เสียนเฟยขมวดคิ้วแน่นขึ้น พึมพำอย่างสงสัยว่า “แปลกนัก หากไม่มียอดฝีมือคอยชี้แนะ ฉินซูจะมีความสามารถอะไร จะทำให้เจ้ากับฉินเหยี่ยนต้องลำบากถึงเพียงนี้ได้อย่างไร หรือว่าจู่ ๆ เขา ก็เกิดฉลาดขึ้นมา?”“หมู่เฟยให้ค่าเขามากเกินไปแล้ว เขาก็แค่คนไร้ค่าที่เอาแต่มัวเมาในสุรานารี หากจะฉลาดก็น่าจะฉลาดนานแล้ว จะมารอถึงตอนนี้ได้อย่างไร อีกอย่าง ถึงเขาฉลาดจริงเขาก็มิน่ามีความกล้าพอที่จะท้าทายเสด็จพ่อเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ”“ก็จริง หากเป็นดังที่เจ้าว่า รัชทายาทไร้ค่าอาจมีความลับอะไรซ่อนไว้! หากพวกเราสามารถขุดคุ้ยความลับนั้นออกมาได้ บางทีอาจจะทำให้เขาถูกปลดก่อนเวลาก็ได้”ฉินเซียวถอนหายใจด้วยความสิ้นหวัง “น่าเสียดายที่ตอนนี้ลูกถูกลดขั้นเป็นฝู่กั๋วกง จนแม้แต่สิทธิ์ที่จะเข้าวังไปถวายบังคมเสด็จพ่อก็ไม่มีแล้ว”เสียนเฟยเห็นฉินเซียวสีหน้าหม่นหมองจึงปลอบว่า “เซียวเอ๋อร์ อย่าท้อใจไป ข้าคิดหาวิธีไว้แล้ว ขอแค่สำเร็จ สถานะอ๋องของเจ้าจะฟื้นคืนได้ในเร็ว ๆ นี้”เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินเซียวก็มีสีหน้ามีชีวิตชีวาขึ้น และรีบถามว่า “หมู่เฟย ท่านพูดจริงหรือพ่ะย่ะค่ะ?”“จริงแท้แน่นอน ก่อนจะมาที่นี่ข้าได้ไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทมาแล้ว
ฉินอู๋ต้าวลุกขึ้น และโค้งกายคำนับเล็กน้อย “หลานขอคารวะเสด็จย่า”เหล่าองค์ชายรวมทั้งฉินซูคุกเข่าพร้อมกัน เอ่ยเป็นเสียงเดียวว่า “พวกเราขอคารวะเสด็จทวด!”“เหล่าข้าน้อยขอถวายพระพร ขอให้ไทฮองไทเฮาทรงมีพระพลานามัยแข็งแรงยิ่ง ๆ ขึ้น!”ขุนนางฝ่ายบู๊และบุ๋นเบื้องล่างแท่นสูงต่างก้มคำนับถวายบังคมไทฮองไทเฮาหัวเราะอย่างร่าเริงพลางโบกมือ “ลุกขึ้นกันเถิด ทุกคนลุกขึ้นได้แล้ว”“ขอบพระทัยไทฮองไทเฮา”หลังจากทุกคนลุกขึ้นแล้ว ไทฮองไทเฮาก็มองไปที่องค์ชายทั้งหลายด้วยสายตาอ่อนโยนครู่หนึ่ง นางขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วหันไปถามฉินอู๋ต้าวว่า “อู๋ต้าว ไฉนมิเห็นเซียวเอ๋อร์? เหลนผู้แสนดีของข้าหายไปไหน เหตุใดวันนี้ถึงมิมาอวยพรย่าทวดเล่า?”เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินอู๋ต้าวถอนหายใจเบา ๆ อย่างจนใจ โดยมิตอบคำถามเหล่าขุนนางก็มีสีหน้าแตกต่างกันไป“เฮ้อ ไฉนเจ้าต้องถอนหายใจ ข้าถามเจ้าอยู่ เหลนรักของข้าไปไหนแล้ว?”เสียนเฟยเดินเข้ามา พลางกล่าวอย่างน่าสงสาร “เสด็จย่าเพคะ เซียวเอ๋อร์กระทำความผิดจึงถูกลดขั้นเป็นฝู่กั๋วกง ตามระเบียบแล้วฝู่กั๋วกงไม่มีสิทธิ์เข้าวังมาอวยพรเสด็จย่าได้เพคะ”ไทฮองไทเฮาตกใจ “เซียวเอ๋อร์กระทำความผ
“เหลวไหล การอภัยโทษทั้งแผ่นดินสอดคล้องกับพระประสงค์ของสวรรค์ เป็นการปลอบขวัญราษฎรเป็นทางธรรมอันถูกอันควร จะปล่อยให้เรื่องส่วนตัวมาขวางได้อย่างไร หากเจ้าโวยวายอีก ข้าจะไล่เจ้าออกไปเสีย” เมื่อถูกฉินอู๋ต้าวตำหนิเช่นนี้ ฉินเหยี่ยนจึงทำได้เพียงกัดฟันแน่นและถอยกลับไปอย่างขุ่นเคืองภายใต้การส่งสัญญาณของฉินอู๋ต้าว เฉาฉุนจึงประกาศเสียงดัง “ประกาศให้อ๋องหนิง ฉินเซียว เข้าวังเพื่อถวายพระพรไทฮองไทเฮา!”มินานนัก ฉินเซียวที่รออยู่หน้าประตูวังก็เดินเข้ามาอย่างสูงส่งสง่าภาคภูมิเขาสวมเสื้อคลุมลายงู สวมกวานประดับทองและหยก พูดได้ว่าทั้งหล่อเหลาสง่างามและน่าเกรงขามยิ่งเมื่อมาถึงเบื้องล่างแท่นสูง เขาก็คุกเข่าลงอย่างนอบน้อม เอ่ยเสียงดัง “ลูกขอถวายพระพรเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ!”จากนั้นเขาหันไปทางไทฮองไทเฮา “เซียวเอ๋อร์ขอคารวะเสด็จทวด ขอเสด็จทวดทรงพระเจริญยิ่งยืนนานพ่ะย่ะค่ะ”ไทฮองไทเฮาเผยสีหน้าชื่นบาน โบกมือเรียกฉินเซียว “มาเถิด เซียวเอ๋อร์ มาหาย่าทวดสิ”ฉินเซียวโค้งตัวเล็กน้อย จากนั้นก็เดินไปบนแท่นสูงท่ามกลางสายตาของทุกคนระหว่างทางเขายังจงใจหันหลังกลับไปมองให้ฉินซูมองตนอีกต่างหากมิว่าจะเป็นรอยยิ้มท
ทันทีที่ฉินอู๋ต้าวพูดจบ เสียงหนึ่งก็ดังมาจากฝูงชน“เสด็จพ่อ ลูกขอทำการประลองรอบแรกนี้เองพ่ะย่ะค่ะ”หลังจากสิ้นคำพูด ฉินหยางก็เดินออกมาฉินอู๋ต้าวพยักหน้าช้า ๆ เป็นการอนุญาตขณะนั้น ขุนนางต้าเหยียนเริ่มกระซิบกระซาบกัน“อ๋องซิ่นทรงออกโรงเองเช่นนี้ ไว้ใจได้แน่นอน”“ใช่แล้ว ท่านอ๋องซิ่นทรงเคยเล่าเรียนกับท่านผู้อาวุโสจางจาว ในบรรดาองค์ชาย ความสามารถด้านวรรณกรรมของท่านอ๋องซิ่นโดดเด่นเป็นอย่างมาก”“ถูกต้อง น่าขันที่มู่หรงฟู่กล้าท้าทายวงการวรรณกรรมแห่งต้าเหยียนของพวกเรา ครานี้ท่านอ๋องซิ่นจะต้องทำให้วงการวรรณกรรมต้าเหยียนของเรารุ่งเรืองยิ่งขึ้นไปอย่างแน่นอน”“ท่านอ๋องซิ่นผู้เกรียงไกร!”“...”เมื่อได้ยินคำสรรเสริญเยินยอเหล่านั้น ฉินหยางก็ไพล่มือไว้ข้างหลังพลางมองมู่หรงฟู่ด้วยสีหน้าเย่อหยิ่ง“องค์ชายมู่หรง ท่านอยากแข่งโต้กวีหรือต่อโคลงคู่เล่า?”มู่หรงฟู่ยิ้มหยันและพูดว่า “อะไรก็ได้ มิว่าจะเป็นอะไร ข้าก็รับมือได้ทั้งนั้น”“ได้ เช่นนั้น ท่านก็ฟังให้ดี”ฉินหยางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดเสียงดัง “แด่วันผู้สูงอายุที่กำลังจะมาถึง เช่นนั้นก็แต่งกวีหนึ่งบทโดยใช้หัวข้อวันผู้สูงอายุ!”เขาห
ทว่าอีกฝ่ายกลับมีท่าทีนิ่งเฉยและพูดเสียงเรียบ!“หยาดน้ำฟ้ายามสารทล่วงสู่พงพนา ผืนธาราประกายแสงแวววับ เบญจมาศลาลับกลับใจสลาย ครั้นชีวายังมิวายจงสุขสำราญ ฉลองเทศกาลหวนถึงครั้งเยาว์วัย”หลังจากที่มู่หรงฟู่พูดจบ สถานที่แห่งนี้ก็เปลี่ยนเป็นเงียบสงัดฉินซูขมวดคิ้วอีกครั้ง เขาจำได้แม่นว่ากวีบทนี้ถูกประพันธ์โดยลู่โหยวแห่งราชวงศ์ซ่ง แต่มันออกมาจากปากของมู่หรงฟู่ในอีกโลกหนึ่งได้อย่างไร?ตอนนี้เขานึกสงสัยแม้กระทั่งว่า หากตนคัดลอกบทกวีของราชวงศ์ถังและซ่ง มันคงจะกลายเป็นผลงานของยอดนักกวีผู้มีพรสวรรค์ที่ยิ่งใหญ่ในโลกนี้หากเป็นเช่นนั้น ความได้เปรียบด้านบทกวีในฐานะนักเดินทางทะลุมิติก็จะหมดไปน่ะสิเมื่อคิดได้ดังนั้น ฉินซูก็ลูบคางพลางคิดแผนรับมืออยู่ในใจขณะนั้น ฉินอู๋ต้าวที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรก็มีท่าทีเคร่งขรึมขึ้นมาเห็นได้ชัดว่าไม่มีใครคาดคิดว่ามู่หรงฟู่จะแต่งบทกวีได้เร็วถึงเพียงนี้ รวมถึงตัวเขาด้วยยิ่งไปกว่านั้น บทกวีนี้เป็นการใช้โคลงเจ็ดคำ ซึ่งมีความยากกว่าบทกวีของฉินหยางอย่างมาก เมื่อเห็นว่าบรรดาขุนนางเอาแต่เงียบเป็นเป่าสาก มู่หรงฟู่ก็ประสานหมัดคารวะให้ฉินหยางอย่างภาคภูมิใจ“อ๋องซ
เพราะพวกเขาพบว่าคนที่พูดเมื่อครู่คือฉินซู!“มิใช่กระมัง องค์รัชทายาททรงต่อโคลงคู่ได้ด้วยหรือ?”“ล้อกันเล่นแล้ว ท่านอ๋องซิ่นที่ทรงมีความรู้มากมายยังทำมิได้ คงมิต้องพูดถึงองค์รัชทายาทหรอก”“นั่นสิ ข้าคิดว่าองค์รัชทายาททรงเพียงต้องการเรียกร้องความสนใจเท่านั้น จะต่อโคลงได้อย่างไร?”“เฮ้อ ทั้ง ๆ ที่ต่อโคลงมิเป็น แต่กลับตรัสอย่างโอ้อวด คนอื่นเขาจะมิหัวเราะเยาะเอารึ”เป็นช่วงระยะเวลาหนึ่งที่ขุนนางทุกคนพากันทอดถอนใจฉินหยางมองไปที่ฉินซูด้วยความดูถูกเหลือคณา!“เสด็จพี่รัชทายาท กระหม่อมคิดโคลงคู่ต่อไปมิออก แต่ท่านตรัสว่าท่านทำได้อย่างนั้นหรือ? นี่ท่านมั่นใจเกินไป หรือหยิ่งยโสเกินไปกันแน่พ่ะย่ะค่ะ?”ฉินซูตอบอย่างมิไว้หน้า “การที่เจ้าไร้ความสามารถนั้นมิได้หมายความว่าข้าเป็นเหมือนเจ้าที่แม้แต่โคลงคู่ง่าย ๆ เช่นนี้ก็ยังต่อมิได้ ราชวงศ์ต้าเหยียนของเราต้องขายหน้าเป็นอย่างมากก็เพราะเจ้า”ฉินหยางพูดด้วยความโกรธ “องค์รัชทายาททรงโอ้อวดเหลือเกินพ่ะย่ะค่ะ เอาเถอะ ท่านตรัสว่าต่อโคลงได้ใช่หรือไม่? เช่นนั้นก็ทำเลยสิ หากท่านทำมิได้ กระหม่อมก็อยากจะเห็นนักว่าท่านจะอธิบายกับเสด็จพ่อว่าอย่างไร!”ฉินอู๋ต้
ฉินซูไพล่มือไว้ด้านหลังพลางยิ้มเยาะ “อะไรกัน ข้าต่อโคลงคู่ที่สองได้แต่เจ้ากลับบอกว่าข้าได้รับการชี้แนะจากผู้อื่น เจ้าคิดจะโกงกันหรือไร?”มู่หรงฟู่แค่นเสียงเบา “ท่านต่างหากที่โกง ขุนนางบุ๋นบู๊ทุกคนในราชวงศ์ของท่านมีใครที่มิรู้บ้าง ต้องให้ข้าพูดมากกว่านี้หรือไม่? พวกเขาต่อโคลงมิได้ แต่ท่านกลับทำได้ แสดงว่าท่านมีความสามารถมากกว่าขุนนางเหล่านั้นรึ? หึ ๆ พูดมาได้ว่าท่านคิดเอง คงจะมีคนเชื่อกระมัง?”ฉินหยางยิ้มเย้ยพลางพูดอย่างปรีดาบนความทุกข์ของผู้อื่น “องค์รัชทายาท แม้ท่านจะต่อโคลงคู่ที่สองได้ แต่ท่านก็ต้องอธิบายให้ดี องค์รัชทายาท มิเช่นนั้นราชวงศ์ต้าเหยียนของเราจะต้องขายหน้าเพราะท่านนะพ่ะย่ะค่ะ”เขาใช้คำพูดเมื่อครู่ของฉินซูตอกกลับไปอย่างมิไว้หน้าแต่ทันทีที่พูดจบ เขาก็ถูกฉินอู๋ต้าวถลึงตาใส่เขากลัวมากจนใจสั่น และรีบหุบรอยยิ้มปรีดาพลางก้มหน้าลงฉินซูพูดโดยมิเปลี่ยนสีหน้า “ข้าจะมีความรู้ความสามารถจริง ๆ หรือไม่ ข้อเท็จจริงย่อมเป็นตัวพิสูจน์ หยุดพูดไร้สาระให้เสียเวลา ข้าต่อโคลงคู่แรกของทเจ้าไปแล้ว คราวนี้ถึงตาที่ข้าเป็นฝ่ายเริ่มใช่หรือไม่?”มู่หรงฟู่แค่นเสียงเย็นอย่างมิยอมอ่อนข้อ “มาสิ
หวังฉือตุลาการศาลต้าหลี่มิค่อยอยากเชื่อสักเท่าไรเขาพึมพำ “มิจริงน่า เฉิงจืออี้เป็นผู้อาวุโสแห่งสำนักหอสมุดหลวงเป่ยเยี่ยน ทั้งยังเป็นผู้นำในวงการวรรณกรรมเป่ยเยี่ยน แต่กลับต่อโคลงคู่แรกขององค์รัชทายาทมิได้น่ะหรือ?”“คาดมิถึงเลยว่าท่านผู้อาวุโสเฉิงจะยอมแพ้ มิพูดมิได้ว่าองค์รัชทายาททรงยอดเยี่ยมจริง ๆ!”“นั่นสิ เมื่อก่อนข้าก็คิดว่าองค์รัชทายาททรงใช้ชีวิตอย่างไร้ซึ่งความทะเยอทะยาน แต่คาดมิถึงว่าพระองค์เป็นคนมีความสามารถคนหนึ่ง แต่เพียงมิไแสดงออก ทว่าเมื่อคนได้เห็นได้รู้กลับเป็นต้องตะลึงงัน!”“การที่บุคคลสำคัญแห่งวงการวรรณกรรมของเป่ยเยี่ยนยอมแพ้ให้ก็เพียงพอที่จะพิสูจน์ได้ว่า ความรู้ความสามารถขององค์รัชทายาทมิได้ด้อยไปกว่าท่านผู้อาวุโสเฉิงเลย!”“องค์รัชทายาทผู้เกรียงไกร ทรงทำให้แคว้นของเราเรืองรองด้วยบารมีอำนาจ!”เสียงสรรเสริญดังก้องไปทั่วทั้งสถานที่แห่งนั้นอีกครั้งสีหน้าของมู่หรงฟู่และคนอื่น ๆ มิสู้ดีราวกับกินแมลงวันเข้าไปก็มิปานขณะนั้นเฉิงจืออี้ก็พูดขึ้นอีกครั้งเขายกมือคำนับฉินซูและพูดด้วยท่าทีที่มิถ่อมตัวและมิอวดดี “องค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียน แม้โคลงคู่แรกเมื่อครู่ของท่านจะวิจิต
“ท่านแม่ทัพหู แผนนี้ยอดเยี่ยมจริง ๆ ออกจากประตูเมืองฝั่งเหนือแล้วอ้อมไปอีกหน่อย ก็ลอบโจมตีทัพหนานเยวี่ยได้เหมือนเดิม!”“ไป เร่งฝีเท้า!”ดังนั้น กองทหารของพวกเขาจึงเดินทางมายังใต้ประตูเมืองฝั่งเหนือแม่ทัพรักษาการณ์ที่นี่เห็นหูก่วงเซิงและพวก จึงไต่ถาม “ท่านแม่ทัพหู นี่พวกท่านจะทำการใด?”“ในเมืองผู้คนพลุกพล่านเกินไป พวกเราจะออกไปพักผ่อนนอกเมืองสักหน่อย วันพรุ่งพวกเราจะย้ายค่ายทหารไปตั้งไว้นอกเมืองฝั่งเหนือเช่นกัน เพื่อความสะดวกในการฝึกทหาร”เมื่อได้ยินดังนั้น ทหารรักษาการณ์ก็โบกมือให้คนเปิดประตูเมืองจะตำหนิว่าเขาประมาทเกินไปก็มิได้ ท้ายที่สุดแล้วนอกเมืองทางฝั่งเหนือยังมีทหารประจำการอยู่เป็นจำนวนมิน้อย ทหารที่เข้าออกประตูเมืองทางฝั่งเหนือจึงมีจำนวนมากเป็นทุนเดิมหลังจากที่ออกนอกเมืองได้อย่างราบรื่น หูก่วงเซิงจึงนำกองทัพทหารม้าพันนายมุ่งหน้าลงใต้!ขณะเดียวกันนอกประตูเมืองเจียวโจวทางฝั่งใต้ เงาร่างสิบกว่าร่างพุ่งออกมาจากป่าละเมาะห่างออกไปมิไกลนักพวกเขามีท่าทางคล่องแคล่ว เพียงชั่วพริบตาก็เข้าไปซุ่มซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้เตี้ย ๆ ฝั่งหนึ่งหลังจากที่สังเกตการณ์บนกำแพงเมืองอยู่ครู่หน
“ท่านแม่ทัพหู กองทัพหนานเยวี่ยแตกพ่ายในวันนี้ บัดนี้คงอกสั่นขวัญแขวนกันอยู่เป็นแน่ หากพวกเรานำทัพไปลอบโจมตี อย่างไรก็ต้องสำเร็จ! ถึงเวลานั้นหากสำเร็จ ท่านแม่ทัพใหญ่จะเอาผิดพวกเราที่ยกทัพไปโดยพลการได้อย่างไร?”ชายร่างกำยำอีกด้านกล่าวสำทับ “รองแม่ทัพหลิวกล่าวได้ถูกต้อง ท่านแม่ทัพหู พวกเราอุตส่าห์บุกป่าฝ่าดงมาถึงเจียวโจวก็มิใช่อื่นใด นอกเสียจากเพื่อสร้างความดีความชอบให้มากยิ่งขึ้นพวกเราสร้างความดีความชอบในเจียวโจวมากเท่าไร พระเกียรติของท่านอ๋องฉู่ในราชสำนักก็จะยิ่งสูงส่งมากขึ้นเท่านั้น ทุกสิ่งที่พวกเราทำ ล้วนเพื่อท่านอ๋องฉู่ทั้งสิ้น!”“ถูกต้อง พวกเราคือคนของท่านอ๋องฉู่ ท่านแม่ทัพใหญ่ย่อมมิอาจตำหนิพวกเราที่ออกรบโดยพลการได้ ท่านแม่ทัพหู ท่านรีบตัดสินใจเถิด โอกาสมิคอยท่า เวลามิหวนคืน!”“ท่านแม่ทัพหู คนขององค์รัชทายาทออกนอกเมืองไปครึ่งชั่วยามแล้ว หากพวกเรามิรีบเร่งติดตามไป เกรงว่าน้ำแกงก็มิได้ซด อย่าหวังจะได้กินเนื้อเลยขอรับ!”ด้วยคำยุยงของเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชา ดวงตาของหูก่วงเซิงก็ค่อย ๆ แน่วแน่ขึ้น!เขาพยักหน้าหนักแน่น กล่าวเสียงทุ้มต่ำ “สั่งให้เหล่าสหายทั้งหลายเตรียมตัวให้พร้อม อีกห
หูก่วงเซิงยกไหสุราขึ้นกระดกไปหลายอึก และแค่นเสียง “หึ ศึกที่ได้ชัยชนะในวันนี้ หากมิใช่เพราะทหารม้าหุ้มเกราะของพวกข้าบุกตะลุยอยู่แนวหน้า มีหรือกองทัพหนานเยวี่ยจะถูกสังหารจนแตกพ่ายยับเยิน?ทว่าในงานเลี้ยงฉลองชัย ท่านแม่ทัพใหญ่กลับมิเอ่ยถึงความดีความชอบของพวกข้าแม้แต่คำเดียว เอาแต่ชื่นชมองค์รัชทายาทมิขาดปากข้าสงสัยนัก องค์รัชทายาทเพียงแต่นำอาวุธที่กรมโยธาธิการประดิษฐ์ขึ้นใหม่มาด้วยเท่านั้น มีสิ่งใดน่าสรรเสริญกัน?”รองแม่ทัพที่นั่งอยู่ข้างกายเขาขมวดคิ้ว กล่าว “ท่านแม่ทัพหู ท่านว่าเช่นนี้เห็นทีจะมิถูกกระมัง อาวุธเหล่านั้นล้วนเป็นสิ่งที่องค์รัชทายาททรงออกแบบ ศึกครานี้ชนะได้ ก็เป็นเพราะพระองค์”“ใช่แล้ว อีกอย่างที่ทหารม้าหุ้มเกราะของพวกท่านบุกตะลุยกองทัพหนานเยวี่ยได้ไร้ผู้ใดขัดขวาง ก็มิใช่เป็นเพราะมีอาวุธที่องค์รัชทายาททรงออกแบบให้การคุ้มครองหรอกหรือ มิเช่นนั้นกองทัพหนานเยวี่ยจะปล่อยให้พวกท่านบุกตะลุยในแนวรบโดยมิอาจโต้ตอบได้เลยด้วยเหตุใดเล่า?”หูก่วงเซิงเผยสีหน้าดูแคลน หัวเราะเยาะ “องค์รัชทายาทที่เอาแต่เสพสุขไปวัน ๆ ไฉนจึงออกแบบอาวุธร้ายกาจถึงเพียงนี้ได้? พวกเจ้าก็ช่างหูเบากันเสียจริง ใ
หลังจากที่ฟังเขาจนจบ ฉงชูโม่ขมวดคิ้วถาม “แผนการของท่านดีก็จริง ทว่าหากพวกมันมิมาในคืนนี้เล่า?”“คืนนี้พวกเราจัดงานเลี้ยงฉลองชัย พวกมันต้องปักใจเชื่อว่ากำลังป้องกันเมืองของพวกเราหย่อนยาน คืนนี้หากพวกมันมิลงมือ ภายหน้าคงไม่มีโอกาสดีเช่นนี้อีกแล้ว ดังนั้นคืนนี้พวกมันต้องลงมือเป็นแน่”“เช่นนั้นก็ได้ ทำตามที่ท่านว่าก็แล้วกันเพคะ!”ฉินซูพยักหน้าเล็กน้อย แล้วกล่าวต่อ “อีกอย่าง คืนนี้เจ้าจงส่งทหารสองกองไปซุ่มอยู่หลินสุ่ยและเซี่ยอ้าว เมื่อทัพใหญ่หนานเยวี่ยปรากฏกาย จงปล่อยให้พวกมันเข้ามา รอจนกระทั่งเสียงฆ่าฟันนอกเมืองดังขึ้นค่อยตลบหลังโจมตีกองทัพหนานเยวี่ย จากนั้นจึงเข้าตีกระหนาบหน้าหลัง กวาดล้างพวกมันในคราเดียว!”ฉงชูโม่ถามอย่างตกตะลึง “ท่านคิดว่าคืนนี้พวกหนานเยวี่ยจะบุกโจมตีด้วยทัพใหญ่หรือเพคะ?”“พูดได้แต่เพียงมีความเป็นไปได้สูงนัก”“หม่อมฉันว่ามีความเป็นไปได้น้อย เนื่องจากเติ้งหม่างเพิ่งประสบความพ่ายแพ้ในวันนี้ ซ้ำร้ายทหารใต้บัญชาของเขายังหวาดหวั่นเกรงกลัวธนูทดกำลังและระเบิดสายฟ้าของพวกเราจนหัวหด หากยังมิล่วงรู้ว่าพวกเรามีธนูทดกำลังและระเบิดสายฟ้าเหลืออยู่มากน้อยเพียงใด พวกมันคงมิกล้าผล
ฉินซูหัวเราะแห้ง ๆ แล้วกล่าวติดตลก “ข้าแค่กังวลว่าเจ้าจะหึงหวงข้า”ฉงชูโม่ถ่มน้ำลาย “ถุย ใครจะหึงท่านกัน อย่าได้หลงตัวเองไปหน่อยเลย!”“อะแฮ่ม ๆ เรื่องนั้นช่างมันเถิด ที่จริงข้ามีธุระสำคัญ...”ฉงชูโม่ขัดขึ้นมาเสียก่อน “มีกระไรก็รีบว่ามา อย่ามัวอ้อมค้อม”ฉินซูปรับสีหน้าให้เคร่งขรึม แล้วเอ่ยถาม “วันนี้ที่พวกเรามีชัยเหนือแคว้นหนานเยวี่ย ในความเห็นของเจ้า พวกมันจะทำอย่างไรต่อไป?”“ชัยชนะในวันนี้ ต้องยกความดีความชอบให้กับพลานุภาพของธนูทดกำลังและระเบิดสายฟ้า กองทัพหนานเยวี่ยประสบความพ่ายแพ้ย่อยยับถึงเพียงนี้ หากหม่อมฉันเป็นเติ้งหม่าง คงต้องหาทางนำอาวุธทั้งสองชนิดนี้ไปให้ได้!”เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินซูจึงอดมิได้ที่จะมองนางด้วยสายตาชื่นชมสมแล้วที่ฉงชูโม่เป็นแม่ทัพขั้นหนึ่งที่มากล้นด้วยสติปัญญาและความกล้าหาญ สามารถเดาใจศัตรูได้ล่วงหน้าเช่นนี้“เมื่อรู้ถึงเจตนาของเติ้งหม่างผู้นั้นแล้ว เราควรจะลองมาล่อเสือออกจากถ้ำดูสักครา”“ตรัสเช่นนี้ แสดงว่าท่านทรงคิดแผนการรับมือไว้แล้วหรือ?”ฉงชูโม่เอี้ยวศีรษะมองฉินซู ดวงตาคู่งามกระจ่างใสนั้นเต็มไปด้วยความประหลาดใจหางตาฉินซูเหลือบมองอ่างอาบน้ำโดยม
“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ องค์รัชทายาท ขอพระองค์โปรดเมตตา”ทั้งสองกล่าวพร้อมคุกเข่าลงต่อหน้าฉินซูฉินซูจนปัญญา จึงตะโกนเข้าไปในกระโจม “ชูโม่ ให้ข้าเข้าไปเถิด ข้าขออธิบายให้เจ้าฟังดี ๆ มิได้หรือ?”ทว่าข้างในกลับไร้เสียงตอบรับฉินซูยังคงมิยอมแพ้ กล่าวต่อไป “ชูโม่ เจ้าอย่าหึงหวงนักเลย อย่างน้อยก็ให้ข้าอธิบายสักหน่อยเถิด”เมื่อได้ยินถ้อยคำเหล่านั้น ทหารยามทั้งสองก็อดมิได้ที่จะสบตากัน!ให้ตายสิ ท่านแม่ทัพใหญ่กับองค์รัชทายาทมีความสัมพันธ์ช่างลึกซึ้งเกินคาด!!สีหน้าของพวกเขาทั้งสองฉายแววตกตะลึง ราวกับได้รับข่าวเด็ดข่าวใหญ่ฉินซูเกลี้ยกล่อมอีกสองสามประโยค ทว่าในกระโจมก็ยังคงไร้เสียงตอบรับเมื่อเห็นดังนั้น ฉินซูจึงหันไปถามทหารยามทั้งสอง “ชูโม่อยู่ข้างในจริง ๆ หรือ?”“พ่ะย่ะค่ะองค์รัชทายาท ท่านแม่ทัพใหญ่เข้าไปแล้วก็ยังมิได้ออกมาเลยพ่ะย่ะค่ะ”“ไม่มีประตูด้านหลังใช่หรือไม่?”“ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ”“มิได้การ ชูโม่อาจจะเป็นกระไรไปแล้วก็ได้!”กล่าวถึงตรงนี้ ฉินซูจึงตะโกนเข้าไปด้านใน “ชูโม่ ข้าจะเข้าไปแล้วนะ”ขณะที่ฉินซูกำลังจะก้าวเท้าเข้าไป ทหารยามทั้งสองก็รีบร้องทัดทาน “มิได้พ่ะย่ะค่ะองค์รัชทายาท ห
ขณะเดียวกันกองหนุนทัพหนานเยวี่ยภายในค่ายทหารแม่ทัพนายกองทั้งหลายต่างจับจ้องไปยังบุรุษบนที่นั่งหัวโต๊ะด้วยใจระทึกบุรุษผู้นั้นสวมชุดเกราะสีเงินยวง ร่างกายสูงใหญ่ผึ่งผาย!เขาคือแม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพหนานเยวี่ย เติ้งหม่าง!สายตาเย็นเยียบของเขากวาดมองไปยังกลุ่มคนทีละคน สุดท้ายจับจ้องที่แม่ทัพน้อยหม่า“หม่าเวย เจ้าสำนึกผิดหรือไม่?”หม่าเวยรีบคุกเข่าลงข้างหนึ่ง กล่าวด้วยสีหน้าขมขื่น “ท่านแม่ทัพใหญ่ ข้าน้อยสำนึกผิดแล้ว ทว่าอาวุธของต้าเหยียนคราวนี้ร้ายกาจเหลือเกิน โล่เกราะหวายของพวกเราเมื่อเผชิญกับลูกธนูของพวกมันก็มิต่างกระไรจากดินเหนียว ยิงคราเดียวก็ทะลุง่ายดาย!”“ใช่แล้วท่านแม่ทัพใหญ่ โล่เกราะหวายที่พวกเราเคยภาคภูมิใจนักหนา บัดนี้มิอาจหวังพึ่งได้อีกแล้วขอรับ”“มิเพียงเท่านั้น ทางต้าเหยียนยังใช้อาวุธเพลิงร้ายกาจชนิดหนึ่ง ของสิ่งนั้นอานุภาพร้ายแรงยิ่งนัก ทหารมิใช่น้อยถูกระเบิดจนร่างแหลกมิเหลือชิ้นดีเลยขอรับ”เมื่อกล่าวถึงระเบิดเพลิง หลายคนยังคงหวาดผวาเติ้งหม่างขมวดคิ้วมุ่น และกล่าวพึมพำ “กองทหารรักษาการณ์เจียวโจวถูกพวกเราโจมตีมาเกือบเดือน บัดนี้จู่ ๆ กลับปรากฏอาวุธร้ายกาจถึงเพียงนี
วาจาล้ำสมัยปานนี้ ตี๋จิ่งผู้นี้คิดได้อย่างไร?มู่หรงจื่อเยียนเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง “ฉินซู ท่านมิเป็นกระไรใช่หรือไม่?”“มิเป็นกระไร ไปเถิด”ขณะมองตามสองร่างหายลับไปจากสายตา สหายของตี๋จิ่งก็อดมิได้ที่จะหวั่นวิตกชายร่างกำยำผู้หนึ่งเอ่ยถาม “พี่ตี๋ แล้วเราจะทำอย่างไรกันดี?”“หรือว่าพวกเราฟาดหัวองค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียนให้สลบ แล้วลักพาตัวกลับเป่ยเยี่ยนดี?”“นั่นสิ หากเป็นเช่นนั้น ท่านหญิงจะได้ตามพวกเรากลับเป่ยเยี่ยนเสียที”ตี๋จิ่งโบกมือ และกล่าวว่า “มิได้ อย่าว่าแต่ท่านหญิงจะยอมให้เราทำหรือไม่เลย ลำพังแค่พวกทหารต้าเหยียนที่ยั้วเยี้ยไปทั่ว พวกเราก็มิมีทางทำสำเร็จแล้ว!”“ก็จริงดังว่า แล้วพวกเราจะทำอย่างไรเล่า?”“เฝ้าสังเกตการณ์ไปก่อน อารักขาความปลอดภัยท่านหญิงให้ดี”“ขอรับ”พวกเขาปรึกษาหารือกันครู่หนึ่ง จากนั้นก็ติดตามไปที่พักของฉินซูถูกจัดสรรให้อยู่ในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งใกล้กับประตูเมืองทางทิศเหนือที่นี่ห่างจากประตูเมืองทิศใต้ประมาณเจ็ดแปดลี้ จึงมิต้องกังวลว่าจะถูกผลกระทบจากไฟสงครามเมื่อเข้าสู่โรงเตี๊ยมและปิดประตูลง มู่หรงจื่อเยียนก็อดรนทนรอมิไหว โผเข้ากอดคอฉินซู นางเขย่งปลา
ฉินซูเองก็ประหลาดใจมิต่างกัน เมื่อเห็นสายตาของฉงชูโม่ เขาก็รู้สึกจนปัญญาในใจลอบคิดว่าคนที่มาหาตนนั้นจะเป็นใครกันแน่หรือจะเป็นเซี่ยหลาน หรือว่าหลินชิงเหยา?แต่เมื่อคิดดูอีกทีก็รู้สึกว่าเป็นไปมิได้ เพราะทั้งสองคนเคยรับปากตนว่าจะคอยเขากลับไปอยู่ที่ตำหนักบูรพาเมื่อเห็นฉินซูเงียบไปมิพูดจา ฉงชูโม่ก็กล่าวด้วยรอยยิ้มคลุมเครือ "ฉินซู ดูเหมือนว่าช่วงเวลาที่หม่อมฉันมิอยู่ในเมืองหลวง พระองค์จะสำราญบานใจมิน้อยเลยกระมังเพคะ!"ฉินซูกล่าวอย่างใจเย็น "ข้าเปล่านะ""เปล่าหรือ? แล้วสตรีที่อยู่ข้างนอกนั่นเป็นใครกัน?""ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร อาจจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดก็ได้""คนผู้นั้นระบุชื่อเจาะจงว่าจะมาพบองค์รัชทายาท จะเป็นเรื่องเข้าใจผิดได้อย่างไร ไปเถิด ไปดูกันดีกว่าว่าอีกฝ่ายเป็นใครมาจากที่ใด"เมื่อฉงชูโม่กล่าวจบก็เดินนำออกจากกระโจมบัญชาการไปก่อนฉินซูเดินตามไปด้วยความกระวนกระวายใจเดินไปได้มิไกล ฉินซูก็ถึงกับชะงักเท้าอยู่กับที่ จ้องมองหญิงงามที่อยู่เบื้องหน้ามิไกลอย่างเหม่อลอยเมื่อฉงชูโม่เห็นคนผู้นี้ ก็ขมวดคิ้วถาม "มู่หรงจื่อเยียน? ท่านเป็นถึงท่านหญิงแห่งเป่ยเยี่ยน มายังสนามรบต้าเหยียนด้วย