ทันใดนั้นมู่หรงจื่อเยียนก็เข้าใจเจตนาของฉินซู และไล่ตามกวางน้อยสองตัวนั้นไปพร้อมกับเขาสิ่งที่เห็นคือกวางน้อยสองตัวนั้นวิ่งไปยังน้ำตกที่อยู่มิไกลเมื่อมาถึงเบื้องหน้าน้ำตก พวกมันมิได้หยุดชะงักลงแต่กลับกระโจนเข้าไปทันทีเมื่อเห็นเช่นนั้นฉินซูก็อุ้มมู่หรงจื่อเยียนขึ้นมาด้วยท่วงท่าผ่อนคลาย เขาสะกิดปลายเท้ากับพื้นเบาๆ ก่อนร่างทั้งสองจะพุ่งไปยังน้ำตกราวกับลูกธนูที่หลุดออกจากสายเพียงชั่วพริบตา ทั้งสองก็ทะลุผ่านน้ำตกและลงพื้นอย่างมั่นคงมู่หรงจื่อเยียนตะลึงงัน!นางมองไปยังฉินซูอย่างตกใจและสับสนด้วยดวงตางดงาม เอ่ยถาม “ฉินซู ท่านใช้วิชาตัวเบาได้เก่งกาจเพียงนี้ได้อย่างไร?!”ฉินซูยิ้มหยักยิ้ม “ข้ามิได้เก่งกาจแค่วิชาตัวเบาหรอก ไปเถอะ กวางน้อยสองตัวนั้นวิ่งเข้าไปในถ้ำนี้ ทางออกน่าจะอยู่ที่นี่”เมื่อนั้นมู่หรงจื่อเยียนจึงเพิ่งตระหนักได้ว่าด้านหลังน้ำตกนี้มีถ้ำอยู่นี่เอง!นางเดินตามฉินซูเข้าไปในถ้ำส่วนยอดของถ้ำมีรอยแยกขนาดมิเล็กมิใหญ่ แสงแดดรำไรส่องผ่านรอยแยกลงมายังพื้นดิน จึงมองเห็นสภาพภายในถ้ำได้อย่างชัดเจนแทนที่จะบอกว่าเป็นถ้ำ เรียกว่าเป็นทางเดินกว้าง ๆ คงจะเหมาะสมกว่าเห็นได้ชัดว่า
ดวงตางดงามของมู่หรงจื่อเยียนเป็นประกาย นางยินดีแทนฉินซูด้วยใจจริงในความเห็นของนาง หากผู้มีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมเช่นฉินซูสามารถบรรลุเคล็ดวิชาที่ลึกซึ้งเช่นนี้ได้ จะต้องกลายเป็นเสือติดปีกแน่ และจะผู้เลิศทั้งศาสตร์บุ๋นและบู๊อย่างแท้จริงฉินซูเก็บม้วนหยกจารึกอย่างระมัดระวัง จากนั้นจึงพามู่หรงจื่อเยียนเดินไปยังทางออกด้านนอกทางออกมีหน้าผาอีกแห่งหนึ่งเนื่องจากแสงจากทางออกสว่างจ้าเกินไป มู่หรงจื่อเยียนจึงมิได้สังเกตเห็นว่ามีหุบเหวอยู่ใต้ฝ่าเท้าของนางเลยแม้แต่น้อย!ต้องขอบคุณมือและดวงตาที่ว่องไวของฉินซู จึงสามารถดึงนางกลับมาได้เมื่อมองไปที่เหวลึกนั้น มู่หรงจื่อเยียนก็แอบรำพึงในใจว่า เกือบไปแล้ว นางตกใจจนเหงื่อเย็นชุ่มร่างหลังจากตั้งสติได้แล้ว นางก็พูดด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ "สถานที่ที่เราอยู่ตอนนี้ก็เป็นเหวลึก แต่บัดนี้กลับมีเหวลึกอยู่ใต้เท้าของเราอีก ภูมิแคว้นที่นี่แปลกประหลาดเกินไปแล้ว"ฉินซูก้มมองลงไป เห็นหุบเหวขนาดใหญ่ที่มีรอยแยกเป็นเส้นยาวอยู่ใต้หน้าผา!หุบเหวนั้นด้านบนกว้างด้านล่างแคบ โดยที่ผนังทั้งสองด้านนั้นเรียบผิดปกติ ทอดยาวจากตะวันออกไปยังตะวันตกเขามองอย่างละ
เมื่อนั้นนางจึงพบว่า ตนและฉินซูได้ออกจากเส้นทางหน้าผาแคบ ๆ นั้นแล้ว และยืนอยู่บนทุ่งหญ้าราบเรียบหลังจากยืนยันว่าพ้นภัยแล้ว มู่หรงจื่อเยียนก็ถอนหายใจยาว“ไปเถอะ ตามทางนี้ เราน่าจะกลับไปยังถนนหลวงได้”ฉินซูจับมือมู่หรงจื่อเยียน แล้วเดินเข้าไปในป่าหลังจากเดินผ่านป่าเล็ก ๆ ไปพวกเขาก็กลับเข้าถนนสายหลักได้สำเร็จขณะนั้นผู้คนที่สัญจรบนถนนหลวงต่างชะงักไปเล็กน้อย เมื่อเห็นชายและหญิงคู่หนึ่งโผล่ออกมาจากป่าในกลุ่มนั้นมีชายหนุ่มบางคนที่มีลักษณะมิน่าไว้วางใจ เมื่อเห็นใบหน้างดงามของมู่หรงจื่อเยียน ก็เกิดความคิดมิดีขึ้นทันที!พวกเขาถูมือและเดินเข้าไปพร้อมกับรอยยิ้มที่ชั่วร้ายบนใบหน้าเมื่อเห็นท่าทางที่มุ่งร้ายของพวกเขา มู่หรงจื่อเยียนจึงหลบอยู่ด้านหลังฉินซูอย่างหวาด ๆฉินซูหรี่ตามองพิจารณาคนเหล่านั้นเล็กน้อย เขาเอ่ยถามอย่างสบาย ๆ "พวกเจ้าทั้งหลาย คิดจะทำอะไร?"“เจ้าหนู ไสหัวไปซะ มิอย่างนั้นอย่าหาว่าพวกข้ามิเกรงใจ!”“ถูกต้อง ถ้ามิอยากตาย ก็ส่งสาวน้อยมากเสน่ห์คนนี้มาให้เราแต่โดยดี มิเช่นนั้นก็อย่าหาว่าพวกเราโหดเหี้ยมไร้ปรานี!"พวกเขาทำหน้าตาน่ากลัวราวกับปีศาจ พยายามข่มขู่ฉินซูให้ล่าถอย
เป่ยเยี่ยน บริเวณใกล้เขตพระราชสถานส่วนนอก มีอาคารสูงตระหง่านกว่ายี่สิบจั้งตั้งอยู๋เหนือประตูใหญ่แขวนแผ่นป้ายที่จักรพรรดิเป่ยเยี่ยนประทานให้ บนป้ายแกะสลักตัวอักษรใหญ่ที่งดงามและทรงพลัง ‘หอดารารักษ์’ในขณะนั้น ภายในเรือนปีกข้างของหอดารารักษ์ มีชายชราในชุดเต๋ากำลังนั่งสมาธิฝึกจิตเพียงเห็นเขามีผมขาวดั่งนกกระเรียน แต่ใบหน้ายังดูอ่อนเยาว์ รอบกายมีหมอกบางเบาปกคลุม ท่าทางดูราวกับเซียนสิ่งนี้เกิดจากพลังลมปราณที่แผ่ออกมา แสดงให้เห็นถึงความลึกซึ้งและแข็งแกร่งของกำลังภายในของเขาได้อย่างชัดเจนเขาคือหนึ่งในแปดผู้อาวุโสของหอดารารักษ์ มีนามว่าซือคงเหยียนหนานกงจื่อชินก็คือศิษย์เอกของเขา!ในขณะนั้นเอง ชายหนุ่มในชุดขาวผู้มีสีหน้าหวาดหวั่นได้เดินเข้ามาและโค้งคำนับต่อซือคงเหยียนอย่างนอบน้อม“ท่านผู้อาวุโสซือคง ท่านเจ้าสำนักเชิญท่านไปที่หอวิญญาณขอรับ”หมอกบางรอบกายซือคงเหยียนพลันเคลื่อนไหว มันก็แทรกซึมกลับเข้าไปในร่างของเขาเขาค่อย ๆ ลืมตาขึ้น ดวงตาอันลึกล้ำส่องประกายแสงพุ่งออกมาวูบหนึ่ง!จากนั้นเขาก็เหลือบมองชายหนุ่มในชุดขาวและถามด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ "เหตุใดเจ้าสำนักจึงเรียกข้าให้ไปที่หอวิญญ
ซ่างกวนอวิ๋นซีโบกเรียวงามเบา ๆ ทันใดนั้นจี้หยกขาวก็ตกลงในมือของซือคงเหยียนจี้หยกนี้ดูเรียบง่ายมาก และเต็มไปด้วยอักขระลึกลับล้ำลึก ซึ่งมองดูเพียงครั้งเดียวก็รู้ได้ทันทีว่ามิใช่ของธรรมดาซือคงเหยียนตื่นเต้นจนมือสั่น เขารีบเก็บจี้หยกเข้าไปในอกเสื้อของเขาอย่างระมัดระวังจากนั้นเขาก็โค้งคำนับด้วยความซาบซึ้ง กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ "ขอบคุณท่านเจ้าสำนัก"หลังจากกล่าวลาซ่างกวนอวิ๋นซีแล้วซือคงเหยียนก็ควบม้าเร็วและมุ่งหน้าลงใต้สู่ต้าเหยียน!……ในเวลาเดียวกันฉินซูมาถึงเนินเขาหลัวเฟิงแล้วส่วนมู่หรงจื่อเยียนก็เดินทางกลับไปที่เมืองหลงเฉิงก่อนเมื่อเห็นฉินซูกลับมาอย่างปลอดภัย หัวใจที่เป็นกังวลของเซี่ยหลานก็เบาลงด้วยความโล่งใจนางถามด้วยความเป็นห่วงว่า “องค์รัชทายาท เป็นอย่างไรบ้างเพคะ?”“ข้าสบายดี” ฉินซูเหลือบมองสำรวจทุกคนรอบตัว และพบว่ามีเพียงทหารสองสามนายที่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย นอกนั้นทุกคนปลอดภัยดีเขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนถามว่า “กู้เสวี่ยอยู่ที่ไหน?”“นางไปตามหาท่านเพคะ เหตุใดกัน ท่านมิได้พบกับนางหรือ?”เมื่อได้ยินคำพูดของเซี่ยหลาน ก็พลันหนักอึ้งขึ้นทันที "เจ้าหมายถึง นางกลับ
ฉินซูเดินเข้าไปในถ้ำตามทางที่ทอดยาวออกไป หลังจากเดินไปได้มิไกลก็พบว่า มีบันไดที่ทอดตัวลงไปยังเบื้องล่างบันไดนั้นลึกจนมองมิเห็นจุดสิ้นสุด ฉินซูจึงจุดพับไฟและอาศัยแสงสลัวนั้นค่อย ๆ เดินลงไปตามขั้นบันไดหลังจากเดินไปราวสองเค่อ เขาก็มาถึงถ้ำอีกแห่งหนึ่งตรงมุมของถ้ำมีเงาร่างของสตรีนางหนึ่งกำลังจดจ่อมองดูสิ่งของในกล่องที่อยู่เบื้องหน้าเมื่อเห็นคนผู้นี้ ฉินซู่ก็ถอนหายใจยาว "กู้เสวี่ยเจี้ยน เจ้า..."ยังมิทันที่เขาจะพูดจบ กู้เสวี่ยเจี้ยนก็สะดุ้งตกใจจนเผลอปล่อยพับไฟในมือร่วงลงพื้นหลังจากกู้เสวี่ยเจี้ยนตั้งสติได้ นางก็ตบหน้าอกเบา ๆ แล้วพูดอย่างโมโห "ท่านทำหม่อมฉันตกใจแทบตาย! มิรู้หรือว่าการทำให้คนตกใจอาจหัวใจวายตายได้จริง ๆ!"ฉินซูกลอกตาใส่นาง "แค่นี้ข้าก็ทำให้เจ้ากลัวแล้วรึ? แม้แต่ชำแหละศพเจ้าก็ยังมิกลัวเลยมิใช่หรือ?"“ศพมันพูดมิได้เสียหน่อย!”กู้เสวี่ยเจี้ยนโต้กลับแล้วจึงถามด้วยความประหลาดใจ "ท่านมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง? นอกจากนี้ตกลงมาจากหน้าผาสูงขนาดนั้น ท่านมิเป็นอะไรเลยหรือ?!"“เจ้าคงหวังอยากให้ข้าเป็นอะไรไปหรือไร? ข้าลงมาเพื่อตามหาเจ้าต่างหาก”ขณะที่ฉินซูพูดอยู่ เขาก็สังเกตเห็น
กู้เสวี่ยเจี้ยนส่งเสียงตอบเบา ๆ แล้วพูดขึ้น "อาจารย์ของหม่อมฉันชอบออกสำรวจถ้ำในหุบเขาลึกอยู่เสมอ หากเขารู้ว่ามีถ้ำเช่นนี้อยู่ที่นี่ เกรงว่าเขาคงจะต้องตื่นเต้นมากแน่ ๆ!”ฉินซูสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อยก่อนจะถามว่า "เหตุใดอาจารย์ของเจ้าถึงชอบสำรวจถ้ำบนหุบเขาลึกหรือ?"“แน่นอนว่าก็เพื่อค้นหาสมบัติเพคะ ของโบราณตำรับตำราส่วนใหญ่ที่เขามีล้วนได้มาจากถ้ำในป่าลึกทั้งนั้น”หลังจากฟังคำพูดของกู้เสวี่ยเจี้ยน ฉินซูก็ยังคงนิ่งเงียบ แต่ในใจกลับเกิดข้อสันนิษฐานขึ้นมาหัวหน้าโหรหลวงมีฝีมือเก่งกาจปานนั้น อีกทั้งยังชอบสำรวจถ้ำลึกลับในป่าเขา หรือว่า...เขาจะเป็นผู้ฝึกตน?เมื่อนึกได้ดังนั้น ฉินซูจึงกล่าวกำชับด้วยท่าทีจริงจังว่า "กู้เสวี่ยเจี้ยน ข้าว่ามิควรบอกเรื่องนี้ให้อาจารย์ของเจ้ารู้จะดีกว่า"กู้เสวี่ยเจี้ยน ขมวดคิ้วพลางถามด้วยความสงสัย “เพราะเหตุใดเล่า?"ฉินซูอธิบายอย่างจริงจัง "มิต้องพูดถึงความชันของหน้าผาแห่งนี้ที่มักจะมีปีศาจภูเขาออกมาเพ่นพ่านหรอก แค่ปีศาจตัวนั้นก็ขนลุกมากแล้ว มันมีพลังแข็งแกร่งปานนั้น ต่อให้เป็นอาจารย์ของเจ้าก็คงมิได้ผลอะไรดีนัก ยิ่งไปกว่านั้นในถ้ำนี้ก็ไม่มีอะไรนอกจากหินเรืองแสงใน
ฉินซูยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์และพูดว่า "หากเจ้ากล้าป่าวประกาศ ข้าก็จะเอาเรื่องของเราสองคนไปพูดเช่นกัน!"“เมื่อครู่ยังบอกเองว่า ถ้ำแห่งนี้คือความลับของเราสองคน แต่ตอนนี้กลับเอามาใช้ข่มขู่หม่อมฉัน ช่างไร้ยางอายนัก!”“เหอะ ๆ ข้ามิได้หมายถึงเรื่องนี้ แต่หมายถึงตอนที่เราอยู่ในห้องนอนของเฉินหว่านเอ๋อร์...“ฉินซูพูดพลางตบมือสองสามครั้งใบหน้าของกู้เสวี่ยเจี้ยนพลันแดงก่ำ นางโมโหจนขาดสติ ยกฝ่ามือฟาดใส่ฉินซูทันทีคนหลังหลบเลี่ยงอย่างรวดเร็วพลางพูดแก้ตัว "ไยเจ้าจึงโหดร้ายขนาดนี้? ข้าก็แค่พูดเล่น อีกอย่าง เป็นเจ้าที่พูดว่าจะเผยความลับของข้าก่อนมิใช่รึ!"กู้เสวี่ยเจี้ยนหยุดเคลื่อนไหวแล้วกล่าวเสียงดุ "หากท่านยังพูดถึงเรื่องคืนนั้นอีก หม่อมฉันจะตัดลิ้นท่านให้สุนัขกินเสีย!"“คืนนั้นเจ้าก็ดูจะเพลิดเพลินดี ไยต้องขัดขืนขนาดนี้ด้วยเล่า หรือว่า… เป็นเพราะข้าหยาบคายเกินไป?”ฉินซูพูดด้วยสีหน้าจริงจัง ท่าทางอยากรู้ความจริงจนกู้เสวี่ยเจี้ยนโมโหจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “คนสารเลว! หม่อมฉันให้ท่านเลิกพูดแล้ว ท่านยังจะมิหยุดใช่หรือไม่ คิดว่าหม่อมฉันมิกล้าตัดลิ้นท่านจริง ๆ อย่างนั้นหรือ?”นางพูดพร้อมชักกระบี่ยาวออก
ครู่ต่อมา สายสืบสองคนที่เติ้งหม่างส่งไปก็กลับมา”ท่านแม่ทัพใหญ่ กองทหารม้ากลุ่มหนึ่งกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ อีกทั้งพวกท่านรองแม่ทัพหม่าดูท่าทางจะถูกพวกมันจับเป็นได้แล้วขอรับ”“เจ้าว่ากระไรนะ?”เติ้งหม่างเผยสีหน้าประหลาดใจ แล้วเอ่ยด้วยความขุ่นเคือง “หม่าเวยเจ้าคนไร้ประโยชน์ โดนฝ่ายตรงข้ามจับกุมตัวได้รวดเร็วถึงเพียงนี้ มันน่าโมโหนัก!”“ท่านแม่ทัพใหญ่ เช่นนั้นตอนนี้พวกเราจะทำอย่างไรกันดีขอรับ?”“เตรียมรับมือ จริงสิ ทางนั้นมีกำลังพลเท่าใด?”“คาดคะเนราว ๆ พันนายขอรับ”เติ้งหม่างยิ่งงุนงงกว่าเดิม นึกว่าตนเองหูฝาดไป จึงไต่ถามอีกครั้ง “เจ้าว่ามีเท่าใดนะ?”“ประ… ประมาณพันนายขอรับ”“แค่พันนาย? พวกเจ้ามิได้ตาลายมองผิดไปใช่หรือไม่?”“เรียนท่านแม่ทัพใหญ่ คนของฝ่ายตรงข้ามมีจำนวนมิมากจริง ๆ ขอรับ แต่เบื้องหลังของพวกมันมีทหารหนุนหรือไม่นั้นยังมิอาจทราบได้”“ไปสืบต่อ ส่วนคนอื่น ๆ เตรียมพร้อมรับมือ!”“ขอรับ!”สายสืบหลายคนจึงมุ่งหน้าไปยังเบื้องหน้าอีกคราตามบัญชาของเติ้งหม่างส่วนคนอื่น ๆ ซุ่มซ่อนตัวอยู่ตามแนวป่าละเมาะสองข้างทางมินานนัก เสียงควบม้าก็ใกล้เข้ามา ปรากฏในสายตาของเติ้งหม่างและคนอ
ต่อมา พวกเขาก็มุ่งหน้าไปยังประตูเมืองฝั่งเหนือโดยมิรอช้าเมื่อสอบถาม ก็ได้ล่วงรู้ว่าหูก่วงเซิงนำทัพออกจากประตูเมืองฝั่งเหนือไปจริง ๆในกระโจมนอกประตูเมืองฝั่งเหนือ มิปรากฏร่างของหูก่วงเซิงและทหารม้าของเขาฉินซูหรี่ตา และพึมพำ “เจ้าสารเลวหูก่วงเซิงนี่ ท่าทางจะนำทัพไปลอบโจมตีกองทัพหนานเยวี่ยจริง ๆ”“เช่นนั้นจะทำเช่นไรดี? หูก่วงเซิงมีทหารม้าเพียงหนึ่งพันนาย หากปราศจากการสนับสนุนจากธนูทดกำลังและระเบิดสายฟ้า พวกเขาไปก็มีแต่ตายเปล่า!”“เรียกระดมพลเสีย เตรียมออกนอกเมืองไปช่วยเหลือ”เมื่อได้ยินดังนั้น ฉงชูโม่ก็มองฉินซูด้วยความประหลาดใจฝ่ายหลังขมวดคิ้วถาม “ไยจึงมองข้าเช่นนั้น?”“หามิได้ แค่รู้สึกแปลกใจเท่านั้น”“แปลกใจกระไร?”ฉงชูโม่อธิบาย “หูก่วงเซิงเป็นคนสนิทของอ๋องฉู่ ทั้งยังมิพอใจในตัวท่านเป็นอย่างยิ่ง บัดนี้เขากำลังประสบเคราะห์ภัย ทว่าท่านกลับตัดสินใจที่จะออกไปช่วยเหลือโดยมิลังเล หม่อมฉันจึงรู้สึกแปลกใจอยู่เล็กน้อย”ฉินซูกล่าวอย่างมิสบอารมณ์ “หูก่วงเซิงเป็นคนของอ๋องฉู่ก็จริง ทว่าในขณะเดียวกัน เขาก็เป็นทหารหาญแห่งต้าเหยียนของข้า ข้าจะนิ่งดูดายได้อย่างไร”“พระทัยที่กว้างขวางของท
ฉงชูโม่มองซ้ายขวาแล้วกล่าว “บางทีอาจจะกลับค่ายทหารไปแล้วกระมัง เขาเป็นคนของอ๋องฉู่ การที่เห็นท่านสร้างความดีความชอบ คงรู้สึกมิพอใจอยู่บ้าง มิใช่เรื่องแปลกเพคะ”“จะว่าอย่างนั้นก็ได้”ฉินซูเหลือบมองเหล่าทหารที่กำลังกินดื่มอย่างสำราญ จึงเอ่ยถาม “เจ้าคงมิได้ให้ทหารทั้งหมดเข้าร่วมงานเลี้ยงฉลองชัยกระมัง?”“มิได้เพคะ นี่เป็นเพียงหนึ่งในสามส่วนเท่านั้น ส่วนที่เหลือล้วนเตรียมพร้อมอยู่แล้ว”“เช่นนั้นก็ดีแล้ว แต่ป่านนี้แล้ว เหตุใดจึงยังไม่มีข่าวคราวมาจากทางคลังอาวุธเล่า?”ฉินซูขมวดคิ้ว รู้สึกถึงความผิดปกติฉงชูโม่จึงสั่งทหารข้างกาย “เจ้าจงไปดูลาดเลาที่คลังอาวุธทีว่ามีสิ่งผิดปกติหรือไม่”“ขอรับ!”ทหารผู้นั้นรีบเร่งไปยังทิศทางคลังอาวุธมินานนัก เขาก็กลับมา“เรียนท่านแม่ทัพใหญ่ ที่คลังอาวุธเป็นปกติดีขอรับ”เมื่อได้ยินดังนั้น ฉงชูโม่จึงอดมิได้ที่จะขมวดคิ้วมุ่น“แปลกจริง เป็นไปได้อย่างไรที่เติ้งหม่างจะอดทนได้ถึงขั้นนี้ มิส่งคนมาขโมยธนูทดกำลังและระเบิดสายฟ้า?”“เป็นไปมิได้ เขารู้ว่าคืนนี้พวกเราจัดงานเลี้ยงฉลองชัย การป้องกันเมืองจึงหย่อนยานลง หากเขามิมาในคืนนี้ ภายหน้าคงไม่มีโอกาสดีเช่นนี้แ
หูก่วงเซิงหัวเราะเยาะ “ลำพังพวกเจ้าเพียงหยิบมือนี้น่ะหรือ? หึ ๆ ช่างประมาณตนสูงเสียจริง!”กำแพงเมืองเจียวโจวสูงหกถึงเจ็ดจั้ง เขามิคิดว่าหม่าเวยและคนเหล่านี้จะสามารถปีนขึ้นไปได้หม่าเวยกล่าวด้วยสีหน้าขมขื่น “อย่างน้อยก่อนที่จะปะทะเข้ากับพวกเจ้า พวกเราก็ยังคงมั่นใจมากทีเดียว”“ฮ่า ๆ พวกโง่เขลาเอ๋ย เอาเถอะ ในเมื่อความดีความชอบมาประเคนให้ถึงปากประตูแล้ว มิรับไว้คงน่าเสียดายแย่ ใครก็ได้!”“ขอรับ!”“ปิดปากพวกมันทั้งหมด แล้วส่งคนสองสามคนไปเฝ้าพวกมันในป่าให้ดี!”“ท่านแม่ทัพหู ในเมื่อพวกมันเป็นสายสืบของหนานเยวี่ย ไฉนมิควบคุมตัวพวกมันกลับเมือง ไปส่งให้ท่านแม่ทัพใหญ่จัดการเล่าขอรับ?”หูก่วงเซิงเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง “นำคนกลับไปยามนี้ แล้วพวกเราจะลอบโจมตีกองทัพหนานเยวี่ยต่อหรือไม่?”“จริงด้วย พวกมันถูกพวกเรามัดไว้แล้ว ไม่มีทางหลบหนีไปได้ ส่งคนไปเฝ้าพวกมันไว้ก็พอ รอจนกระทั่งพวกเราได้ชัยกลับมา ค่อยคุมตัวคนพวกนี้กลับเมือง เช่นนี้จะได้ความดีความชอบเพิ่มขึ้นอีกอย่างไรเล่า!”ดวงตาของหม่าเวยกลอกไปมา เอ่ยปากกล่าว “ท่าน… ท่านแม่ทัพหู ท่านแน่ใจหรือว่าจะลอบโจมตีกองทัพหนานเยวี่ยของพวกเรา?”“หากเป็นเช่
“ท่านแม่ทัพหู แผนนี้ยอดเยี่ยมจริง ๆ ออกจากประตูเมืองฝั่งเหนือแล้วอ้อมไปอีกหน่อย ก็ลอบโจมตีทัพหนานเยวี่ยได้เหมือนเดิม!”“ไป เร่งฝีเท้า!”ดังนั้น กองทหารของพวกเขาจึงเดินทางมายังใต้ประตูเมืองฝั่งเหนือแม่ทัพรักษาการณ์ที่นี่เห็นหูก่วงเซิงและพวก จึงไต่ถาม “ท่านแม่ทัพหู นี่พวกท่านจะทำการใด?”“ในเมืองผู้คนพลุกพล่านเกินไป พวกเราจะออกไปพักผ่อนนอกเมืองสักหน่อย วันพรุ่งพวกเราจะย้ายค่ายทหารไปตั้งไว้นอกเมืองฝั่งเหนือเช่นกัน เพื่อความสะดวกในการฝึกทหาร”เมื่อได้ยินดังนั้น ทหารรักษาการณ์ก็โบกมือให้คนเปิดประตูเมืองจะตำหนิว่าเขาประมาทเกินไปก็มิได้ ท้ายที่สุดแล้วนอกเมืองทางฝั่งเหนือยังมีทหารประจำการอยู่เป็นจำนวนมิน้อย ทหารที่เข้าออกประตูเมืองทางฝั่งเหนือจึงมีจำนวนมากเป็นทุนเดิมหลังจากที่ออกนอกเมืองได้อย่างราบรื่น หูก่วงเซิงจึงนำกองทัพทหารม้าพันนายมุ่งหน้าลงใต้!ขณะเดียวกันนอกประตูเมืองเจียวโจวทางฝั่งใต้ เงาร่างสิบกว่าร่างพุ่งออกมาจากป่าละเมาะห่างออกไปมิไกลนักพวกเขามีท่าทางคล่องแคล่ว เพียงชั่วพริบตาก็เข้าไปซุ่มซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้เตี้ย ๆ ฝั่งหนึ่งหลังจากที่สังเกตการณ์บนกำแพงเมืองอยู่ครู่หน
“ท่านแม่ทัพหู กองทัพหนานเยวี่ยแตกพ่ายในวันนี้ บัดนี้คงอกสั่นขวัญแขวนกันอยู่เป็นแน่ หากพวกเรานำทัพไปลอบโจมตี อย่างไรก็ต้องสำเร็จ! ถึงเวลานั้นหากสำเร็จ ท่านแม่ทัพใหญ่จะเอาผิดพวกเราที่ยกทัพไปโดยพลการได้อย่างไร?”ชายร่างกำยำอีกด้านกล่าวสำทับ “รองแม่ทัพหลิวกล่าวได้ถูกต้อง ท่านแม่ทัพหู พวกเราอุตส่าห์บุกป่าฝ่าดงมาถึงเจียวโจวก็มิใช่อื่นใด นอกเสียจากเพื่อสร้างความดีความชอบให้มากยิ่งขึ้นพวกเราสร้างความดีความชอบในเจียวโจวมากเท่าไร พระเกียรติของท่านอ๋องฉู่ในราชสำนักก็จะยิ่งสูงส่งมากขึ้นเท่านั้น ทุกสิ่งที่พวกเราทำ ล้วนเพื่อท่านอ๋องฉู่ทั้งสิ้น!”“ถูกต้อง พวกเราคือคนของท่านอ๋องฉู่ ท่านแม่ทัพใหญ่ย่อมมิอาจตำหนิพวกเราที่ออกรบโดยพลการได้ ท่านแม่ทัพหู ท่านรีบตัดสินใจเถิด โอกาสมิคอยท่า เวลามิหวนคืน!”“ท่านแม่ทัพหู คนขององค์รัชทายาทออกนอกเมืองไปครึ่งชั่วยามแล้ว หากพวกเรามิรีบเร่งติดตามไป เกรงว่าน้ำแกงก็มิได้ซด อย่าหวังจะได้กินเนื้อเลยขอรับ!”ด้วยคำยุยงของเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชา ดวงตาของหูก่วงเซิงก็ค่อย ๆ แน่วแน่ขึ้น!เขาพยักหน้าหนักแน่น กล่าวเสียงทุ้มต่ำ “สั่งให้เหล่าสหายทั้งหลายเตรียมตัวให้พร้อม อีกห
หูก่วงเซิงยกไหสุราขึ้นกระดกไปหลายอึก และแค่นเสียง “หึ ศึกที่ได้ชัยชนะในวันนี้ หากมิใช่เพราะทหารม้าหุ้มเกราะของพวกข้าบุกตะลุยอยู่แนวหน้า มีหรือกองทัพหนานเยวี่ยจะถูกสังหารจนแตกพ่ายยับเยิน?ทว่าในงานเลี้ยงฉลองชัย ท่านแม่ทัพใหญ่กลับมิเอ่ยถึงความดีความชอบของพวกข้าแม้แต่คำเดียว เอาแต่ชื่นชมองค์รัชทายาทมิขาดปากข้าสงสัยนัก องค์รัชทายาทเพียงแต่นำอาวุธที่กรมโยธาธิการประดิษฐ์ขึ้นใหม่มาด้วยเท่านั้น มีสิ่งใดน่าสรรเสริญกัน?”รองแม่ทัพที่นั่งอยู่ข้างกายเขาขมวดคิ้ว กล่าว “ท่านแม่ทัพหู ท่านว่าเช่นนี้เห็นทีจะมิถูกกระมัง อาวุธเหล่านั้นล้วนเป็นสิ่งที่องค์รัชทายาททรงออกแบบ ศึกครานี้ชนะได้ ก็เป็นเพราะพระองค์”“ใช่แล้ว อีกอย่างที่ทหารม้าหุ้มเกราะของพวกท่านบุกตะลุยกองทัพหนานเยวี่ยได้ไร้ผู้ใดขัดขวาง ก็มิใช่เป็นเพราะมีอาวุธที่องค์รัชทายาททรงออกแบบให้การคุ้มครองหรอกหรือ มิเช่นนั้นกองทัพหนานเยวี่ยจะปล่อยให้พวกท่านบุกตะลุยในแนวรบโดยมิอาจโต้ตอบได้เลยด้วยเหตุใดเล่า?”หูก่วงเซิงเผยสีหน้าดูแคลน หัวเราะเยาะ “องค์รัชทายาทที่เอาแต่เสพสุขไปวัน ๆ ไฉนจึงออกแบบอาวุธร้ายกาจถึงเพียงนี้ได้? พวกเจ้าก็ช่างหูเบากันเสียจริง ใ
หลังจากที่ฟังเขาจนจบ ฉงชูโม่ขมวดคิ้วถาม “แผนการของท่านดีก็จริง ทว่าหากพวกมันมิมาในคืนนี้เล่า?”“คืนนี้พวกเราจัดงานเลี้ยงฉลองชัย พวกมันต้องปักใจเชื่อว่ากำลังป้องกันเมืองของพวกเราหย่อนยาน คืนนี้หากพวกมันมิลงมือ ภายหน้าคงไม่มีโอกาสดีเช่นนี้อีกแล้ว ดังนั้นคืนนี้พวกมันต้องลงมือเป็นแน่”“เช่นนั้นก็ได้ ทำตามที่ท่านว่าก็แล้วกันเพคะ!”ฉินซูพยักหน้าเล็กน้อย แล้วกล่าวต่อ “อีกอย่าง คืนนี้เจ้าจงส่งทหารสองกองไปซุ่มอยู่หลินสุ่ยและเซี่ยอ้าว เมื่อทัพใหญ่หนานเยวี่ยปรากฏกาย จงปล่อยให้พวกมันเข้ามา รอจนกระทั่งเสียงฆ่าฟันนอกเมืองดังขึ้นค่อยตลบหลังโจมตีกองทัพหนานเยวี่ย จากนั้นจึงเข้าตีกระหนาบหน้าหลัง กวาดล้างพวกมันในคราเดียว!”ฉงชูโม่ถามอย่างตกตะลึง “ท่านคิดว่าคืนนี้พวกหนานเยวี่ยจะบุกโจมตีด้วยทัพใหญ่หรือเพคะ?”“พูดได้แต่เพียงมีความเป็นไปได้สูงนัก”“หม่อมฉันว่ามีความเป็นไปได้น้อย เนื่องจากเติ้งหม่างเพิ่งประสบความพ่ายแพ้ในวันนี้ ซ้ำร้ายทหารใต้บัญชาของเขายังหวาดหวั่นเกรงกลัวธนูทดกำลังและระเบิดสายฟ้าของพวกเราจนหัวหด หากยังมิล่วงรู้ว่าพวกเรามีธนูทดกำลังและระเบิดสายฟ้าเหลืออยู่มากน้อยเพียงใด พวกมันคงมิกล้าผล
ฉินซูหัวเราะแห้ง ๆ แล้วกล่าวติดตลก “ข้าแค่กังวลว่าเจ้าจะหึงหวงข้า”ฉงชูโม่ถ่มน้ำลาย “ถุย ใครจะหึงท่านกัน อย่าได้หลงตัวเองไปหน่อยเลย!”“อะแฮ่ม ๆ เรื่องนั้นช่างมันเถิด ที่จริงข้ามีธุระสำคัญ...”ฉงชูโม่ขัดขึ้นมาเสียก่อน “มีกระไรก็รีบว่ามา อย่ามัวอ้อมค้อม”ฉินซูปรับสีหน้าให้เคร่งขรึม แล้วเอ่ยถาม “วันนี้ที่พวกเรามีชัยเหนือแคว้นหนานเยวี่ย ในความเห็นของเจ้า พวกมันจะทำอย่างไรต่อไป?”“ชัยชนะในวันนี้ ต้องยกความดีความชอบให้กับพลานุภาพของธนูทดกำลังและระเบิดสายฟ้า กองทัพหนานเยวี่ยประสบความพ่ายแพ้ย่อยยับถึงเพียงนี้ หากหม่อมฉันเป็นเติ้งหม่าง คงต้องหาทางนำอาวุธทั้งสองชนิดนี้ไปให้ได้!”เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินซูจึงอดมิได้ที่จะมองนางด้วยสายตาชื่นชมสมแล้วที่ฉงชูโม่เป็นแม่ทัพขั้นหนึ่งที่มากล้นด้วยสติปัญญาและความกล้าหาญ สามารถเดาใจศัตรูได้ล่วงหน้าเช่นนี้“เมื่อรู้ถึงเจตนาของเติ้งหม่างผู้นั้นแล้ว เราควรจะลองมาล่อเสือออกจากถ้ำดูสักครา”“ตรัสเช่นนี้ แสดงว่าท่านทรงคิดแผนการรับมือไว้แล้วหรือ?”ฉงชูโม่เอี้ยวศีรษะมองฉินซู ดวงตาคู่งามกระจ่างใสนั้นเต็มไปด้วยความประหลาดใจหางตาฉินซูเหลือบมองอ่างอาบน้ำโดยม