เมื่อบุรุษชุดดำได้ยินเช่นนั้น สายตาของเขาก็เปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นเขาอ่านเคล็ดวิชานั้นคร่าว ๆ รอบหนึ่งและพูดอย่างทอดถอนใจ “ดูเหมือนว่าวิชายุทธ์นี้จะลึกซึ้งและแข็งแกร่งกว่าที่ข้าคิดเอาไว้มาก มิแปลกใจที่เจ้าเข้าถึงได้เพียงหนึ่งหรือสองขั้น แต่ก็สามารถมีวรยุทธที่กล้าแกร่งเช่นนี้ได้!”กู้ตงเฟิงยิ้มอย่างขมขื่น “เทียบกับท่านแล้ว วรยุทธ์ของข้านั้นด้อยกว่ามาก”“พักผ่อนร่างกายเสีย หญิงสาวที่เจ้าต้องการจะถูกส่งมาให้ในภายหลัง!”บุรุษชุดดำเก็บวิชายุทธ์ไว้ในแขนเสื้อ และหันหลังเดินออกไปกู้ตงเฟิงขยับริมฝีปาก แต่สุดท้ายเขาก็มิได้ถามสิ่งที่อยู่ในใจออกไป……คืนวันเดียวกันหลังจากหวังฉือเสร็จสิ้นงานราชสำนักของวันนี้ เขาก็ยืนเส้นยืดสายและกำลังจะออกจากศาลต้าหลี่ขณะนั้น เสนาธิการทัพหน้าชานจวิน หลิวเว่ยก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้าร้อนใจ“ท่านใต้เท้าหวัง มีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้น เมื่อครู่มีหลายคนมารายงานว่าบุตรีผู้เป็นที่รักของพวกเขาหายตัวไปขอรับ!”“ว่ากระไรนะ?!”หวังฉือตกใจมากและถามว่า “เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไร? ผู้สูญหายมีจุดเชื่อมโยงที่เหมือนกันหรือไม่?”“เหตุเกิดหลังพลบค่ำ ผู้สูญหายล้วนเป็นสตรีที่ยัง
มินาน เสียนเฟยก็เดินเข้ามาหลังจากที่ได้เห็นหวังฉือ เสียนเฟยก็ประหลาดใจและพูดว่า “ใต้เท้าหวัง เหตุใดท่านถึงมายังพระที่นั่งหย่างจวีเอาดึกดื่นป่านนี้?”หวังฉือทำความเคารพนางและกำลังจะตอบแต่ฉินอู๋ต้าวก็โบกมือและถามขึ้นอย่างมิอยากรอ “เสียนเฟย เจ้ามาทำอะไรที่นี่ คงมิได้มาเพราะเรื่องของฝู่กั๋วกงใช่หรือไม่?”เสียนเฟยรีบส่ายหัว “มิใช่เพคะฝ่าบาท วันนี้นางรับใช้ส่วนตัวนางหนึ่งของหม่อมฉันออกไปเยี่ยมญาติ แต่นางยังมิกลับมา เมื่อครู่นี้ครอบครัวของนางได้ให้คนมาส่งข่าวว่านางรับใช้นางนี้หายตัวไป หม่อมฉันก็เลยมา…”ก่อนที่นางจะพูดจบ ฉินอู๋ต้าวก็พูดขัด“เจ้าว่าอย่างไรนะ นางรับใช้จากตำหนักอวี้จ้าวของเจ้าก็หายตัวไปเช่นกันหรือ?”“ใช่เพคะฝ่าบาท เสี่ยวชิงเป็นนางรับใช้ที่สนิทสนมกับหม่อมฉันมากที่สุด ขอฝ่าบาทโปรดทรงช่วยหม่อมฉันด้วยนะเพคะ”ฉินอู๋ต้าวมิได้พูด เพียงแต่มองไปที่หวังฉือเจ้าตัวถามขึ้นทันที “เสียนเฟย ข้าน้อยขอทราบนามนางรับใช้ของท่านได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”“จั่วเสี่ยวชิง”“ฝ่าบาท จั่วเสี่ยวชิงผู้นี้คือหนึ่งในหญิงสาวที่หายไป วันนี้ครอบครัวของนางก็มารายงานที่ศาลต้าหลี่ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”“ใต้เท้าหวัง
หลังจากระงับสติอารมณ์แล้ว นางก็ขมวดคิ้วและเอ่ยถามว่า “องค์รัชทายาท ดึกดื่นถึงเพียงนี้ เหตุใดจึงยังมิบรรทมอีกหรือเพคะ?” “เจ้าเองก็ยังมินอนมิใช่รึ?” “หม่อมฉันกำลังจะไปนอนแล้ว แต่ท่านทำให้ตกใจ หากท่านไม่มีเรื่องอะไร ทรงรีบพักผ่อนเถิดเพคะ วันพรุ่งต้องเดินทางแต่เช้า” ฉินซูกลอกตาแล้วเหน็บแนมว่า “นี่เจ้ายังคิดจะนอนจริง ๆ เหรอ? พวกเรากำลังขนเงินบรรเทาภัยพิบัติห้าแสนตำลึง เจ้ามิกลัวว่าจะมีใครมาปล้นหรือไร?” กู้เสวี่ยเจี้ยนมิเห็นด้วย “ท่านทรงคิดมากไปแล้ว ที่นี่อยู่ห่างจากหลงเฉิงมิถึงร้อยลี้ โจรพวกนั้นคงมิกล้าบ้าบิ่นถึงเพียงนั้นหรอก! อีกอย่าง ที่นี่ยังมีองครักษ์และคนจากกองทัพป้องกันชายแดนมาด้วยมิใช่หรือ!” “งั้นเจ้าก็ไปนอนเถอะ ข้าจะไปมอบหมายงานบางอย่างกับตงฟางไป๋” ได้ยินแล้วกู้เสวี่ยเจี้ยนจึงมองฉินซูอย่างสงสัยเล็กน้อยแล้วหันหลังกลับเข้าห้องไป ฉินซูลงมาชั้นล่าง เห็นตงฟางไป๋กำลังงีบหลับอยู่พอดี! เขาเดินเข้าไปและเตะเข้าที่สะโพกของตงฟางไป๋ทันที! “ใครน่ะ!” ตงฟางไป๋สะดุ้งตื่นทันทีและมองไปรอบ ๆ ด้วยใบหน้าหวาดอย่างระแวง หลังจากเห็นฉินซู เขาเกาหัวอย่างเขินอาย “องค์รัชทายาท เป็นท่านหร
สวีเซี่ยงเฉียนเดินเข้าไปที่หน้าต่างแล้วชะโงกออกไปมองดู ครั้นแล้วก็เห็นด้านนอกที่มืดมิดภายใต้แสงจันทร์สลัวมีคบเพลิงจำนวนมากส่องแสงขึ้น มีคนกลุ่มใหญ่อยู่ด้านนอกกำลังยิงธนูและบุกมาทางนี้ ใบหน้าของเขาโกรธเกรี้ยวทันทีและกล่าวว่า “ใต้เท้าเสวี่ยเจี้ยน ความปลอดภัยขององค์รัชทายาทขอฝากไว้ที่ท่าน ส่วนพวกด้านนอกปล่อยให้ข้าน้อยจัดการเอง!”เขาพูดจบก็คว้าดาบขึ้นมาแล้วกระโดดออกไปทางหน้าต่าง ทันใดนั้นเสียงของตงฟางไป๋ก็ดังขึ้นว่า “แม่ทัพสวี ท่านนำคนส่วนหนึ่งโจมตีลวงจากด้านซ้าย ส่วนข้าจะนำคนลอบโจมตีจากด้านหลัง จะได้ต้อนพวกมันเข้าด้วยกันแล้วจัดการให้หมด!" “ความคิดดีมาก!” สวีเซี่ยงเฉียนตกลงทันทีแล้วนำคนเจ็ดถึงแปดคนลอบไปทางด้านซ้าย และในตอนนั้นเองตงฟางไป๋ได้นำคนบางส่วนไปซุ่มโจมตีจากอีกด้านหนึ่งอย่างเงียบ ๆ ด้านหน้าของศาลาพักม้าเป็นตงฟางโซ่วที่นำคนออกไปเมื่อเห็นพวกเขาดำเนินการอย่างเป็นระเบียบ กู้เสวี่ยเจี้ยนก็กล่าวชมเชยว่า “องค์รัชทายาท องครักษ์สองคนนี้ของท่านทั้งกล้าหาญและชาญฉลาดจริง ๆ ทั้งยังรู้จักใช้กลยุทธ์ส่งเสียงบูรพาฝ่าตีประจิม[footnoteRef:0]อีกด้วย” [0: กลยุทธ์ส่งเสียงบูรพาฝ่าตีประจ
เกิดอะไรขึ้น? “องค์รัชทายาทที่รอวันถูกปลดผู้นี้อาศัยอะไรบางอย่างอยู่งั้นหรือ?! ความคิดนี้แวบเข้ามาในหัวของชายชุดดำ แล้วเขาก็พลันรู้สึกถึงกระแสลมกระโชกที่ทรงพลังพุ่งข้ามาอย่างรวดเร็ว! “มิดีแล้ว!!” ชายชุดดำร้องในใจ แต่เมื่อคิดจะถอยกลับแล้วหนีไป มันก็สายเกินไปแล้ว! “ฟึ่บ!” หลังจากเสียงดังสนั่น ชายชุดดำก็สลายกลายเป็นหมอกเลือด แม้แต่ดาบใหญ่ในมือก็มิอาจรอดพ้น ฉินซูดึงมือกลับมาแล้วหันไปพูดกับถานเหวยราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นว่า “ใต้เท้าถานกลับไปที่ห้องเถอะ จะได้มิบาดเจ็บจากธนูซุ่มยิง” “อ๋า ?! องค์รัชทายาท ท่าน… ท่านมิเป็นอะไรเลยหรือ?!” “เหตุใดเล่า ข้ามิเป็นไร ใต้เท้าถานผิดหวังมากหรือไร?” ถานเหวยส่งเสียงสะดุ้งทันทีแล้วรีบส่ายหัว “หามิได้ ๆ จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ ท่านปลอดภัยย่อมดีมากแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ในใจของเขารู้สึกสงสัยอย่างยิ่ง ชายชุดดำเมื่อครู่มีพลังที่แข็งแกร่งมาก ว่ากันตามหลักแล้วฉินซูน่าจะหลบมิพ้นถึงจะถูก ทว่าบัดนี้ ฉินซูกลับยืนอยู่ตรงนั้นโดยมิเป็นอะไร ส่วนชายชุดดำผู้นั้นกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย หรือเป็นกู้เสวี่ยเจี้ยนที่บีบให้เขาต้องถอยไป?ใช่แล้ว กู้เส
ฉินซูยกฝ่ามือขึ้นเล็กน้อยแล้วพลังลมอันรุนแรงสายหนึ่งก็พุ่งออกมาจากมือของเขา! “ฟึ่บ!” แขนข้างที่ถือกระบี่ของชายชุดดำแตกสลายกลายเป็นหมอกเลือดทันทีที่เสียงดังขึ้น! ก่อนที่เขาจะได้สติก็รู้สึกถึงความเบาใต้ฝ่าเท้า!กลับกลายเป็นว่าเขาถูกฉินซูจับคอแล้วยกขึ้น! “! ! !”ชายชุดดำมีสีหน้าหวาดกลัวสุดขีด เขาจ้องมองฉินซูอย่างมิอยากจะเชื่อ หลังจากสงบสติอารมณ์ได้แล้ว เขาก็พูดอย่างยากลำบากว่า “เจ้า… เจ้า… ปิดบังฝีมือไว้ลึกจริง ๆ…” ฉินซูถามอีกครั้งด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก “พูด ใครส่งเจ้ามา!” “คะ… คือ…” ชายชุดดำขยับริมฝีปากราวกับจะพูดอะไรบางอย่าง จากนั้นเขาฉวยโอกาสที่ฉินซูเสียสมาธิ ใช้มือที่เหลืออยู่ข้างหนึ่งหยิบกริชออกมาจากอกเสื้ออย่างรวดเร็วแล้วจ้วงแทงลงไปยังกลางอกของฉินซูโดยมิลังเล ฉินซูเผยสีหน้าดูถูกและมิสนใจที่จะยื่นมือออกไปปิดกั้นเลยด้วยซ้ำ! ในชั่วพริบตา กริชของชายชุดดำหยุดชะงักตรงหน้าอกของฉินซูปลายกริชอยู่ห่างจากหัวใจของฉินซูแค่ครึ่งนิ้วเท่านั้น! ชายชุดดำสะดุ้งแล้วก้มหน้ามองโดยสัญชาตญาณครั้นแล้วก็เห็นว่าด้านหน้าของฉินซูมีเกราะป้องกันบางอย่างปรากฏขึ้นราง ๆ! เมื่อเห็นภ
“เหอะ ๆ หวงเฟิงคือจอมยุทธระดับปฐพีขั้นสูงสุดที่กำลังจะก้าวเข้าสู่ระดับสวรรค์ หากท่านสามารถสังหารเขาได้ อาจารย์ของหม่อมฉันคงมิต้องส่งหม่อมฉันมาคุ้มกันท่านหรอกกระมังเพคะ?” ฉินซูมิแสดงท่าทีอะไรต่อคำพูดนั้น ในใจของเขานึกขำขึ้นมานิด ๆ เสียด้วยซ้ำ ‘เหตุใดทุกคนถึงคิดว่าข้าต้องมียอดฝีมือคอยช่วยเหลืออยู่เบื้องหลังด้วยล่ะนี่?’ ‘พวกเขามิเคยสงสัยเลยหรือไรว่าผู้ที่พวกเขาเรียกว่ายอดฝีมือก็คือตัวข้าเอง?’กู้เสวี่ยเจี้ยนพูดกับตัวเองพร้อมถอนหายใจว่า “ต้องยอมรับเลยว่า ยอดฝีมือที่อยู่เบื้องหลังท่านช่างน่าเกรงขามจริง ๆ เขาสามารถจัดการหวงเฟิงได้ในระยะเวลาอันสั้น เขาอยู่ที่ใดแล้วเล่าเพคะ? ให้เขาปรากฏตัวให้เห็นหน่อยเถิด” ฉินซูพูดอย่างจริงจังว่า “เขาไปแล้ว!” “ไปแล้วหรือเพคะ?” กู้เสวี่ยเจี้ยนมองไปรอบๆ แล้วบ่นว่า “ท่านช่างกล้าจริง ๆ มิกลัวว่าหวงเฟิงจะมีผู้ช่วยหรือไรกัน” “ถึงหวงเฟิงจะมีผู้ช่วย แต่ข้าก็ยังมีเจ้าอยู่มิใช่หรือไร” กู้เสวี่ยเจี้ยนเหลือบมองฉินซูก่อนจะเปลี่ยนเรื่องพร้อมถามอย่างหยั่งเชิงว่า “องค์รัชทายาท ในความเห็นของท่าน ใครที่สั่งหวงเฟิงมาลอบสังหารท่านหรือเพคะ?” ฉินซูยักไหล่ “ข้าจะไ
ฉินซูเลิกคิ้วแล้วเอ่ยถามว่า “ใต้เท้าถาน ไฉนจึงตื่นตกใจปานนี้เล่า?” ถานเหวยตีอกชกหัวแล้วพูดว่า “แย่แล้ว องค์รัชทายาท เงินบรรเทาภัยพิบัติ เงินนั่นหายไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” “ว่ากระไรนะ! เงินบรรเทาภัยพิบัติหายไปงั้นรึ?!”ตงฟางไป๋และคนอื่น ๆ อุทานด้วยความตกใจก่อนจะรีบพุ่งเข้าไปในศาลาพักม้าทันทีเมื่อมาถึงห้องโถงด้านข้าง พวกเขาพบว่าเงินช่วยเหลือที่ควรเก็บไว้ในห้องโถงด้านข้างนั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอย! “หายไปแล้วจริง ๆ นี่มัน นี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้น?” “หีบเงินตั้งมากมาย จะหายไปเฉย ๆ เช่นนี้ได้อย่างไร พวกเขาลงมือกันรวดเร็วเกินไปแล้ว!” ขณะที่ทุกคนกำลังตกใจ ฉินซูยืนมือไพล่หลังแล้วสำรวจห้องโถงด้านข้างเงียบ ๆ จากนั้นมินาน เขาก็มองลึกไปยังหน้าต่างที่แง้มไว้ครึ่งหนึ่งแล้วลูบคางอย่างครุ่นคิด สวีเซี่ยงเฉียนที่ได้สติจากอาการตกใจ รีบเร่งลูกน้องว่า “เร็วเข้า พวกเจ้ารีบไล่ตามไป มิว่าอย่างไรก็ต้องเอาเงินบรรเทาภัยพิบัติกลับมาให้จงได้!” เหล่าทหารจากกองทัพป้องกันชายแดนได้ยินดังนั้นจึงแยกย้ายออกเป็นหลายกลุ่ม เพื่อออกไปติดตามค้นหาเงินช่วยเหลือ พี่น้องตงฟางไป๋เองก็อยากไปเช่นกัน แต่กลับถูกฉินซูหยุด
ดวงตาของซือคงเหยียนฉายแววสังหาร จากนั้นเขาก็เริ่มค้นหาภายในป่าแต่หลังจากค้นหาอยู่นานก็มิพบอะไรเลยสีหน้าของเขาหม่นมืดลึกลับ และพึมพำกับตัวเอง“ทั่วทั้งป่ามีเพียงตรงนี้ที่มีเลือดของจื่อชิน แต่ว่าศพของเขาไปอยู่ที่ใดกัน? ต่อให้ถูกพวกปีศาจภูเขากิน ก็เป็นไปมิได้ที่จะหายไปมิเหลือร่องรอย!”ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องน่าประหลาดเกินไปแต่ตอนนี้ที่ยังหาศพของหนานกงจื่อชินมิพบ ซือคงเหยียนจึงทำได้เพียงเก็บความคับแค้นไว้ในใจและเดินออกจากป่าไปในตอนนั้นเอง ที่ถนนหลวงด้านนอก มีพ่อค้าเร่กลุ่มหนึ่งเดินผ่านพอดีชายคนหนึ่งพูดด้วยความดีใจอย่างยิ่ง "พี่เจียง เจ้าได้ยินแล้วหรือยังว่า องค์รัชทายาทแห่งแคว้นต้าเหยียนของเราได้สังหารบุตรแห่งนักปราชญ์หออะไรนั่นของเป่ยเยี่ยนแล้ว!"เมื่อได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าของซือคงเหยียนพลันมืดหม่นลง ร่างของเขาวูบไหวชั่วขณะก่อนปรากฏขึ้นตรงหน้าชายผู้นั้นราวกับภูติผีชายคนนั้นตกใจกับการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของซือคงเหยียนจนขาอ่อนและเซล้มลงกับพื้นเมื่อเห็นกลิ่นอายอำมหิตบนใบหน้าของซือคงเหยียน ชายคนนั้นก็ตื่นตกใจจนพูดอะไรแทบมิออก“เจ้า… เจ้าเป็นใคร คิดจะทำ… ทำอะไร?”ซือคงเ
“หวังฉือกับเนี่ยหงไอ้สุนัขสองตัวนั่น กล้าโจมตีพวกเราต่อหน้าเหล่าขุนนางเลยรึ น่าโมโหนัก!”ฉินหงปลอบใจเขา "เสด็จพี่สามใจเย็นก่อน ทั้งตุลาการศาลต้าหลี่และผู้ตรวจการฝ่ายซ้ายไม่มีทางก่อปัญหาใหญ่ได้หรอก เมื่อไหร่ที่รัชทายาทล้มลง พวกเขาก็จะกลายเป็นสุนัขไร้เจ้าของ ไยต้องไปถือสาหาความกับพวกเขาเล่า”“ข้าแค่หงุดหงิดเท่านั้นเอง อีกอย่าง เสด็จพ่อยังสั่งให้หัวหน้าสำนักจับตาดูหอดารารักษ์ แล้วคนจากหอดารารักษ์จะมีโอกาสไปแก้แค้นฉินซูได้อย่างไร?”“ความแข็งแกร่งของหอดารารักษ์มิได้ด้อยไปกว่าสำนักหอดูดาวหลวงเลย เจ้าสำนักคงมิสามารถควบคุมพวกเขาได้อย่างเบ็ดเสร็จ มิว่าจะอย่างไร เรื่องนี้ต้องทำให้องค์รัชทายาทยุ่งยากแน่นอน พวกเราแค่รอดูผลลัพธ์ก็พอ”ฉินหยางพยักหน้าเล็กน้อยและถามอีกครั้ง "ว่าแต่ มีข่าวคราวจากเรือสินค้าที่มุ่งใต้ไปยังหลิ่งหนานบ้างหรือไม่?"ฉินหงถอนหายใจ “ยังไม่มีเลย แต่ถ้าคำนวณเวลา ตอนนี้เรือลำนั้นน่าจะผ่านเขตเหยี่ยนโจวแล้ว”“หึ พวกโจรสลัดในเหยี่ยนโจวนั่นช่างไร้ประโยชน์เสียจริง ข้าวแปดพันต้านกับเงินหกแสนตำลึง ทั้งหมดนี้เป็นทรัพย์สินมหาศาล แต่พวกมันกลับมิกล้าลงมือ!”“คงมิแน่เสมอไปว่าจะมิกล้าลง
ฉินอู๋ต้าวยังมิทันได้แสดงท่าที หวังฉือก็โต้แย้งขึ้นมาทันควัน “ข้าน้อยมิเข้าใจคำพูดของอ๋องซิ่น ยามนี้ยังไม่มีหลักฐานที่แสดงว่าเป็นฝีมือขององค์รัชทายาทเลย แล้วเหตุใดท่านจึงต้องให้องค์จักรพรรดิทรงพิจารณาให้รอบคอบด้วยหรือ?”“นั่นสิ เป่ยเยี่ยนเดิมทีก็มีความตั้งใจจะล่วงล้ำพรมแดนของราชวงศ์ต้าเหยียนมาตลอด ยามนี้ยังมิได้มีการระดมทัพเลย แต่ท่านอ๋องซิ่นกลับกลัวแล้ว หากวันหนึ่งเป่นเยี่ยนระดมทัพขึ้นมาจริง ๆ ท่านจะมิสนับสนุนให้องค์จักรพรรดิแบ่งดินแดนให้เลยหรือพ่ะย่ะค่ะ?”ฉินหยางถูกหวังฉือและเนี่ยหงโต้กลับจนหน้าซีดในที่สุดบัดนี้เขาก็เข้าใจแล้วว่า หวังฉือและเนี่ยหง ทั้งสองเป็นขุนนางระดับสองที่กลายเป็นคนของฉินซูไปแล้วเขาเกิดความสงสัย ฉินซูเป็นองค์รัชทายาทผู้รอวันถูกปลด เขามีดีอะไรที่ทำให้ทั้งสองคนนั้นยอมรับเขาเป็นผู้นำ?แต่เมื่อเผชิญกับคำซักถามอย่างเข้มงวดของหวังฉือและเนี่ยหง เขาก็มิอาจอุบเงียบเอาไว้ได้ จึงแค่นเสียงเย็นชา"หึ! ข้าในฐานะจวิ้นอ๋องแห่งราชวงศ์ต้าเหยียน ต่อให้วันข้างหน้าสงครามปะทุขึ้นอีกครั้ง ก็ย่อมไม่มีทางให้เสด็จพ่อยอมสละดินแดนเพื่อขอสันติภาพ เพียงแต่ยามนี้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเร
ข่าวที่ว่าฉินซูได้สังหารบุตรแห่งนักปราชญ์ของหอดารารักษ์นั้นแพร่กระจายราวกับไฟป่า ก่อให้เกิดความปั่นป่วนทั้งในและนอกเมืองหลงเฉิงผู้คนต่างพูดถึงเรื่องนี้ทุกมื้อหลังอาหารบางคนยกย่องฉินซูว่าเขาทำให้ต้าเหยียนมีเกียรติบางคนถึงกับแอบส่ายหัว แม้ว่าฉินซูจะเป็นรัชทายาท ทว่าการสังหารบุตรแห่งนักปราชญ์ของหอดารารักษ์โดยไร้เหตุผลนั้นคงมิเป็นที่ยอมรับของราชสำนักเป่ยเยี่ยนและหอดารารักษ์ จากนี้ไปฉินซูองค์รัชทายาทผู้นี้อาจไม่มีวันมีชีวิตที่สงบสุขอีกต่อไปคนที่รู้สึกประหลาดใจที่สุดคงเป็นมู่หรงจื่อเยียนหลังจากที่ได้ยินข่าวนี้ ใจนางก็เกิดความสงสัยว่า คนที่ฆ่าหนานกงจื่อชินคือฉินซูจริง ๆ หรือ?แต่ฉินซูเก่งแค่วิชาตัวเบาเท่านั้น แล้วเขาจะสังหารหนานกงจื่อชินได้อย่างไร?ทว่าเมื่อนึกถึงเมื่อยามหลังจากที่ออกมาจากดินแดนแห่งความฝันนั้น ฉินซูเอาชนะอันธพาลเหล่านั้นได้ในพริบตา นางก็ตระหนักว่าความแข็งแกร่งของฉินซูนั้นมิธรรมดาเมื่อคิดถึงตรงนี้ นางก็รีบสงบสติอารมณ์ และบังคับให้ตัวเองใจเย็นลงหากมู่หรงฟู่รู้ว่าฉินซูมีฝีมือที่เหนือชั้นเช่นนี้ สถานการณ์ของฉินซูคงจะอันตรายอย่างมากต่อมา มู่หรงจื่อเยียนเลือกที่จะ
ฉินหงมองเนื้อหาในจดหมายเพียงครู่เดียว สีหน้าก็พลันเปลี่ยนไป!เขากล่าวเสียงทุ้มหนัก "เตรียมเกี้ยว ข้าจะไปจวนอ๋องซิ่น แล้วก็แจ้งให้ใต้เท้าหลินและใต้เท้าเซี่ยมาประชุมที่จวนอ๋องซิ่นด้วย!""พ่ะย่ะค่ะ!"สองเค่อต่อมาฉินหงพร้อมด้วยหลินซีและคนอื่น ๆ ก็มารวมตัวกันที่จวนอ๋องซิ่นฉินหยางถามอย่างสงสัย "น้องสี่ ดึกป่านนี้พวกเจ้ายังมากัน มีข่าวดีอะไรจากทางคูมู่หรือ?""ยังติดต่อคูมู่มิได้ แต่เสด็จพี่สาม พวกท่านลองดูนี่ก่อน"ฉินหงพูดพลางวางจดหมายฉบับนั้นลงบนโต๊ะฉินหยาง หลินซีและคนอื่น ๆ เข้ามาอ่านข้อความบนจดหมายโดยพร้อมเพรียงหลังจากได้อ่านแล้ว เซี่ยเหอก็เอ่ยขึ้นอย่างตกใจ "ว่ากระไรนะ? ฉินซูสังหารศิษย์เอกของหอดารารักษ์?!"ฉินหยางถามด้วยสีหน้าฉงน "น้องสี่ แน่ใจหรือว่าข่าวนี้เป็นความจริง?""น่าจะมิใช่เรื่องเท็จ ศิษย์เอกของหอดารารักษ์มีฐานะสูงส่งในแคว้นเป่ยเยี่ยน ผู้ใดจะกล้าพูดเล่นเกี่ยวกับเรื่องนี้""แต่ศิษย์เอกอย่างหนานกงจื่อชินมีพลังแข็งแกร่งนัก องค์รัชทายาทจะสังหารเขาได้อย่างไร?"หลินซีเองก็กล่าวเสริมขึ้นเช่นกัน "ใช่แล้ว แม้กู้เสวี่ยเจี้ยนแห่งสำนักหอดูดาวหลวงจะติดตามองค์รัชทายาทไปทางเหนือด้วยแต่ด้ว
นางพูดด้วยเสียงสะอื้นพร้อมถามกลับว่า "เสด็จพี่หมายความว่าอย่างไร? หรือท่านคิดว่าหม่อมฉันเป็นคนฆ่าพี่จื่อชินเช่นนั้นหรือ?"ซือคงเหยียนรีบพูดขึ้น "องค์ชาย ท่านหญิงจื่อเยียนมีใจรักใคร่กับจื่อชิน นางจะทำเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไร? การตายของจื่อชินถือเป็นการกระทบกระเทือนใจอย่างใหญ่หลวงต่อนาง โปรดอย่าได้สงสัยในตัวนางเลยพ่ะย่ะค่ะ"มู่หรงฟู่ครุ่นคิดแล้วเห็นด้วย จากนั้นก็สงบอารมณ์ลงเขาพูดอย่างจริงจัง "จื่อเยียน ข้าหาได้มีเจตนาสงสัยเจ้าไม่ แต่เจ้าต้องบอกความจริงเกี่ยวกับการตายของจื่อชิน มิเช่นนั้นพวกเราจะล้างแค้นให้เขาได้อย่างไร?"“หม่อมฉันมิรู้จริง ๆ เดิมทีพี่จื่อชินได้ขวางเส้นทางของฉินซูไว้ในป่า หม่อมฉันกังวลว่า คนของฉินซูจะรู้เรื่องนี้เข้า จึงขอร้องพี่จื่อชินว่าอย่าทำอะไรวู่วาม สุดท้ายเขาก็ฟาดข้าจนหมดสติไปพอฟื้นขึ้นมาอีกที ก็พบว่าตัวเองอยู่ที่ใต้หน้าผา หม่อมฉันปีนขึ้นมาอย่างยากลำบากแล้วหาม้าตัวหนึ่งขี่กลับมา ส่วนเรื่องอื่นหม่อมฉันมิรู้จริง ๆ”หลังจากฟังคำพูดของมู่หรงจื่อเยียนแล้ว สีหน้าของมู่หรงฟู่และซือคงเหยียนก็ยิ่งเคร่งเครียดมากขึ้นผ่านไปครู่หนึ่ง มู่หรงฟู่ก็เอ่ยขึ้นเสียงหนักอึ้ง "
มู่หรงจื่อเยียนตกตะลึง ก่อนถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ "เสด็จพี่ พี่จื่อชินเขายังมิได้กลับมาหรอกหรือ?"“ไม่ เกิดเรื่องอันใดขึ้น? พวกเจ้ามิได้กลับมาด้วยกันหรอกหรือ?”“เป็นไปมิได้ หากพูดตามเหตุผล เขาควรจะกลับมาเร็วกว่าหม่อมฉันสิ หรือว่าระหว่างจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นจึงทำให้เขากลับมาล่าช้า?”มู่หรงจื่อเยียนครุ่นคิดในใจ ตนและฉินซูติดอยู่ในดินแดนแห่งความฝันนานขนาดนั้น หนานกงจื่อชินก็น่าจะกลับมาตั้งนานแล้วถึงจะถูกหรือว่า เขาจะยังตามหาตนอยู่ที่บริเวณขอบผานั่น?มู่หรงฟู่มองไปรอบ ๆ แล้วพูดว่า "ที่นี่เต็มไปด้วยสายลับ เข้าไปคุยข้างในดีกว่า"มู่หรงจื่อเยียนพยักหน้าเห็นด้วย และเดินตามมู่หรงฟู่เข้าไปข้างในทันทีที่นางนั่งลง มู่หรงฟู่ก็ถามขึ้นด้วยความร้อนใจ "เป็นอย่างไรบ้าง? ทำสำเร็จหรือไม่? ฉินซูถูกกำจัดเรียบร้อยแล้วใช่หรือไม่?"มู่หรงจื่อเยียนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบว่า "มิสำเร็จ ตอนที่พี่จื่อชินกำลังจะลงมือก็มีกลุ่มปีศาจภูเขาเข้ามาก่อกวน ต่อมา… หม่อมฉันก็พลัดหลงกับเขา ส่วนเรื่องหลังจากนั้น หม่อมฉันก็มิรู้แล้ว”มู่หรงฟู่ขมวดคิ้วรู้สึกว่า คำพูดของมู่หรงจื่อเยียนดูมิค่อยสมเหตุสมผลกันเขาขมวดคิ้วแ
ส่วนครอบครัวและคนสนิทของทั่วป๋าชื่อทั้งหมดถูกตวนมู่สั่งคนไปจัดการประหารจนหมดสิ้นแล้วอีกทั้งตวนมู่ยังได้แต่งตั้งคนสนิทของตนขึ้นมาควบคุมกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ภายในชนเผ่าฉินซูพยักหน้าอย่างเงียบ ๆ ตวนมู่ทำงานอย่างเฉียบขาด รวดเร็ว สามารถรวบรวมกำลังอำนาจของตนได้ภายในเวลาอันสั้นเพียงนี้ อีกทั้งยังกล้าหาญ นับว่าเป็นบุคคลที่ทำการใหญ่ได้ทันใดนั้น เขาก็นึกอะไรบางอย่างได้ จึงถามอย่างสงสัย "ตวนมู่ ชนเผ่าโครยอของเจ้ามีทหารเพียงสองหมื่นนายเท่านั้น แต่ทั่วป๋าชื่อเอาความกล้าจากที่ใดมาคิดสังหารข้ากัน"“องค์รัชทายาท ก่อนที่ท่านจะเสด็จมา ทั่วป๋าชื่อได้รับจดหมายจากผู้สูงศักดิ์ท่านหนึ่ง ในนั้นมีการสัญญาว่า ขอเพียงทั่วป๋าชื่อสามารถกำจัดองค์รัชทายาทได้ วันหน้าเมื่อผู้สูงศักดิ์ท่านนั้นได้ขึ้นครองบัลลังก์ เขาจะมอบเมืองให้ชนเผ่าโครยอของเราสองสามเมืองเพื่อฟื้นฟูชนเผ่าพ่ะย่ะค่ะ”“ผู้สูงศักดิ์? คือผู้ใด?”“เรื่องนี้ ทั่วป๋าชื่อมิได้บอกอย่างชัดเจน เขาบอกเพียงว่าเป็นหนึ่งในพระโอรสขององค์จักรพรรดิ อ้อ ใช่แล้ว จดหมายฉบับนั้นน่าจะอยู่ในห้องตำราของทั่วป๋าชื่อ ข้าน้อยจะไปค้นหามาให้พ่ะย่ะค่ะ”หลังจากที่ตวนมู่พูดจ
ฉินซูโบกมือแล้วตะโกนสั่งกับทหารผู้นั้น "ไป นำตัวตวนมู่หาให้ข้า!"“รับพระบัญชา!”ทหารผู้นั้นรับคำอย่างนอบน้อมแล้วนำคนอีกสองคนเดินอย่างรวดเร็วไปยังคุกเพียงชั่วครู่ ตวนมู่ก็ถูกนำตัวมาในตอนนี้ เขาถูกใส่โซ่ตรวนที่มือและเท้า ดูคล้ายกับนักโทษอย่างไรอย่างนั้นฉินซูเลิกคิ้ว พลันถามว่า "ตวนมู่ ข้าได้ยินมาว่า ทั่วป๋าชื่อสั่งให้เจ้าฆ่าข้า มีเรื่องเช่นนี้จริงหรือ?"ตวนมู่กวาดสายตามองสถานการณ์ภายในลาน เมื่อเห็นเศษแขนขาที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น ม่านตาของเขาก็หดตัวในฉับพลันความคิดในหัวของเขาแล่นอย่างรวดเร็ว มินานก็วิเคราะห์สถานการณ์ตรงหน้าได้เมื่อตั้งสติได้ เขาจึงรีบเอ่ยตอบ "องค์รัชทายาท เป็นความจริงพ่ะย่ะค่ะ”“เช่นนั้น เหตุใดเจ้าจึงมิทำตามคำสั่งของเขา?”“องค์รัชทายาท ท่านคือรัชทายาทผู้สืบทอดราชบัลลังก์แห่งแผ่นดิน หากลงมือกับท่านก็เท่ากับการก่อกบฏ เป็นที่สาปแช่งทั้งฟ้าดิน ข้าน้อยยอมตายเสียดีกว่าทำเรื่องที่ไร้ความจงรักภักดีและอกตัญญูเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ”คำพูดของตวนมู่แฝงความมิจริงใจอยู่บ้าง แต่เขารู้ดีว่าบัดนี้ฉินซูได้กุมอำนาจในสถานการณ์นี้ไว้แล้วดังนั้นหากมิแสดงความจงรักภักดีเสียตอนนี้แล