“คนทั้งคนคงไม่สลายกลายเป็นอากาศธาตุไปได้หรอก” คุณชายเอ่ยอย่างมั่นใจ ก่อนจะยิ้มแห้งๆ “ข้าหิวแล้ว”
“โปรดรอสักครู่...บ่าวจะรีบไปยกสำรับอาหารมาเดี๋ยวนี้” ว่าแล้วจางจงก็รีบเก็บเศษถ้วยเคลือบที่ตกแตกอยู่บนพื้น ก่อนจะรีบออกจากห้องไป
ไม่นานเขาก็ยกสำรับกลับมาวางบนโต๊ะที่มีอยู่เพียงตัวเดียวของห้อง แล้วมาช่วยประคองคุณชายไปนั่งที่เก้าอี้
อาหารสำรับนั้นมีเพียงข้าวต้มหนึ่งชาม กับผัดผักที่หน้าตาเหมือนผักลวกมากกว่าจานหนึ่ง...แต่เพราะความหิว จ้าวชิงเฟิงจึงกินอย่างไม่เกี่ยงงอน
ทว่าเพิ่งกินไปได้เพียงแค่คำเดียว บ่าวรับใช้ชายคนหนึ่งจากตำหนักใหญ่ก็มาถ่ายทอดคำสั่ง
“ท่านอ๋องมีคำสั่งให้จ้าวอี๋เหนียง(อี๋เหนียง=คำเรียกอนุภรรยา,อนุชายา จ้าว=แซ่ )ไปที่ตำหนักใหญ่เดี๋ยวนี้”
“รอสักครู่...ขอเวลาให้ข้าแต่งกายให้เรียบร้อยก่อน” จ้าวชิงเฟิงเอ่ย
“รอ เรอ อะไรกัน ท่านอ๋องสั่งให้ไปเดี๋ยวนี้ ก็ต้องไปเดี๋ยวนี้” เสียงบ่าวขุ่นเขียวไม่มีความเกรงอกเกรงใจแม้แต่น้อยนิด แถมชักสีหน้าบึ้งตึง “รีบตามข้ามา”
จางจงรีบคว้าเสื้อตัวนอกมาคลุมให้แก่จ้าวชิงเฟิง แล้วประคองคุณชายติดตามบ่าวคนนั้นไป
ตำหนักใหญ่โอ่อ่าโอฬารงดงามสมฐานะชินอ๋อง เรือนท้ายจวนที่จ้าวชิงเฟิงอาศัยอยู่เทียบไม่ติดแม้แต่ขี้ฝุ่น เขาไม่ได้เปรียบเทียบกับที่อยู่ที่เขาเคยอยู่ที่แคว้นเป่ย เนื่องเพราะเขาจำอะไรไม่ได้แล้ว แต่ก็คิดว่าคงจะไม่งดงามเท่านี้ ก็เขาเป็นโอรสที่เกิดจากนางสนมชั้นปลายแถว ซ้ำพระบิดายังไม่ใส่ใจอีก นอกจากใช้เป็นของบรรณาการครั้งเดียวทิ้งเท่านั้น
จางจงประคองเขาเดินตามบ่าวคนนั้นเข้าไปยังห้องโถงรับรองที่พื้นปูด้วยหยกขาวสะอาดหรูหรา ส่วนการตกแต่งอื่นๆ เขาไม่ได้เงยหน้าดู เพราะรู้ดีว่าตนมีฐานะไม่ได้ดีไปกว่าบ่าวทาสคนหนึ่ง จึงต้องสงบเสงี่ยมเจียมตัวเอาไว้ อีกอย่างเขาก็รู้สึกมึนหัวปวดหัวจนไม่อยากจะสนใจอะไรมากนัก
พอบ่าวที่นำหน้ามาหยุดเดิน จางจงก็หยุดเดิน คุณชายจึงพลอยหยุดเดินตามไปด้วยอีกคน
“คารวะท่านอ๋อง” บ่าวคนนั้นหมอบลงโขกศีรษะ
จางจงกำลังจะประคองคุณชายให้หมอบลงคารวะตามอย่างบ่าวคนนั้น จ้าวชิงเฟิงก็หน้ามืดทรุดฮวบลงกองกับพื้นเสียก่อน โดยมีจางจงโอบประคองศีรษะของเขาเอาไว้ไม่ให้กระแทกพื้น และเผลอร้องลั่นด้วยความตกใจ
“คุณชาย คุณชาย...”
“เขาเป็นอะไรไป?”
เสียงทุ้มมีอำนาจดังมาจากผู้ที่นั่งอยู่ในตำแหน่งประธาน เขาคนนั้นสวมใส่อาภรณ์หรูหราสีกรมท่าที่ปักลวดลายด้วยด้ายทองคำ คิ้วเข้มตาคมกริบ เครื่องหน้าสมส่วนงามสง่า รูปร่างสูงใหญ่แข็งแรงกำยำ ดูเปี่ยมอำนาจบารมี ทีท่าสงบเยือกเย็น
“เรียนท่านอ๋อง...คุณชายไม่สบายขอรับ” จางจงตอบเสียงเครือ
“ป่วยเป็นอะไร?”
“บาดเจ็บขอรับ”
“ตกลง...ป่วยหรือบาดเจ็บ?” ดวงตาคมกริบเจือแววดุ
“คะ...คือ...”
จางจงอึกอักพูดไม่ออก เพราะเกรงว่าถ้าพูดอะไรออกไปอาจจะทำให้คุณชายเดือดร้อนยิ่งกว่าเก่า
“มีอะไร พูดออกมาให้หมด และพูดแต่ความจริง!”
เสียงเข้มงวดของชินอ๋องทำให้จางจงจำใจต้องเล่าเหตุการณ์เมื่อสามวันก่อนออกมา พร้อมกันนั้นก็คอยสังเกตสีหน้าของชินอ๋องอย่างระมัดระวัง
แต่ชินอ๋องไม่แสดงสีหน้าอะไร เพียงรับฟังเฉยๆ เท่านั้น ก่อนจะถามว่า
“เจ้าไม่ได้ตามหมอมาดูอาการของเขาหรอกหรือ?”
“บ่าว...เอ่อ...ไม่กล้าขอรับ”
จางจงเอ่ยอย่างลำบากใจ ด้วยฐานะของคุณชายบวกกับข้อกล่าวหาที่ร้ายแรงเช่นนั้น แม้ในจวนจะมีท่านหมออยู่ประจำ แต่เขาก็ไม่มีสิทธิ์อะไรที่จะไปเชิญมาตรวจดูอาการของคุณชาย บ่าวผู้ซื่อสัตย์ได้แต่ภาวนาในใจให้ท่านอ๋องเมตตาออกคำสั่งให้ตนไปเชิญท่านหมอมาดูคุณชาย เพราะเวลานี้ตัวคุณชายร้อนรุ่มด้วยพิษไข้ แต่ท่านอ๋องก็ยังคงนิ่งเฉย จางจงลอบถอนหายใจ เอามือลูบเส้นผมที่ระดวงหน้าในอ้อมแขนมาทัดไว้ที่ใบหู เผยดวงหน้าซีดเซียวของคุณชายให้ท่านอ่องเห็นเผื่อว่าจะได้รับความสงสารบ้าง
ทันทีที่เห็นดวงหน้าของจ้าวชิงเฟิงชัดตา ปากที่ได้รูปของชินอ๋องก็กระตุกเบาๆ เขาเพ่งมองไฝแดงเม็ดเล็กๆ ที่ใต้หางตาซ้ายของคุณชาย และเพื่อให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้นก็ถึงกับลุกจากเก้าอี้เดินเข้ามาใกล้
ใช่คนผู้นี้!
ใช่ดวงหน้านี้!!
ชินอ๋องหลี่เฉิงยังจำได้ดี...เมื่อห้าปีก่อนเขาลอบเข้าไปสืบความลับในพระราชวังของแคว้นเป่ย แล้วพลาดท่าได้รับบาดเจ็บหลบหนีไปยังท้ายวัง เขาพบกับเด็กหนุ่มอายุราวสิบสองคนหนึ่ง แต่งกายเรียบร้อย หน้าตาสะสวย ยิ่งมีไฝแดงเม็ดเล็กๆ อยู่ใต้หางตาซ้าย ยิ่งส่งเสริมให้ดวงตาหงส์คู่งามดูมีเสน่ห์น่ารักมากยิ่งขึ้น...เป็นดวงตาที่น่าหลงใหลยิ่งนัก!
เด็กหนุ่มไม่ได้พูดอะไร เพียงชี้นิ้วขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่ เขาก็รีบทะยานกายขึ้นซ่อนตัวบนนั้น
ทหารกลุ่มหนึ่งติดตามมาถึงในเวลาอึดใจเดียว พากันคารวะเด็กหนุ่มและถาม
“องค์ชาย ท่านเห็นคนร้ายหนีมาทางนี้หรือไม่ขอรับ?”
เด็กหนุ่มเพียงแค่ส่ายหน้า
กลุ่มทหารกลุ่มนั้นก็พากันแยกย้ายไปค้นหาที่อื่นต่อ
เด็กหนุ่มเหลียวหน้ามามองที่ที่เขาซ่อนตัวอยู่ทีหนึ่ง ก่อนจะหันกลับไปแล้วเดินจากไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ
เมื่อครึ่งปีก่อนที่เขานำทัพแคว้นหนานโจมตีจนแคว้นเป่ยแตกพ่าย เขาพยายามค้นหาเจ้าของไฝแดงเม็ดเล็กที่ใต้หางตาซ้ายในหมู่ราชวงศ์อายุราวสิบหกสิบเจ็ด
แต่หาอย่างไรก็หาไม่พบ
ไม่คิดว่าคนที่ตามหาจะอยู่ในจวนของเขานี่เอง
“เจ้าอุ้มเขามาที่ห้องข้างก่อน” ชินอ๋องสั่งจางจง ก่อนจะเดินนำไปยังห้องข้าง ซึ่งเป็นห้องที่มีไว้สำหรับสาวใช้ส่วนตัว(นางบำเรอ) แต่ถึงแม้ชินอ๋องจะไม่มีสาวใช้ส่วนตัว ทว่าห้องหับก็ยังคงเก็บกวาดสะอาดสะอ้านเรียบร้อยอยู่เสมอ จางจงรีบทำตามอุ้มร่างบอบบางของคุณชายตามชินอ๋องไป และวางลงบนเตียงนอนของห้องข้างอย่างเบามือ
“เจ้าไปตามหมอมาเดี๋ยวนี้” ท่านอ๋องสั่งบ่าวรับใช้คนหนึ่ง
“ขอรับ” บ่าวรับใช้รีบปฏิบัติตามคำสั่ง
ไม่นาน...ท่านหมอวัยกลางคนก็มาถึง และทำการตรวจร่างกายของคุณชายทันที
พอท่านหมอตรวจเสร็จ ชินอ๋องที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างโต๊ะห่างจากเตียงนอนไม่มากนักก็ถามขึ้นทันทีว่า
“อาการเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ร่างกายขาดอาหาร บาดแผลระบมจนเป็นไข้ บาดแผลที่หลังแม้ระบมมาก แต่รักษาไม่ยาก ทว่าที่ท้ายทอยนั้นอันตรายยิ่งนัก”
“อันตรายแค่ไหน?” ชินอ๋องถาม
“อาจถึงชีวิต!”
“ท่านหมอ ท่านหมอ ได้โปรดช่วยชีวิตคุณชายของข้าน้อยด้วย หากท่านช่วยชีวิตคุณชายของข้าน้อย ชาติหน้าข้าน้อยยินดีขอเป็นวัวเป็นม้ารับใช้ตอบแทนบุญคุณท่าน” จางจงกล่าวพลาง ร่ำไห้พลาง จนคำพูดฟังไม่ได้ศัพท์ “ข้าเป็นหมอย่อมต้องช่วยคนป่วยอย่างเต็มความสามารถ เจ้าก็อย่าเอาแต่ร้องไห้เลย จงเล่าอาการของคุณชายของเจ้ามาให้ละเอียด” จางจงยกมือปาดน้ำตาลวกๆ “หลังจากถูกโบย คุณชายก็หมดสติไปสามวัน เมื่อสักครู่ใหญ่เพิ่งฟื้นคืนสติมา...แต่...แต่ทว่าคุณชายจำเรื่องราวในอดีตไม่ได้เลย ทั้งยังจำข้าน้อยและจำตนเองไม่ได้อีกด้วย...เห็นคุณชายบอกว่าเจ็บหัวมาก...” “อืม” ท่านหมอพยักหน้า แล้วหันไปกล่าวกับชินอ๋องว่า “จ้าวอี๋เหนียงบาดเจ็บที่ศีรษะ ข้าน้อยจะใช้วิธีฝังเข็มร่วมกับการให้ดื่มยา แต่ตัวยาบางตัวนั้นหายากยิ่งและล้ำค่ามาก...” ท่านหมอหยุดกล่าวต่อ ด้วยความหมายว่า...ตัวยาบางตัวนั้นไม่อาจซื้อหาได้ทั่วไป ถ้าเทียบกับชีวิตของอนุผู้หนึ่ง น้ำหนักในใจของชินอ๋องจะยินยอมสิ้นเปลืองหรือไม่? “ถ้าในจวนของข้ามี ข้าอนุญาตให้เอามาใช้ได้” ชินอ๋องกล่าวเสียงเรียบๆ “แต่ถ้าในจวนของข้าไม่มี ต้อ
สีหน้าชินอ๋องเย็นชาราวฉาบด้วยน้ำแข็ง และเอ่ยกับองครักษ์คนสนิทที่ยืนนิ่งอยู่ข้างๆ ว่า “ซือหมิง ส่งคนไปนำศพของนางมาเดี๋ยวนี้” “ขอรับ” ซือหมิงน้อมคำนับรับคำสั่ง พระชายาตู้รีบแย้งขึ้น “ศพของนางฝังไปแล้วเจ้าค่ะ” “ฝังแล้วก็ขุดขึ้นมา” เสียงเฉียบขาดของชินอ๋องดังสวนขึ้นทันที ซือหมิงคำนับอีกครั้งแล้วก้าวยาวๆ จากไป พระชายาขมวดคิ้วเรียวงามนิดหนึ่งมองตามหลังองครักษ์ขวาซือหมิง แล้วหันกลับมาแย้มยิ้มอย่างอ่อนหวานให้ชินอ๋อง “ท่านอ๋องโปรดอย่าได้ขุ่นเคืองใจไปเลยเจ้าค่ะ แม้จ้าวอี๋เหนียงจะรูปงามนัก ก็ใช่ว่าจะหาบุรุษรูปงามเช่นนี้ไม่ได้อีกเสียเมื่อไหร่ ไว้เป็นหน้าที่ของข้าน้อยเองเจ้าค่ะ...” นางยังกล่าวไม่ทันจบ ชินอ๋องก็ขัดขึ้นว่า “ไม่ต้อง...เจ้าก็อยู่เป็นพระชายาของเจ้าไปดีๆ ไม่ต้องสรรหาบุรุษหรือสตรีมาให้ข้าอีก แล้วนี่เจ้าหมดธุระแล้วใช่หรือไม่ ถ้าใช่ก็กลับตำหนักไปเถอะ” พระชายาลอบกำมือแน่นอย่างกรุ่นโกรธ แต่ไม่กล้าแสดงออกทางสีหน้า ได้แต่หลุบตาลงพลางแย้มยิ้มรับคำ “เจ้าค่ะ...ท่านอ๋องก็พักผ่อนให้มากนะเจ้าคะ” แล้วลุกจากเก้าอี้ที่นั่งยอบกายคารว
คิดไม่ถึงว่าจ้าวชิงเฟิงจะเป็นคนคนเดียวกันกับผู้ที่เขาติดค้างน้ำใจมาห้าปี เป็นองค์ชายคนเดียวของแคว้นเป่ยที่เขาไม่คิดจะทำร้าย แต่เขาก็ได้ทำร้ายจ้าวชิงเฟิงไปนานถึงสามปีแล้ว แรกที่แคว้นเป่ยส่งบรรณาการมา และฮ่องเต้พระราชทานองค์ชายแคว้นเป่ยที่เป็นหนึ่งในของบรรณาการให้เขา เขาคิดแต่จะเหยียดหยามอีกฝ่าย จึงแต่งตั้งให้เป็นอนุชายา และจงใจสมรสพระชายาในวันเดียวกัน เขาสร้างเรื่องให้พระชายาชิงชังรังเกียจจ้าวชิงเฟิงโดยการไม่เข้าห้องหอกับพระชายาในคืนวันวิวาห์ และปล่อยข่าวว่าเขาไปหาจ้าวอี๋เหนียงแทน แต่ความเป็นจริงเขาไปนอนอยู่ที่ห้องหนังสือต่างหาก พอเช้ารุ่งขึ้นเขาก็กลับไปค่ายทหาร ทิ้งปัญหาให้จ้าวชิงเฟิงถูกพระชายาเกลียดชังรังแก เพราะรู้ดีว่าสตรีนั้นมีความริษยามากมายขนาดไหน! จากนั้นครั้นการศึกปะทุขึ้นใหม่ เขาก็ตั้งหน้าตั้งตาทำสงครามจนตีแคว้นเป่ยแตกพ่าย กวาดจับเชลยที่เป็นราชวงศ์ทุกคนมาดูหน้าเพื่อค้นหาเด็กหนุ่มคนนั้น แต่เขาจะพบได้อย่างไรในเมื่อเด็กหนุ่มคนนั้นถูกทรมานอยู่ที่จวนของเขาเอง! .......... “ชุนฮัวกับชิวฮัวทำงานหนักอยู่ที่เรือนข้าทาส น้อยค
พอดีเหล่าคนรับใช้พากันเดินเข้ามาในห้อง จางจงถืออ่างน้ำอุ่นมาจะช่วยล้างหน้า ชินอ๋องก็เป็นคนชิงบิดผ้าหมาดๆ มาเช็ดหน้าให้คุณชายเสียเอง เสี่ยวหงถือโถน้ำสำหรับแปรงฟันบ้วนปากเข้ามาปรนนิบัติเป็นรายที่สอง ตามด้วยเสี่ยวชุ่ยที่ถือถาดวางชามรังนกตุ๋นโสมเข้ามาให้คุณชายกินบนเตียงนอน ชินอ๋องก็ถือชามรังนกตุ๋นโสมมาจากถาดแล้วใช้ช้อนตักรังนกตุ๋นโสมเป่าให้คลายความร้อนก่อนจะจ่อมาถึงปากคุณชาย คุณชายรีบดึงช้อนกับชามรังนกตุ๋นโสมจากมือชินอ๋องไป “ข้าน้อยกินเองได้ขอรับ” แล้วค่อยๆ ตักรังนกตุ๋นโสมกินช้าๆ ชินอ๋องก็ไม่คัดค้าน เพียงใช้ผ้าเช็ดปากนุ่มๆ ค่อยซับปากให้ ทำให้เหล่าบ่าวและสาวใช้ในห้องพากันก้มหน้ายิ้มขวยเขิน แต่คุณชายรู้สึกแปลกใจ...ท่าทางเอาใจใส่เช่นนี้หมายความว่าอย่างไร? มันไม่น่าจะเป็นการชดเชยที่เขาถูกใส่ร้าย มันเหมือนสามีปฏิบัติต่อภรรยาอันเป็นที่รัก ม่ายยยย...มันต้องไม่ใช่อย่างนั้น! คิดถึงตรงนี้คุณชายพลันมืออ่อนหมดแรงทำช้อนตกลงไปในชามรังนกตุ๋นโสม ชินอ๋องตาไวมือไวเพราะเป็นผู้มีวรยุทธ จึงรับชามรังนกตุ๋นโสมที่หล่นจากมือคุณชายไว้ไ
“ฟูเหรินเจ้าขา” เสี่ยวหงทำเสียงออดอ้อน “ถึงจะไม่หิว ก็ควรจะกินสักเล็กน้อยนะเจ้าคะ มิเช่นนั้นแล้ว พ่อครัวที่ทำอาหารมาจะเสียใจได้” คุณชายมองอาหารโต๊ะนั้น มันอุดมสมบูรณ์มากราวกับจะให้คนกินเก่งๆ ช่วยกันกินซักสิบคนเห็นจะได้ “ใช่แล้วเจ้าค่ะ อย่างไรก็ช่วยชิมสักหน่อยนะเจ้าคะ” เสี่ยวชุ่ยอ้อนวอนอีกแรง “นี่มันมากเกินไป” คุณชายนั่งลงเพราะขัดต่อเสียงเกลี้ยกล่อมของสองสาวไม่ได้ ตะเกียบหยกขาวถูกส่งถึงมือ “ฟูเหรินก็กินของที่ถูกปากก็พอเจ้าค่ะ” เสี่ยวชุ่ยยิ้มแป้นเมื่อเห็นคุณชายเริ่มกินอาหาร แต่คุณชายก็กินได้ไม่มากนัก กินข้าวได้ไม่ถึงครึ่งชาม กินกับไปเพียงเล็กน้อยก็อิ่ม เขามองอาหารที่เหลืออย่างนึกเสียดายของดีๆ “ที่เหลือนี่...” “ทางห้องครัวต้องเททิ้งเจ้าค่ะ” เสี่ยวหงรินน้ำชาส่งให้คุณชายดื่ม “แจกจ่ายให้บ่าวไพร่ได้หรือไม่?” คุณชายถาม “ถ้าเป็นความประสงค์ของฟูเหรินย่อมได้เจ้าค่ะ” เสี่ยวหงเอ่ยพลางแย้มยิ้ม คุณชายจึงยกถ้วยชาขึ้นดื่มอย่างยินดี “เช่นนั้นก็แจกจ่ายอาหารที่เหลือนี่ให้บ่าวไพร่ไปกินกันเถิด ข้าเสียดายของดีๆ ทั้งนั้น
“ทะ ท่านอ๋องมีขันทีเจียงจ้านอยู่แล้ว มิใช่หรือ?” คุณชายเหงื่อผุดเต็มหน้าผากมน “ข้าอยากให้ภรรยาอาบน้ำให้” ถ้อยคำสั้นๆ ของชินอ๋อง ทำให้คุณชายไม่สามารถบิดพลิ้ว ขันทีเจียงจ้านอายุประมาณยี่สิบแปดปี กิริยาห้าวหาญองอาจรูปร่างสูงใหญ่แข็งแรงบึกบึนไม่เหมือนขันทีแม้แต่นิดเดียว เขาเข้ามาช่วยถอดอาภรณ์ของชินอ๋องออก จนเหลือเพียงเสื้อและกางเกงตัวใน เท่านั้นยังไม่พอ ยังมาจัดการลอกคราบคุณชายจนเหลือเพียงเสื้อกับกางเกงตัวในที่เนื้อผ้าบางๆ สีขาวเช่นเดียวกัน ด้วยเหตุผลที่ว่า “พระชายารองจะได้ช่วยท่านอ๋องอาบน้ำได้สะดวกขอรับ” แล้วจัดแจงดุนหลังคุณชายให้เดินตามชินอ๋องเข้าไปในห้องอาบน้ำ ห้องอาบน้ำส่วนตัวของชินอ๋องที่อยู่ติดกับห้องนอนใหญ่มีประตูทะลุถึงกันนั้นกว้างขวางกว่าห้องอาบน้ำที่จ้าวชิงเฟิงใช้มาก อ่างอาบน้ำก็ใบใหญ่มาก ขนาดผู้ชายตัวโตๆ ลงไปนั่งแช่ได้สี่ห้าคนสบายๆ ชินอ๋องถอดเสื้อผ้าชั้นในออกจนหมด อวดเรือนร่างแข็งแรงกล้ามเนื้อสวยงาม ร่างสูงใหญ่ทว่าไม่เทอะทะออกจะเพรียว เขาล้างเท้าแล้วก้าวเข้าไปแช่ตัวในอ่างด้วยทีท่าแสนสบาย ก่อนจะหันมาสั่งคุณชาย
เมื่อหมดคนนอกแล้ว...พระชายาก็กล่าวกับสาวใช้คนสนิท “ตงเหมย เจ้าคิดว่าข้าควรจะทำอย่างไรต่อไปดี?” “พระชายาอย่าเพิ่งร้อนใจไปเลยเจ้าค่ะ” ตงเหมยกล่าวปลอบใจผู้เป็นนาย “มิให้ข้าร้อนใจ?” พระชายาเสียงสะบัด “คืนวันวิวาห์ ท่านอ๋องก็เลือกไปอยู่กับเจ้าคนสารเลวจากแคว้นเป่ย แทนที่จะมาเข้าห้องหอของข้าผู้เป็นพระชายาเอก จากนั้นก็ไปอยู่เสียที่ค่ายทหาร” “หรือท่านอ๋องจะชมชอบบุรุษเจ้าคะ?” “ข้าเคยส่งบ่าวชายอายุเยาว์หน้าตาดีไปรับใช้ท่านอ๋องถึงที่ค่ายทหาร ก็ถูกไล่ตะเพิดกลับมา พอท่านอ๋องกลับมาคราวนี้ ข้าก็ส่งสาวใช้หน้าตางดงามไปอุ่นเตียง ก็ถูกท่านอ๋องไล่ออกจากตำหนักอย่างไม่ใยดี” “หรือท่านอ๋องจะ...” ตงเหมยขมวดคิ้วครุ่นคิด “ถือสาเรื่องชาติกำเนิด” “เช่นนั้นก็ลำบาก...คุณชายหนุ่มน้อยงดงามใช่ว่าจะหาไม่ได้ แต่ตระกูลไหนจะยอมให้คุณชายของตนต้องมาเป็นภรรยาน้อยเล่า?” พระชายาถอนหายใจยาวก่อนจะกล่าวต่อ “อย่าว่าเป็นภรรยาน้อยเลย แม้แต่เป็นภรรยาเอก ถ้าไม่หมดสิ้นหนทางจริงๆ ก็ไม่มีตระกูลผู้ดีตระกูลไหนยินยอมให้บุตรชายแต่งออกมาเป็นภรรยาผู้อื่น” “นั่นก็จริ
คุณชายรู้สึกทำตัวไม่ถูก...ได้แต่นั่งโง่ๆ ตัวตรงแน่วอยู่ริมขอบเตียง สองมือกำแน่นอยู่บนตัก จริงอยู่ที่จางจงใช้เวลาสอนเขาอยู่เกือบหนึ่งชั่วยาม(สองชั่วโมง)...ให้รู้วิธีปรนนิบัติสามีบนเตียง เพราะเขามิใช่สตรีแต่เป็นบุรุษ วิธีร่วมรักของคู่บุรุษกับบุรุษนั้นแตกต่างจากคู่บุรุษกับสตรีอย่างมาก...คู่ของบุรุษกับบุรุษต้องเตรียมตัวเตรียมใจและเตรียมอุปกรณ์ช่วยเป็นพิเศษต่างหาก มิเช่นนั้นแล้วบุรุษผู้อยู่ในฐานะภรรยาอาจจะได้รับบาดเจ็บได้ แค่คิดก็สยองขวัญแล้ว! “ฟูเหริน...” เสียงเรียกของชินอ๋องทำให้คุณชายสะดุ้ง ปรายตามองอีกฝ่ายที่ยืนอยู่ไม่ห่าง เขาสวมเสื้อนอนสีแดงถือถ้วยน้ำชาอยู่ในมือทั้งสองข้าง “มาดื่มน้ำชามงคลกัน” มุมปากยกยิ้มน้อยๆ มองคุณชายที่สวมเสื้อนอนสีแดงเหมือนกัน ด้วยประกายตายพราวระยิบ “ที่จริงควรจะเป็นสุรามงคล แต่ว่าระยะนี้เจ้ายังไม่ควรดื่มสุรา ข้าจึงใช้น้ำชาแทนสุรา หวังว่าฟูเหรินคงไม่ตำหนิ” “ไม่กล้าขอรับ” คุณชายเอ่ยเบาๆ รู้สึกอึดอัดจนแทบจะหายใจไม่ออก แต่ก็ต้องยืนขึ้นเดินเข้าไปใกล้อีกฝ่าย แล้วรับถ้วยชาจากมือชินอ๋องมาถ้วยหนึ่ง ชินอ๋องคล
ชินอ๋องสั่งปิดประตูเมือง ให้ทหารตรวจค้นทุกซอกทุกมุม เป็นเรื่องเอิกเกริกจนฮ่องเต้ส่งคนมาถาม “ท่านอ๋อง...นี่มันเกิดเรื่องอะไรขอรับ?” ขันทีจากวังหลวงค้อมกายถามเสียงนุ่ม “อ๋องห้าลักพาตัวพระชายาของข้าไป” ชินอ๋องตอบเสียงมะนาวไม่มีน้ำ “ว้าย...ตายแล้ว...นี่มันเกิดขึ้นได้อย่างไร? วันนี้มิใช่อ๋องห้าแต่งพระชายาหรอกหรือ?” ชินอ๋องหงุดหงิดรำคาญ จึงให้ขันทีจากวังหลวงไปไถ่ถามเรื่องราวจากองครักษ์คนหนึ่งแทน สลัดหลุดจากขันทีจากวังหลวง ก็มาเจอมหาเสนาบดีชิวสงส่งเสียงเอะอะโวยวาย “บุตรสาวข้าอยู่ที่ไหนๆ...” ชินอ๋องพยักหน้าให้องครักษ์อีกนายหนึ่ง เอ่ยเสียงรำคาญว่า “เจ้าไปจัดการที” องครักษ์ค้อมศีรษะรับคำสั่ง แล้ววิ่งไปรับหน้ามหาเสนาบดีทันที “คุณหนูชิวอยู่ทางนี้ขอรับ” องครักษ์บอกมหาเสนาบดีแล้ว พาไปยังห้องห้องหนึ่งของตำหนักอ๋องห้า “คุณหนูชิวอยู่ในห้องนี้ขอรับ” มหาเสนาบดีได้ยินเสียงกุกกักๆ พอเปิดประตูเข้าไป ก็เห็น...ชิวมู่ตานถูกมัดมือมัดเท้ามีผ้าอุดปาก นั่งอยู่บนเตียง กำลังดิ้นรน “ทำไมพวกเจ้าทำกับบุตรสาว
เจ็ดวันต่อมา... คณะทูตของซีเซี่ยก็เดินทางกลับ พร้อมกับนำขบวนเดินทางไปอภิเษกสมรสขององค์หญิงหลี่หมิงจูไปด้วย ทางด้านอ๋องห้าได้ส่งแม่สื่อไปทาบทามสู่ขอคุณหนูชิวมู่ตาน บุตรสาวคนเล็กของมหาเสนาบดีชิวสง “ท่านเจ้าขา...บุตรเขยเช่นอ๋องห้า มิใช่จะหาได้ง่ายๆ นะเจ้าคะ” แม่สื่อจีบปากจีบคอกล่าว “อ๋องห้ารูปโฉมงามสง่า ข้าไม่เถียง แต่เขามีอนุหญิงชายมากมาย นิสัยเสเพลไม่เอาการเอางาน...ข้าเกรงว่าบุตรสาวของข้าแต่งไปแล้วต้องกลัดกลุ้มเพราะเหล่าอนุเป็นเหตุ” มหาเสนาบดีกล่าวตรงๆ ไม่อ้อมค้อม “โหะๆๆ...” ลิ้นแม่สื่อมีหรือจะจนหนทาง “คำโบราณกล่าวเอาไว้ว่า...ภรรยาที่ดีสามารถเปลี่ยนแปลงสามีได้ คุณหนูมู่ตานทั้งสวยทั้งฉลาด ย่อมสามารถชักนำให้ท่านอ๋องห้าเลิกความเคยชินเก่าก่อน ให้ท่านอ๋องห้ากลับกลายเป็นเปี่ยมล้นด้วยความสามารถและสง่าราศีได้ไม่ยาก ส่วนเรื่องอนุหญิงชายนั้น มีผู้ใดสามารถกล้าเปรียบเทียบกับคุณหนูมู่ตานเล่า คุณหนูมู่ตานจะแต่งไปเป็นพระชายาเอกนะเจ้าคะ จะให้อนุคนใดเป็นหรือตายก็ย่อมได้ อีกประการหนึ่งคุณหนูก็อายุสิบเจ็ดแล้ว รอช้านักจะกลายเป็นดอกไ
คณะทูตจากซีเซี่ยมาเยือนต้าหนาน... ฮ่องเต้ทรงอนุญาตให้ราชทูตเข้าเฝ้าในท้องพระโรง ราชทูตแห่งซีเซี่ยถวายเครื่องบรรณาการ และราชสาส์นสู่ขอองค์หญิงหมิงจูให้กับรัชทายาทซีเซี่ย ฮ่องเต้ขอเวลาพิจารณาเรื่องสู่ขอสามวัน อีกสามวันจะจัดเลี้ยงคณะทูตและให้คำตอบ อ๋องห้าไปที่ตำหนักขององค์หญิงหมิงจู เล่าเรื่องที่ราชทูตจากซีเซี่ยมาสู่ขอนางให้นางฟัง “ทำไมข้าต้องแต่งไปซีเซี่ยด้วย?” องค์หญิงหมิงจูกล่าวด้วยดวงหน้าบูดบึ้ง “เจ้าปีนี้อายุสิบเจ็ดแล้วนะ...ไม่แต่งตอนนี้ แล้วจะรอถึงเมื่อไหร่?” “ข้าไม่ได้ชอบรัชทายาทซีเซี่ยสักหน่อย” องค์หญิงตอบเสียงสะบัด “แล้วเจ้าชอบใคร?” “.....” “อย่าบอกนะว่าชอบจ้าวชิงเฟิง?” “.....” “ข้าล่ะเห็นใจเจ้าจริงๆ...คู่ยวนยาง(นกเป็ดน้ำแมนดาริน มักจะอยู่กันเป็นคู่แบบผัวเดียวเมียเดียว เป็นตัวแทนรักแท้ของชายหญิง)ที่ดี กลับถูกชินอ๋องฉกชิงไปเสียนี่” “พี่ห้า อย่าพูดถึงเรื่องนี้อีก” องค์หญิงเสียงเครือ “ไม่ให้ข้าพูดออกมาบ้าง ข้าก็รู้สึกได้รับความไม่เป็นธรรมแท
“ตาเฒ่าเกาชงเป็นพ่อตาของคนแซ่จ้าว” พระสนมเอกซูเฟยกัดริมฝีปากล่าง ก่อนจะกล่าวต่อ “เมื่อหลายวันก่อน ข้าเรียกคนแซ่จ้าวมาสนทนาด้วยเรื่องของมู่ตาน เขาทำท่าทางสงบเสงี่ยม แต่ก็บ่ายเบี่ยงไม่ยอมรับปาก ข้าจึงพูดถึงอิทธิพลอำนาจของตระกูลชิว เพื่อข่มขวัญเขา คิดไม่ถึงว่าเขาจะมารยาออดอ้อนชินอ๋องให้ไปผูกไมตรีกับตระกูลเกาเสียได้” “เช่นนี้...เรื่องที่จะให้มู่ตานเป็นพระชายารองของชินอ๋อง ดูท่าจะยากเสียแล้ว” มหาเสนาบดีถอนหายใจ “ในยามนี้บุรุษที่มีฐานะคู่ควรกับมู่ตานก็มีไม่มากนัก ชินอ๋องเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด ส่วนอ๋องห้าก็เสเพลไม่ได้เรื่องได้ราว เอาแต่เสพสุขไปวันๆ” “เอาเช่นนี้สิท่านพ่อ” พระสนมเอกซูเฟยเสนอความคิด “รอดูบัณฑิตใหม่ของปีนี้ ว่าบัณฑิตทั้งสามคน ผู้ใดหน่วยก้านดี ก็เลือกคนนั้น ข้าจะขอสมรสพระราชทานให้กับมู่ตาน...ตาเฒ่าเกาชงสนับสนุนบุตรบุญธรรมของเขา ท่านพ่อก็สนับสนุนบุตรเขย...ดูซิว่า ระหว่างบุตรบุญธรรมคนเดียวของตาเฒ่าเกาชง จะสู้บุตรทั้งสองคนและบุตรเขยตระกูลชิวได้หรือไม่” “เกรงจะไม่ง่ายเช่นนั้นน่ะสิ” มหาเสนาบดีมีสีหน้าระอา “มู่ตานเอาแต่ใจ ร่ำร้องแต่จะแต่งกับชินอ๋อง ตั้
มหาอำมาตย์เกาชงมองผู้มาเยือนอย่างประหลาดใจ พอได้สติก็รีบประสานมือน้อมคำนับ “คารวะท่านอ๋องและพระชายา” “ไม่ต้องมากพิธี” ชินอ๋องกล่าว “วันนี้ข้าตั้งใจพาฟูเหรินมาเยี่ยมท่านโดยเฉพาะ” “ขออภัยที่ข้าน้อยต้อนรับบกพร่อง” มหาอำมาตย์เกาชงกล่าวพลางผายมือ “เชิญท่านอ๋องกับพระชายาเข้าไปนั่งด้านในก่อนขอรับ” เมื่อทั้งสามเข้าไปนั่งในห้องโถงรับรองของจวนมหาอำมาตย์เรียบร้อย บ่าวทาสจากจวนชินอ๋องก็นำของฝากล้ำค่ามีราคาเข้ามาสี่หาบใหญ่ มาวางไว้ในห้องโถงแห่งนั้น ของเหล่านั้นเป็นชินอ๋องสั่งให้จัดหามาทั้งสิ้น “นี่คือของกำนัลที่ฟูเหรินของข้านำมาคารวะท่านซึ่งเป็นพ่อตาของเขา” ชินอ๋องกล่าว พลางผายมือไปที่สิ่งของในหีบห่อสีแดง มหาอำมาตย์เกาชงมองมาที่จ้าวชิงเฟิงด้วยนัยน์ตาแดงระเรื่อขึ้น...อดคิดถึงบุตรสาวที่จากไปไม่ได้ จ้าวชิงเฟิงรับรู้ได้...จึงถามเสียงเบา “ท่านพ่อตา...หมู่นี้สบายดีหรือไม่?” “ดีๆ...ข้าสบายดี” “ข้าขออภัย ที่มาเยี่ยมเยียนท่านช้านัก” “มาก็ดีแล้ว...เอ้อ...พระชายา” “ท่านอย่าเรียกข้า.
พระสนมเอกซูเฟยชิวเหมยกุ้ย อายุ 22 ปี รูปร่างหน้าตาสวยงามปานภาพวาด ในความอ่อนโยนมีความสง่างาม นางต้อนรับจ้าวชิงเฟิงที่ศาลาชมอุทยาน เป็นการป้องกันการครหานินทาด้วย จ้าวชิงเฟิงประสานมือน้อมคำนับ “คารวะพระสนมเอกขอรับ” นางพยักหน้ารับการคารวะ “เชิญนั่งก่อนพระชายา” จ้าวชิงเฟิงรอให้นางนั่งลงก่อน จึงนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับนาง บนโต๊ะหินที่กั้นระหว่างคนทั้งสองมีชุดน้ำชา และจานขนมมากมายวางอยู่ “พระสนมเอกมีธุระอันใดกับข้าน้อยขอรับ?” จ้าวชิงเฟิงกล่าวถามตรงๆ พระสนมเอกหัวเราะเสียงหวาน “เรื่องไม่สลักสำคัญอะไร เพียงแค่ข้าเหงา อยากหาเพื่อนสนทนาเท่านั้น” จ้าวชิงเฟิงรู้สึกแปลกๆ กับถ้อยคำของนาง นางจะมาไม้ไหน? “นักปราชญ์กล่าว...ยิ่งสูงยิ่งหนาว...ช่างเป็นความจริงนัก” นางยกถ้วยน้ำชาที่นางกำนัลรินให้ขึ้นดื่มก่อนจะกล่าวต่อ “ฐานะยิ่งสูงส่ง ยิ่งหาเพื่อนสนทนาด้วยไม่ได้...ในเวลานี้ ผู้ที่มีฐานะเหมาะสมที่ข้าจะสนทนาด้วย ก็เห็นจะมีแต่พระชายาเท่านั้น” “.....” “ในฐานะที่เป็นภรรยาเอก ข้าต้อง
ที่หอหมื่นบัณฑิต...จ้าวชิงเฟิงได้พบกับบุคคลที่ไม่ได้คิดว่าจะได้พบ เขาคืออี้อัน วันนี้เขาแต่งกายสุภาพเรียบร้อย แม้ไม่หรูหรา แต่เนื้อผ้าดีสีเขียวหยก อี้อันมองเห็นจ้าวชิงเฟิงกับชินอ๋องก็ตรงเข้ามาประสานมือน้อมคำนับ “คารวะท่านอ๋อง คารวะพระชายา” “อืม/อืม” ชินอ๋องกับจ้าวชิงเฟิงต่างพยักหน้ารับคารวะ “คุณชายอี้อัน...มาทำอะไรที่หอหมื่นบัณฑิตนี่?” จ้าวชิงเฟิงถาม “เรียนพระชายา...ข้าน้อยมาแสดงผลงาน เพื่อฟังคำติชมของเหล่าบัณฑิตขอรับ และถือโอกาสศึกษาผลงานของผู้อื่นไปด้วยขอรับ” อี้อันกล่าวด้วยทีท่านอบน้อม “ที่แท้ท่านก็เป็นบัณฑิตผู้หนึ่ง...นับถือ ๆ” “หามิได้พระชายา...ข้าน้อยเป็นเพียงนักศึกษาต่ำต้อยคนหนึ่งเท่านั้น ที่เข้าหอหมื่นบัณฑิตนี้ได้ ล้วนอาศัยบารมีของท่านมหาอำมาตย์ช่วยส่งเสริมขอรับ” อี้อันกล่าวตามจริง... หอหมื่นบัณฑิตจะต้องเป็นบัณฑิตจึงจะเข้าเป็นสมาชิกได้ หรือมิฉะนั้นก็ต้องมีเจ้าใหญ่นายโตค้ำประกัน ยิ่งกว่านั้น การแสดงผลงานจะต้องเสียค่าเช่าพื้นที่ ซึ่งเป็นจำนวนเงินมิใช่น้อย เรื่องนี้ไม่เพียงเป็นปัญหาสำห
จ้าวชิงเฟิงถูกชินอ๋องอุ้มออกจากงานเลี้ยงไปขึ้นรถม้ากลับจวน พอถึงจวนก็ถูกอุ้มเข้าตำหนักใหญ่ “ข้าม่ายมาว ปล่อยข้า ข้าจาเดินเอง” จ้าวชิงเฟิงเอะอะโวยวายเพราะความเมา “ลูกผู้ชายอกสามศอกถูกอุ้มด้ายยางงาย...” “อกเจ้าไม่ถึงสามศอก ย่อมต้องถูกอุ้ม” ชินอ๋องเอ่ยอย่างนึกขัน “อย่าดิ้นสิฟูเหริน” พอถึงห้องนอน...ชินอ๋องก็วางจ้าวชิงเฟิงนอนลงบนเตียงอย่างเบามือ จ้าวชิงเฟิงผวาลุกขึ้น “ข้าจาอ้วก...โอ้กกกก” เจียงจ้านว่องไว คว้ากระโถนมารองรับไว้ทัน จ้าวชิงเฟิงอาเจียนจนหมดไส้หมดพุง ชินอ๋องก็ช่วยลูบหลังให้ พออาเจียนเสร็จ...จ้าวชิงเฟิงก็ผล็อยหลับไป ชินอ๋องจัดการเช็ดหน้าตาเนื้อตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้พระชายาด้วยตัวเอง เจียงจ้านจะช่วยทำให้ก็ไม่ยอม จัดการทุกอย่างเสร็จแล้ว ชินอ๋องจึงให้เจียงจ้านช่วยปรนนิบัติอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าของตนเองบ้าง ก่อนเข้านอนชินอ๋องยังสั่งเจียงจ้านว่า “พรุ่งนี้เช้าจัดน้ำแกงสร่างเมาให้ฟูเหรินด้วย” “ขอรับ” เจียงจ้านรับคำ แล้วออกจากห้องไป ชินอ๋องจึงล้มตัวลงนอนเค
หลังจากมีราชโองการถอดถอนชื่อตู้จินเหลียนออกจากตำแหน่งพระชายาแห่งชินอ๋องแล้ว ลำดับชื่อในราชวงศ์ของตู้จินเหลียนก็ถูกลบทิ้ง ชื่อของจ้าวชิงเฟิงขยับขึ้นมาเป็นพระชายาชินอ๋องโดยไม่ต้องอยู่ภายใต้ชื่อของนางอีกต่อไป วันนี้...ชินอ๋องจะพาจ้าวชิงเฟิงมาร่วมงานฉลองวันพระราชสมภพขององค์ฮ่องเต้ จ้าวชิงเฟิงถูกบรรดาขันทีกับสาวใช้ช่วยกันจับแต่งตัวเสียยกใหญ่ “หยุดก่อน” จ้าวชิงเฟิงยกมือห้ามเสี่ยวหงที่กำลังจะทำอะไรสักอย่างบนดวงหน้าของเขา “เจ้าจะทำอะไร?” “ผัดแป้ง เขียนคิ้ว เติมชาด เจ้าค่ะ” “หยุดเลย...ข้าไม่ใช่สตรี” “พระชายา...” เสี่ยวชุ่ยเอ่ยแทรกขึ้น “พวกคุณชายผู้ดีมีตระกูลทั้งหลายล้วนผัดแป้งแต่งหน้ากันทั้งนั้น ไม่ปล่อยให้หน้าหมอง มันเยิ้ม มอมแมม หรอกเจ้าค่ะ” “ข้าเห็นซือหมิงก็ไม่ได้ผัดแป้งแต่งหน้า” จ้าวชิงเฟิงยกตัวอย่าง เสี่ยวชุ่ยเบะปาก “บุรุษหยาบกร้าน” “ท่านอ๋องก็ด้วย” จ้าวชิงเฟิงยังไม่ยอมแพ้ “ท่านอ๋องเป็นข้อยกเว้นเจ้าค่ะ” เสี่ยวหงกล่าว “อย่างไรเสีย...ข้าก็ไม่ยอมแต่งหน้า” จ