ฉินซูเดินเข้าไปในถ้ำตามทางที่ทอดยาวออกไป หลังจากเดินไปได้มิไกลก็พบว่า มีบันไดที่ทอดตัวลงไปยังเบื้องล่างบันไดนั้นลึกจนมองมิเห็นจุดสิ้นสุด ฉินซูจึงจุดพับไฟและอาศัยแสงสลัวนั้นค่อย ๆ เดินลงไปตามขั้นบันไดหลังจากเดินไปราวสองเค่อ เขาก็มาถึงถ้ำอีกแห่งหนึ่งตรงมุมของถ้ำมีเงาร่างของสตรีนางหนึ่งกำลังจดจ่อมองดูสิ่งของในกล่องที่อยู่เบื้องหน้าเมื่อเห็นคนผู้นี้ ฉินซู่ก็ถอนหายใจยาว "กู้เสวี่ยเจี้ยน เจ้า..."ยังมิทันที่เขาจะพูดจบ กู้เสวี่ยเจี้ยนก็สะดุ้งตกใจจนเผลอปล่อยพับไฟในมือร่วงลงพื้นหลังจากกู้เสวี่ยเจี้ยนตั้งสติได้ นางก็ตบหน้าอกเบา ๆ แล้วพูดอย่างโมโห "ท่านทำหม่อมฉันตกใจแทบตาย! มิรู้หรือว่าการทำให้คนตกใจอาจหัวใจวายตายได้จริง ๆ!"ฉินซูกลอกตาใส่นาง "แค่นี้ข้าก็ทำให้เจ้ากลัวแล้วรึ? แม้แต่ชำแหละศพเจ้าก็ยังมิกลัวเลยมิใช่หรือ?"“ศพมันพูดมิได้เสียหน่อย!”กู้เสวี่ยเจี้ยนโต้กลับแล้วจึงถามด้วยความประหลาดใจ "ท่านมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง? นอกจากนี้ตกลงมาจากหน้าผาสูงขนาดนั้น ท่านมิเป็นอะไรเลยหรือ?!"“เจ้าคงหวังอยากให้ข้าเป็นอะไรไปหรือไร? ข้าลงมาเพื่อตามหาเจ้าต่างหาก”ขณะที่ฉินซูพูดอยู่ เขาก็สังเกตเห็น
กู้เสวี่ยเจี้ยนส่งเสียงตอบเบา ๆ แล้วพูดขึ้น "อาจารย์ของหม่อมฉันชอบออกสำรวจถ้ำในหุบเขาลึกอยู่เสมอ หากเขารู้ว่ามีถ้ำเช่นนี้อยู่ที่นี่ เกรงว่าเขาคงจะต้องตื่นเต้นมากแน่ ๆ!”ฉินซูสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อยก่อนจะถามว่า "เหตุใดอาจารย์ของเจ้าถึงชอบสำรวจถ้ำบนหุบเขาลึกหรือ?"“แน่นอนว่าก็เพื่อค้นหาสมบัติเพคะ ของโบราณตำรับตำราส่วนใหญ่ที่เขามีล้วนได้มาจากถ้ำในป่าลึกทั้งนั้น”หลังจากฟังคำพูดของกู้เสวี่ยเจี้ยน ฉินซูก็ยังคงนิ่งเงียบ แต่ในใจกลับเกิดข้อสันนิษฐานขึ้นมาหัวหน้าโหรหลวงมีฝีมือเก่งกาจปานนั้น อีกทั้งยังชอบสำรวจถ้ำลึกลับในป่าเขา หรือว่า...เขาจะเป็นผู้ฝึกตน?เมื่อนึกได้ดังนั้น ฉินซูจึงกล่าวกำชับด้วยท่าทีจริงจังว่า "กู้เสวี่ยเจี้ยน ข้าว่ามิควรบอกเรื่องนี้ให้อาจารย์ของเจ้ารู้จะดีกว่า"กู้เสวี่ยเจี้ยน ขมวดคิ้วพลางถามด้วยความสงสัย “เพราะเหตุใดเล่า?"ฉินซูอธิบายอย่างจริงจัง "มิต้องพูดถึงความชันของหน้าผาแห่งนี้ที่มักจะมีปีศาจภูเขาออกมาเพ่นพ่านหรอก แค่ปีศาจตัวนั้นก็ขนลุกมากแล้ว มันมีพลังแข็งแกร่งปานนั้น ต่อให้เป็นอาจารย์ของเจ้าก็คงมิได้ผลอะไรดีนัก ยิ่งไปกว่านั้นในถ้ำนี้ก็ไม่มีอะไรนอกจากหินเรืองแสงใน
ฉินซูยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์และพูดว่า "หากเจ้ากล้าป่าวประกาศ ข้าก็จะเอาเรื่องของเราสองคนไปพูดเช่นกัน!"“เมื่อครู่ยังบอกเองว่า ถ้ำแห่งนี้คือความลับของเราสองคน แต่ตอนนี้กลับเอามาใช้ข่มขู่หม่อมฉัน ช่างไร้ยางอายนัก!”“เหอะ ๆ ข้ามิได้หมายถึงเรื่องนี้ แต่หมายถึงตอนที่เราอยู่ในห้องนอนของเฉินหว่านเอ๋อร์...“ฉินซูพูดพลางตบมือสองสามครั้งใบหน้าของกู้เสวี่ยเจี้ยนพลันแดงก่ำ นางโมโหจนขาดสติ ยกฝ่ามือฟาดใส่ฉินซูทันทีคนหลังหลบเลี่ยงอย่างรวดเร็วพลางพูดแก้ตัว "ไยเจ้าจึงโหดร้ายขนาดนี้? ข้าก็แค่พูดเล่น อีกอย่าง เป็นเจ้าที่พูดว่าจะเผยความลับของข้าก่อนมิใช่รึ!"กู้เสวี่ยเจี้ยนหยุดเคลื่อนไหวแล้วกล่าวเสียงดุ "หากท่านยังพูดถึงเรื่องคืนนั้นอีก หม่อมฉันจะตัดลิ้นท่านให้สุนัขกินเสีย!"“คืนนั้นเจ้าก็ดูจะเพลิดเพลินดี ไยต้องขัดขืนขนาดนี้ด้วยเล่า หรือว่า… เป็นเพราะข้าหยาบคายเกินไป?”ฉินซูพูดด้วยสีหน้าจริงจัง ท่าทางอยากรู้ความจริงจนกู้เสวี่ยเจี้ยนโมโหจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “คนสารเลว! หม่อมฉันให้ท่านเลิกพูดแล้ว ท่านยังจะมิหยุดใช่หรือไม่ คิดว่าหม่อมฉันมิกล้าตัดลิ้นท่านจริง ๆ อย่างนั้นหรือ?”นางพูดพร้อมชักกระบี่ยาวออก
“ทุกคนลุกขึ้นเถอะ สถานการณ์ภัยพิบัติในเมืองเป็นอย่างไรบ้าง?”“กราบทูลองค์รัชทายาท หลังจากที่เสบียงข้าวมาถึงเมื่อสองวันที่แล้ว ราษฎรในเมืองก็ได้รับข้าวแล้ว เมื่อรวมกับเสบียงข้าวที่องค์รัชทายาททรงนำมาในคราวนี้ก็เพียงพอที่จะช่วยให้ราษฎรพ้นวิกฤตในปีนี้ได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ"ฉินซูพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ "เช่นนี้ก็ดี รีบนำทางพ่อค้าข้าวเข้าไปในคลัง ข้าขอบอกไว้ก่อน หากผู้ใดที่กล้าปล้นข้าวหรือยักยอกไปแม้เพียงเล็กน้อย ข้าจะประหารโดยมิละเว้น!"ผู้ว่าการอำเภอและคนอื่น ๆ ต่างสะดุ้งตกใจแล้วรีบบอกว่ามิกล้าจากนั้นถานเหวยก็เริ่มควบคุมการเก็บข้าวสารเข้าคลัง ส่วนพวกฉินซูก็ไปพักผ่อน……ภายในเขตเหยี่ยนโจวเรือสินค้าลำหนึ่งจอดเทียบท่าที่ท่าเรือในยามราตรีที่มีแสงจันทร์สว่างจ้า เรือสินค้าลำนี้ที่มีขนาดใหญ่สะดุดตาและโดดเด่นท่ามกลางเรือเล็ก ๆ ที่จอดอยู่เรือสินค้าลำนี้เต็มไปด้วยข้าว และในห้องเก็บสินค้าของท้องเรือยังมีการเก็บเงินหลายสิบหีบไว้อีกด้วยเรือสินค้าลำนี้เป็นเรือที่สวีหลายและพรรคพวกอยู่ในเวลานี้ สวีหลายกำลังเดินสำรวจบนเรือร่วมกับเฉิงอิงและคนอื่น ๆหลังจากยืนยันว่าไม่มีอะไรผิดปกติบนเรือ เฉิงอิ
”ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว!”หัวลูกศรลุกเป็นไฟพุ่งแหวกอากาศตรงไปยังเรือสินค้าดอกแล้วดอกเล่าในชั่วพริบตา กระสอบข้าวที่กองอยู่บนเรือก็ลุกไหม้ขึ้นทันที“มิดีแล้ว! พวกมันจุดไฟเผา รีบดับไฟเร็วเข้า!”เฉิงผิงตะโกนเสียงดัง พร้อมทั้งคว้าโล่หวายขึ้นมาแล้วพุ่งไปดับไฟเป็นคนแรกเมื่อเห็นเช่นนั้น คนอื่น ๆ ก็รีบเข้ามาช่วยดับไฟกันอย่างเร่งด่วนแต่ในเวลานี้ ลูกธนูเพลิงยังคงพุ่งมามิหยุด เมื่อพวกเขาดับไฟที่จุดหนึ่งได้ อีกจุดหนึ่งก็ลุกไหม้ขึ้นมาอีกเมื่อเห็นฉากนี้ สายตาของสวีหลายก็ฉายแววอาฆาตรุนแรง!ก่อนออกเดินทาง เขาได้สัญญากับฉินซูเอาไว้ว่า ตราบใดที่ตนยังอยู่ ข้าวจะต้องปลอดภัย!หากปล่อยให้พวกโจรจุดไฟต่อไป ข้าวจำนวนแปดพันต้านนี้จะต้องถูกเผาจนมิเหลือแน่เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เขาก็ชักกระบี่ยาวออกมาจากฝัก พร้อมพูดเสียงหนักแน่นว่า “เฉิงผิง เจ้าคอยดูแลเรือสินค้าให้ดี ข้าจะลงไปฆ่าพวกมันเอง!”พูดจบ ร่างของเขาก็ขยับพลิ้วไหว กระโดดเพียงมิกี่ครั้งก็ลงไปถึงตลิ่งแม่น้ำกระบี่ในมือของเขากระตุกเบา ๆ ก่อนจะพุ่งตรงเข้าหาพวกโจรด้วยความรวดเร็วเฉิงอิงที่อยู่บนเรือเห็นเช่นนั้นก็คว้ากระบี่ขึ้นมา แล้วกระโดดลงไปช่วยทันทีอย่
จูฟางพูดด้วยสีหน้าขมขื่น "ข้ามิรู้จริง ๆ ว่าคนผู้นั้นเป็นใคร..."“มิรู้แม้แต่ตัวตนของคนบอกข่าว เจ้าก็ยังเชื่อคำพูดเขาอย่างนั้นรึ?”“ท่านจอมยุทธ์ พวกเราเป็นโจรสลัด ได้ยินข่าวเช่นนี้ก็อดที่จะเชื่อมิได้อยู่แล้ว และเมื่อเรือของพวกท่านเทียบท่า คนของเราก็เห็นว่าบนเรือขนข้าวสารไว้จริง ๆ เราจึงกล้าลงมือเสี่ยงเช่นนี้”สวีหลายถามด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก "แล้วเจ้าจะหาตัวคนที่ปล่อยข่าวลือนั่นได้หรือไม่?"จูฟางได้แต่ยกมืออย่างจนใจ "ท่านจอมยุทธ์ คนผู้นั้นหายตัวไปนานแล้ว ข้าจะไปตามหาได้อย่างไร?"“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไม่มีประโยชน์ให้เก็บเจ้าเอาไว้!”สวีหลายขยับกระบี่ในมือ แผลยาวบาง ๆ ปรากฏขึ้นบนลำคอของจูฟาง เลือดสดไหลรินออกมามิหยุด!จูฟางตกใจจนขาสั่น ปัสสาวะรดกางเกงด้วยความหวาดกลัว!เขารีบพูดขึ้น "โปรดไว้ชีวิตข้าด้วยเถิดท่านจอมยุทธ์! ข้าจะหาตัวคนผู้นั้นมาให้ มิว่าจะยากเย็นเพียงใด ขอแค่ท่านไว้ชีวิตข้าเท่านั้น!""ดีมาก!"สวีหลายเก็บกระบี่ก่อนจะยื่นมือไปจับคางของจูฟาง และยัดยาสองเม็ดเข้าไปในปากจูฟางพยายามดิ้นรน แต่กลับเผลอกลืนยานั้นลงไปโดยมิตั้งใจเมื่อเห็นเช่นนั้น สวีหลายก็ปล่อยตัวเขาสีหน้าขอ
หลังจากตรวจนับสิ่งของแล้วก็พบว่าข้าวสารบนเรือมิได้เสียหายมากนักสวีหลายจึงถอนหายใจอย่างโล่งอกแล้วสั่งว่า “รุ่งสางวันพรุ่งก็ไปซื้อข้าวสารในเมืองมาเสริมส่วนที่เสียหายคืนนี้ให้ครบ”ผู้ใต้บังคับบัญชาคนหนึ่งตอบรับด้วยความเคารพว่า “รับทราบ!"ตลอดคืนที่เหลือ สวีหลายทำหน้าที่เป็นคนเฝ้าด้วยตัวเองโชคดีที่ไม่มีเหตุการณ์ผิดปกติใด ๆ เกิดขึ้นอีกจนถึงรุ่งเช้าหลังจากที่ไปซื้อข้าวในเมืองกลับมาได้แล้ว เรือสินค้าก็ออกเดินทางต่อไปและมุ่งหน้าล่องใต้ไปตามแม่น้ำ……ในเวลาเดียวกันห่างออกไปทางทิศตะวันออกของเมืองหลงเฉิงราวหลายสิบลี้ อารามลอยฟ้าเสวียนคงบนภูเขาอันซานร่างสองร่างปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตูวัดในสภาพค่อนข้างอิดโรยคนหนึ่งเป็นพระธุดงค์รูปร่างกำย ใบหน้าฉายแววเคร่งเครียดราวกับมีความแค้นฝังลึก มือถือไม้เท้าปราบมารอีกคนหนึ่งเป็นผู้เฒ่าอายุเกินหกสิบปี สวมชุดคลุมสีดำ ผมยุ่งเหยิงปล่อยกระเซอะกระเซิง มือถือไม้เท้าหัวมังกรปรากฏว่าพวกเขาก็คือคู่มู่และเย่ชางสิง!ทั้งสองเดินทางอยู่หลายวัน กว่าจะกลับมาถึงอารามลอยฟ้าเสวียนคงนักพรตที่กำลังกวาดลานวัดก็คำนับคูมู่แล้วกล่าวด้วยความเคารพว่า “ศิษย์คารวะอา
ก่อนที่คูมู่จะพูดจบ ผู้เฒ่าก็เตือนเขาว่า "คูมู่ ผู้ออกบวชมิพูดจาเท็จ รีบพูดความจริงมาเสียดี ๆ"น้ำเสียงของเขาเย็นเยียบขึ้นกว่าเดิมคูมู่อธิบายด้วยสีหน้าขมขื่น "อาจารย์อา คนผู้นั้นเตือนศิษย์ไว้โดยเฉพาะว่า หากศิษย์เปิดเผยตัวตนของเขาออกไป เขาจะมิช่วยแก้ไขสิ่งที่เขาทำไว้"“ถ้าเช่นนั้น เจ้าจะมาหาอาตมาด้วยเหตุใด? รอให้คนผู้นั้นช่วยแก้ไขก็พอแล้วมิใช่หรือ”“อาจารย์อา คนผู้นั้นใช้เรื่องนี้มาข่มขู่ศิษย์ แต่ศิษย์มิต้องการสมรู้ร่วมคิดกับเขา จึงต้องมารบกวนท่าน”ผู้เฒ่าส่ายหัวเล็กน้อย "เจ้าตั้งใจปิดบังอาตมา ข้อนี้อาตมามิถือโทษ แต่ถึงเจ้าจะพูดความจริง พลังนี้อาตมาก็มิอาจทำอะไรได้อยู่ดี"เมื่อได้ยินเช่นนั้น คูมู่ก็เผยสีหน้าหมดหวังเย่ชางสิงอดมิได้ที่จะพึมพำว่า "นึกว่าจะเป็นพระอริยะเสียอีก ที่แท้ก็แค่นี้เองรึ?"ยังมิทันที่เขาจะพูดจบ บรรยากาศรอบ ๆ ก็เย็นยะเยือกลงอย่างฉับพลันจนเขาต้องสั่นสะท้านเขาเหลือบมองไปทางผู้เฒ่า เห็นเพียงสายตาเย็นเยียบของอีกฝ่ายจ้องเขม็งมาที่ตนอย่างแน่วแน่หัวใจของเย่ชางสิงสั่นสะท้าน ความกลัวแผ่ซ่านไปจนถึงกระดูกเขารีบพูดออกมาด้วยความตกใจ "ท่านผู้อาวุโส อย่าเข้าใจผิด ข้
ฉงชูโม่มองซ้ายขวาแล้วกล่าว “บางทีอาจจะกลับค่ายทหารไปแล้วกระมัง เขาเป็นคนของอ๋องฉู่ การที่เห็นท่านสร้างความดีความชอบ คงรู้สึกมิพอใจอยู่บ้าง มิใช่เรื่องแปลกเพคะ”“จะว่าอย่างนั้นก็ได้”ฉินซูเหลือบมองเหล่าทหารที่กำลังกินดื่มอย่างสำราญ จึงเอ่ยถาม “เจ้าคงมิได้ให้ทหารทั้งหมดเข้าร่วมงานเลี้ยงฉลองชัยกระมัง?”“มิได้เพคะ นี่เป็นเพียงหนึ่งในสามส่วนเท่านั้น ส่วนที่เหลือล้วนเตรียมพร้อมอยู่แล้ว”“เช่นนั้นก็ดีแล้ว แต่ป่านนี้แล้ว เหตุใดจึงยังไม่มีข่าวคราวมาจากทางคลังอาวุธเล่า?”ฉินซูขมวดคิ้ว รู้สึกถึงความผิดปกติฉงชูโม่จึงสั่งทหารข้างกาย “เจ้าจงไปดูลาดเลาที่คลังอาวุธทีว่ามีสิ่งผิดปกติหรือไม่”“ขอรับ!”ทหารผู้นั้นรีบเร่งไปยังทิศทางคลังอาวุธมินานนัก เขาก็กลับมา“เรียนท่านแม่ทัพใหญ่ ที่คลังอาวุธเป็นปกติดีขอรับ”เมื่อได้ยินดังนั้น ฉงชูโม่จึงอดมิได้ที่จะขมวดคิ้วมุ่น“แปลกจริง เป็นไปได้อย่างไรที่เติ้งหม่างจะอดทนได้ถึงขั้นนี้ มิส่งคนมาขโมยธนูทดกำลังและระเบิดสายฟ้า?”“เป็นไปมิได้ เขารู้ว่าคืนนี้พวกเราจัดงานเลี้ยงฉลองชัย การป้องกันเมืองจึงหย่อนยานลง หากเขามิมาในคืนนี้ ภายหน้าคงไม่มีโอกาสดีเช่นนี้แ
หูก่วงเซิงหัวเราะเยาะ “ลำพังพวกเจ้าเพียงหยิบมือนี้น่ะหรือ? หึ ๆ ช่างประมาณตนสูงเสียจริง!”กำแพงเมืองเจียวโจวสูงหกถึงเจ็ดจั้ง เขามิคิดว่าหม่าเวยและคนเหล่านี้จะสามารถปีนขึ้นไปได้หม่าเวยกล่าวด้วยสีหน้าขมขื่น “อย่างน้อยก่อนที่จะปะทะเข้ากับพวกเจ้า พวกเราก็ยังคงมั่นใจมากทีเดียว”“ฮ่า ๆ พวกโง่เขลาเอ๋ย เอาเถอะ ในเมื่อความดีความชอบมาประเคนให้ถึงปากประตูแล้ว มิรับไว้คงน่าเสียดายแย่ ใครก็ได้!”“ขอรับ!”“ปิดปากพวกมันทั้งหมด แล้วส่งคนสองสามคนไปเฝ้าพวกมันในป่าให้ดี!”“ท่านแม่ทัพหู ในเมื่อพวกมันเป็นสายสืบของหนานเยวี่ย ไฉนมิควบคุมตัวพวกมันกลับเมือง ไปส่งให้ท่านแม่ทัพใหญ่จัดการเล่าขอรับ?”หูก่วงเซิงเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง “นำคนกลับไปยามนี้ แล้วพวกเราจะลอบโจมตีกองทัพหนานเยวี่ยต่อหรือไม่?”“จริงด้วย พวกมันถูกพวกเรามัดไว้แล้ว ไม่มีทางหลบหนีไปได้ ส่งคนไปเฝ้าพวกมันไว้ก็พอ รอจนกระทั่งพวกเราได้ชัยกลับมา ค่อยคุมตัวคนพวกนี้กลับเมือง เช่นนี้จะได้ความดีความชอบเพิ่มขึ้นอีกอย่างไรเล่า!”ดวงตาของหม่าเวยกลอกไปมา เอ่ยปากกล่าว “ท่าน… ท่านแม่ทัพหู ท่านแน่ใจหรือว่าจะลอบโจมตีกองทัพหนานเยวี่ยของพวกเรา?”“หากเป็นเช่
“ท่านแม่ทัพหู แผนนี้ยอดเยี่ยมจริง ๆ ออกจากประตูเมืองฝั่งเหนือแล้วอ้อมไปอีกหน่อย ก็ลอบโจมตีทัพหนานเยวี่ยได้เหมือนเดิม!”“ไป เร่งฝีเท้า!”ดังนั้น กองทหารของพวกเขาจึงเดินทางมายังใต้ประตูเมืองฝั่งเหนือแม่ทัพรักษาการณ์ที่นี่เห็นหูก่วงเซิงและพวก จึงไต่ถาม “ท่านแม่ทัพหู นี่พวกท่านจะทำการใด?”“ในเมืองผู้คนพลุกพล่านเกินไป พวกเราจะออกไปพักผ่อนนอกเมืองสักหน่อย วันพรุ่งพวกเราจะย้ายค่ายทหารไปตั้งไว้นอกเมืองฝั่งเหนือเช่นกัน เพื่อความสะดวกในการฝึกทหาร”เมื่อได้ยินดังนั้น ทหารรักษาการณ์ก็โบกมือให้คนเปิดประตูเมืองจะตำหนิว่าเขาประมาทเกินไปก็มิได้ ท้ายที่สุดแล้วนอกเมืองทางฝั่งเหนือยังมีทหารประจำการอยู่เป็นจำนวนมิน้อย ทหารที่เข้าออกประตูเมืองทางฝั่งเหนือจึงมีจำนวนมากเป็นทุนเดิมหลังจากที่ออกนอกเมืองได้อย่างราบรื่น หูก่วงเซิงจึงนำกองทัพทหารม้าพันนายมุ่งหน้าลงใต้!ขณะเดียวกันนอกประตูเมืองเจียวโจวทางฝั่งใต้ เงาร่างสิบกว่าร่างพุ่งออกมาจากป่าละเมาะห่างออกไปมิไกลนักพวกเขามีท่าทางคล่องแคล่ว เพียงชั่วพริบตาก็เข้าไปซุ่มซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้เตี้ย ๆ ฝั่งหนึ่งหลังจากที่สังเกตการณ์บนกำแพงเมืองอยู่ครู่หน
“ท่านแม่ทัพหู กองทัพหนานเยวี่ยแตกพ่ายในวันนี้ บัดนี้คงอกสั่นขวัญแขวนกันอยู่เป็นแน่ หากพวกเรานำทัพไปลอบโจมตี อย่างไรก็ต้องสำเร็จ! ถึงเวลานั้นหากสำเร็จ ท่านแม่ทัพใหญ่จะเอาผิดพวกเราที่ยกทัพไปโดยพลการได้อย่างไร?”ชายร่างกำยำอีกด้านกล่าวสำทับ “รองแม่ทัพหลิวกล่าวได้ถูกต้อง ท่านแม่ทัพหู พวกเราอุตส่าห์บุกป่าฝ่าดงมาถึงเจียวโจวก็มิใช่อื่นใด นอกเสียจากเพื่อสร้างความดีความชอบให้มากยิ่งขึ้นพวกเราสร้างความดีความชอบในเจียวโจวมากเท่าไร พระเกียรติของท่านอ๋องฉู่ในราชสำนักก็จะยิ่งสูงส่งมากขึ้นเท่านั้น ทุกสิ่งที่พวกเราทำ ล้วนเพื่อท่านอ๋องฉู่ทั้งสิ้น!”“ถูกต้อง พวกเราคือคนของท่านอ๋องฉู่ ท่านแม่ทัพใหญ่ย่อมมิอาจตำหนิพวกเราที่ออกรบโดยพลการได้ ท่านแม่ทัพหู ท่านรีบตัดสินใจเถิด โอกาสมิคอยท่า เวลามิหวนคืน!”“ท่านแม่ทัพหู คนขององค์รัชทายาทออกนอกเมืองไปครึ่งชั่วยามแล้ว หากพวกเรามิรีบเร่งติดตามไป เกรงว่าน้ำแกงก็มิได้ซด อย่าหวังจะได้กินเนื้อเลยขอรับ!”ด้วยคำยุยงของเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชา ดวงตาของหูก่วงเซิงก็ค่อย ๆ แน่วแน่ขึ้น!เขาพยักหน้าหนักแน่น กล่าวเสียงทุ้มต่ำ “สั่งให้เหล่าสหายทั้งหลายเตรียมตัวให้พร้อม อีกห
หูก่วงเซิงยกไหสุราขึ้นกระดกไปหลายอึก และแค่นเสียง “หึ ศึกที่ได้ชัยชนะในวันนี้ หากมิใช่เพราะทหารม้าหุ้มเกราะของพวกข้าบุกตะลุยอยู่แนวหน้า มีหรือกองทัพหนานเยวี่ยจะถูกสังหารจนแตกพ่ายยับเยิน?ทว่าในงานเลี้ยงฉลองชัย ท่านแม่ทัพใหญ่กลับมิเอ่ยถึงความดีความชอบของพวกข้าแม้แต่คำเดียว เอาแต่ชื่นชมองค์รัชทายาทมิขาดปากข้าสงสัยนัก องค์รัชทายาทเพียงแต่นำอาวุธที่กรมโยธาธิการประดิษฐ์ขึ้นใหม่มาด้วยเท่านั้น มีสิ่งใดน่าสรรเสริญกัน?”รองแม่ทัพที่นั่งอยู่ข้างกายเขาขมวดคิ้ว กล่าว “ท่านแม่ทัพหู ท่านว่าเช่นนี้เห็นทีจะมิถูกกระมัง อาวุธเหล่านั้นล้วนเป็นสิ่งที่องค์รัชทายาททรงออกแบบ ศึกครานี้ชนะได้ ก็เป็นเพราะพระองค์”“ใช่แล้ว อีกอย่างที่ทหารม้าหุ้มเกราะของพวกท่านบุกตะลุยกองทัพหนานเยวี่ยได้ไร้ผู้ใดขัดขวาง ก็มิใช่เป็นเพราะมีอาวุธที่องค์รัชทายาททรงออกแบบให้การคุ้มครองหรอกหรือ มิเช่นนั้นกองทัพหนานเยวี่ยจะปล่อยให้พวกท่านบุกตะลุยในแนวรบโดยมิอาจโต้ตอบได้เลยด้วยเหตุใดเล่า?”หูก่วงเซิงเผยสีหน้าดูแคลน หัวเราะเยาะ “องค์รัชทายาทที่เอาแต่เสพสุขไปวัน ๆ ไฉนจึงออกแบบอาวุธร้ายกาจถึงเพียงนี้ได้? พวกเจ้าก็ช่างหูเบากันเสียจริง ใ
หลังจากที่ฟังเขาจนจบ ฉงชูโม่ขมวดคิ้วถาม “แผนการของท่านดีก็จริง ทว่าหากพวกมันมิมาในคืนนี้เล่า?”“คืนนี้พวกเราจัดงานเลี้ยงฉลองชัย พวกมันต้องปักใจเชื่อว่ากำลังป้องกันเมืองของพวกเราหย่อนยาน คืนนี้หากพวกมันมิลงมือ ภายหน้าคงไม่มีโอกาสดีเช่นนี้อีกแล้ว ดังนั้นคืนนี้พวกมันต้องลงมือเป็นแน่”“เช่นนั้นก็ได้ ทำตามที่ท่านว่าก็แล้วกันเพคะ!”ฉินซูพยักหน้าเล็กน้อย แล้วกล่าวต่อ “อีกอย่าง คืนนี้เจ้าจงส่งทหารสองกองไปซุ่มอยู่หลินสุ่ยและเซี่ยอ้าว เมื่อทัพใหญ่หนานเยวี่ยปรากฏกาย จงปล่อยให้พวกมันเข้ามา รอจนกระทั่งเสียงฆ่าฟันนอกเมืองดังขึ้นค่อยตลบหลังโจมตีกองทัพหนานเยวี่ย จากนั้นจึงเข้าตีกระหนาบหน้าหลัง กวาดล้างพวกมันในคราเดียว!”ฉงชูโม่ถามอย่างตกตะลึง “ท่านคิดว่าคืนนี้พวกหนานเยวี่ยจะบุกโจมตีด้วยทัพใหญ่หรือเพคะ?”“พูดได้แต่เพียงมีความเป็นไปได้สูงนัก”“หม่อมฉันว่ามีความเป็นไปได้น้อย เนื่องจากเติ้งหม่างเพิ่งประสบความพ่ายแพ้ในวันนี้ ซ้ำร้ายทหารใต้บัญชาของเขายังหวาดหวั่นเกรงกลัวธนูทดกำลังและระเบิดสายฟ้าของพวกเราจนหัวหด หากยังมิล่วงรู้ว่าพวกเรามีธนูทดกำลังและระเบิดสายฟ้าเหลืออยู่มากน้อยเพียงใด พวกมันคงมิกล้าผล
ฉินซูหัวเราะแห้ง ๆ แล้วกล่าวติดตลก “ข้าแค่กังวลว่าเจ้าจะหึงหวงข้า”ฉงชูโม่ถ่มน้ำลาย “ถุย ใครจะหึงท่านกัน อย่าได้หลงตัวเองไปหน่อยเลย!”“อะแฮ่ม ๆ เรื่องนั้นช่างมันเถิด ที่จริงข้ามีธุระสำคัญ...”ฉงชูโม่ขัดขึ้นมาเสียก่อน “มีกระไรก็รีบว่ามา อย่ามัวอ้อมค้อม”ฉินซูปรับสีหน้าให้เคร่งขรึม แล้วเอ่ยถาม “วันนี้ที่พวกเรามีชัยเหนือแคว้นหนานเยวี่ย ในความเห็นของเจ้า พวกมันจะทำอย่างไรต่อไป?”“ชัยชนะในวันนี้ ต้องยกความดีความชอบให้กับพลานุภาพของธนูทดกำลังและระเบิดสายฟ้า กองทัพหนานเยวี่ยประสบความพ่ายแพ้ย่อยยับถึงเพียงนี้ หากหม่อมฉันเป็นเติ้งหม่าง คงต้องหาทางนำอาวุธทั้งสองชนิดนี้ไปให้ได้!”เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินซูจึงอดมิได้ที่จะมองนางด้วยสายตาชื่นชมสมแล้วที่ฉงชูโม่เป็นแม่ทัพขั้นหนึ่งที่มากล้นด้วยสติปัญญาและความกล้าหาญ สามารถเดาใจศัตรูได้ล่วงหน้าเช่นนี้“เมื่อรู้ถึงเจตนาของเติ้งหม่างผู้นั้นแล้ว เราควรจะลองมาล่อเสือออกจากถ้ำดูสักครา”“ตรัสเช่นนี้ แสดงว่าท่านทรงคิดแผนการรับมือไว้แล้วหรือ?”ฉงชูโม่เอี้ยวศีรษะมองฉินซู ดวงตาคู่งามกระจ่างใสนั้นเต็มไปด้วยความประหลาดใจหางตาฉินซูเหลือบมองอ่างอาบน้ำโดยม
“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ องค์รัชทายาท ขอพระองค์โปรดเมตตา”ทั้งสองกล่าวพร้อมคุกเข่าลงต่อหน้าฉินซูฉินซูจนปัญญา จึงตะโกนเข้าไปในกระโจม “ชูโม่ ให้ข้าเข้าไปเถิด ข้าขออธิบายให้เจ้าฟังดี ๆ มิได้หรือ?”ทว่าข้างในกลับไร้เสียงตอบรับฉินซูยังคงมิยอมแพ้ กล่าวต่อไป “ชูโม่ เจ้าอย่าหึงหวงนักเลย อย่างน้อยก็ให้ข้าอธิบายสักหน่อยเถิด”เมื่อได้ยินถ้อยคำเหล่านั้น ทหารยามทั้งสองก็อดมิได้ที่จะสบตากัน!ให้ตายสิ ท่านแม่ทัพใหญ่กับองค์รัชทายาทมีความสัมพันธ์ช่างลึกซึ้งเกินคาด!!สีหน้าของพวกเขาทั้งสองฉายแววตกตะลึง ราวกับได้รับข่าวเด็ดข่าวใหญ่ฉินซูเกลี้ยกล่อมอีกสองสามประโยค ทว่าในกระโจมก็ยังคงไร้เสียงตอบรับเมื่อเห็นดังนั้น ฉินซูจึงหันไปถามทหารยามทั้งสอง “ชูโม่อยู่ข้างในจริง ๆ หรือ?”“พ่ะย่ะค่ะองค์รัชทายาท ท่านแม่ทัพใหญ่เข้าไปแล้วก็ยังมิได้ออกมาเลยพ่ะย่ะค่ะ”“ไม่มีประตูด้านหลังใช่หรือไม่?”“ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ”“มิได้การ ชูโม่อาจจะเป็นกระไรไปแล้วก็ได้!”กล่าวถึงตรงนี้ ฉินซูจึงตะโกนเข้าไปด้านใน “ชูโม่ ข้าจะเข้าไปแล้วนะ”ขณะที่ฉินซูกำลังจะก้าวเท้าเข้าไป ทหารยามทั้งสองก็รีบร้องทัดทาน “มิได้พ่ะย่ะค่ะองค์รัชทายาท ห
ขณะเดียวกันกองหนุนทัพหนานเยวี่ยภายในค่ายทหารแม่ทัพนายกองทั้งหลายต่างจับจ้องไปยังบุรุษบนที่นั่งหัวโต๊ะด้วยใจระทึกบุรุษผู้นั้นสวมชุดเกราะสีเงินยวง ร่างกายสูงใหญ่ผึ่งผาย!เขาคือแม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพหนานเยวี่ย เติ้งหม่าง!สายตาเย็นเยียบของเขากวาดมองไปยังกลุ่มคนทีละคน สุดท้ายจับจ้องที่แม่ทัพน้อยหม่า“หม่าเวย เจ้าสำนึกผิดหรือไม่?”หม่าเวยรีบคุกเข่าลงข้างหนึ่ง กล่าวด้วยสีหน้าขมขื่น “ท่านแม่ทัพใหญ่ ข้าน้อยสำนึกผิดแล้ว ทว่าอาวุธของต้าเหยียนคราวนี้ร้ายกาจเหลือเกิน โล่เกราะหวายของพวกเราเมื่อเผชิญกับลูกธนูของพวกมันก็มิต่างกระไรจากดินเหนียว ยิงคราเดียวก็ทะลุง่ายดาย!”“ใช่แล้วท่านแม่ทัพใหญ่ โล่เกราะหวายที่พวกเราเคยภาคภูมิใจนักหนา บัดนี้มิอาจหวังพึ่งได้อีกแล้วขอรับ”“มิเพียงเท่านั้น ทางต้าเหยียนยังใช้อาวุธเพลิงร้ายกาจชนิดหนึ่ง ของสิ่งนั้นอานุภาพร้ายแรงยิ่งนัก ทหารมิใช่น้อยถูกระเบิดจนร่างแหลกมิเหลือชิ้นดีเลยขอรับ”เมื่อกล่าวถึงระเบิดเพลิง หลายคนยังคงหวาดผวาเติ้งหม่างขมวดคิ้วมุ่น และกล่าวพึมพำ “กองทหารรักษาการณ์เจียวโจวถูกพวกเราโจมตีมาเกือบเดือน บัดนี้จู่ ๆ กลับปรากฏอาวุธร้ายกาจถึงเพียงนี