะเป็นเช่นเดียวกันกับกชสร ในมือเล็กที่มีถุงผักและผลไม้รวมทั้งของสดรวมอยู่ในนั้นด้วย ชายหนุ่มมองหญิงสาวด้วยความยินดีที่เขานั้นตามหาคนตรงหน้าพบ แต่ทำไมสายตาที่มองมานั้นกลับไม่ดีใจที่เธอได้พบเขาเลย แววตานั้นว่างเปล่าไร้ความรู้สึก หลายเดือนที่เขานั้นคอยเฝ้าคิดถึงเธอเสมอ คิดถึงในสิ่งที่เขาทำผิดต่อเธอ“เดี๋ยวก่อนสิบัว” ชายหนุ่มร้องเรียกชื่อหญิงสาวอีกครั้งเมื่อเห็นว่าเธอกำลังจะเดินผ่านเขาไป ทำให้เธอนั้นชะงักเล็กน้อยก่อนพูดโต้ตอบกลับเขาไป“ขอโทษนะคะ ดิฉันไม่รู้จักคุณค่ะ” กชสรตอบกลับด้วยความเรียบเฉยโดยไม่หันหลังกลับไปมองเขาก่อนจะเดินออกไปอย่างไม่สนใจคนที่กำลังมองอยู่เบื้องหลังเพียงแค่จะเอื้อมมือหมายที่จะคว้าแขนเธอเอาไว้ภาธรก
ร่างเล็กทิ้งกายนั่งลงบนโซฟาตัวยาวสีเบจ มองไปยังหน้าจอโทรทัศน์เครื่องใหญ่ที่อยู่ภายในห้องซึ่งกำลังฉายละครภาคค่ำ แต่มันไม่ได้ดึงดูดความสนใจของเธอเลย ภายใจในเธอนั้นกังวลต่าง ๆ นานากับสิ่งที่กำลังพบเจอ หญิงสาวนั่งคิดอย่างกลัดกลุ้มด้วยความเครียด ไม่นานนักเสียงข้อความแจ้งเตือนก็ดังขึ้น กชสรรีบเปิดหน้าจอขึ้นเพื่อดูว่าใครส่งข้อความหาเธอ แต่สิ่งที่ปรากฏกลับเป็นข้อความของเจ้านายคนใหม่ที่ชอบสั่งงานนอกเวลาอยู่บ่อยครั้ง และเวลาที่เธอเข้าไปส่งงานให้มักจะคอยหาเศษหาเลยแตะเนื้อต้องตัวเธอ ถึงแม้ว่าจะบ่ายเบี่ยงปัดป้องแล้วก็ตาม มือบางจึงรีบทิ้งโทรศัพท์มือถือวางไว้ที่โต๊ะดังเดิม ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไม่เห็นข้อความเมื่อครู่นี้หลังจากนั้นราวยี่สิบนาทีกฤตพลก็ต่อสายกลับมาหาน้องสาวทันที เพราะคนข้างกายเขาบอกว่าน้ำเสียงของกชสรนั้นค่อนข้างเครียด เขาจึงโทรหาน้องน้อยเผื่อจะมีเรื่องอะไรไม่สบายใจ เธอมักจะเล่าให้เขาฟังเสมอ สองพี่น้องนั่งคุยกันนานสองนานทั้ง เรื่องที่กชสรเครียดอยากจะลาออกจากงานประจำที่ทำอยู่ ซึ่งพี่ชายอย่างเขาก็ไม่ได้ว่าอะไร เคารพการตัดสินใจของน้องสาวเสมอ แต่ผู้เป็นพี่เสนอทางเลือกให้น้องสาวได้คิดทบทวน
ปัง ปัง ปัง“ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยด้วย” กชสรทั้งตะโกนเรียกทั้งแคะแต่ก็ไม่มีเสียงใดตอบกลับมาแม้แต่น้อย แต่คนตัวเล็กในห้องก็ไม่ละความพยายามที่จะร้องเรียกขอความช่วยเหลือ นานสองนานก็ไม่มีใครตอบหรือเสียงอะไรเดินผ่านมาแม้แต่น้อย เธอนั้นจนปัญญาที่จะส่งเสียง หญิงสาวจึงเดินกลับไปนั่งลงเตียงนอนแล้วเปิดโคมไฟหัวเตียง เพื่อให้มีแสงสว่างภายในห้องนี้ กชสรมองซ้ายแลขวาเพื่อที่จะหากระเป๋าสะพายที่จำได้ว่าเธอสะพายติดตัวไว้กลับไม่พบมันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของเธอกันเนี่ยในระหว่างที่ร่างเล็กกำลังนั่งคิดทบทวนกับตัวเองอย่างกลัดกลุ้ม สองมือน้อยลูบเข้าที่ใบหน้าพยายามนึกว่าเธอไปทำอะไรให้ใครไม่พอใจหรือบาดหมางใจกับใครบ้าง แต่คิดอย่างไรก็คิดไม่ออกกชสรเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเธอได้ยินเสียงมีคนกำลังไขกุญแจเข้ามาภายในห้อง มองประตูบานนั้นอย่างหวาดระแวง ไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับเธอบาง ทันทีที่ประตูนั้นเปิดออกร่างเล็กนั้นถอยรุดติดหัวเตียงอย่างหวาดกลัว“แกเป็นใคร จับฉันมาที่นี่ทำไม” หญิงสาวร้องถามชายร่างสูงสองคนที่กำลังเดินตรงเข้ามาหาเธอด้วยท่าทางน่าเกรงขาม ทำเอาร่างเล็กนั้นตกใจไม่น้อย“พวกผมเป็นใครไม่ส
ตอนที่ 2แสงแดดสาดสองยามเช้าของวันใหม่ ปลุกให้ร่างเล็กที่เปลือยเปล่านอนอยู่บนเตียงที่ยับยู่ยี่ นั้นตื่นขึ้นมาโดยปราศจากความสดใสเหมือนทุกวัน เพียงแค่ขยับร่างกายเพียงเล็กน้อยก็รับรู้ได้ถึงความเมื่อยขบตามร่างกาย จนต้องพยุงกายลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง พลางนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตัวเอง เพราะเธอนั้นถูกคนบ้าที่ไหนก็ไม่รู้จับมา อีกอย่างเธอนั้นแทบไม่รู้จักหรือมีความแค้นใด ๆ กับชายหนุ่มคนนั้นเลย ร่างเล็กบอบบางนั่งกอดเข่าคิดทบทวนเรื่องราวที่เขาพูดกับเธอเมื่อวานในห้องทำงานของเขา“เธอไม่ได้ทำ แต่พี่ชายเธอทำ” เสียงของเขาแวบกลับเข้ามาในความคิดพลอยทำให้นึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้“พี่ชาย พี่ชายฉันทำอะไรคุณ ถึงได้จับฉันมาแบบนี้”“อยากรู้นักเหรอ ได้ฉันจะบอกให้” ชายหนุ่มนี่นั่งอยู่ตรงหน้าเธอ ที่เพิ่งรู้จักชื่อเสียงเรียงนามของเขาเมื่อครู่นี้ว่าชื่อ ภาธร กิตติธร ผุดลุกขึ้นเต็มความสูงแล้วเดินย่างสามขุมเข้ามาหาคนตัวเล็กด้วยท่าทางที่น่ากลัว ทำให้หญิงสาวที่ยืนอยู่ไม่ห่างต้องร่นถอยทีละก้าวอย่างหลาดระแวง“คุณจะทำอะไร” ชายหนุ่มโน้มใบหน้าเข้าใกล้ จนทำให้หญิงสาวเบี่ยงหน้าหนี“อยา
“ไอ้สารเลว” เพียงประโยคเดียวที่ออกจากริมฝึปากบางทำให้ภาธรจัดการฉีกกระชากเสื้อผ้าที่ติดดกายหญิงสาวอย่างรุนแรง โดยไม่สนว่าเสื้อผ้านั้นจะบาดผิวกายเนียนละเอียดของเธอจนเกิดรอยแดง จนเหลือเพียงบราเซียสีขาวลายลูกไม้ห่อหุ้ม ความนุ่มหยุ่นเท่านั้น ชายหนุ่มร่างสูงที่เต็มไปด้วยบรรดาโทสะผลักคนตัวเล็กล้มลงกับโซฟาที่ยู่ภายในห้องทำงานของเขาอย่างแรง ก่อนที่ภาธรจะตามไปคร่อมทับร่างเล็กที่กำลังจะลุกหนีเอาไว้ ริมฝีปากหนาประกบจูบริมฝีปากบางอย่างเร่าร้อนและรุนแรง ถึงแม้ว่ามือเล็กพยายามทั้งผลักทั้งดันเขาแต่ก็ไม่สำเร็จแต่แล้วภาธรก็ต้องลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก เมื่อจัดการเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ติดกายทั้งของเขาและเธอ ชายหนุ่มลากมือสากลูบไล้เรือนร่างเปลือยเปล่าอย่างถือสิทธิ์ โดยอีกมือนั้นเลื่อนบีบขยำความนุ่มหยุ่นที่ขนาดพอดีมือเขาไม่น้อย ก่อนก้มชิมเม็ดเชอร์รี่สีหวานบนเนินอกหยอกเย้าขบเม้มจนคนใต้ร่างร้องเสียงหลงด้วยความเจ็บเมื่อเขานั้นกัดและขมเม้มแรงๆ“โอ้ย เจ็บ” ร่างเล็กพยายามดิ้นหนีแต่ก็ไม่เป็นผล มือเล็กที่ผลักดันคนตัวสูงให้ออกห่างถูกจับตรึงเอาไว้เหนือศีรษะด้วยมือเพียงข้างเดียวของเขาริมฝีปากร้อนเปลี่ยนเป้าหมายจ
ร่างเล็กนั่งคุดคู้กอดเข้าด้วยสภาพร่างกายที่เปลือยเปล่าอยู่บนเตียง เหตุใดเธอต้องมาเจอเหตุการณ์อะไรเช่นนี้ ใบหน้าหวานที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาซุกหน้าลงบนเข่าอย่างเหนื่อยอ่อน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู คนที่ตกอยู่ภายใต้ความเศร้าหมองเงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อยโดยที่ไม่ได้ตอบกลับ“คุณคะ ตื่นหรือยังคะ” คนหน้าห้องส่งเสียงขึ้นพลอยทำให้คนที่นั่งเศร้ากอดเข่าอยู่ข้างในพอจะเดาได้ว่าไม่ใช้คนใจร้ายเมื่อคืน“ค่ะ ฉันตื่นแล้ว” ตอบกลับด้วยน้ำเสียงหมองหม่น“คุณภาค สั่งให้เอาเสื้อผ้าพวกนี้มาให้คุณค่ะ” ป้าแม่บ้านสูงวัยนำเสื้อผ้าที่นางถือติดมาก่อนจะวางลงบนปลายเตียงนอนที่หญิงสาวนั่งอยู่“ขอบคุณนะคะป้า” เธอด้วยใบหน้ายิ้มแต่ยังคงหมองจนคนมองรู้สึกได้“ทำธุระเสร็จแล้ว ลงไปทานข้าวนะคะ” ป้าแม่บ้านบอกทำให้คนตัวเล็กพยักหน้ารับ ก่อนจะเอ่ยเรียกเอาไว้“ป้าคะ ที่นี่ที่ไหนหรือคะ”“ไร่องุ่น ภาธร ค่ะ” นางตอบกลับยิ้มให้หญิงสาวรุ่นราวคราวลูกเล็กน้อยแล้วเดินออกจากห้องไป คนตัวเล็กมองตามจนประตูนั้นปิดลงสนิท เธอนั่งคิดเรื่องราวต่าง ๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะตัดสินใจหอบร่างกายอันบอบช้ำเข้าห้องน้ำ เพื่อที่จะชำระล้างคราบ
บทที่ 14 นับจากวันนั้นที่สริตาออกจากโรงพยาบาลโดยการที่แอบออกมาแต่ก็ถูกจัดได้ เขาก็พาเธอมที่นี่อีกครั้งร่วมรักกับเธอทุกวันจนเกือบสัปดาห์ หญิงสาวไม่ได้ออกไปไหนได้แต่อยู่ภายในบ้านหลังนี้เพราะแน่นอนว่าโซ่ตรวนที่เขาใส่ไว้ให้ที่ข้อเท้ามีเพียงอัทธ์เท่านั้นที่จะปลดปล่อยเธอได้ ร่างสวยงามของคนตัวเล็กเริ่มทรุดโทรมราวกับตรอมใจที่หมดหนทางออกไปจากเกาะแห่งนี้เพราะตนคิดถึงลูกน้อยสุดหัวใจแก๊ก แก๊กเสียงเปิดประตูทางหน้าบ้านมันไม่ทำให้สริตาเงยหน้าจากการกอดเข่าอย่างเศร้าหมอง เพราะคงเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจากอัทธ์คนใจร้ายคนนั้นเป็นแน่ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เสียงฝีเท้าของใครบางคนเดินเข้ามาหยุดตรงหน้าของเธอเสียงพูดจากจากผู้มาใหม่ สริตาจึงเงยหน้าที่เต็มไปด้วยตราบน้ำตามองคนตรงหน้า“คุณเป็นใคร!” สริตาถามด้วยน้ำเสียงแหบแห้งคอจนแทบจะเป็นผงผู้ชายคนนั้นไม่พูดอะไรนอกเสียจากหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดบางสิ่งดูเพื่อความแน่ใจ ก่อนเอ่ยถามพร้อมย่อกายลงนั่งในระดับเดียวกับสริตา “น้องนิลเพื่อนของนิ้วนางใช่ไหม”
บทที่ 13“นิล นิล เป็นไงบ้าง” เขาถามขึ้นอย่างดีใจ เมื่อสริตาขยับนิ้วมือเล็กน้อยทำให้อัทธ์รู้สึกตัวเงยหน้ามองใบหน้างามที่เริ่มมีสีเลือดจาง ๆ กว่าตอนที่มาโรงพยาบาลใหม่ ๆดวงตาหวานกระพริบถี่ ๆ เพื่อปรับให้ชินกับแสงสว่างรอบห้อง ที่นี่คงไม่ใช่ที่ไหนนอกเสียจากห้องพักในโรงพยาบาล พลันสายตาดันไปปะทะกับใบหน้าคมที่อยู่ตรงหน้าพอดี สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความปราบปลื้มเสียเต็มประดา“นิลเป็นยังไงบ้าง รู้สึกไม่ดีตรงไหนไหม” เขาถามเออีกครั้งเมื่อเห็นเธอยังคงนิ่งเงียบ“ฉันอยากพัก” สริตาบอกพียงแค่นั้นแล้วหันหลังให้กับอัทธ์เขาได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ให้กับคนที่นอนอยู่บนเตียง ก่อนเดินออกไปนอกห้องเพื่อั้จะตามหมอให้มาตรวจดูอาการของสริตาว่าหายดีหรือยังมีอะไรแทรกซ้อนหรือไม่ไม่นานแพทย์เจ้าของไข้เข้ามาตรวจดูอาการของสริตา หญิงสาวไม่ได้เป็นอะไรนอกเสียจากพักผ่อนน้อยจึงทำให้อ่อนเพลียพักที่โรงพยาบาลก็กลับบ้านได้แล้วอัทธ์เหมือนกำลังจะอ้าปากเอ่ยอะไรบางอย่างกับเธอ แต่กูกรบกวนด้วยเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือจนต้องรีบออกไป หลังจากที่ชายหนุ่มไม่ได้อยู่
บทที่ 12มือเรียวสั่นสะท้านเมื่อกำลังปลดเข็มขัดและกระดุมออกจากกางเกงของเขาให้เร็วที่สุด แต่ยิ่งเร่งเท่าไรมันยิ่งยากและช้าเท่านั้น ทำเอาคนที่คอยจับจ้องการกระทำของเธอตอนนี้ใจจะขาดเสียให้ได้ ในที่สุด หญิงสาวก็จัดการรูดกางเกงของเขาลงทำให้ท่อนเอ็นแข็งกร้าวผงาดต่อหน้าต่อตา“จับมันสิ ลูบมัน” เขาสั่งเร่งเร้าเพราะเธอมัวแต่ยืนไม่จัดการสักทีสริตาทำใจกล้าย่อกายนั่งคุกเขาจับท่อนลำอวบตรงหน้ากำมันและรูดขึ้นรูดลงเบา ๆ ปลายนิ้วหัวแม่มือไล้ส่วนหัวปลายอย่างเน้น ๆ ทำเอาเขาสะท้านไปทั้งกาย“อ่า แบบนั้นแหละ อืม”เสียงทุ้มเข้มครางกระหึ่มคล้ายถูกใจในการกนะทำของหญิงสาว“เอาเข้าปากเร็ว ๆ สิ”คนตัวเล็กเริ่มเปลี่ยนจาดมือเรียวสวยมาเป็นปากบางกระจับ ลิ้นเล็กค่อย ๆ ไล้เลียส่วนปลายท่อนเอ็นอย่างเชื่องช้า เพียงแค่สัมผัสน้อยนิดก็ทำเอาชายหนุ่มถึงกับเดือดเลือดพล่านไม่น้อย“อ่า เก่งมาก เอาอีกสิอยากไปจากที่นี่ก็ต้องลงทุนหน่อย”สิ้นเสียงพร่าแสนยั่วยวนของเขามันกระตุ้นเธอได้ไม้น้อย ลิ้นเล็กตะวัดไล้เลียอย่างรวดเร็วก่อนจะส่งตัวตนของเขาเข้าป
บทที่ 11สริตาลืมตาขึ้นด้วยความเคยชินนับตั้งแต่มายู่ที่นี่ วันนี้เป็นวันที่เธอต้องจัดการอะไรต่าง ๆ มากมายทั้งทำความสะอาดบ้านหลังน้อยหรือแม้กระทั้งซักเสื้อผ้าของตนเอง ที่นี่ไม่ได้มีเครื่องอำนวยความสะดวกเหมือนกับตอนที่เธออยู่บ้านหรือกรุงเทพฯ คนที่นี่บางคนใช้เครื่องซักผ้า แต่สำหรับเธอแล้วต้องซักด้วยมือเท่านั้นไม่กล้าไปเอ่ยปากขอยืมจากใครหญิงสาวเปิดประตูเข้าไปในห้องอย่างเบามือเพื่อที่จะเอาเสื้อผ้าชุดชั้นในที่ถูกโดนทิ้งไว้ในตะกร้าออกมารอหลังจากที่ทำอาหารเช้าเสร็จจะเดินไปที่ลำธารเช่นเคย สริตาเปิดตู้เย็นเล็กของบ้านหาของสดผักสดที่อัทธ์สั่งลูกน้องซื้อมาให้เธอทุกสัปดาห์ออกมาจัดเตรียมเช้านี้อยากจะทำอะไรง่าย ๆ ไม่ยุ่งยากเสียเวลา แต่ในจังหวะที่เธอจะเปิดเตาแก๊สปิกนิกที่ใช้ประจำกลับไม่ติดเสียอย่างนั้น“ทำไมไม่ติดล่ะ”เธอพยายามเปิดครั้งแล้วครั้งเล่าก็ไม่ติดจึงละความพยายามและออกไปดูด้านนอกว่าพอจะมีอะไรที่ช่วยเธอได้บ้างหรือไม่ เพราะคราวก่อนจำได้ว่าเคยมีเตาถ่านวางอยู่ข้างบ้านสั่นนั้นมันอาจจะช่วยเธอได้“มีเตาอยู่ด้วย ว่าแต่มันจุดยังไงล่ะทีนี้” สริต
บทที่ 10สามวันที่อัทธ์ออกไปทำธุระของเขาตั้งแต่วันก่อน มันทำให้เธอหายใจหายคอได้สะดวกที่ไม่พบคนใจร้ายให้วุ่นวายใจหรือใช้งานหนักเยี่ยงทาสทว่าในยามที่เขาไม่อยู่สริตาจึงใช้เวลาหลังเลิกงานคอยสอดส่องหาทางหนีทีไร่อีกครั้งหนึ่ง แต่ก็เปล่าประโยชน์เพราะการที่จะออกจากกรงขังของเขาได้นอกจากจะมีเรือเท่านั้น แต่นี่ไม่พบเรือสักลำถ้าหากอัทธ์กลับมาเธออยากจะลองอธิบายเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้เขาได้รับรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นบางทีเขาอาจจะปล่อยเธอไปก็ได้ในขณะที่สริตากำลังฮำเพลงระหว่างเดินกลับบ้านเล็กท้ายเกาะก็ต้องหยุดชะงักเพราะเสียงเอะอะโวยวายของใครบางคนที่ดังขึ้นตรงบริเวณที่มีเรืออยู่จนต้องหันไปมอง คนตัวเล็กพยายามหรี่ตามองว่าใครกันที่เสียงดังเช่นนี้ จนกระทั่งรู้แน่ชัดว่าเจ้าของเสียงนั้นคืออัทธ์“นายหัวรอผมก่อนเดี๋ยวผมช่วย” ลูกน้องของอัทธ์ร้องห้ามเมื่อเจ้านายของตัวเองเดินปรี่ไปที่หญิงสาวที่อยู่ริมหาด ด้วยความที่กลัวเจ้านายจะเป็นอันตรายจึงรีบวิ่งไปประคองกระนั้นคนเมามายกลับไม่ยอมพร้อมบอกให้ไม่ต้องมายุ่งเสียอย่างนั้น “ไม่ต้องกูเดินเองได้”
บทที่ 9สามวันผ่านไปอาการป่วยของสริตาเริ่มจะดีขึ้นตามลำดับหลังจากที่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ถึงแม้ในยามค่ำคืนจะมีร่างสูงโปร่งเข้ามานอนข้าง ๆ ก็ตาม ชายหนุ่มไม่ได้ล่วงเกินเธอแต่อย่างใด สงสัยคงเห็นเพราะว่าไม่สบายอยู่คงอยากให้นอนหลับเต็มอิ่มจะได้กลับไปทำงานที่หยุดมาหลายวัน“จะไปไหน” เสียงเข้มของอัทธ์ดังขึ้นมาจากทางประตูห้องน้ำทำให้คนที่กำลังลุกออกจากเตียงถึงกับชะงัก “ไปบ้านท้ายเกาะค่ะ” “หายแล้วเหรอถึงจะไปที่นั่น”สริตาไม่ตอบนอกเสียจากพยักหน้ารับเท่านั้น “รอก่อน” เขาสั่งเสียงแข็ง มองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าที่กำลังทำท่าทำทางไม่พอใจ“กลัวฉันหนีเหรอคะ”“อย่างเธอน่ะจะหนีไปไหนได้”เขาว่าอย่างเย้ยหยันก่อนเดินหายไปแต่งตัวให้เรียบร้อย แต่ทว่ากลับไม่ได้ติดกระดุมเสื้อเชิ้ตเสียอย่างนั้น อัทธตรงมาหยุดที่หน้าของสริตา ทำเอาสาวเจ้างวยงงกับชายหนุ่มไม่น้อย“ทำไมไม่ติดกระดุมล่ะคะ”“ติดกระดุมให้หน่อยสิ”แต่หญิงสาวยังคงยื่นนิ่งไม่ทำตามในสิ่งที่เขาบอก แต่แล้วก็ต้องทำตามเพราะคำขู่ของชายหนุ่ม
บทที่ 8เวลาล่วงเลยผ่านไปจนค่ำ สริตาที่กำลังหลับพริ้มอย่างสบายใจอยู่ภายในห้องนอนและเพิ่งรู้สึกตัวขึ้น ค่อย ๆ ยันกายให้ลุกนั่งพิงพนักหัวเตียงพลังกวาดสายตาหวานมองไปรอบ ๆ ที่นี่มันไม่ใช่ห้องนอนที่เธอใช้นอนประจำที่ท้ายเกาะที่อัทธ์กักขังเธอเอาไว้ แล้วนี่มันที่ไหนกันมันไม่คุ้นเอาเสียเลยแต่แล้วทุกสิ่งก็กระจ่างเมื่อประตูห้องถูกเปิดออกด้วยผีมือของใครบางคน เธอพยายามเพ่งมองว่าคนนั้นเป็นใครและเป็นจังหวะเดียวกันกับที่เขาเดินเข้ามา และไม่ใช่ใครที่ไหนนอกเสียจาก อัทธ์คนใจร้าย“ตื่นแล้วเหรอ” อัทธ์ถามเอเสียงเข้มในมือของชายหนุ่มถือถาดอะไรบางอย่างเข้ามาด้วยก่อนจะวางมันลงกับตู้ที่อยู่ข้าง ๆ หัวเตียงสริตามองไปยังของที่เขาเพิ่งวางเมื่อครู่ พบว่ามันคือข้าวต้มร้อน ๆ กับน้ำและยาที่วางอยู่ด้วยกัน ก่อนหันหน้ามองชายหนุ่มอย่างไม่เขาใจว่าเขาจะมาดูแลเธอทำไมไม่ปล่อยให้เธอตายไปเสีย“ฉันถามทำไมไม่ตอบ” เมื่อไร้คำตอบจากหญิงสาวเขาจึงถามขึ้นอีกครั้งพร้อมทั้งหย่อนกายนั่งกับเตียงของตน“คุณก็เห็นนี่คะ ว่าฉันตื่นแล้ว”คนป่วยต่อปากต่อคำถึงแม้ว่าน้ำเสียงข
“ปวดหัวชิบ”แสงสว่างที่สองผ่านมายังหน้าต่างกระทบเข้ากับใบหน้าคมที่เพิ่งจะนอนได้ไม่นานให้ตื่นจากนิทราด้วยความงัวเงีย ก่อนจะยันกายแกร่งขึ้นนั่งพิงกับหัวเตียงด้วยอาการหนักหัวไม่น้อย ไม่รู้ว่าเมื่อคืนทำอะไรลงไปบ้างเพราะเขาดื่มไปเยอะพอสมควร ลันสายตาของชายหนุ่มไปสะดุดกับเสื้อผ้าที่กระจัดกระจายอยู่กับพื้นห้องมันมีทั้งเสื้อผ้าของเขาและของ...สริตามันต้องเป็นเสื้อผ้าของหญิงสาวแน่นอนเขาจำได้ และที่นี่คือบ้านที่ใช้ขังเธอเอาไว้ เป็นอย่างที่เขาคิดเอาไว้ไม่มีผิดแผ่นหลังขาวเนียน ร่างเปลือยเปล่าที่หลับพริ้มอยู่ข้าง ๆ คือสริตานี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่อัทธ์พยายามคิดทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนว่าตนทำอะไรลงไป สิ่งที่จำได้จะมีเพียงว่า ‘เขาไม่อยากซ้ำรอยของใคร’ ในคราแรกเขาไม่อยากใช้ของร่วมกับใคร แต่ตอนนี้ในเมื่อเธอเป็นของเขาแล้วและจะไม่มีวันได้เป็นของผู้ชายคนไหนอีกคนตัวโตกระตุกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนโน้มกายเข้าหาคนที่นอนหันหลังให้เขาพยายามปลุกเร้าอารมณ์ของหญิงสาวท่ามกลางเสียงพึมพำคล้ายรบกวนการนอนฝันดีของตน แต่ก็ต้องตกใจเมื่อพลิกกายเพื่อป
บทที่ 6ร่างกายเล็กบอบบางที่แสนเหนื่อยล้าจากการถูกใช้งานอย่างหนักของสริตากับคำสั่งของอัทธ์ที่ตอบดูการกระทำเธอแทบจะทุกฝีก้าว แทบจะสลบเมื่อพาตัวเองมายังโซฟาตัวนุ่มสีน้ำตาลที่ใช้นั่งเล่นเป็นประจำ หญิงสาวอยากจะงีบเสียหน่อยแต่ก็กลัวตัวเองจะเผลอหลับไปทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้อาบน้ำคงไม่ดีแน่หลังจากที่ร่างอ่อนล้าพักให้หายเหนื่อยครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าทำงานที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อโยนลงตะกร้าผ้าเตรียมซักและคว้าผ้าขนหนูสีขาวผืนใหญ่มาพันรอบกายสวยแล้วเข้าไปจัดการอาบน้ำให้เรียบร้อยก่อนออกไปเตรียมอาหารเย็นเป็นข้าวไข่เจียวหอมเมนูที่สุดแสนจะง่ายดายก่อนจะพาตัวเองเข้านอนด้วยความปวดเมื่อยตามร่างกายไปหมด“กินข้าวแล้วก็นั่งย่อสักพักแล้วกันค่อยนอน”สริตารวบช้อนเอาไว้กลางจานที่เพิ่งรับประทานเสร็จแล้วบ่นพึมพำกับตัวเอง ๆ แล้วลุกไปจัดการล้างจานที่ทำอาหารเอาไว้ในอ่างให้เรียบร้อยก่อนเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำ วันนี้เธอรู้สึกง่วงเล็กว่าทุกวัน อาจจะเป็นเพราะว่าเพิ่งกินอิ่มหนังท้องตึงหนังตาก็ย่อนเสียแล้วกว่ายี่สิบนาที่ที่สริตาล้างจานพร้อมทั้งทำความสะอาดบ้านให้เส