ทันทีที่เสียงนี้จบลง สวีหลายก็พลันหันกลับไปอย่างรวดเร็ว ครั้นแล้วก็เห็นเงาร่างสูงเพรียวเดินออกมาจากห้องโถงของโรงเตี๊ยม คนผู้นี้สวมหน้ากากและเสื้อคลุมสีดำจึงมิสามารถมองเห็นใบหน้าที่แท้จริงได้ชัดเจน แต่จากเสียงก็สามารถประเมินได้ว่าเป็นผู้อาวุโส สวีหลายสำรวจมองชายชุดดำก่อนจะยกมือขึ้นคำนับแล้วกล่าวว่า “ผู้น้อยสวีหลาย ได้พบผู้อาวุโส มิทราบว่าผู้อาวุโส… เอ๊ะ?!” เขาพูดมิทันจบก็อุทานด้วยความประหลาดใจทันที จากนั้นเขาพูดด้วยความตกใจ “ท่านคือองค์รัชทายาทงั้นหรือ?” ในดวงตาของชายชราฉายประกายประหลาดใจวาบขึ้นก่อนจะหรี่ตาแล้วถามว่า “เจ้าพูดว่าอะไรนะ?” สวีหลายเหลือบมองด้านในโรงเตี๊ยมแล้วพูดอย่างจริงจัง “จี้หยกที่ห้อยอยู่บนเข็มขัดของท่านเหมือนกับที่องค์รัชทายาททรงสวมครั้งเมื่อตอนเสด็จลงใต้ไม่มีผิด ยิ่งไปกว่านั้นองค์รัชทายาทที่หมดสติอยู่ภายในโรงเตี๊ยมเมื่อครู่ บัดนี้ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย หากท่านมิใช่องค์รัชทายาทแล้วยังเป็นผู้ใดได้อีกหรือ?” ชายชุดดำก้มลงมองจี้หยกที่เข็มขัดโดยมิรู้ตัวก่อนจะยิ้มเจื่อนและส่ายหัว “คิดไม่ถึงจริง ๆ เลยว่าเจ้าจะสังเกตได้ละเอียดถึงเพียงนี้ เป็นข้าที่ประมาทเอ
เมื่อฉินซูได้ยินก็เกรี้ยวกราดจนถึงกับทุบโต๊ะที่อยู่ข้าง ๆ แตกเป็นเสี่ยง ๆ!“มีอย่างที่ไหน ขุนนางสุนัขพวกนี้อาจหาญนัก!” สวีหลายหรี่ตาลงเล็กน้อยก่อนจะถามว่า “องค์รัชทายาททรงทราบถึงสถานการณ์ในเหลียงโจวแล้ว ขอทูลถามว่าเมื่อเสด็จถึงเหลียงโจวแล้วทรงตั้งพระทัยจะจัดการเช่นไรหรือพ่ะย่ะค่ะ?” ฉินซูตอบด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “หากพวกขุนนางและพ่อค้าสมคบคิดกันจนสร้างความเดือดร้อนจริง ข้าจะกวาดล้างวงราชสำนักในเมืองเหลียงโจวคืนความสงบสุขให้แก่ราษฎรเมืองเหลียงโจว” พูดถึงตรงนี้เขาก็มองสวีหลายและกล่าวต่อว่า “หากเจ้าเชื่อใจตัวข้า จงนำคนของเจ้าไปยังเป่ยเหลียงด้วยกัน ส่วนเงินและอาหารบรรเทาทุกข์ภาคใต้ ข้าจะคิดหาวิธีเอง” “พ่ะย่ะค่ะ เช่นนั้นข้าน้อยจะพาภรรยาเดินทางไปยังเป่ยเหลียงทันที เมื่อองค์รัชทายาทเสด็จถึงเหลียงโจว ข้าน้อยจะมอบของกำนัลชิ้นใหญ่ให้ท่าน!”ฉินซูประหลาดใจเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะเบา ๆ และถามว่า “เจ้าเชื่อมั่นในตัวข้าจริงหรือ? ในเมื่อก่อนหน้านี้ชื่อเสียงของข้ามิค่อยดีนัก” สวีหลายหัวเราะเปิดเผย “จริงอยู่ที่ก่อนหน้านี้ชื่อเสียงของท่านทรงมิค่อยดีนัก ทว่ามินานมานี้องค์รัชทายาททรงสามารถเอาชนะวรรณก
“องค์รัชทายาท องค์รัชทายาท ตื่นเร็วเพคะ” นางร้องเรียกไปพลางยื่นมือไปเขย่าตัวฉินซูไปพลาง จากนั้นครู่หนึ่ง ฉินซูค่อย ๆ ตื่นขึ้นมาช้า ๆ ฉินซูมองซ้ายมองขวาก่อนจะแสดงสีหน้าสับสนออกมา “เสวี่ยเจี้ยน นี่พวกเราเป็นอะไรไป?” “เมื่อครู่พวกเราถูกวางยาพิษและสลบไป!” “ว่ากระไรนะ?! แล้วเงินบรรเทาภัยพิบัติเล่า?!” ฉินซูทำหน้าร้อนใจอย่างยิ่งแล้ววิ่งออกไปข้างนอกลานทันที แต่กู้เสวี่ยเจี้ยนดึงเขาไว้แล้วเอ่ยว่า “องค์รัชทายาทโปรดวางพระทัย เงินยังอยู่ ปลุกพวกเขาก่อนแล้วค่อยว่ากันเถิดเพคะ” ฉินซูพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก้มลงไปเรียกเซี่ยหลานเบา ๆ ที่ข้างหู หลังจากนั้นมินานเซี่ยหลานและคนอื่น ๆ ก็ตื่นขึ้นมา เมื่อรู้ว่าพวกตนเพิ่งจะถูกยาสลบจนหมดสติ ตงฟางไป๋ก็โกรธจัด รีบพาลูกน้องไปคิดบัญชีกับเจ้าของโรงเตี๊ยมและพ่อครัวในครัวทันที แต่เขากลับพบว่ามิว่าจะเป็นเจ้าของโรงเตี๊ยม เด็กรับใช้และพ่อครัวก็ยังคงหลับใหลอยู่ในเวลานี้จากนั้นตงฟางไป๋และคนอื่น ๆ ก็ต่างตรวจสอบหีบทุกใบจนทั่วหลังจากตรวจสอบเสร็จก็พบว่าเงินห้าแสนตำลึงยังอยู่ครบ สิ่งนี้ทำให้พวกเขางุนงงยิ่งกว่าเดิม สวีเซี่ยงเฉียนถามด้วยท่าทางสับ
ฉินซูพูดอย่างมิสบอารมณ์ว่า “เจ้าหน้านิ่วคิ้วขมวดเพราะกำลังกังวลว่าจะกราบทูลเรื่องที่เกิดขึ้นคืนนี้ต่อเสด็จพ่อดีหรือไม่ ใช่หรือไม่เล่า?” เซี่ยหลานพยักหน้าอย่างห่อเหี่ยว “ท่านเองทรงทราบถึงพระราชโองการที่ฝ่าบาทประทานให้หม่อมฉัน แต่ว่าหม่อมฉันมิอยากทรยศท่าน…” “เฮ้อ นี่เรียกว่าทรยศที่ไหนกันเล่า พระราชโองการย่อมมิอาจฝ่าฝืน เจ้าเพียงแค่รายงานเรื่องที่เกิดขึ้นในสองวันนี้กลับไปก็พอ” “แต่ถ้าทำเช่นนี้ มันก็เท่ากับเป็นการยืนยันว่ามียอดฝีมือช่วยเหลืออยู่เบื้องหลังท่านจริง ๆ มิใช่หรือเพคะ?” “ยืนยันก็ยืนยันสิ ถึงอย่างไรตอนนี้ทุกคนก็สงสัยเช่นนี้อยู่แล้ว” “ทว่าหลังจากที่พวกเขายืนยันเรื่องนี้แล้ว ขั้นต่อไปพวกเขาอาจคิดหาวิธีจัดการยอดฝีมือที่อยู่เบื้องหลังท่าน หม่อมฉันมิปรารถนาเช่นนี้เลย” เซี่ยหลานยังคงมีสีหน้าพะว้าพะวัง ฉินซูยิ้มบาง ๆ และเอ่ยว่า “หากเจ้ามิรายงานตามจริง ก็เท่ากับเป็นการหลอกลวงองค์จักรพรรดิ อีกทั้งแม้เจ้าจะมิปริปาก แล้วเจ้าคิดว่าพวกถานเหวยจะปิดปากเงียบได้หรือ?” เซี่ยหลานเพื่งจะรู้ตัวก็พูดขึ้นว่า “ก็จริงเพคะ ในฐานะที่ถานเหวยเป็นเสนาบดีกรมพระคลัง องค์จักรพรรดิเองก็อาจทรงมีพระ
จากนั้นเขาก็ยิ้มตาหยีพร้อมกับกล่าวว่า “องค์รัชทายาททรงเดินทางมาอย่างเหน็ดเหนื่อย อย่างไรก็ขอท่านโปรดเสด็จไปยังที่ว่าการมณฑลเพื่อพักผ่อนเสียหน่อยเถิดพ่ะย่ะค่ะ” “ได้ นำทางเถิด” “เชิญเสด็จพ่ะย่ะค่ะ!” หนึ่งเค่อต่อมา ฉินซูและคนอื่น ๆ ก็มาถึงที่ว่าการมณฑล หลังจากเข้าไปในที่ว่าการมณฑล เฉินจางก็ยุ่งอยู่กับการเทชาและส่งน้ำอย่างเพลิดเพลินฉินซูยกถ้วยชาขึ้นมาแล้วเหลือบมองจากนั้นก็จิบไปหนึ่งอึกแล้วกล่าวด้วยความสนใจว่า “กลิ่นหอมอบอวล รสชาติชุ่มคอ ชานี้มิเลวเลย ใต้เท้าเฉิน” เฉินจางยิ้มแย้มอย่างปลื้มปีติ “องค์รัชทายาท นี่คือชาเซียนหาวจากฮั่นจงชั้นยอด เก็บจากยอดแรกและยังสดใหม่ แค่มิกี่ชั่ง[footnoteRef:0]กว่าข้าน้อยจะหาซื้อมาได้ก็ยากเย็นนัก หากองค์รัชทายาททรงโปรด เมื่อเสด็จกลับก็โปรดนำกลับไปด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ ถือว่าเป็นการแสดงความเคารพจากข้าน้อย” [0: ชั่ง เป็นหน่วยวัดของจีน 1 ชั่ง = 0.5 กิโลกรัม] “ชาเซียนหาวจากฮั่นจงชั้นยอด ราคาคงมิถูกเลยกระมัง?” “มิถูกเลยพ่ะย่ะค่ะ ข้างนอกขายกันห้าสิบหกสิบตำลึงต่อชั่งเลยทีเดียว!” ทันทีที่เฉินจางพูดจบ กู้เสวี่ยเจี้ยนก็ตะคอกอย่างเย็นชา “หึ ใต้เท้าเฉิ
“เหอะ ๆ ถึงเวลาพวกเจ้าก็รู้เอง” ดวงตาเฉินจางกลอกไปมา ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ เหมือนชายชราที่มากด้วยเล่ห์โจวเซินปรับสีหน้าให้จริงจังแล้วกล่าวว่า “ใต้เท้าเฉิน เมื่อครู่ผู้ใต้บังคับบัญชารายงานมาว่า มีคนจากสามอำเภอเหรากู่ ฉงซานและเป่ยเซียงเดินทางมาที่นี่ขอรับ” เฉินจางคิ้วขมวดพลางพูดด้วยสีหน้ามิพอใจ “ส่งคนไปเฝ้าถนนเส้นหลักไว้แล้วมิใช่หรือไร เหตุใดจึงปล่อยชาวบ้านผู้ประสบภัยออกมาได้อีก?” “มิใช่ผู้ประสบภัย ครั้งนี้ที่มาคือคนของที่ว่าการอำเภอเองขอรับ” “ที่ว่าการอำเภอ? พวกเขาส่งคนมาทำอะไร?” “มาพูดเรื่องเสบียงอาหารขอรับ พวกเขายังเอาแต่พูดด้วยว่าถ้ามิได้เสบียงก็จะมิกลับ!”โจวเซินมีสีหน้ากระวนกระวายใจ เห็นได้ชัดว่าเขารังเกียจเรื่องนี้ เฉินจางโกรธขึ้นมาทันที “หึ อาจหาญนัก ถึงกลับกล้ามาข่มขู่ถึงที่ว่าการมณฑลของเรา!” เขาตะโกนใส่หัวหน้ากองตรวจการที่อยู่ข้าง ๆ “ไล่พวกมันออกไป ถ้ากล้าสร้างความวุ่นวายก็หักขาพวกมันทิ้งเสีย!” หัวหน้ากองตรวจการกำลังจะรับคำสั่ง แต่ขุนนางคนหนึ่งรีบเอ่ยว่า “ใต้เท้าเฉิน เช่นนี้มิได้ขอรับ ครั้งนี้ที่มาเป็นผู้ว่าการอำเภอทั้งสิ้น หากลงมือเกรงว่าจะทำให้เร
เมื่อนางบรรเลงเพลงจบ เฉินจางก็ปรบมือชื่นชมขึ้นมาทันที“เสียงพิณช่างเบาสบายทำให้คนฟังเคลิบเคลิ้มจริง ๆ สมแล้วที่เป็นบุตรีสุดที่รักของข้าเฉินจาง!” หว่านเอ๋อร์ถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ “ท่านพ่อ? เหตุใดจึงกลับมาไวเช่นนี้หรือเจ้าคะ วันนี้ที่ว่าการมณฑลไม่มีงานหรือเจ้าคะ?” “มีสิมี แต่ว่าพ่อกลับมาเพราะมีเรื่องมงคลยิ่งนักมาบอกเจ้า!” “เรื่องมงคลอะไรหรือเจ้าคะ?” เฉินจางมิตอบ แต่กลับถามกลับว่า “หว่านเอ๋อร์ เจ้าบอกพ่อสิ ว่าเจ้าอยากจะโบยบินขึ้นไปบนยอดกิ่งไม้แล้วกลายเป็นนางพญาหรือไม่?” เฉินหว่านเอ๋อร์งงงวยเล็กน้อยพลางขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “ท่านพ่อ ท่านหมายความว่ากระไรเจ้าคะ?” “องค์รัชทายาทเสด็จมาที่เมืองเหลียงโจวของพวกเราแล้ว ตอนนี้ทรงพักผ่อนอยู่ในที่ว่าการมณฑล พ่อจึงวางแผนว่าจะเชิญองค์รัชทายาทมาเลี้ยงรับรองที่บ้านของเราคืนนี้ จากนั้นเจ้าจงทำตัวให้ดี ทำให้องค์รัชทายาทพอพระทัยให้ได้ เช่นนั้นเจ้าก็จะกลายเป็นนางพญาที่โบยบินไปบนยอดกิ่งไม้!” ใบหน้าของเฉินหว่านเอ๋อร์เต็มไปด้วยความสุขและความตื่นเต้น แต่มินานนัก รอยยิ้มบนใบหน้าของนางก็แข็งทื่อ “ท่านพ่อ สถานะขององค์รัชทายาทสูงส่งนัก พระองค์จะทรงโ
จางเฟิงสีหน้าลำบากใจพร้อมกับโบกมือ “ข้าเองก็อับจนหนทาง บัดนี้ทั่วทั้งเมืองเหลียงโจวของพวกเรากำลังขาดแคลนอาหาร” ผู้ว่าการอำเภอของอำเภอเหรากู่กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ใต้เท้าจาง ได้ยินว่าทางราชสำนักส่งเงินบรรเทาภัยพิบัติมาถึงเหลียงโจวแล้วมิใช่หรือ? หากในเมืองไม่มีเสบียงอาหารแล้วจริง ๆ เช่นนั้นท่านก็ช่วยจัดสรรเงินนั้นให้พวกเราสักหน่อยเถิด พวกเราจะได้นำไปซื้อเสบียงที่เมืองหรืออำเภออื่น” อีกสองคนก็เห็นด้วยเช่นกัน “ใช่แล้ว เสบียงหมดแล้วก็จัดสรรเงินให้เราไปซื้อเสบียงบรรเทาภัยพิบัติเถิด” “ว่ากันว่าราชสำนักส่งเงินมาถึงห้าแสนตำลึง อำเภอฉงซานของพวกเรามีจำนวนผู้ประสบภัยมากที่สุด ยามนี้ทุกครัวเรือนขาดแคลนน้ำและอาหาร ขอให้ทางที่ว่าการมณฑลจัดสรรเงินให้เราหนึ่งแสนตำลึงเพื่อแก้ไขปัญหาเร่งด่วนนี้ด้วยเถิด” จางเฟิงทำสีหน้าเคร่งขรึมพร้อมตะคอกอย่างเย็นชาทันที “หนึ่งแสนตำลึงงั้นรึ? หึ เจ้าก็กล้าขออย่างเกินควรนักนะ!” “ใต้เท้าจาง ข้าน้อยหาได้ขอเกินควรไม่ จากสถานการณ์ในฉงซานยามนี้ต้องใช้เงินอย่างน้อยสองแสนตำลึงจึงจะผ่านพ้นภัยพิบัติครั้งนี้ไปได้นะขอรับ” “หยุดเลย อย่าว่าแต่หนึ่งแสนตำลึง ตอนนี้แม้แต
หนึ่งชั่วยามต่อมาฉินซูและคนอื่น ๆ กลับมาถึงที่ว่าการอำเภอเหรากู่ พบว่ามีเหล่าเจ้าหน้าที่จำนวนมากมุงล้อมรอบอยู่หน้าประตูที่ว่าการอำเภอ ถานเหวยจึงเอ่ยถาม "ใต้เท้าเว่ย เกิดเรื่องอะไรขึ้น?"ผู้ว่าการเว่ยเห็นฉินซูและคนอื่น ๆ กลับมาก็รีบรุดหน้าเข้ามาพบเขาดูตื่นตระหนกอย่างมากและกล่าวขึ้น "องค์รัชทายาท เกิดเรื่องใหญ่แล้ว! ผู้ตรวจการของเราถูกสังหารไปหลายคน ส่วนใต้เท้าเซี่ยเองก็ถูกคนชั่วนั่นจับตัวไปด้วยพ่ะย่ะค่ะ!"“ว่ากระไรนะ?!”ฉินซูเปลี่ยนสีหน้า ถามเสียงเข้มว่า “เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่?”“ข้าน้อยเองก็มิทราบรายละเอียดนัก แต่คนร้ายได้เขียนข้อความทิ้งไว้ตรงหน้าประตูที่ว่าการอำเภอ หากพระองค์...”มิทันพูดจบ ฉินซูก็ก้าวยาว ๆ ผ่านฝูงชนตรงไปตรงหน้าประตูที่ว่าการอำเภอบนประตูมีข้อความถูกจารึกไว้อย่างแข็งแกร่งและทรงพลัง "ฉินซู หากอยากช่วยสตรีของเจ้าก็จงมาที่ลานหินแตกนอกเมือง หากเจ้ามิมาถึงก่อนอาทิตย์ตกดินก็รอรับศพสตรีของเจ้าซะ!"เมื่อเห็นสิ่งนี้ ใบหน้าของฉินซูก็ดุดันน่าสะพรึงกลัวกู้เสวี่ยเจี้ยนเหลือบมองฉินซูอย่างสงสัยเล็กน้อย จากนั้นก็จึงดึงปิ่นปักผมที่ปักไว้บนประตูออกมาหลังจากพินิจปิ
ผู้ตรวจการที่ประจำอยู่หน้าประตูมองเห็นชายผู้นั้น ก็เอ่ยถามขึ้น “ท่านลุง มีเรื่องอะไรจะมาแจ้งความหรือ?”ชายชราผู้มีผมขาวแต่ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ สวมเสื้อคลุมสีเทา มิใช่ใครอื่นนอกจากซือคงเหยียน!เขาถามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง "องค์รัชทายาทอยู่ที่ที่ว่าการอำเภอของพวกเจ้าหรือไม่?"ผู้ตรวจการหลายคนสบตากัน ก่อนที่หัวหน้ากลุ่มจะถามกลับด้วยความระมัดระวัง "ท่านเป็นใคร เหตุใดจึงสอบถามเรื่องนี้?"แววอำมหิตฉายไปทั่วใบหน้าของซือคงเหยียน มือใหญ่ของเขาพลันยื่นออกมา!เพียงชั่วพริบตา เขาก็คว้าคอผู้ตรวจการคนนั้นเอาไว้!ทันใดนั้นสีหน้าของคนอื่น ๆ ก็เปลี่ยนไป ทุกคนต่างชักดาบออกมา!“ปล่อยหัวหน้าของเราเดี๋ยวนี้! มิเช่นนั้นพวกเราจะมิเกรงใจแล้ว!”ซือคงเหยียนเหลือบมองพวกเขาและพูดอย่างหยามหยัน "แมลงตัวกระจ้อย ยังกล้าตะโกนใส่หน้าข้า ช่างมิรู้จักความตายเสียแล้ว!"สิ้นเสียงพูด เขายกมืออีกข้างออกมาตบผู้ตรวจการคนนั้นผ่านอากาศ!ลมปราณที่รวดเร็วสายหนึ่งพุ่งออกมาจากกลางฝ่ามือของเขา!ผู้ตรวจการหลายคนยังมิทันได้ขยับตัวก็ถูกแรงฝ่ามือนั้นซัดปลิวไปไกลถึงสี่หรือห้าจั้ง ก่อนจะตกกระแทกพื้นอย่างแรงหลังจากที่พวกเขาล้มลงกับ
ดวงตาของซือคงเหยียนฉายแววสังหาร จากนั้นเขาก็เริ่มค้นหาภายในป่าแต่หลังจากค้นหาอยู่นานก็มิพบอะไรเลยสีหน้าของเขาหม่นมืดลึกลับ และพึมพำกับตัวเอง“ทั่วทั้งป่ามีเพียงตรงนี้ที่มีเลือดของจื่อชิน แต่ว่าศพของเขาไปอยู่ที่ใดกัน? ต่อให้ถูกพวกปีศาจภูเขากิน ก็เป็นไปมิได้ที่จะหายไปมิเหลือร่องรอย!”ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องน่าประหลาดเกินไปแต่ตอนนี้ที่ยังหาศพของหนานกงจื่อชินมิพบ ซือคงเหยียนจึงทำได้เพียงเก็บความคับแค้นไว้ในใจและเดินออกจากป่าไปในตอนนั้นเอง ที่ถนนหลวงด้านนอก มีพ่อค้าเร่กลุ่มหนึ่งเดินผ่านพอดีชายคนหนึ่งพูดด้วยความดีใจอย่างยิ่ง "พี่เจียง เจ้าได้ยินแล้วหรือยังว่า องค์รัชทายาทแห่งแคว้นต้าเหยียนของเราได้สังหารบุตรแห่งนักปราชญ์หออะไรนั่นของเป่ยเยี่ยนแล้ว!"เมื่อได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าของซือคงเหยียนพลันมืดหม่นลง ร่างของเขาวูบไหวชั่วขณะก่อนปรากฏขึ้นตรงหน้าชายผู้นั้นราวกับภูติผีชายคนนั้นตกใจกับการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของซือคงเหยียนจนขาอ่อนและเซล้มลงกับพื้นเมื่อเห็นกลิ่นอายอำมหิตบนใบหน้าของซือคงเหยียน ชายคนนั้นก็ตื่นตกใจจนพูดอะไรแทบมิออก“เจ้า… เจ้าเป็นใคร คิดจะทำ… ทำอะไร?”ซือคงเ
“หวังฉือกับเนี่ยหงไอ้สุนัขสองตัวนั่น กล้าโจมตีพวกเราต่อหน้าเหล่าขุนนางเลยรึ น่าโมโหนัก!”ฉินหงปลอบใจเขา "เสด็จพี่สามใจเย็นก่อน ทั้งตุลาการศาลต้าหลี่และผู้ตรวจการฝ่ายซ้ายไม่มีทางก่อปัญหาใหญ่ได้หรอก เมื่อไหร่ที่รัชทายาทล้มลง พวกเขาก็จะกลายเป็นสุนัขไร้เจ้าของ ไยต้องไปถือสาหาความกับพวกเขาเล่า”“ข้าแค่หงุดหงิดเท่านั้นเอง อีกอย่าง เสด็จพ่อยังสั่งให้หัวหน้าสำนักจับตาดูหอดารารักษ์ แล้วคนจากหอดารารักษ์จะมีโอกาสไปแก้แค้นฉินซูได้อย่างไร?”“ความแข็งแกร่งของหอดารารักษ์มิได้ด้อยไปกว่าสำนักหอดูดาวหลวงเลย เจ้าสำนักคงมิสามารถควบคุมพวกเขาได้อย่างเบ็ดเสร็จ มิว่าจะอย่างไร เรื่องนี้ต้องทำให้องค์รัชทายาทยุ่งยากแน่นอน พวกเราแค่รอดูผลลัพธ์ก็พอ”ฉินหยางพยักหน้าเล็กน้อยและถามอีกครั้ง "ว่าแต่ มีข่าวคราวจากเรือสินค้าที่มุ่งใต้ไปยังหลิ่งหนานบ้างหรือไม่?"ฉินหงถอนหายใจ “ยังไม่มีเลย แต่ถ้าคำนวณเวลา ตอนนี้เรือลำนั้นน่าจะผ่านเขตเหยี่ยนโจวแล้ว”“หึ พวกโจรสลัดในเหยี่ยนโจวนั่นช่างไร้ประโยชน์เสียจริง ข้าวแปดพันต้านกับเงินหกแสนตำลึง ทั้งหมดนี้เป็นทรัพย์สินมหาศาล แต่พวกมันกลับมิกล้าลงมือ!”“คงมิแน่เสมอไปว่าจะมิกล้าลง
ฉินอู๋ต้าวยังมิทันได้แสดงท่าที หวังฉือก็โต้แย้งขึ้นมาทันควัน “ข้าน้อยมิเข้าใจคำพูดของอ๋องซิ่น ยามนี้ยังไม่มีหลักฐานที่แสดงว่าเป็นฝีมือขององค์รัชทายาทเลย แล้วเหตุใดท่านจึงต้องให้องค์จักรพรรดิทรงพิจารณาให้รอบคอบด้วยหรือ?”“นั่นสิ เป่ยเยี่ยนเดิมทีก็มีความตั้งใจจะล่วงล้ำพรมแดนของราชวงศ์ต้าเหยียนมาตลอด ยามนี้ยังมิได้มีการระดมทัพเลย แต่ท่านอ๋องซิ่นกลับกลัวแล้ว หากวันหนึ่งเป่นเยี่ยนระดมทัพขึ้นมาจริง ๆ ท่านจะมิสนับสนุนให้องค์จักรพรรดิแบ่งดินแดนให้เลยหรือพ่ะย่ะค่ะ?”ฉินหยางถูกหวังฉือและเนี่ยหงโต้กลับจนหน้าซีดในที่สุดบัดนี้เขาก็เข้าใจแล้วว่า หวังฉือและเนี่ยหง ทั้งสองเป็นขุนนางระดับสองที่กลายเป็นคนของฉินซูไปแล้วเขาเกิดความสงสัย ฉินซูเป็นองค์รัชทายาทผู้รอวันถูกปลด เขามีดีอะไรที่ทำให้ทั้งสองคนนั้นยอมรับเขาเป็นผู้นำ?แต่เมื่อเผชิญกับคำซักถามอย่างเข้มงวดของหวังฉือและเนี่ยหง เขาก็มิอาจอุบเงียบเอาไว้ได้ จึงแค่นเสียงเย็นชา"หึ! ข้าในฐานะจวิ้นอ๋องแห่งราชวงศ์ต้าเหยียน ต่อให้วันข้างหน้าสงครามปะทุขึ้นอีกครั้ง ก็ย่อมไม่มีทางให้เสด็จพ่อยอมสละดินแดนเพื่อขอสันติภาพ เพียงแต่ยามนี้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเร
ข่าวที่ว่าฉินซูได้สังหารบุตรแห่งนักปราชญ์ของหอดารารักษ์นั้นแพร่กระจายราวกับไฟป่า ก่อให้เกิดความปั่นป่วนทั้งในและนอกเมืองหลงเฉิงผู้คนต่างพูดถึงเรื่องนี้ทุกมื้อหลังอาหารบางคนยกย่องฉินซูว่าเขาทำให้ต้าเหยียนมีเกียรติบางคนถึงกับแอบส่ายหัว แม้ว่าฉินซูจะเป็นรัชทายาท ทว่าการสังหารบุตรแห่งนักปราชญ์ของหอดารารักษ์โดยไร้เหตุผลนั้นคงมิเป็นที่ยอมรับของราชสำนักเป่ยเยี่ยนและหอดารารักษ์ จากนี้ไปฉินซูองค์รัชทายาทผู้นี้อาจไม่มีวันมีชีวิตที่สงบสุขอีกต่อไปคนที่รู้สึกประหลาดใจที่สุดคงเป็นมู่หรงจื่อเยียนหลังจากที่ได้ยินข่าวนี้ ใจนางก็เกิดความสงสัยว่า คนที่ฆ่าหนานกงจื่อชินคือฉินซูจริง ๆ หรือ?แต่ฉินซูเก่งแค่วิชาตัวเบาเท่านั้น แล้วเขาจะสังหารหนานกงจื่อชินได้อย่างไร?ทว่าเมื่อนึกถึงเมื่อยามหลังจากที่ออกมาจากดินแดนแห่งความฝันนั้น ฉินซูเอาชนะอันธพาลเหล่านั้นได้ในพริบตา นางก็ตระหนักว่าความแข็งแกร่งของฉินซูนั้นมิธรรมดาเมื่อคิดถึงตรงนี้ นางก็รีบสงบสติอารมณ์ และบังคับให้ตัวเองใจเย็นลงหากมู่หรงฟู่รู้ว่าฉินซูมีฝีมือที่เหนือชั้นเช่นนี้ สถานการณ์ของฉินซูคงจะอันตรายอย่างมากต่อมา มู่หรงจื่อเยียนเลือกที่จะ
ฉินหงมองเนื้อหาในจดหมายเพียงครู่เดียว สีหน้าก็พลันเปลี่ยนไป!เขากล่าวเสียงทุ้มหนัก "เตรียมเกี้ยว ข้าจะไปจวนอ๋องซิ่น แล้วก็แจ้งให้ใต้เท้าหลินและใต้เท้าเซี่ยมาประชุมที่จวนอ๋องซิ่นด้วย!""พ่ะย่ะค่ะ!"สองเค่อต่อมาฉินหงพร้อมด้วยหลินซีและคนอื่น ๆ ก็มารวมตัวกันที่จวนอ๋องซิ่นฉินหยางถามอย่างสงสัย "น้องสี่ ดึกป่านนี้พวกเจ้ายังมากัน มีข่าวดีอะไรจากทางคูมู่หรือ?""ยังติดต่อคูมู่มิได้ แต่เสด็จพี่สาม พวกท่านลองดูนี่ก่อน"ฉินหงพูดพลางวางจดหมายฉบับนั้นลงบนโต๊ะฉินหยาง หลินซีและคนอื่น ๆ เข้ามาอ่านข้อความบนจดหมายโดยพร้อมเพรียงหลังจากได้อ่านแล้ว เซี่ยเหอก็เอ่ยขึ้นอย่างตกใจ "ว่ากระไรนะ? ฉินซูสังหารศิษย์เอกของหอดารารักษ์?!"ฉินหยางถามด้วยสีหน้าฉงน "น้องสี่ แน่ใจหรือว่าข่าวนี้เป็นความจริง?""น่าจะมิใช่เรื่องเท็จ ศิษย์เอกของหอดารารักษ์มีฐานะสูงส่งในแคว้นเป่ยเยี่ยน ผู้ใดจะกล้าพูดเล่นเกี่ยวกับเรื่องนี้""แต่ศิษย์เอกอย่างหนานกงจื่อชินมีพลังแข็งแกร่งนัก องค์รัชทายาทจะสังหารเขาได้อย่างไร?"หลินซีเองก็กล่าวเสริมขึ้นเช่นกัน "ใช่แล้ว แม้กู้เสวี่ยเจี้ยนแห่งสำนักหอดูดาวหลวงจะติดตามองค์รัชทายาทไปทางเหนือด้วยแต่ด้ว
นางพูดด้วยเสียงสะอื้นพร้อมถามกลับว่า "เสด็จพี่หมายความว่าอย่างไร? หรือท่านคิดว่าหม่อมฉันเป็นคนฆ่าพี่จื่อชินเช่นนั้นหรือ?"ซือคงเหยียนรีบพูดขึ้น "องค์ชาย ท่านหญิงจื่อเยียนมีใจรักใคร่กับจื่อชิน นางจะทำเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไร? การตายของจื่อชินถือเป็นการกระทบกระเทือนใจอย่างใหญ่หลวงต่อนาง โปรดอย่าได้สงสัยในตัวนางเลยพ่ะย่ะค่ะ"มู่หรงฟู่ครุ่นคิดแล้วเห็นด้วย จากนั้นก็สงบอารมณ์ลงเขาพูดอย่างจริงจัง "จื่อเยียน ข้าหาได้มีเจตนาสงสัยเจ้าไม่ แต่เจ้าต้องบอกความจริงเกี่ยวกับการตายของจื่อชิน มิเช่นนั้นพวกเราจะล้างแค้นให้เขาได้อย่างไร?"“หม่อมฉันมิรู้จริง ๆ เดิมทีพี่จื่อชินได้ขวางเส้นทางของฉินซูไว้ในป่า หม่อมฉันกังวลว่า คนของฉินซูจะรู้เรื่องนี้เข้า จึงขอร้องพี่จื่อชินว่าอย่าทำอะไรวู่วาม สุดท้ายเขาก็ฟาดข้าจนหมดสติไปพอฟื้นขึ้นมาอีกที ก็พบว่าตัวเองอยู่ที่ใต้หน้าผา หม่อมฉันปีนขึ้นมาอย่างยากลำบากแล้วหาม้าตัวหนึ่งขี่กลับมา ส่วนเรื่องอื่นหม่อมฉันมิรู้จริง ๆ”หลังจากฟังคำพูดของมู่หรงจื่อเยียนแล้ว สีหน้าของมู่หรงฟู่และซือคงเหยียนก็ยิ่งเคร่งเครียดมากขึ้นผ่านไปครู่หนึ่ง มู่หรงฟู่ก็เอ่ยขึ้นเสียงหนักอึ้ง "
มู่หรงจื่อเยียนตกตะลึง ก่อนถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ "เสด็จพี่ พี่จื่อชินเขายังมิได้กลับมาหรอกหรือ?"“ไม่ เกิดเรื่องอันใดขึ้น? พวกเจ้ามิได้กลับมาด้วยกันหรอกหรือ?”“เป็นไปมิได้ หากพูดตามเหตุผล เขาควรจะกลับมาเร็วกว่าหม่อมฉันสิ หรือว่าระหว่างจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นจึงทำให้เขากลับมาล่าช้า?”มู่หรงจื่อเยียนครุ่นคิดในใจ ตนและฉินซูติดอยู่ในดินแดนแห่งความฝันนานขนาดนั้น หนานกงจื่อชินก็น่าจะกลับมาตั้งนานแล้วถึงจะถูกหรือว่า เขาจะยังตามหาตนอยู่ที่บริเวณขอบผานั่น?มู่หรงฟู่มองไปรอบ ๆ แล้วพูดว่า "ที่นี่เต็มไปด้วยสายลับ เข้าไปคุยข้างในดีกว่า"มู่หรงจื่อเยียนพยักหน้าเห็นด้วย และเดินตามมู่หรงฟู่เข้าไปข้างในทันทีที่นางนั่งลง มู่หรงฟู่ก็ถามขึ้นด้วยความร้อนใจ "เป็นอย่างไรบ้าง? ทำสำเร็จหรือไม่? ฉินซูถูกกำจัดเรียบร้อยแล้วใช่หรือไม่?"มู่หรงจื่อเยียนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบว่า "มิสำเร็จ ตอนที่พี่จื่อชินกำลังจะลงมือก็มีกลุ่มปีศาจภูเขาเข้ามาก่อกวน ต่อมา… หม่อมฉันก็พลัดหลงกับเขา ส่วนเรื่องหลังจากนั้น หม่อมฉันก็มิรู้แล้ว”มู่หรงฟู่ขมวดคิ้วรู้สึกว่า คำพูดของมู่หรงจื่อเยียนดูมิค่อยสมเหตุสมผลกันเขาขมวดคิ้วแ