บทที่ 3
‘บริการทุกระดับประทับใจ’
.
.
เซียวหยางชุนหันไปรินน้ำชาใส่ถ้วยก่อนจะยกขึ้นดื่มเพื่อแก้กระหาย แต่น้ำชากลับกระฉอกยามร่างกายของเขากำลังขยับโยกเพราะยังคงซอยเอวใส่ช่องทางอ่อนนุ่มของซ่งหลิงซูไม่พัก
ในยามนี้เรือนกายของซ่งหลิงซูนอนคว่ำราบลงบนโต๊ะกลม สะโพกแอ่นขึ้นและกำลังถูกองค์ชายหนุ่มกระแทกแก่นกายเข้ามาจนลึกสุดลำยาวผ่านรูจีบด้านหลังของนางที่ถูกย่ำยีเสียจนบวมช้ำ เนื่องด้วยเซียวหยางชุนไม่ยอมน้อยหน้าเหยียนอี้ที่ได้เข้าด้านหลังเขาจึงขอทำบ้าง แม้ซ่งหลิงซูจะเหนื่อยแทบขาดใจแต่ก็ยอมตามใจสามีเอาแต่ใจผู้นี้
เหยียนอี้ที่สุขสมไปแล้วสองรอบนั่งมองดูการกระทำของเซียวหยางชุนที่ยังไม่ยอมหยุด แม้อีกฝ่ายจะขึ้นสวรรค์ไปสามรอบแล้วก็ตามแต่ก็ยังอยากมีรอบที่สี่ทั้งที่เขาก็ตะเตือนแต่แรกแล้วว่าองค์หญิงไม่ไหวแล้ว แต่องค์ชายต่างแคว้นผู้นี้กลับเอาแต่ใจเกินควบคุมได้
“หมดรอบนี้พระองค์ก็ควรพอได้แล้ว องค์หญิงจะได้พักผ่อน”
“ข้ารู้ เจ้าไม่ต้องมาสั่ง!”
เซียวหยางชุนตวัดสายตาดุดันจ้องหน้าเหยียนอี้อย่างไม่พอใจที่อีกฝ่ายเป็นแค่แม่ทัพแต่กลับกล้ามาออกคำสั่งกับองค์ชายอย่างเขา และเลือกจะเอาความหงุดหงิดนั้นมาลงกับซ่งหลิงซูด้วยการเร่งจังหวะมากขึ้นจนแรงกระแทกหนักหน่วง
“อ๊ะ… อ๊า บะ… เบาหน่อย ข้าไม่ไหวแล้ว!”
“อดทนหน่อยสิ เจ้าอยากมีสามีสองคนเอง”
นอกจากจะไม่อ่อนโยนแล้วยังไม่มีคำปลอบใจอีก แรงกระแทกกระทั้นยังคงหนักหน่วงจนได้ยินเสียงเอี๊ยดอ๊าดของโต๊ะดังขึ้นคล้ายว่ามันจะพังครือลงไปเสียแล้ว ซ่งหลินซูแทบสิ้นสติ ดวงตาของนางเหม่อลอยด้วยความเสียวซ่านแต่ก็เริ่มจะหมดแรงเสียแล้วเพราะต้องรับศึกหนักมาทั้งคืนจนตอนนี้จะเช้าแล้วนางก็ยังไม่ได้หลับนอน
“อ๊า! ข้าจะปลดปล่อยแล้ว!”
สิ้นคำพูดของเซียวหยางชุนเขาก็ส่งเสียงครางกระเส่าออกมา ร่างกายจิกเกร็งยามปลดปล่อยน้ำคาวรักออกมาจนล้นทะลักช่องทางอ่อนนุ่มของซ่งหลิงซูจนหยาดเยิ้มลงสู่พื้นเบื้องล่าง
เซีียวหยางชุนประคองร่างที่ซวนเซของซ่งหลิงซูไว้ในอ้อมแขน นางมองเขาด้วยภาพที่พร่ามัวก่อนจะสิ้นสติไปจากแรงกายที่ถูกใช้ไปจนหมดแล้ว น้ำรักข้นคลั่กอยู่ในตัวของนางจนรู้สึกอึดอัดยิ่งนัก
“หลบไป นางสลบแล้ว” เซียวหยางชุนกล่าวกับเหยียนอี้ที่นั่งอยู่บนเตียงให้หลบเขาที่กำลังอุ้มซ่งหลิงซูอยู่
“กระหม่อมบอกพระองค์แล้วว่าให้พอ!” เหยียนอี้โมโหอยากจะต่อยหน้าองค์ชายต่างแคว้นยิ่งนัก
“เจ้าอย่าพูดมาก ไปเตรียมน้ำอุ่นมาเช็ดตัวนางเสีย”
“ทำไมต้องเป็นกระหม่อมด้วย?”
เซียวหยางชุนหันมาจ้องหน้าเหยียนอี้ก่อนจะยิ้มมุมปากเล็กน้อย “เพราะเจ้าเป็นแค่สามัญชนต่ำต้อย ส่วนข้าเป็นองค์ชายไง เป็นกาจะมารวมฝูงกับหงส์หรือ ยังไงสีมันก็ย่อมแตกต่างกันอยู่ดี”
คำกล่าวของเซียวหยางชุนนั้นดูถูกดูแคลนเหยียนอี้เด่นชัดจนเขานึกโมโห ถึงแม้ในใจจะอยากต่อยหน้าอีกฝ่ายให้ฟันร่วงแต่ก็ทำได้เพียงข่มระงับอารมณ์เอาไว้เพราะยังไงเสียเซียวหยางชุนก็ยังมีสถานะเป็นองค์ชายแคว้นเฟิง การทำร้ายร่างกายองค์ชายย่อมเป็นเรื่องที่ไม่ดีอาจจะนำมาซึ่งความไม่พอใจของฮ่องเต้แคว้นเฟิงจนเกิดเป็นสงครามต่างแคว้นก็เป็นได้
สุดท้ายเหยียนอี้ก็ต้องยอมเดินออกไปเพื่อทำตามคำสั่งของเซียวหยางชุน องค์ชายหนุ่มยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยอย่างเย้ยหยันชัดเจนยามมองท่าทางของเหยียนอี้ที่หยิ่ฃทะนงแต่สุดท้ายก็ต้องยอมศิโรราบให้อำนาจบารมีของผู้มีบุญญาธิการมาเกิดอยู่ดี
“เป็นแค่ขี้ข้าจะพยายามชูคอเป็นนาย น่าสมเพชนัก”
เหยียนอี้เดินกลับมาพร้อมถังใส่น้ำ แต่เมื่อเข้ามาภายในห้องกลับไม่พบเซียวหยางชุนแล้วแต่คาดเดาว่าอีกฝ่ายคงไปอาบน้ำที่ตำหนักรองเป็นแน่ แม่ทัพหนุ่มนั่งลงข้างเตียงก่อนจะลูบมือลงบนแก้มของซ่งหลิงซูอย่างอ่อนโยน ปัดเส้นผมที่ปิดใบหน้าของนางออก
“กระหม่อมเฝ้ามองพระองค์เสมอมา ไม่คิดเลยว่าวันนี้จะได้มีวาสนาได้เป็นสามีของพระองค์” เขาโน้มใบหน้าลงไปประทับจูบที่หน้าผากมนอย่างนุ่มนวล แววตาล้นเปี่ยมไปด้วยความรักยามจ้องใบหน้าของสตรีที่เขาเฝ้ามองมาหลายปี
ผ้าเนื้อนุ่มถูกชุบน้ำก่อนจะบิดหมาดแล้วเช็ดลงบนใบหน้าและลำคอของซ่งหลิงซู นางขยับตัวเล็กน้อยเมื่อถูกก่อกวนตอนนอนแต่ก็ไม่ได้ตื่นขึ้น เหยียนอี้ไล่ผ้าเช็ดลงมาตามหน้าอกอวบอิ่ม ทำความสะอาดคราบน้ำลายที่เลอะเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำลายและน้ำรักขาวขุ่น ไล่ลงมาจนถึงหน้าท้องแบนราบเอวคอดบางดั่งต้นหลิว
ส่วนที่เหมือนจะต้องทำความสะอาดมากที่สุดคงจะเป็นช่องทางอ่อนนุ่มทั้งสองที่ถูกกระทำจนบวมช้ำ ผ้าถูกเช็ดลงบนคราบรักที่เลอะเปรอะเปื้อนแต่มันกลับทำให้ซ่งหลิงซูส่งเสียงครางกระเส่าออกมาเสียจนเหยียนอี้ชะงักมือลง ลอบกลืนน้ำลายเหนียวลงคออึกใหญ่แต่เขาก็พยายามสะบัดไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไปเพื่อบรรจงเช็ดตัวนางต่อ
แต่ในจังหวะนั้นมือเล็กกลับเลื่อนมาจับแขนของเหยียนอี้ เมื่อหันไปมองก็พบว่าซ่งหลิงซูกำลังจ้องมองเขาด้วยดวงตาที่หวานเยิ้ม ปลายเท้ายกขึ้นก่อนจะสัมผัสลงบนแก่นกายที่ในยามนี้เริ่มตื่นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
“อย่าพ่ะย่ะค่ะ” เหยียนอี้รีบห้ามพร้อมขยับตัวจะลุกหนี แต่ซ่งหลิงซูก็พุ่งตัวไปสวมกอดเขาเอาไว้ หน้าอกอวบอิ่มบดเบียดแผ่นหลังกว้าง
“เจ้าทำไปสองรอบเอง แบบนี้ก็ถือว่าแพ้เซียวหยางชุนนะ”
“กระหม่อมอยากถนอมองค์หญิงมากกว่าพ่ะย่ะค่ะ”
ซ่งหลิงซูยิ้มออกมาเล็กน้อยกับคำพูดแสนอบอุ่นของเขา แต่ตอนนี้นางไม่ได้ต้องการผู้ชายอบอุ่นเสียหน่อย แต่ต้องการผู้ชายที่สมสู่นางเยี่ยงสัตว์เดรัจฉาน รุนแรง หนักหน่วง และหยาบคายต่างหาก
“เจ้าเป็นคนแคว้นหลง เหตุใดถึงยอมพ่ายแพ้ให้คนแคว้นเฟิงเล่า?”
หน้าอกอวบอิ่มถูไถลงบนแผ่นหลังของเหยียนอี้มันทำให้เขาถอนหายใจออกมาเล็กน้อย แม่ทัพหนุ่มหันกลับมาสบตากับองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ที่ในยามนี้ดวงตาหวานเยิ้มราวกับตาลูกกวางตัวน้อย ๆ ไม่มีผิด
“ยาปลุกกำหนัดยังไม่หมดฤทธิ์อีกหรือ นี่จะเช้าแล้ว”
“คงเป็นเช่นนั้น ร่างกายของข้ายังร้อนรุ่มอยู่เลย” ซ่งหลิงซูช้อนสายตามองเหยียนอี้ มือลูบไล้ไปตามอกกว้างกำยำของเขา “เจ้าช่วยข้าได้หรือไม่?”
“แต่องค์หญิงจะเหนื่อยเกินไป”
“ข้าไม่ตายหรอก”
นางผลักตัวของเหยียนอี้ให้ล้มตัวลงนอนบนเตียงแล้วขยับตัวขึ้นมานั่งคร่อมทับตัวของแม่ทัพหนุ่มเอาไว้ มือล้วงลึกลงไปยังแก่นกายลำอวบใหญ่ที่กำลังแข็งดุนดันเนื้อผ้าขึ้นมา ปลายหัวมีน้ำไหลเยิ้มออกมาบ่งบอกถึงแรงอารมณ์ของเหยียนอี้ได้เป็นอย่างดี
“เซียวหยางชุนไม่อยู่ เรารีบทำก่อนเขาจะกลับมาเถิด”
ซ่งหลิงซูที่ยังคงเปลือยกายขยับตัวลุกขึ้นเล็กน้อยก่อนจะจ่อปลายแก่นกายมายังช่องทางอ่อนนุ่มจากนั้นจึงนั่งทับลงไปจนมิดลำยาว ใบหน้าหวานเชิดขึ้นด้วยความเจ็บระคนคับแน่นจนอึดอัดเล็กน้อย ขนาดของเหยียนอี้ใหญ่มากจนนางแทบจะขยับไม่ไหวเพราะจุกยิ่งนัก
“เจ็บไหมพ่ะย่ะค่ะ?” เหยียนอี้ถามด้วยความเป็นห่วง
“เจ็บ แต่ก็รู้สึกดี” ซ่งหลิงซูก้มลงมองเหยียนอี้ก่อนจะแลบปลายลิ้นเลียริมฝีปากตนเอง แววตาหวานเยิ้มเต็มไปด้วยแรงปรารถนาอันมากล้น
“เห็นแก่เจ้าเป็นคนแคว้นหลงเหมือนข้า ข้าจะทำให้เจ้าเสร็จสมจนขึ้นสวรรค์ชั้นเก้าฟ้า เจ้านอนเฉย ๆ แล้วครวญครางนามข้าก็พอแล้ว”
ว่าจบนางก็เริ่มขยับโยกร่างกาย ดันขาขึ้นลงเพื่อกระแทกตัวลงบนแก่นกายลำอวบใหญ่ที่คับแน่นช่องทางของนางเสียจนจุกทุกครั้งที่ขยับกาย มือเล็กเท้าลงบนหน้าอกกำยำเพื่อประคองตนเองยามโยกเย้าสะโพกถูไถไปกับท่อนเอ็นอุ่น
“อะ… องค์หญิง อ๊า!”
“องค์หญิงอะไรกัน เรียกข้าว่าเสี่ยวซูสิ”
“จะดีหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าเป็นสามีข้าแล้ว ไม่มียศถาบรรดาศักดิ์ยามเราอยู่ด้วยกันลำพัง ข้าเป็นเพียงภรรยาของเจ้า ส่วนเจ้าก็เป็นสามีของข้า”
เหยียนอี้ยิ้มรับด้วยความดีใจ เขาจับมือของซ่งหลิงซูเอาไว้สอดประสานนิ้วทั้งห้าเข้าหากันเพื่อประคองตัวของนางให้มั่นคงยามควบขี่อยู่บนกายของเขา
“เสี่ยวซู เสี่ยวซูของข้า”
“ข้าทำดีหรือไม่?”
“ดีมาก อ๊า! ในตัวเจ้าบีบรัดข้าแน่นมาก มันจะขาดสองท่อนแล้ว”
“รูข้าไม่ได้มีใบมีดเสียหน่อยจะขาดได้อย่างไรกัน”
“มันรัดข้าจนแทบขาด แน่นยิ่งนัก”
“เจ้านี่มันปากหวาน”
ซ่งหลิงซูใบหน้าแดงซ่านด้วยความเขินอาย ตอนนี้เหมือนนางจะพอคาดเดานิสัยของเหยียนอี้ได้แล้ว ดูเขาเป็นคนอบอุ่น ทะนุถนอม และมักจะปากหวานมาพร้อมถ้อยคำชื่นชมยกย่องให้นางเสมอ ต่างกับเซียวหยางชุนที่เอาแต่ใจตนตามประสาองค์ชายที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างเอาอกเอาใจแต่เขาก็ละเมียดละไมในทุกขั้นตอน เริ่มต้นอย่างเนิบช้าไม่เร่งรีบ ใส่ใจทุกละเอียด ต่างคนก็ต่างมีข้อดีของตนเองทั้งสิ้น
“อ๊ะ!” จังหวะที่ซ่งหลิงซูกำลังคิดอะไรอย่างเหม่อลอย ร่างกายก็ถูกผลักลงมานอนที่พื้นเตียงแทน ส่วนเหยียนอี้ดันตัวขึ้นมานั่งทั้งที่ช่องทางเบื้องล่างยังเชื่อมติดกันอยู่
เหยียนอี้กระแทกแก่นกายเข้ามาจนลึกสุดลำยาวจนซ่งหลิงซูรู้สึกได้เลยว่ามดลูกสั่นไปหมดแล้ว เสียงเอี๊ยดอ๊าดของเตียงสั่นไหวไปตามจังหวะกระแทกกระทั้นอันหนักหน่วง
“อ๊ะ… อ๊า! ซี๊ด!”
“แรงอีกสิเหยียนอี้ กระแทกข้าแรง ๆ”
“น้อมรับบัญชาพ่ะย่ะค่ะองค์หญิง”
มือใหญ่จับลงบนเอวคอดบางดั่งต้นหลิวก่อนจะกระแทกกระทั้นความปรารถนาเข้าไปในจังหวะที่หนักหน่วงและรุนแรงมากขึ้น จนเสียงเนื้อกระทบกันดังเคล้าคลอไปกับเสียงครางกระเส่าที่ไม่เว้นว่างให้พักหายใจหายคอเลย
ในยามนี้สติของซ่งหลิงซูแทบไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว ดวงตาเหม่อลอย น้ำหูน้ำตาไหลด้วยความเสียวซ่านสุดขีด ตอนแรกนางรู้สึกสับสนกับชีวิตใหม่ ไม่รู้จะดำเนินไปทางไหนดี ได้เกิดใหม่ในร่างองค์หญิงผู้สูงศักดิ์แต่กลับต้องแต่งงานกับบุรุษถึงสองคน แต่ตอนนี้กลับรู้สึกว่าตนเองโชคดียิ่งนัก นอกจากจะเป็นองค์หญิงชีวิตสุขสบายแล้วยังมีสามีตั้งสองคนคอยปรนเปรอความสุขอีก
นี่สิที่เรียกว่าตายแล้วได้ขึ้นสวรรค์โดยแท้จริง!
บทที่ 4'จวนหลังใหม่'..“องค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ ยามเหม่าแล้ว”เสียงปลุกดังขึ้นข้างหูมันทำให้ซ่งหลิงซูที่กำลังหลับสบายลืมตาตื่นขึ้นด้วยความงัวเงีย นางบิดขี้เกียจเล็กน้อย ยืดขาเรียวเหยียดยาวเพราะรู้สึกปวดเมื่อยเนื้อตัวไปหมด ดวงตาคู่สวยกะพริบถี่เพื่อพยายามปรับแสงที่สาดส่องเข้ามากระทบในม่านตา“ลุกเถิดพ่ะย่ะค่ะ นี่ยามเหม่าแล้ว ประเดี๋ยวต้องไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้กับฮองเฮา”เสียงนั้นดังมาจาก ‘สวีกงกง’ ขันทีคนสนิทขององค์หญิงซ่งหลิงซูที่เลี้ยงดูนางมาตั้งแต่เยาว์วัยจึงเป็นขันทีที่อายุรุ่นราวคราวมารดา ก่อนจะย้ายมาดูแลซ่งหลิงซูเขาก็เคยดูแลมารดาของนางที่เป็นสนมมาก่อน เมื่อมารดาเสียไปจึงถูกโยกย้ายให้มาดูแลซ่งหลิงซูต่อ“ยังเช้าอยู่เลยจะรีบตื่นไปไหนกัน” ซ่งหลิงซูมุดใบหน้าเข้าไปใต้ผ้าห่มเช่นเดิมด้วยความขี้เกียจแต่ก็ถูกสวีกงกงดึงผ้าห่มออก“ลุกเถิดพ่ะย่ะค่ะ”“อะไรกัน” นางพึมพำออกมาเมื่อถูกดึงให้ลุกขึ้นนั่งอีกครั้งหนึ่ง “นี่ข้าอุตส่าห์ได้มาเกิดใหม่เป็นองค์หญิงแล้ว แต่ก็ยังต้องตื่นเช้าอีกหรือไง?”“อะไรนะพ่ะย่ะค่ะ?” สวีกงกงขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงพึมพำไม่ถนัดนัก“ไม่มีสิ่งใดหรอก”ซ่งหลิงซูขยับตัวลุกขึ้นเตร
บทที่ 5‘สองบุรุษร่วมแรง’..“จะ… เจ้าปล่อยข้าได้หรือไม่?” ซ่งหลิงซูหันมาร้องขอเหยียนอี้ให้ปลดพันธนาการออกเพราะถ้าขืนนางยังถูกมัดเช่นนี้คงถูกพวกเขาย่ำยีจนฟ้ามืดเป็นแน่“ขออภัย แต่ข้าชอบเวลาเจ้าถูกมัดมากกว่าเสี่ยวซู”ขาเรียวถูกยกขึ้นพาดบ่าพร้อมแรงกระแทกกระทั้นที่หนักหน่วงมากกว่าเดิม แก่นกายลำอวบใหญ่ผลุบเข้าผลุบออกผ่านช่องทางอ่อนนุ่มที่ตอนนี้ชุ่มไปด้วยน้ำเฉอะแฉะปลายลิ้นไล้เลียไปตามขาอ่อนขาว“อ๊า! จะ… เจ็บ!” นางร้องออกมายามถูกขบกัดลงบนเนื้อที่ขาจนขึ้นรอยฟันแดงแต่ยิ่งเหยียนอี้เห็นน้ำตาของซ่งหลิงซูเขาก็ยิ่งมีอารมณ์มากกว่าเดิมเสียอีก ร่างกายพลุ่งพล่านไปด้วยไฟราคะที่ยากจะดับมอดลงได้ การขบกัดจึงตามมาไม่หยุดหย่อนทั่วทั้งขาของซ่งหลิงซูทั้งสองข้างล้วนมีแต่รอยขบกัดจนแดงเถือก“เจ้าเป็นสุนัขหรือไง!”“ถ้าข้าเป็นสุนัขก็หมายความว่าเจ้ากำลังถูกสุนัขสมสู่อยู่”“งั้นก็ปล่อยข้าสิ ข้าจะคลานสี่ขาให้เจ้าสมสู่เยี่ยงสุนัข”“เจ้ากล่อมข้าไม่สำเร็จหรอก ข้ารู้ว่าปล่อยเจ้าตอนนี้เจ้าก็จะหนีไป”เมื่อโดนรู้ทันซ่งหลิงซูก็ได้แต่ชักสีหน้ามุ่ยใส่เหยียนอี้ มันก็จริงถ้าเขาปล่อยนางตอนนี้นางจะรีบวิ่งหนีไปเลย ไม่เช่นนั้นคงได
บทที่ 6‘ยาบำรุงกาย’..“องค์หญิงอย่าวิ่งพ่ะย่ะค่ะ เดี๋ยวจะล้ม”เสียงของเหยียนอี้ตะโกนตามหลังซ่งหลิงซูที่กำลังวิ่งกลับตำหนักด้วยท่าทางรีบร้อน แต่นางกลับหันใบหน้ากลับมาพร้อมสายตาดุดันที่กวาดมองสองบุรุษ “คืนนี้พวกเจ้าไม่ต้องมายุ่งกับข้าเลย ข้าจะปิดตำหนัก”“แล้วพวกข้าจะไปนอนที่ไหน?” เซียวหยางชุนถาม มือของเขายังคงโบกสะบัดพัดไปมาด้วยท่าทางสบายอุรา“จะไปนอนที่ไหนก็เรื่องของพวกเจ้า แต่ไม่ต้องมานอนกับข้า!”ว่าจบซ่งหลิงซูก็รีบหันหน้าวิ่งกลับตำหนักจนชายอาภรณ์ปลิดปลิว แม้ว่าจะรู้สึกเจ็บช่วงล่างมากก็ตามแต่ก็ฝืนทน เมื่อเข้ามาถึงด้านในตำหนักยามหันไปเห็นสวีกงกงจึงเอ่ยคำสั่งทันที“ปิดประตูหน้าต่างให้หมด ห้ามผู้ใดเข้าตำหนักข้า!”“ราชบุตรเขยทั้งสองด้วยหรือพ่ะย่ะค่ะ?” สวีกงกงมีสีหน้าประหลาดใจ“ใช่ โดยเฉพาะพวกเขา ยิ่งต้องห้าม!” นางมองไปที่ประตูหน้าต่าง “ปิดสิ ปิดให้หมดเลย อย่าให้เหลือสักบาน!”สวีกงกงหันไปพยักหน้าให้กับเหล่านางกำนัล ทุกคนจึงช่วยกันปิดประตูหน้าต่างทันที ภายในตำหนักตกอยู่ในความมืดไม่นานก็สว่างไสวขึ้นจากเปลวเทียนที่ถูกจุดทั่วห้อง สวีกงกงเดินเข้ามาหาซ่งหลิงซูก่อนจะรินน้ำชาให้“ดื่มน้ำชาให้หาย
บทที่ 7'ความสงสัย'..ซ่งหลิงซูเดินเข้ามาในตำหนักของลี่จิ่นฮองเฮาด้วยท่าทางสง่างาม แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความระแวดระวัง นางรู้ดีว่าฮองเฮาผู้นี้ไม่เคยมีเจตนาดีต่อองค์หญิงสาม ยิ่งความทรงจำเดิมบอกเล่าถึงความบาดหมางระหว่างมารดากับลี่จิ่นฮองเฮา ความสงสัยที่ว่ายาบำรุงร่างกายที่ฮองเฮาประทานให้อาจมีพิษปะปนก็ยิ่งชัดเจนขึ้น“ถวายพระพรฮองเฮาเพคะ” ซ่งหลิงซูเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลลี่จิ่นฮองเฮายิ้มบาง แววตาเต็มไปด้วยความเมตตายามทอดมองหลานสาว “ซูเอ๋อร์ วันนี้เจ้ามาหาข้ามีเรื่องใดหรือ?”ซ่งหลิงซูยิ้มตอบ “หม่อมฉันเพียงอยากมาขอบพระทัยสำหรับยาบำรุงที่พระองค์ประทานให้ ดื่มแล้วรู้สึกว่าร่างกายดีขึ้นมากเพคะ”คำพูดนั้นทำให้ลี่จิ่นฮองเฮายิ้มกว้างขึ้น “ดีแล้ว ยานั้นเป็นตำรับพิเศษที่ข้าสั่งให้คนจัดหามาโดยเฉพาะ เพื่อช่วยให้เจ้าฟื้นตัวเร็วขึ้น”ซ่งหลิงซูพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนไม่ได้ตั้งใจ “ตำรับพิเศษเช่นนี้ หม่อมฉันคิดว่าคงหายากมากใช่ไหมเพคะ พระองค์ทรงจัดหามาเองหรือ?”“แน่นอน ข้าสั่งให้คนจัดหามาเองทุกขั้นตอน เพื่อให้เจ้าได้รับสิ่งที่ดีที่สุด”คำตอบนั้นทำให้ซ่งหลิงซูเริ่มมั่นใจในความ
บทที่ 8'ค่ามัดจำ'..ในยามนี้ซ่งหลิงซูและสามีทั้งสองย้ายออกมาจากวังหลวงเพื่อมาอยู่อาศัยที่จวนนอกวังแล้ว เหยียนอี้ยังคงออกไปทำงานเช่นเคยในทุก ๆ วัน ต่างกับเซียวหยางชุนที่เขาไม่ต้องทำงานสิ่งใด เนื่องจากเป็นองค์ชายต่างแคว้นแล้วยังร่ำรวยจากทรัพย์สมบัติติดตัวจนใช้กินอยู่ได้อย่างสุขสบายโดยไม่ต้องทำการทำงานให้ลำบากกายในเรือนส่วนตัวที่ตกแต่งอย่างเรียบง่ายแต่สง่างาม เซียวหยางชุนกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่อย่างเงียบเชียบลำพัง ซ่งหลิงซูเดินเข้ามาด้วยท่าทีมุ่งมั่น เงาของนางพาดผ่านไปตามแสงแดดที่สาดส่องเข้ามาภายในเรือน“หยางชุนข้ามีเรื่องอยากขอร้อง” ซ่งหลิงซูกล่าวพร้อมกับนั่งลงตรงหน้าเขาเซียวหยางชุนละสายตาจากหนังสือแล้วเงยมองหน้านางด้วยความสนใจ “เรื่องอะไรหรือคนงามของข้า?”ซ่งหลิงซูเริ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข้าไม่ไว้ใจหมอหลวงในแคว้นหลงกลัวว่าพวกเขาจะถูกฮองเฮาควบคุม ขอให้เจ้าช่วยส่งยาที่ข้ากินไปให้หมอหลวงในแคว้นเฟิงตรวจสอบหน่อย”นางวางถุงยาที่ยังไม่ได้ถูกต้มลงตรงหน้าของเซียวหยางชุนเขาเลิกคิ้วเล็กน้อย “เจ้าสงสัยในยาเหล่านี้หรือ?”“ใช่ ข้ารู้สึกไม่สบายใจ ยิ่งได้ยินเรื่องของเสด็จแม่ ข้ายิ่งกลัวว
บทที่ 9'ค่ายฝึกทหาร'..แสงแดดสาดส่องลงมายังค่ายฝึกทหารที่เต็มไปด้วยเสียงวุ่นวายของเหล่าทหารที่กำลังเตรียมตัวออกไปช่วยเหลือชาวบ้าน ฤดูแล้งที่ยาวนานทำให้แม่น้ำหลายสายแห้งขอด พืชผลทางการเกษตรเสียหายและชาวบ้านประสบปัญหาขาดแคลนน้ำอย่างหนักเหยียนอี้ในชุดแม่ทัพเต็มยศกำลังยืนอยู่กลางลานฝึกท่ามกลางเสียงรายงานจากเหล่าทหาร เขากำลังจัดการงานอย่างเคร่งเครียด ใบหน้าที่ปกติสงบนิ่งบัดนี้เต็มไปด้วยร่องรอยของความเหนื่อยล้า“ท่านพี่อี้!” เสียงหวานใสดังขึ้นจากด้านหลัง ทำให้เขาหันไปมองซ่งหลิงซูในชุดเรียบง่ายแต่สง่างามเดินเข้ามาพร้อมกับปิ่นโตในมือ ใบหน้าของนางประดับด้วยรอยยิ้มที่สดใส“องค์หญิงสาม” เหยียนอี้กล่าวด้วยน้ำเสียงแปลกใจ “เหตุใดพระองค์ถึงมาที่นี่ ค่ายทหารไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะสำหรับสตรี”“ข้าได้ยินว่าท่านยุ่งอยู่กับการช่วยเหลือชาวบ้าน จึงนำอาหารมาให้ท่าน”เหยียนอี้มองปิ่นโตในมือของนาง “ขอบพระทัยพระองค์มาก แต่ตอนนี้ข้ายังมีงานต้องจัดการอีกมากนัก คงยังกินข้าวไม่ได้”ซ่งหลิงซูมองเขาด้วยสายตาเห็นใจ “ถ้าเช่นนั้นข้าจะป้อนให้ท่านเอง ท่านจะได้ทำงานไปพร้อมกัน”เขามองดูนางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความประหล
บทที่ 10‘ขี่ม้าชมทุ่งหญ้า’..แสงแดดอ่อนสาดส่องลงมายังโรงทานขององค์หญิงซ่งหลิงซู ชาวบ้านจำนวนมากมารวมตัวกันเพื่อรับอาหารและน้ำที่แจกจ่าย บรรยากาศเต็มไปด้วยความคึกคัก เสียงหัวเราะพร้อมถ้อยคำขอบคุณจากชาวบ้านบางส่วนทำให้ซ่งหลิงซูรู้สึกอิ่มใจนางยืนอยู่ข้างเหยียนอี้ที่มาดูแลความเรียบร้อยของโรงทาน ทั้งสองมองดูชาวบ้านที่ต่อแถวรับอาหารด้วยรอยยิ้ม“ท่านดูสิ ทุกคนมีความสุขขึ้นมาก”เหยียนอี้พยักหน้า “พระองค์ทรงทำสิ่งที่ดีแล้ว ชาวบ้านเหล่านี้ล้วนได้รับประโยชน์จากโรงทานของพระองค์”แต่ในขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกัน เสียงกระซิบกระซาบจากกลุ่มชาวบ้านบางคนก็ดังขึ้นใกล้ ๆ“องค์หญิงสามเองนั่นแหละที่นำภัยแล้งมาสู่แคว้นหลง”“ใช่แล้ว นางมีดวงฉุดรั้งบ้านเมืองให้ล่มจม พวกเจ้าก็เห็นไม่ใช่หรือ”“นางสร้างภาพ พยายามทำให้ตัวเองดูดีแต่แท้จริงแล้วก็เป็นต้นเหตุของความทุกข์ยาก”คำพูดเหล่านั้นทำให้เหยียนอี้ขมวดคิ้วทันที เขาหันไปมองกลุ่มชาวบ้านด้วยสายตาดุดันก่อนจะกล่าวเสียงเข้ม “พวกเจ้าเป็นอะไรไป มารับอาหารขององค์หญิงสามแต่ยังกล้านินทาว่าพระองค์อีก พวกเจ้าไม่สำนึกบุญคุณกันบ้างหรือ?!”ชาวบ้านกลุ่มนั้นหันมามองเหยียนอี้
บทที่ 11‘แผนการของทั้งสาม’..ยามค่ำคืนที่สงบเงียบภายในจวนล้วนถูกประดับประดาไปด้วยโคมไฟส่องสว่างไสว บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยความอบอุ่น เซียวหยางชุน เหยียนอี้ และซ่งหลิงซูกำลังนั่งรับประทานอาหารร่วมกัน แสงเทียนบนโต๊ะสาดสะท้อนใบหน้าของทั้งสามที่ดูผ่อนคลายหลังจากเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันแต่ทันใดนั้นเสียงกระพือปีกก็ดังขึ้นที่หน้าต่าง นกเหยี่ยวขาวตัวหนึ่งบินมาเกาะอยู่บนขอบหน้าต่าง เซียวหยางชุนลุกเดินไปหาเหยี่ยวขาวตนนั้นด้วยท่าทางปกติ เหยี่ยวเองก็ไม่ได้ดูหวาดกลัวหรือระแวงเขาแต่อย่างใด มือใหญ่หยิบจดหมายที่ผูกติดอยู่กับขาของนกเหยี่ยวขึ้นมา เขาคลี่จดหมายออกเพื่ออ่านเนื้อความในจดหมายทำให้สีหน้าของเขาเคร่งเครียดขึ้นทันที“เกิดอะไรขึ้น?” ซ่งหลิงซูถามด้วยความเป็นกังวลเซียวหยางชุนวางจดหมายลงบนโต๊ะ “ม้าเร็วที่ส่งไปแคว้นเฟิงเพื่อน้ำยาไปให้หมอหลวงตรวจสอบ เขาไปไม่ถึงแคว้นเฟิง มีคนพบศพของเขาในป่าดูเหมือนว่าเขาจะถูกสังหารตายหลายวันแล้ว”คำพูดนั้นทำให้บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเปลี่ยนไปทันที เหยียนอี้ขมวดคิ้วแน่น “คงมีคนไม่อยากให้เราตรวจสอบตัวยา”ซ่งหลิงซูนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ยานี้มาจากฮองเฮา คนที่ไม่อยากใ
บทที่ 12'ตำหนักเย็น'..ภายในท้องพระโรงอันโอ่อ่าของวังหลวงยามนี้เต็มไปด้วยความตึงเครียด เหล่าขุนนางล้วนยืนเรียงแถวลึกสี่แถว แต่งตัวด้วยเครื่องแบบขุนนางตามกรมหรือสำนักที่ตนเองสังกัดอย่างเรียบร้อยสง่างามฮ่องเต้หย่งซวีประทับอยู่บนพระที่นั่งสูงสุด บัลลังก์มังกรอันยิ่งใหญ่ที่ผู้ใดก็ล้วนใฝ่ฝันอยากจะนั่งลงบนเบาะที่ถักทอด้วยไหมทองคำทั้งผืนสักครั้ง กลางท้องพระโรงไม่ได้มีเพียงขุนนาง แต่กลับมีซ่งหลิงซูและเหยียนอี้ยืนอยู่ด้วย ทุกสายตาล้วนจับจ้องมาที่พวกเขาทั้งสองคนเป็นตาเดียวฮ่องเต้ทรงทอดพระเนตรมองพระธิดาและราชบุตรเขยด้วยสายตาเปี่ยมด้วยความเมตตาแต่ก็แฝงความเคร่งขรึม “องค์ชายเซียวหยางชุนไปไหน เหตุใดจึงไม่มาเข้าเฝ้าในวันนี้?”ซ่งหลิงซูเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงสงบ “องค์ชายเซียวหยางชุนต้องรีบกลับแคว้นเฟิง เนื่องจากพระมารดาของเขาป่วยกะทันหัน จึงไม่สามารถมาเข้าเฝ้าได้เพคะ”คำตอบนั้นทำให้ฮ่องเต้พยักหน้าเล็กน้อยแต่ก่อนที่พระองค์จะได้ตรัสอะไรต่อ ลี่จิ่นฮองเฮาที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ ก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา“ฝ่าบาท หม่อมฉันคิดว่าเราควรเข้าเรื่องสำคัญในวันนี้ คนพูดกันไปทั่วว่าองค์หญิงสามน
บทที่ 11.1‘แผนการของทั้งสาม’..โรงทานที่ควรจะสงบสุขกลับเต็มไปด้วยความวุ่นวาย เมื่อข่าวแพร่กระจายไปทั่วเมืองว่ามีชาวบ้านจำนวนหนึ่งป่วยหนักจากการกินโจ๊กที่โรงทานขององค์หญิงซ่งหลิงซู ชาวบ้านที่โกรธแค้นรวมตัวกันและเดินไปยังศาลเมืองเพื่อฟ้องร้องเรื่องนี้ พร้อมกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่รุนแรงขึ้น“องค์หญิงสามมีดวงฉุดรั้งบ้านเมืองไม่พอ ตอนนี้นางยังทำให้คนป่วยหนักอีก!”“โจ๊กของนางทำให้พวกเราท้องร่วง นี่หรือคือการช่วยเหลือประชาชนของนาง เอาของไม่มีคุณภาพมาแจกจ่ายให้พวกเรา!”“ภัยแล้งก็ทุกข์ระทมพอแล้ว นี่องค์หญิงกาลกิณียังมาสร้างเภทภัยให้ชาวบ้านเพิ่มอีก นางเป็นตัวซวยทำให้บ้านเมืองล่มจมจริง ๆ!”เมื่อซ่งหลิงซูได้ยินข่าวว่ามีชาวบ้านท้องร่วงจากโจ๊กโรงทาน นางก็รีบเดินทางมาดูทันทีพร้อมกับเหยียนอี้ที่ติดตามมาด้วยเพื่อดูแลความปลอดภัย เมื่อมาถึงนางพบว่าบรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียด ชาวบ้านบางคนกำลังนอนป่วยอยู่บนพื้น ขณะที่อีกหลายคนรวมตัวกันตะโกนด่าทอด้วยความโกรธแค้น“ข้าขอโทษสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้น” ซ่งหลิงซูกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงใจ ขณะที่เดินเข้าไปดูอาการของคนป่วยเหล่านั้น “ข้าจะจัดหาหมอมารักษาพวกเจ้าโด
บทที่ 11‘แผนการของทั้งสาม’..ยามค่ำคืนที่สงบเงียบภายในจวนล้วนถูกประดับประดาไปด้วยโคมไฟส่องสว่างไสว บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยความอบอุ่น เซียวหยางชุน เหยียนอี้ และซ่งหลิงซูกำลังนั่งรับประทานอาหารร่วมกัน แสงเทียนบนโต๊ะสาดสะท้อนใบหน้าของทั้งสามที่ดูผ่อนคลายหลังจากเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันแต่ทันใดนั้นเสียงกระพือปีกก็ดังขึ้นที่หน้าต่าง นกเหยี่ยวขาวตัวหนึ่งบินมาเกาะอยู่บนขอบหน้าต่าง เซียวหยางชุนลุกเดินไปหาเหยี่ยวขาวตนนั้นด้วยท่าทางปกติ เหยี่ยวเองก็ไม่ได้ดูหวาดกลัวหรือระแวงเขาแต่อย่างใด มือใหญ่หยิบจดหมายที่ผูกติดอยู่กับขาของนกเหยี่ยวขึ้นมา เขาคลี่จดหมายออกเพื่ออ่านเนื้อความในจดหมายทำให้สีหน้าของเขาเคร่งเครียดขึ้นทันที“เกิดอะไรขึ้น?” ซ่งหลิงซูถามด้วยความเป็นกังวลเซียวหยางชุนวางจดหมายลงบนโต๊ะ “ม้าเร็วที่ส่งไปแคว้นเฟิงเพื่อน้ำยาไปให้หมอหลวงตรวจสอบ เขาไปไม่ถึงแคว้นเฟิง มีคนพบศพของเขาในป่าดูเหมือนว่าเขาจะถูกสังหารตายหลายวันแล้ว”คำพูดนั้นทำให้บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเปลี่ยนไปทันที เหยียนอี้ขมวดคิ้วแน่น “คงมีคนไม่อยากให้เราตรวจสอบตัวยา”ซ่งหลิงซูนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ยานี้มาจากฮองเฮา คนที่ไม่อยากใ
บทที่ 10‘ขี่ม้าชมทุ่งหญ้า’..แสงแดดอ่อนสาดส่องลงมายังโรงทานขององค์หญิงซ่งหลิงซู ชาวบ้านจำนวนมากมารวมตัวกันเพื่อรับอาหารและน้ำที่แจกจ่าย บรรยากาศเต็มไปด้วยความคึกคัก เสียงหัวเราะพร้อมถ้อยคำขอบคุณจากชาวบ้านบางส่วนทำให้ซ่งหลิงซูรู้สึกอิ่มใจนางยืนอยู่ข้างเหยียนอี้ที่มาดูแลความเรียบร้อยของโรงทาน ทั้งสองมองดูชาวบ้านที่ต่อแถวรับอาหารด้วยรอยยิ้ม“ท่านดูสิ ทุกคนมีความสุขขึ้นมาก”เหยียนอี้พยักหน้า “พระองค์ทรงทำสิ่งที่ดีแล้ว ชาวบ้านเหล่านี้ล้วนได้รับประโยชน์จากโรงทานของพระองค์”แต่ในขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกัน เสียงกระซิบกระซาบจากกลุ่มชาวบ้านบางคนก็ดังขึ้นใกล้ ๆ“องค์หญิงสามเองนั่นแหละที่นำภัยแล้งมาสู่แคว้นหลง”“ใช่แล้ว นางมีดวงฉุดรั้งบ้านเมืองให้ล่มจม พวกเจ้าก็เห็นไม่ใช่หรือ”“นางสร้างภาพ พยายามทำให้ตัวเองดูดีแต่แท้จริงแล้วก็เป็นต้นเหตุของความทุกข์ยาก”คำพูดเหล่านั้นทำให้เหยียนอี้ขมวดคิ้วทันที เขาหันไปมองกลุ่มชาวบ้านด้วยสายตาดุดันก่อนจะกล่าวเสียงเข้ม “พวกเจ้าเป็นอะไรไป มารับอาหารขององค์หญิงสามแต่ยังกล้านินทาว่าพระองค์อีก พวกเจ้าไม่สำนึกบุญคุณกันบ้างหรือ?!”ชาวบ้านกลุ่มนั้นหันมามองเหยียนอี้
บทที่ 9'ค่ายฝึกทหาร'..แสงแดดสาดส่องลงมายังค่ายฝึกทหารที่เต็มไปด้วยเสียงวุ่นวายของเหล่าทหารที่กำลังเตรียมตัวออกไปช่วยเหลือชาวบ้าน ฤดูแล้งที่ยาวนานทำให้แม่น้ำหลายสายแห้งขอด พืชผลทางการเกษตรเสียหายและชาวบ้านประสบปัญหาขาดแคลนน้ำอย่างหนักเหยียนอี้ในชุดแม่ทัพเต็มยศกำลังยืนอยู่กลางลานฝึกท่ามกลางเสียงรายงานจากเหล่าทหาร เขากำลังจัดการงานอย่างเคร่งเครียด ใบหน้าที่ปกติสงบนิ่งบัดนี้เต็มไปด้วยร่องรอยของความเหนื่อยล้า“ท่านพี่อี้!” เสียงหวานใสดังขึ้นจากด้านหลัง ทำให้เขาหันไปมองซ่งหลิงซูในชุดเรียบง่ายแต่สง่างามเดินเข้ามาพร้อมกับปิ่นโตในมือ ใบหน้าของนางประดับด้วยรอยยิ้มที่สดใส“องค์หญิงสาม” เหยียนอี้กล่าวด้วยน้ำเสียงแปลกใจ “เหตุใดพระองค์ถึงมาที่นี่ ค่ายทหารไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะสำหรับสตรี”“ข้าได้ยินว่าท่านยุ่งอยู่กับการช่วยเหลือชาวบ้าน จึงนำอาหารมาให้ท่าน”เหยียนอี้มองปิ่นโตในมือของนาง “ขอบพระทัยพระองค์มาก แต่ตอนนี้ข้ายังมีงานต้องจัดการอีกมากนัก คงยังกินข้าวไม่ได้”ซ่งหลิงซูมองเขาด้วยสายตาเห็นใจ “ถ้าเช่นนั้นข้าจะป้อนให้ท่านเอง ท่านจะได้ทำงานไปพร้อมกัน”เขามองดูนางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความประหล
บทที่ 8'ค่ามัดจำ'..ในยามนี้ซ่งหลิงซูและสามีทั้งสองย้ายออกมาจากวังหลวงเพื่อมาอยู่อาศัยที่จวนนอกวังแล้ว เหยียนอี้ยังคงออกไปทำงานเช่นเคยในทุก ๆ วัน ต่างกับเซียวหยางชุนที่เขาไม่ต้องทำงานสิ่งใด เนื่องจากเป็นองค์ชายต่างแคว้นแล้วยังร่ำรวยจากทรัพย์สมบัติติดตัวจนใช้กินอยู่ได้อย่างสุขสบายโดยไม่ต้องทำการทำงานให้ลำบากกายในเรือนส่วนตัวที่ตกแต่งอย่างเรียบง่ายแต่สง่างาม เซียวหยางชุนกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่อย่างเงียบเชียบลำพัง ซ่งหลิงซูเดินเข้ามาด้วยท่าทีมุ่งมั่น เงาของนางพาดผ่านไปตามแสงแดดที่สาดส่องเข้ามาภายในเรือน“หยางชุนข้ามีเรื่องอยากขอร้อง” ซ่งหลิงซูกล่าวพร้อมกับนั่งลงตรงหน้าเขาเซียวหยางชุนละสายตาจากหนังสือแล้วเงยมองหน้านางด้วยความสนใจ “เรื่องอะไรหรือคนงามของข้า?”ซ่งหลิงซูเริ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข้าไม่ไว้ใจหมอหลวงในแคว้นหลงกลัวว่าพวกเขาจะถูกฮองเฮาควบคุม ขอให้เจ้าช่วยส่งยาที่ข้ากินไปให้หมอหลวงในแคว้นเฟิงตรวจสอบหน่อย”นางวางถุงยาที่ยังไม่ได้ถูกต้มลงตรงหน้าของเซียวหยางชุนเขาเลิกคิ้วเล็กน้อย “เจ้าสงสัยในยาเหล่านี้หรือ?”“ใช่ ข้ารู้สึกไม่สบายใจ ยิ่งได้ยินเรื่องของเสด็จแม่ ข้ายิ่งกลัวว
บทที่ 7'ความสงสัย'..ซ่งหลิงซูเดินเข้ามาในตำหนักของลี่จิ่นฮองเฮาด้วยท่าทางสง่างาม แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความระแวดระวัง นางรู้ดีว่าฮองเฮาผู้นี้ไม่เคยมีเจตนาดีต่อองค์หญิงสาม ยิ่งความทรงจำเดิมบอกเล่าถึงความบาดหมางระหว่างมารดากับลี่จิ่นฮองเฮา ความสงสัยที่ว่ายาบำรุงร่างกายที่ฮองเฮาประทานให้อาจมีพิษปะปนก็ยิ่งชัดเจนขึ้น“ถวายพระพรฮองเฮาเพคะ” ซ่งหลิงซูเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลลี่จิ่นฮองเฮายิ้มบาง แววตาเต็มไปด้วยความเมตตายามทอดมองหลานสาว “ซูเอ๋อร์ วันนี้เจ้ามาหาข้ามีเรื่องใดหรือ?”ซ่งหลิงซูยิ้มตอบ “หม่อมฉันเพียงอยากมาขอบพระทัยสำหรับยาบำรุงที่พระองค์ประทานให้ ดื่มแล้วรู้สึกว่าร่างกายดีขึ้นมากเพคะ”คำพูดนั้นทำให้ลี่จิ่นฮองเฮายิ้มกว้างขึ้น “ดีแล้ว ยานั้นเป็นตำรับพิเศษที่ข้าสั่งให้คนจัดหามาโดยเฉพาะ เพื่อช่วยให้เจ้าฟื้นตัวเร็วขึ้น”ซ่งหลิงซูพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนไม่ได้ตั้งใจ “ตำรับพิเศษเช่นนี้ หม่อมฉันคิดว่าคงหายากมากใช่ไหมเพคะ พระองค์ทรงจัดหามาเองหรือ?”“แน่นอน ข้าสั่งให้คนจัดหามาเองทุกขั้นตอน เพื่อให้เจ้าได้รับสิ่งที่ดีที่สุด”คำตอบนั้นทำให้ซ่งหลิงซูเริ่มมั่นใจในความ
บทที่ 6‘ยาบำรุงกาย’..“องค์หญิงอย่าวิ่งพ่ะย่ะค่ะ เดี๋ยวจะล้ม”เสียงของเหยียนอี้ตะโกนตามหลังซ่งหลิงซูที่กำลังวิ่งกลับตำหนักด้วยท่าทางรีบร้อน แต่นางกลับหันใบหน้ากลับมาพร้อมสายตาดุดันที่กวาดมองสองบุรุษ “คืนนี้พวกเจ้าไม่ต้องมายุ่งกับข้าเลย ข้าจะปิดตำหนัก”“แล้วพวกข้าจะไปนอนที่ไหน?” เซียวหยางชุนถาม มือของเขายังคงโบกสะบัดพัดไปมาด้วยท่าทางสบายอุรา“จะไปนอนที่ไหนก็เรื่องของพวกเจ้า แต่ไม่ต้องมานอนกับข้า!”ว่าจบซ่งหลิงซูก็รีบหันหน้าวิ่งกลับตำหนักจนชายอาภรณ์ปลิดปลิว แม้ว่าจะรู้สึกเจ็บช่วงล่างมากก็ตามแต่ก็ฝืนทน เมื่อเข้ามาถึงด้านในตำหนักยามหันไปเห็นสวีกงกงจึงเอ่ยคำสั่งทันที“ปิดประตูหน้าต่างให้หมด ห้ามผู้ใดเข้าตำหนักข้า!”“ราชบุตรเขยทั้งสองด้วยหรือพ่ะย่ะค่ะ?” สวีกงกงมีสีหน้าประหลาดใจ“ใช่ โดยเฉพาะพวกเขา ยิ่งต้องห้าม!” นางมองไปที่ประตูหน้าต่าง “ปิดสิ ปิดให้หมดเลย อย่าให้เหลือสักบาน!”สวีกงกงหันไปพยักหน้าให้กับเหล่านางกำนัล ทุกคนจึงช่วยกันปิดประตูหน้าต่างทันที ภายในตำหนักตกอยู่ในความมืดไม่นานก็สว่างไสวขึ้นจากเปลวเทียนที่ถูกจุดทั่วห้อง สวีกงกงเดินเข้ามาหาซ่งหลิงซูก่อนจะรินน้ำชาให้“ดื่มน้ำชาให้หาย
บทที่ 5‘สองบุรุษร่วมแรง’..“จะ… เจ้าปล่อยข้าได้หรือไม่?” ซ่งหลิงซูหันมาร้องขอเหยียนอี้ให้ปลดพันธนาการออกเพราะถ้าขืนนางยังถูกมัดเช่นนี้คงถูกพวกเขาย่ำยีจนฟ้ามืดเป็นแน่“ขออภัย แต่ข้าชอบเวลาเจ้าถูกมัดมากกว่าเสี่ยวซู”ขาเรียวถูกยกขึ้นพาดบ่าพร้อมแรงกระแทกกระทั้นที่หนักหน่วงมากกว่าเดิม แก่นกายลำอวบใหญ่ผลุบเข้าผลุบออกผ่านช่องทางอ่อนนุ่มที่ตอนนี้ชุ่มไปด้วยน้ำเฉอะแฉะปลายลิ้นไล้เลียไปตามขาอ่อนขาว“อ๊า! จะ… เจ็บ!” นางร้องออกมายามถูกขบกัดลงบนเนื้อที่ขาจนขึ้นรอยฟันแดงแต่ยิ่งเหยียนอี้เห็นน้ำตาของซ่งหลิงซูเขาก็ยิ่งมีอารมณ์มากกว่าเดิมเสียอีก ร่างกายพลุ่งพล่านไปด้วยไฟราคะที่ยากจะดับมอดลงได้ การขบกัดจึงตามมาไม่หยุดหย่อนทั่วทั้งขาของซ่งหลิงซูทั้งสองข้างล้วนมีแต่รอยขบกัดจนแดงเถือก“เจ้าเป็นสุนัขหรือไง!”“ถ้าข้าเป็นสุนัขก็หมายความว่าเจ้ากำลังถูกสุนัขสมสู่อยู่”“งั้นก็ปล่อยข้าสิ ข้าจะคลานสี่ขาให้เจ้าสมสู่เยี่ยงสุนัข”“เจ้ากล่อมข้าไม่สำเร็จหรอก ข้ารู้ว่าปล่อยเจ้าตอนนี้เจ้าก็จะหนีไป”เมื่อโดนรู้ทันซ่งหลิงซูก็ได้แต่ชักสีหน้ามุ่ยใส่เหยียนอี้ มันก็จริงถ้าเขาปล่อยนางตอนนี้นางจะรีบวิ่งหนีไปเลย ไม่เช่นนั้นคงได