เซี่ยเหอถอนหายใจยาว “เรื่องมาถึงขั้นนี้ สถานการณ์พลิกผันไปแล้ว จะทำกระไรได้ นอกจากหวังว่าองค์รัชทายาทจะทรงเมตตา มิเอาเรื่องพวกเราสองคน”“เฮ้อ! มิคิดเลยว่าเพียงครึ่งวัน อ๋องฉีจะพ่ายแพ้ราบคาบ สถานะขององค์รัชทายาทในราชสำนักคงไม่มีผู้ใดสั่นคลอนได้แล้ว”หลินซีรู้สึกเสียใจเล็กน้อย หากตอนนั้นเขาฟังคำของหลินชิงเหยา รีบตีตัวออกห่างจากอ๋องฉีแต่เนิ่น ๆ สถานการณ์ตอนนี้คงมิน่าอึดอัดเช่นนี้อ๋องฉีสิ้นอำนาจแล้ว ในฐานะขุนนางคนสนิท เขาจะมีจุดจบที่ดีได้อย่างไรเมื่อคิดถึงตรงนี้ หลินซีก็อดมิได้ที่จะถอนหายใจยาวเซี่ยเหอจึงตบบ่าเขาและเอ่ยด้วยความเห็นใจอย่างสุดซึ้ง “ใต้เท้าหลิน ในความเห็นของข้า ท่านรีบกลับไปคืนดีกับบุตรสาวของท่านเถิด ตอนนี้นางเป็นคนขององค์รัชทายาท สุดท้ายท่านก็จะมิต้องสูญเสียทุกสิ่ง”เมื่อได้ยินดังนั้น หลินซีก็ขมวดคิ้วครุ่นคิดครู่หนึ่ง เขาก็พยักหน้าอย่างแน่วแน่ “ขอบคุณใต้เท้าเซี่ยที่เตือน ข้าน้อยขอลา”เมื่อพูดจบ หลินซีก็หันหลังเดินออกไปและตรงไปยังตำหนักบูรพาหลังจากเซี่ยเหอออกมาจากวัง เซี่ยหลานก็เดินเข้ามาพร้อมกับมือที่ไพล่หลังนางเบะปากพึมพำ “ท่านปู่ เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ ตอนนี้
ฉินซูหัวเราะเยาะ มิเชื่อแม้แต่น้อยคูมู่พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “พูดไปก็แปลก ตอนที่ข้าน้อยเพิ่งเข้าสู่ยุทธภพก็ได้ยินชื่อเสียงอันเกรียงไกรของเจ้าสำนักหอดารารักษ์มาก่อน แต่คิดมิถึงว่านางจะยังดูเยาว์วัยเช่นนี้!”“เจ้าอยู่ในยุทธภพมาอย่างน้อยสามสี่สิบปีแล้วมิใช่หรือไร? เจ้าสำนักหอดารารักษ์คงเปลี่ยนคนไปนานแล้วกระมัง”“หามิได้พ่ะย่ะค่ะ เจ้าสำนักหอดารารักษ์มิเคยเปลี่ยนคนเลย นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ข้าน้อยประหลาดใจเช่นนี้”ฉินซูขมวดคิ้ว “เจ้าต้องการจะบอกว่า ซ่างกวนอวิ๋นซีเป็นเจ้าสำนักหอดารารักษ์ตั้งแต่หลายสิบปีก่อนแล้วกระนั้นรึ?”คูมู่พยักหน้าหนักแน่น “อาจารย์อาของข้าน้อยเคยบอกว่า เขามีสายสัมพันธ์บางอย่างกับเจ้าสำนักหอดารารักษ์ ด้วยสิ่งแทนตัวของเขา ซ่างกวนอวิ๋นซีจึงได้ลงมือช่วยพวกเรากำจัดกระแสลมปราณนั้นออกไปพ่ะย่ะค่ะ”“องค์รัชทายาท อาจารย์อาของข้าน้อยปลีกวิเวกมากว่ายี่สิบปี ตัดขาดจากภายนอก บ่งบอกได้ว่าเขาได้รู้จักกับซ่างกวนอวิ๋นซีก่อนที่จะปลีกวิเวก ดังนั้นอายุของซ่างกวนอวิ๋นซีก็น่าจะแก่กว่าพวกเราพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฉินซูเบิกตากว้าง สีหน้าเหลือเชื่อสุดขีดแก่กว่าคูมู่ แต่รูปลักษณ์
ดวงตาของเหลยเจิ้นส่องประกาย จ้องมองฉินซูด้วยสายตาที่บริสุทธิ์ “ดีมาก ถ้าเช่นนั้นขอถามองค์รัชทายาท ตอนนี้ท่านอยู่ในระดับใดหรือพ่ะย่ะค่ะ?”ฉินซูถามกลับ “ระดับของข้าสำคัญด้วยหรือ?”“สำคัญพ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยประเมินว่าตนเองมีพลังมิน้อย แต่กลับมองระดับขององค์รัชทายาทมิออก ตอนแรกคิดว่าองค์รัชทายาทเป็นเพียงคนธรรมดาที่มิรู้วรยุทธ์ แต่ความจริงพิสูจน์แล้วว่าข้าน้อยคิดผิด”“แต่ระดับของข้าเกี่ยวกระไรกับการที่ท่านจะไปช่วยเสวี่ยเจี้ยนเล่า?”เหลยเจิ้นหัวเราะ “องค์รัชทายาท ในมิช้าพวกเราก็จะเป็นครอบครัวเดียวกัน คนในครอบครัวเดียวกันมีสิ่งใดต้องพูดคุยกันตรง ๆ หากท่านมิยอมบอกพลังของท่านเอง แล้วข้าน้อยจะวางใจยกเสวี่ยเจี้ยนให้ท่านได้อย่างไร”ฉินซูถามกลับ “แล้วตอนนี้ท่านอยู่ในระดับใด?”“ตอนนี้ข้าน้อยบอกได้เพียงว่า ข้าน้อยอยู่เหนือระดับสวรรค์”“เหนือระดับสวรรค์คือกระไรเล่า?” ฉินซูถามเหลยเจิ้นส่ายหน้าน้อย ๆ “ดูเหมือนว่าท่านเองก็มิเหมือนกับผู้ฝึกยุทธ์เหล่านั้น!”“หา? เช่นนั้นท่านก็มิเหมือนกับผู้ฝึกยุทธ์หรือ?”“มิเหมือน แต่ข้าน้อยก็มิเหมือนกับท่าน”คำพูดนี้ทำให้ CPU ของฉินซูแทบจะระเบิด อดมิได้ที่จะพูดปร
ในขณะนั้น ทั้งภายในและภายนอกเมืองหลงเฉิง ผู้คนต่างพูดคุยกันถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในราชสำนักเมื่อเช้านี้ในเวลาหลังอาหารอ๋องทั้งสามถูกถอดจากตำแหน่ง เสียนเฟยหลบหนีความผิดเรื่องทั้งหมดนี้ล้วนเป็นฝีมือขององค์รัชทายาทผู้รอวันปลด!ในชั่วขณะหนึ่ง ผู้คนต่างมององค์รัชทายาทผู้รอวันปลดด้วยสายตาที่แตกต่างออกไปต่างพูดกันว่า องค์รัชทายาทจะต้องเป็นจักรพรรดิองค์ต่อไปของราชวงศ์ต้าเหยียนอย่างแน่นอนในฝูงชน มีสตรีที่สวมอาภรณ์เนื้อหยาบและปกคลุมใบหน้า เมื่อได้ยินเช่นนี้แววตาอาฆาตก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าจากนั้นนางก็เดินทางมาถึงหน้าจวนอ๋องมู่ที่อยู่ชานเมืองหลงเฉิงด้วยความระมัดระวังตัวเป็นพิเศษองครักษ์เฝ้าประตูหลายคนเห็นนางก็ต่อว่าทันที “ขอทานมาจากไหน รีบไสหัวไป มิเช่นนั้นอย่าหาว่าพวกข้ามิไว้หน้า”สตรีผู้นั้นหยิบแผ่นหยกออกมาจากอกเสื้อแล้วโยนออกไป “นำสิ่งนี้ไปให้ท่านอ๋องมู่ บอกว่าข้ารอเขาอยู่ที่หน้าประตู!”องครักษ์คนหนึ่งรับแผ่นหยกมา เมื่อเห็นว่าแผ่นหยกมีคุณภาพดี ก็มิกล้าประมาท“เจ้ารอเดี๋ยว ข้าจะไปรายงานให้”เขากำแผ่นหยกแล้วเดินเข้าไปอย่างรวดเร็วเมื่อถึงหน้าห้องตำรา เขาก็พูดด้วยความเคารพ “ท่านอ๋อ
ฉินอู๋ฉางถอนหายใจเบา ๆ แล้วกล่าวว่า “ยอดฝีมือสองคนที่ข้าส่งไป เกรงว่าคงจะชะตาขาดเสียแล้ว มิเช่นนั้นฉินซูจะกลับมาอย่างปลอดภัยได้อย่างไร! เป็นข้าเองที่ประเมินฉินซูต่ำไป ยอดฝีมือเบื้องหลังเขาต้องมีฝีมือมิธรรมดาเป็นแน่!”“แล้วต่อไปจะทำอย่างไร เซียวเอ๋อร์ถูกลดฐานะเป็นสามัญชน ซ้ำยังอยู่ระหว่างถูกส่งตัวไปยังเกาะร้างทะเลตะวันออก สิ่งสำคัญที่สุดคือการช่วยเขากลับมา”“มิได้ หากตอนนี้ส่งคนไปช่วยเขา ฉินอู๋ต้าวจะต้องสั่งให้สำนักหอดูดาวหลวงตรวจสอบอย่างละเอียด หากถูกสำนักหอดูดาวหลวงจับตามอง ทุกสิ่งที่พวกเราทำมาก่อนหน้านี้จะสูญเปล่า”สีหน้าของเสียนเฟยสิ้นหวัง “แล้วจะทำอย่างไรเพคะ คงมินั่งดูดายปล่อยให้ลูกของเราตายบนเกาะร้างหรอกใช่หรือไม่?”ฉินอู๋ฉางปลอบโยน “เจ้าอย่ากังวลจนเกินไป แม้ว่าเกาะหลินหยาจะกันดารแห้งแล้ง แต่เซียวเอ๋อร์จะมิตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิต อย่างไรแล้วฉินอู๋ต้าวก็เพียงต้องการกักบริเวณเขา หากต้องการเอาชีวิตเขา ตอนนั้นคงสั่งประหารไปแล้ว”“เขามิทำเช่นนั้น แต่ฉินซูเล่าเพคะ? เจ้ารัชทายาทผู้รอวันปลดเกลียดเซียวเอ๋อร์จนอยากจะสับเป็นพัน ๆ ชิ้น เขาจะมิยอมรามือแน่”“องค์รัชทายาทผู้รอวันถูกปลดเพี
เมื่อเห็นว่าฉินซูเอาใจตนเช่นนี้ หลินชิงเหยาก็ดีใจอยู่ลึก ๆ นางยังกังวลว่าหลังจากมิได้พบกันมาครึ่งเดือน ฉินซูจะเย็นชาต่อนางริมสระน้ำพุร้อนในเรือนหลังตำหนักบูรพามีเสื้อผ้ากระจัดกระจายอยู่ฉินซูกอดหลินชิงเหยาพลางแช่ในน้ำพุร้อน มิรู้สึกถึงความหนาวเย็น กลับรู้สึกว่าเลือดลมสูบฉีดหลังจากช่วงเวลาแห่งความรักผ่านไปหลินชิงเหยาก็เอ่ยขึ้นเบา ๆ “องค์รัชทายาท มีเรื่องหนึ่งที่หม่อมฉันอยากจะขอความเห็นจากท่านเพคะ”ฉินซูจูบลงบนใบหน้าแดงระเรื่อของนาง และเอ่ยถาม “เรื่องกระไร?”“ก่อนที่ท่านจะเสด็จกลับมา ท่านพ่อมาหาหม่อมฉัน ท่านพ่อ ท่านพ่อบอกว่าให้หม่อมฉันหาเวลาไปเยี่ยมบ้าน”“เขาต้องการคืนดีกับเจ้า ถือเป็นเรื่องดี ไยต้องขอความเห็นจากตัวข้า”“ก่อนหน้านี้ท่านพ่อทำงานรับใช้อ๋องฉีมาโดยตลอด หากมิใช่เพราะอ๋องฉีสิ้นอำนาจ มีหรือท่านพ่อจะสำนึกได้ แต่ถึงอย่างไร ท่านพ่อก็เป็นบิดาของหม่อมฉัน และหม่อมฉันก็มิอยากทำให้องค์รัชทายาทเสียพระทัย ดังนั้น…”หลินชิงเหยาพูดจาวกวน สายตาที่สับสนของนางทำให้ฉินซูรู้สึกสงสารฉินซูยิ้มน้อย ๆ แล้วเอ่ยขัดจังหวะนาง “เสนาบดีหลินคือบิดาของเจ้า ตอนนี้เขาต้องการคืนดีกับเจ้า เจ้าจะล
“ไม่มีกระไร ข้าแค่อยากจะเข้าใจว่า เหตุใดจู่ ๆ หอดารารักษ์แห่งเป่ยเยี่ยนจึงส่งคนมาช่วยเหลือองค์รัชทายาท? หรือว่า… องค์รัชทายาทมีความลับบางอย่างกับหอดารารักษ์?”เหลยเจิ้นยิ้มเล็กน้อย “ฝ่าบาททรงกังวลเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ เหตุผลที่เจ้าสำนักหอดารารักษ์ทำเช่นนี้ แท้จริงแล้วต้องการให้องค์รัชทายาทไปเป็นบุตรแห่งนักปราชญ์คนใหม่ของหอดารารักษ์เท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”“ว่ากระไรนะ? ไปเป็นบุตรแห่งนักปราชญ์คนใหม่ของหอดารารักษ์?”ฉินอู๋ต้าวแสดงสีหน้าตกตะลึง จากนั้นจึงถามต่อด้วยความคลางแคลง “นี่มันเรื่องอันใดกัน?”เหลยเจิ้นอธิบาย “ช่วงก่อนหน้านี้มีข่าวลือว่าบุตรแห่งนักปราชญ์ของหอดารารักษ์สิ้นชีพด้วยน้ำมือขององค์รัชทายาท ข่าวลือนั้นเป็นเรื่องจริง ดังนั้นซ่างกวนอวิ๋นซีจึงบีบบังคับให้องค์รัชทายาทไปเป็นบุตรแห่งนักปราชญ์คนใหม่ของนางพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฉินอู๋ต้าวก็ตกใจมากพลังของบุตรแห่งนักปราชญ์หอดารารักษ์มิเป็นที่กังขา แต่กลับตายด้วยมือของฉินซู นั่นหมายความว่า พลังของฉินซูอยู่เหนือกว่าบุตรแห่งนักปราชญ์ผู้นั้นหรือ?แต่ฉินซูหาได้ผู้ใดสอนวรยุทธ์ให้ไม่ แล้วเหตุใดจึงเก่งกาจเช่นนี้?ยิ่งไปกว่านั้น ฉินซู
“ข้าน้อยรับทราบ โปรดวางพระทัยเถิดพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”ฉินอู๋ต้าวเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ถามว่า “ศิษย์ของเจ้าคงจะสืบหาตัวตนของคนเบื้องหลังองค์รัชทายาทได้แล้วใช่หรือไม่? เขาเป็นใครกันแน่?”เหลยเจิ้นยิ้มอย่างขมขื่น “ฝ่าบาท เสวี่ยเจี้ยนยังมิกลับมา นางถูกซ่างกวนอวิ๋นซีจับตัวไปที่หอดารารักษ์พ่ะย่ะค่ะ”“ว่ากระไรนะ? นางถูกจับตัวไป? เรื่องใหญ่เช่นนี้ ไฉนเจ้ามิบอกข้าแต่แรก!”ฉินอู๋ต้าวพูดพลางผุดลุกขึ้นยืน สีหน้าโกรธขึ้ง กล่าวต่อว่า “ข้าจะออกราชโองการ ให้กองทัพชายแดนประชิดตัวเมือง บังคับให้มู่หรงเซียวเทียนปล่อยนาง!”เหลยเจิ้นรีบโบกมือ “ฝ่าบาท โปรดเย็นพระทัยลงก่อน ซ่างกวนอวิ๋นซีเพียงต้องการใช้เสวี่ยเจี้ยนบังคับให้องค์จักรพรรดิไปที่หอดารารักษ์เท่านั้น จนกว่าจะถึงเวลานั้นเสวี่ยเจี้ยนจะมิตกอยู่ในอันตราย ยิ่งไปกว่านั้น หากนางกล้าแตะต้องเสวี่ยเจี้ยนแม้แต่ปลายผม ข้าน้อยก็มิกลัวที่จะต้องสู้จนตัวตายเพื่อช่วยเสวี่ยเจี้ยนพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินอู๋ต้าวก็ใจเย็นลงเล็กน้อย“เช่นนั้นเจ้าก็จับตาดูให้ดี เจ้าเคยบอกว่าเสวี่ยเจี้ยนสำคัญต่อดวงชะตาของต้าเหยียนของเรา ต้องมิเกิดเรื่องใด ๆ กับนางเด็ดขาด”“ฝ่าบาท
“ท่านแม่ทัพหู แผนนี้ยอดเยี่ยมจริง ๆ ออกจากประตูเมืองฝั่งเหนือแล้วอ้อมไปอีกหน่อย ก็ลอบโจมตีทัพหนานเยวี่ยได้เหมือนเดิม!”“ไป เร่งฝีเท้า!”ดังนั้น กองทหารของพวกเขาจึงเดินทางมายังใต้ประตูเมืองฝั่งเหนือแม่ทัพรักษาการณ์ที่นี่เห็นหูก่วงเซิงและพวก จึงไต่ถาม “ท่านแม่ทัพหู นี่พวกท่านจะทำการใด?”“ในเมืองผู้คนพลุกพล่านเกินไป พวกเราจะออกไปพักผ่อนนอกเมืองสักหน่อย วันพรุ่งพวกเราจะย้ายค่ายทหารไปตั้งไว้นอกเมืองฝั่งเหนือเช่นกัน เพื่อความสะดวกในการฝึกทหาร”เมื่อได้ยินดังนั้น ทหารรักษาการณ์ก็โบกมือให้คนเปิดประตูเมืองจะตำหนิว่าเขาประมาทเกินไปก็มิได้ ท้ายที่สุดแล้วนอกเมืองทางฝั่งเหนือยังมีทหารประจำการอยู่เป็นจำนวนมิน้อย ทหารที่เข้าออกประตูเมืองทางฝั่งเหนือจึงมีจำนวนมากเป็นทุนเดิมหลังจากที่ออกนอกเมืองได้อย่างราบรื่น หูก่วงเซิงจึงนำกองทัพทหารม้าพันนายมุ่งหน้าลงใต้!ขณะเดียวกันนอกประตูเมืองเจียวโจวทางฝั่งใต้ เงาร่างสิบกว่าร่างพุ่งออกมาจากป่าละเมาะห่างออกไปมิไกลนักพวกเขามีท่าทางคล่องแคล่ว เพียงชั่วพริบตาก็เข้าไปซุ่มซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้เตี้ย ๆ ฝั่งหนึ่งหลังจากที่สังเกตการณ์บนกำแพงเมืองอยู่ครู่หน
“ท่านแม่ทัพหู กองทัพหนานเยวี่ยแตกพ่ายในวันนี้ บัดนี้คงอกสั่นขวัญแขวนกันอยู่เป็นแน่ หากพวกเรานำทัพไปลอบโจมตี อย่างไรก็ต้องสำเร็จ! ถึงเวลานั้นหากสำเร็จ ท่านแม่ทัพใหญ่จะเอาผิดพวกเราที่ยกทัพไปโดยพลการได้อย่างไร?”ชายร่างกำยำอีกด้านกล่าวสำทับ “รองแม่ทัพหลิวกล่าวได้ถูกต้อง ท่านแม่ทัพหู พวกเราอุตส่าห์บุกป่าฝ่าดงมาถึงเจียวโจวก็มิใช่อื่นใด นอกเสียจากเพื่อสร้างความดีความชอบให้มากยิ่งขึ้นพวกเราสร้างความดีความชอบในเจียวโจวมากเท่าไร พระเกียรติของท่านอ๋องฉู่ในราชสำนักก็จะยิ่งสูงส่งมากขึ้นเท่านั้น ทุกสิ่งที่พวกเราทำ ล้วนเพื่อท่านอ๋องฉู่ทั้งสิ้น!”“ถูกต้อง พวกเราคือคนของท่านอ๋องฉู่ ท่านแม่ทัพใหญ่ย่อมมิอาจตำหนิพวกเราที่ออกรบโดยพลการได้ ท่านแม่ทัพหู ท่านรีบตัดสินใจเถิด โอกาสมิคอยท่า เวลามิหวนคืน!”“ท่านแม่ทัพหู คนขององค์รัชทายาทออกนอกเมืองไปครึ่งชั่วยามแล้ว หากพวกเรามิรีบเร่งติดตามไป เกรงว่าน้ำแกงก็มิได้ซด อย่าหวังจะได้กินเนื้อเลยขอรับ!”ด้วยคำยุยงของเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชา ดวงตาของหูก่วงเซิงก็ค่อย ๆ แน่วแน่ขึ้น!เขาพยักหน้าหนักแน่น กล่าวเสียงทุ้มต่ำ “สั่งให้เหล่าสหายทั้งหลายเตรียมตัวให้พร้อม อีกห
หูก่วงเซิงยกไหสุราขึ้นกระดกไปหลายอึก และแค่นเสียง “หึ ศึกที่ได้ชัยชนะในวันนี้ หากมิใช่เพราะทหารม้าหุ้มเกราะของพวกข้าบุกตะลุยอยู่แนวหน้า มีหรือกองทัพหนานเยวี่ยจะถูกสังหารจนแตกพ่ายยับเยิน?ทว่าในงานเลี้ยงฉลองชัย ท่านแม่ทัพใหญ่กลับมิเอ่ยถึงความดีความชอบของพวกข้าแม้แต่คำเดียว เอาแต่ชื่นชมองค์รัชทายาทมิขาดปากข้าสงสัยนัก องค์รัชทายาทเพียงแต่นำอาวุธที่กรมโยธาธิการประดิษฐ์ขึ้นใหม่มาด้วยเท่านั้น มีสิ่งใดน่าสรรเสริญกัน?”รองแม่ทัพที่นั่งอยู่ข้างกายเขาขมวดคิ้ว กล่าว “ท่านแม่ทัพหู ท่านว่าเช่นนี้เห็นทีจะมิถูกกระมัง อาวุธเหล่านั้นล้วนเป็นสิ่งที่องค์รัชทายาททรงออกแบบ ศึกครานี้ชนะได้ ก็เป็นเพราะพระองค์”“ใช่แล้ว อีกอย่างที่ทหารม้าหุ้มเกราะของพวกท่านบุกตะลุยกองทัพหนานเยวี่ยได้ไร้ผู้ใดขัดขวาง ก็มิใช่เป็นเพราะมีอาวุธที่องค์รัชทายาททรงออกแบบให้การคุ้มครองหรอกหรือ มิเช่นนั้นกองทัพหนานเยวี่ยจะปล่อยให้พวกท่านบุกตะลุยในแนวรบโดยมิอาจโต้ตอบได้เลยด้วยเหตุใดเล่า?”หูก่วงเซิงเผยสีหน้าดูแคลน หัวเราะเยาะ “องค์รัชทายาทที่เอาแต่เสพสุขไปวัน ๆ ไฉนจึงออกแบบอาวุธร้ายกาจถึงเพียงนี้ได้? พวกเจ้าก็ช่างหูเบากันเสียจริง ใ
หลังจากที่ฟังเขาจนจบ ฉงชูโม่ขมวดคิ้วถาม “แผนการของท่านดีก็จริง ทว่าหากพวกมันมิมาในคืนนี้เล่า?”“คืนนี้พวกเราจัดงานเลี้ยงฉลองชัย พวกมันต้องปักใจเชื่อว่ากำลังป้องกันเมืองของพวกเราหย่อนยาน คืนนี้หากพวกมันมิลงมือ ภายหน้าคงไม่มีโอกาสดีเช่นนี้อีกแล้ว ดังนั้นคืนนี้พวกมันต้องลงมือเป็นแน่”“เช่นนั้นก็ได้ ทำตามที่ท่านว่าก็แล้วกันเพคะ!”ฉินซูพยักหน้าเล็กน้อย แล้วกล่าวต่อ “อีกอย่าง คืนนี้เจ้าจงส่งทหารสองกองไปซุ่มอยู่หลินสุ่ยและเซี่ยอ้าว เมื่อทัพใหญ่หนานเยวี่ยปรากฏกาย จงปล่อยให้พวกมันเข้ามา รอจนกระทั่งเสียงฆ่าฟันนอกเมืองดังขึ้นค่อยตลบหลังโจมตีกองทัพหนานเยวี่ย จากนั้นจึงเข้าตีกระหนาบหน้าหลัง กวาดล้างพวกมันในคราเดียว!”ฉงชูโม่ถามอย่างตกตะลึง “ท่านคิดว่าคืนนี้พวกหนานเยวี่ยจะบุกโจมตีด้วยทัพใหญ่หรือเพคะ?”“พูดได้แต่เพียงมีความเป็นไปได้สูงนัก”“หม่อมฉันว่ามีความเป็นไปได้น้อย เนื่องจากเติ้งหม่างเพิ่งประสบความพ่ายแพ้ในวันนี้ ซ้ำร้ายทหารใต้บัญชาของเขายังหวาดหวั่นเกรงกลัวธนูทดกำลังและระเบิดสายฟ้าของพวกเราจนหัวหด หากยังมิล่วงรู้ว่าพวกเรามีธนูทดกำลังและระเบิดสายฟ้าเหลืออยู่มากน้อยเพียงใด พวกมันคงมิกล้าผล
ฉินซูหัวเราะแห้ง ๆ แล้วกล่าวติดตลก “ข้าแค่กังวลว่าเจ้าจะหึงหวงข้า”ฉงชูโม่ถ่มน้ำลาย “ถุย ใครจะหึงท่านกัน อย่าได้หลงตัวเองไปหน่อยเลย!”“อะแฮ่ม ๆ เรื่องนั้นช่างมันเถิด ที่จริงข้ามีธุระสำคัญ...”ฉงชูโม่ขัดขึ้นมาเสียก่อน “มีกระไรก็รีบว่ามา อย่ามัวอ้อมค้อม”ฉินซูปรับสีหน้าให้เคร่งขรึม แล้วเอ่ยถาม “วันนี้ที่พวกเรามีชัยเหนือแคว้นหนานเยวี่ย ในความเห็นของเจ้า พวกมันจะทำอย่างไรต่อไป?”“ชัยชนะในวันนี้ ต้องยกความดีความชอบให้กับพลานุภาพของธนูทดกำลังและระเบิดสายฟ้า กองทัพหนานเยวี่ยประสบความพ่ายแพ้ย่อยยับถึงเพียงนี้ หากหม่อมฉันเป็นเติ้งหม่าง คงต้องหาทางนำอาวุธทั้งสองชนิดนี้ไปให้ได้!”เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินซูจึงอดมิได้ที่จะมองนางด้วยสายตาชื่นชมสมแล้วที่ฉงชูโม่เป็นแม่ทัพขั้นหนึ่งที่มากล้นด้วยสติปัญญาและความกล้าหาญ สามารถเดาใจศัตรูได้ล่วงหน้าเช่นนี้“เมื่อรู้ถึงเจตนาของเติ้งหม่างผู้นั้นแล้ว เราควรจะลองมาล่อเสือออกจากถ้ำดูสักครา”“ตรัสเช่นนี้ แสดงว่าท่านทรงคิดแผนการรับมือไว้แล้วหรือ?”ฉงชูโม่เอี้ยวศีรษะมองฉินซู ดวงตาคู่งามกระจ่างใสนั้นเต็มไปด้วยความประหลาดใจหางตาฉินซูเหลือบมองอ่างอาบน้ำโดยม
“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ องค์รัชทายาท ขอพระองค์โปรดเมตตา”ทั้งสองกล่าวพร้อมคุกเข่าลงต่อหน้าฉินซูฉินซูจนปัญญา จึงตะโกนเข้าไปในกระโจม “ชูโม่ ให้ข้าเข้าไปเถิด ข้าขออธิบายให้เจ้าฟังดี ๆ มิได้หรือ?”ทว่าข้างในกลับไร้เสียงตอบรับฉินซูยังคงมิยอมแพ้ กล่าวต่อไป “ชูโม่ เจ้าอย่าหึงหวงนักเลย อย่างน้อยก็ให้ข้าอธิบายสักหน่อยเถิด”เมื่อได้ยินถ้อยคำเหล่านั้น ทหารยามทั้งสองก็อดมิได้ที่จะสบตากัน!ให้ตายสิ ท่านแม่ทัพใหญ่กับองค์รัชทายาทมีความสัมพันธ์ช่างลึกซึ้งเกินคาด!!สีหน้าของพวกเขาทั้งสองฉายแววตกตะลึง ราวกับได้รับข่าวเด็ดข่าวใหญ่ฉินซูเกลี้ยกล่อมอีกสองสามประโยค ทว่าในกระโจมก็ยังคงไร้เสียงตอบรับเมื่อเห็นดังนั้น ฉินซูจึงหันไปถามทหารยามทั้งสอง “ชูโม่อยู่ข้างในจริง ๆ หรือ?”“พ่ะย่ะค่ะองค์รัชทายาท ท่านแม่ทัพใหญ่เข้าไปแล้วก็ยังมิได้ออกมาเลยพ่ะย่ะค่ะ”“ไม่มีประตูด้านหลังใช่หรือไม่?”“ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ”“มิได้การ ชูโม่อาจจะเป็นกระไรไปแล้วก็ได้!”กล่าวถึงตรงนี้ ฉินซูจึงตะโกนเข้าไปด้านใน “ชูโม่ ข้าจะเข้าไปแล้วนะ”ขณะที่ฉินซูกำลังจะก้าวเท้าเข้าไป ทหารยามทั้งสองก็รีบร้องทัดทาน “มิได้พ่ะย่ะค่ะองค์รัชทายาท ห
ขณะเดียวกันกองหนุนทัพหนานเยวี่ยภายในค่ายทหารแม่ทัพนายกองทั้งหลายต่างจับจ้องไปยังบุรุษบนที่นั่งหัวโต๊ะด้วยใจระทึกบุรุษผู้นั้นสวมชุดเกราะสีเงินยวง ร่างกายสูงใหญ่ผึ่งผาย!เขาคือแม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพหนานเยวี่ย เติ้งหม่าง!สายตาเย็นเยียบของเขากวาดมองไปยังกลุ่มคนทีละคน สุดท้ายจับจ้องที่แม่ทัพน้อยหม่า“หม่าเวย เจ้าสำนึกผิดหรือไม่?”หม่าเวยรีบคุกเข่าลงข้างหนึ่ง กล่าวด้วยสีหน้าขมขื่น “ท่านแม่ทัพใหญ่ ข้าน้อยสำนึกผิดแล้ว ทว่าอาวุธของต้าเหยียนคราวนี้ร้ายกาจเหลือเกิน โล่เกราะหวายของพวกเราเมื่อเผชิญกับลูกธนูของพวกมันก็มิต่างกระไรจากดินเหนียว ยิงคราเดียวก็ทะลุง่ายดาย!”“ใช่แล้วท่านแม่ทัพใหญ่ โล่เกราะหวายที่พวกเราเคยภาคภูมิใจนักหนา บัดนี้มิอาจหวังพึ่งได้อีกแล้วขอรับ”“มิเพียงเท่านั้น ทางต้าเหยียนยังใช้อาวุธเพลิงร้ายกาจชนิดหนึ่ง ของสิ่งนั้นอานุภาพร้ายแรงยิ่งนัก ทหารมิใช่น้อยถูกระเบิดจนร่างแหลกมิเหลือชิ้นดีเลยขอรับ”เมื่อกล่าวถึงระเบิดเพลิง หลายคนยังคงหวาดผวาเติ้งหม่างขมวดคิ้วมุ่น และกล่าวพึมพำ “กองทหารรักษาการณ์เจียวโจวถูกพวกเราโจมตีมาเกือบเดือน บัดนี้จู่ ๆ กลับปรากฏอาวุธร้ายกาจถึงเพียงนี
วาจาล้ำสมัยปานนี้ ตี๋จิ่งผู้นี้คิดได้อย่างไร?มู่หรงจื่อเยียนเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง “ฉินซู ท่านมิเป็นกระไรใช่หรือไม่?”“มิเป็นกระไร ไปเถิด”ขณะมองตามสองร่างหายลับไปจากสายตา สหายของตี๋จิ่งก็อดมิได้ที่จะหวั่นวิตกชายร่างกำยำผู้หนึ่งเอ่ยถาม “พี่ตี๋ แล้วเราจะทำอย่างไรกันดี?”“หรือว่าพวกเราฟาดหัวองค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียนให้สลบ แล้วลักพาตัวกลับเป่ยเยี่ยนดี?”“นั่นสิ หากเป็นเช่นนั้น ท่านหญิงจะได้ตามพวกเรากลับเป่ยเยี่ยนเสียที”ตี๋จิ่งโบกมือ และกล่าวว่า “มิได้ อย่าว่าแต่ท่านหญิงจะยอมให้เราทำหรือไม่เลย ลำพังแค่พวกทหารต้าเหยียนที่ยั้วเยี้ยไปทั่ว พวกเราก็มิมีทางทำสำเร็จแล้ว!”“ก็จริงดังว่า แล้วพวกเราจะทำอย่างไรเล่า?”“เฝ้าสังเกตการณ์ไปก่อน อารักขาความปลอดภัยท่านหญิงให้ดี”“ขอรับ”พวกเขาปรึกษาหารือกันครู่หนึ่ง จากนั้นก็ติดตามไปที่พักของฉินซูถูกจัดสรรให้อยู่ในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งใกล้กับประตูเมืองทางทิศเหนือที่นี่ห่างจากประตูเมืองทิศใต้ประมาณเจ็ดแปดลี้ จึงมิต้องกังวลว่าจะถูกผลกระทบจากไฟสงครามเมื่อเข้าสู่โรงเตี๊ยมและปิดประตูลง มู่หรงจื่อเยียนก็อดรนทนรอมิไหว โผเข้ากอดคอฉินซู นางเขย่งปลา
ฉินซูเองก็ประหลาดใจมิต่างกัน เมื่อเห็นสายตาของฉงชูโม่ เขาก็รู้สึกจนปัญญาในใจลอบคิดว่าคนที่มาหาตนนั้นจะเป็นใครกันแน่หรือจะเป็นเซี่ยหลาน หรือว่าหลินชิงเหยา?แต่เมื่อคิดดูอีกทีก็รู้สึกว่าเป็นไปมิได้ เพราะทั้งสองคนเคยรับปากตนว่าจะคอยเขากลับไปอยู่ที่ตำหนักบูรพาเมื่อเห็นฉินซูเงียบไปมิพูดจา ฉงชูโม่ก็กล่าวด้วยรอยยิ้มคลุมเครือ "ฉินซู ดูเหมือนว่าช่วงเวลาที่หม่อมฉันมิอยู่ในเมืองหลวง พระองค์จะสำราญบานใจมิน้อยเลยกระมังเพคะ!"ฉินซูกล่าวอย่างใจเย็น "ข้าเปล่านะ""เปล่าหรือ? แล้วสตรีที่อยู่ข้างนอกนั่นเป็นใครกัน?""ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร อาจจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดก็ได้""คนผู้นั้นระบุชื่อเจาะจงว่าจะมาพบองค์รัชทายาท จะเป็นเรื่องเข้าใจผิดได้อย่างไร ไปเถิด ไปดูกันดีกว่าว่าอีกฝ่ายเป็นใครมาจากที่ใด"เมื่อฉงชูโม่กล่าวจบก็เดินนำออกจากกระโจมบัญชาการไปก่อนฉินซูเดินตามไปด้วยความกระวนกระวายใจเดินไปได้มิไกล ฉินซูก็ถึงกับชะงักเท้าอยู่กับที่ จ้องมองหญิงงามที่อยู่เบื้องหน้ามิไกลอย่างเหม่อลอยเมื่อฉงชูโม่เห็นคนผู้นี้ ก็ขมวดคิ้วถาม "มู่หรงจื่อเยียน? ท่านเป็นถึงท่านหญิงแห่งเป่ยเยี่ยน มายังสนามรบต้าเหยียนด้วย