สำหรับฉินเหยี่ยน นี่เป็นโอกาสที่ดีเยี่ยมในการแก้แค้นอ๋องหนิงแต่ไม่มีใครคาดคิดว่า ขณะที่ซุนฉีเกือบทำสำเร็จ เขาจะถูกฉงชูโม่พบเข้าโดยบังเอิญฉินซูเดาได้ถึงรายละเอียดทั้งหมดอย่างค่อนข้างแน่ใจในทันที พลางรู้สึกจนใจและเห็นใจฉินเหยี่ยนฉงชูโม่ขมวดคิ้วและพูดว่า “ฉินเหยี่ยนถูกความเกลียดชังครอบงำไปแล้วหรือไร ถึงได้ลักพาตัวบุตรีของตุลาการศาลต้าหลี่ นี่ถือเป็นความผิดร้ายแรงเชียว เขามิกลัวหรือว่าหากฝ่าบาททรงทราบเรื่องนี้แล้วเขาจะถูกลงโทษ?”ซุนฉีกล่าวด้วยความโกรธ “ท่านแม่ทัพใหญ่ฉง ท่านอ๋องจิ้นไม่มีทางเลือกอื่นแล้วจริง ๆ ถึงได้ลงมือเยี่ยงนี้ อีกทั้งท่านอ๋องก็มิเคยคิดจะทำร้ายบุตรีของตุลาการศาลต้าหลี่ ท่านอ๋องทรงต้องการเพียงแค่ใช้เหตุการณ์การลักพาตัว เพื่อทำให้ท่านอ๋องหนิงเข้ามาติดกับก็เท่านั้น ที่ทรงทำไปเช่นนี้ก็เพราะทรงต้องการระบายโทสะขอรับ”ขณะนั้นเอง จู่ ๆ ฉินซูก็นึกอะไรออกและถามซิ่วเอ๋อ “ซิ่วเอ๋อ ตอนเจ้าอยู่ที่ศาลต้าหลี่ เจ้าบอกว่าเจ้าเห็นตัวอักษรอะไรสลักอยู่บนป้ายอาญาสิทธิ์นะ?”ซิ่วเอ๋อพูดอย่างมิลังเล “ตัวอักษร ‘ติง’ เพคะ”ฉงชูโม่พูดด้วยสีหน้าสงสัย “ตัวอักษรติงรึ? มิใช่กระมัง นี่เป็นป้าย
ฉินซูครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ชูโม่ เจ้าตามข้าไปที่จวนอ๋องหนิง”พูดจบ เขาก็สั่งตงฟางไป๋ “ตงฟางไป๋ ไปที่ศาลต้าหลี่และแจ้งให้ท่านใต้เท้าหวังพาคนไปที่จวนอ๋องหนิง”“รับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ!”ตงฟางไป๋กำหมัดแล้วหันหลังเดินออกไป โดยมุ่งหน้าตรงไปยังศาลต้าหลี่ฉงชูโม่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามว่า “องค์รัชทายาท จวนอ๋องหนิงมีทหารประจำจวนสามร้อยนาย หม่อมฉันเกรงว่ากำลังคนของศาลต้าหลี่จะมิเพียงพอ ทรงต้องการนำทหารประจำจวนบางส่วนของเราไปด้วยหรือไม่เพคะ?”“ตอนนี้ยังมิจำเป็น ผลกระทบจากทหารที่อยู่รอบจวนอ๋องหนิงนั้นมากเกินไป อย่างแรกเรามาดูเบื้องลึกเบื้องหลังของอ๋องหนิงกันก่อนดีกว่า”“ก็ดีเพคะ”จากนั้นพวกเขาก็รีบรุดไปยังจวนอ๋องหนิง……จวนอ๋องหนิงในห้องลับใต้ดินมีศพแห้งหลายศพนอนทอดร่างอยู่ข้างชายชุดคลุมดำเห็นได้ชัดว่าซากศพแห้งเหล่านี้ถูกดูดพลังวิญญาณและเลือดไปจนหมด ดูเหี่ยวเฉา มองดูแล้วช่างน่าสยดสยองยิ่งนักและยังคงมีคราบเลือดติดอยู่ที่มุมปากของชายชุดคลุมดำเขาแลบลิ้นออกมาเลีย และถอนหายใจด้วยความเพลิดเพลิน “พลังวิญญาณและเลือดของสตรีพรหมจรรย์นั้นรสชาติดีเสียจริง ข้าดูดมาเพียงสามคน อาการบาด
“องค์รัชทายาท คงจะมีเรื่องเข้าใจผิดอะไรกันแน่นอน คนจากจวนอ๋องหนิงของกระหม่อมจะทำเรื่องลักพาตัวหญิงสาวได้อย่างไร นี่มันเป็นไปมิได้เลยพ่ะย่ะค่ะ!”เมื่อเผชิญหน้ากับการปฏิเสธของฉินเซียว ฉงชูโม่จึงพูดเหน็บแนม “ท่านอ๋องหนิง ทหารประจำจวนของท่านกล้าลอบสังหารเฉินหลิวอ๋องมาแล้ว จะมีอะไรอีกที่พวกเขามิกล้าทำด้วยหรือเพคะ?”“ชูโม่ ข้ายอมรับว่าการลอบสังหารฉินเหยี่ยนนั้นเป็นการกระทำที่หุนหันพลันแล่น แต่คดีการหายตัวไปของพวกหญิงสาวนี้มิเกี่ยวอะไรกับข้าจริง ๆ ใครเป็นตัวการปล่อยข่าวลือกัน? นำคนผู้นั้นมาทีเถอะ ข้าอยากจะเผชิญหน้ากับมันผู้นั้นตรง ๆ”“มิจำเป็นต้องลำบากถึงเพียงนั้นหรอก ในเมื่อเจ้ามิยอมรับ เช่นนั้นก็รอให้เสด็จพ่อทรงพาคนมาตรวจค้นที่นี่ก็แล้วกัน ทุกสิ่งที่เจ้าทำในช่วงนี้แม้ไร้ซึ่งหลักฐาน เสด็จพ่อก็อาจจะทรงเชื่อขึ้นมาเฉย ๆ โดยไม่มีมูลก็เป็นได้”หลังจากที่ฉินซูพูดจบ เขาก็ตะโกนไปที่นอกประตู “ใครก็ได้!”“ช้าก่อน!”ฉินเซียวรีบห้ามเขาแล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “องค์รัชทายาท ในเมื่อท่านมิทรงเชื่อในสิ่งที่กระหม่อมพูด เช่นนั้นก็ค้นเลยเถิดพ่ะย่ะค่ะ มิจำเป็นต้องไปรบกวนเสด็จพ่อ หากเรื่องบานปลายก็จะกระทบต
ฉินซูถามขึ้นด้วยท่าทีสบาย ๆ “ฉินเซียว ในห้องตำราของเจ้าคงไม่มีห้องลับอะไรเทือกนั้นหรอกใช่หรือไม่?”“!!!”ฉินเซียวรู้สึกตื่นตระหนก มิว่าเขาจะซ่อนมันไว้ได้ดีแค่ไหน ความตื่นตระหนกก็ฉายแววไปทั่วใบหน้าของเขาและภาพที่เกิดขึ้นนี้ก็ถูกฉงชูโม่สังเกตเห็นฉงชูโม่มิได้พูดอะไร นางรีบขยับไปประชิดผนังห้องตำราทันทีแล้วใช้มือเคาะเมื่อเห็นเช่นนั้น ฉินเซียวก็พยายามฝืนยิ้ม “เสด็จพี่องค์รัชทายาทก็ทรงเย้าเล่นไปได้ มิต้องพูดถึงห้องตำราหรอกพ่ะย่ะค่ะ แม้แต่ในจวนอ๋องหนิงของกระหม่อมเอง นอกจากห้องใต้ดินแล้วก็ไม่มีห้องลับอะไรเลยพ่ะย่ะค่ะไหน ๆ ก็พูดถึงห้องใต้ดินแล้ว พวกท่านลองไปดูสักหน่อยดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ หากกระหม่อมลักพาตัวหญิงสาวเหล่านั้นจริง ๆ ห้องใต้ดินก็ย่อมเป็นตัวเลือกแรกในการนำพวกนางไปขัง องค์รัชทายาทเชิญทางนี้พ่ะย่ะค่ะ”ฉินซูมองเขาด้วยรอยยิ้มคลุมเครือและพูดพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ “มิต้องรีบร้อน ไหน ๆ ก็มาแล้ว ข้าก็อยากไล่ดูชั้นตำราของเจ้าให้ละเอียด ส่วนชูโม่ เจ้าไปตรวจดูต่อได้เลย”พูดจบ เขาก็หยิบตำราจากชั้นวางอย่างใจเย็นแล้วเปิดดูฉงชูโม่ยังคงไล่เคาะผนัง ขณะเดียวกันนางก็เอาหูแนบกับผนังแล้วฟังเสียง
“เจ้าโจรชั่ว หยุดเดี๋ยวนี้!”ฉงชูโม่ตะโกน และในพริบตาร่างของนางก็ไล่ตามไป!ฉินซูมีสีหน้าเคร่งขรึม เขาเหลือบมองฉินเซียว จากนั้นก็หันหลังเดินออกไปฉินเซียวพลิกฝ่ามือ มีลูกดอกถูกหนีบไว้ตรงระหว่างนิ้วของเขาขอบคมของลูกดอกเปล่งประกายด้วยแสงแวววาวสีม่วงคล้ำ เห็นได้ชัดว่ามีพิษเปื้อนอยู่ขณะที่เขากำลังจะลอบโจมตี หัวใจของเขาก็สั่นเทาอย่างอธิบายมิถูก และความกลัวก็เล็ดลอดออกมาจากส่วนลึกในใจของเขา!การกระทำอื่น ๆ ของเขาก็หยุดชะงักไปด้วย!กว่าเขาจะได้สติ ฉินซูก็ออกจากห้องตำราไปแล้ว“ให้ตายเถอะ เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น? จู่ ๆ เหตุใดข้าถึงกลัว?”หลังจากที่ฉินเซียวรู้สึกตัว เขาก็กระทืบเท้าด้วยความหงุดหงิดและไล่ตามไป พลางคิดว่าจะจัดการฉินซูก่อนค่อยว่ากันทีหลังแต่ทันทีที่ออกมา เขาก็เห็นว่าหวังฉือได้นำผู้ตรวจการและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจากศาลต้าหลี่มาแล้วเมื่อเห็นเช่นนั้นเขาก็อดมิได้ที่จะลังเลหากลงมือ ก็จำต้องปิดปากหวังฉือและคนอื่น ๆ ด้วย แต่หากกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาก็จะเป็นอะไรที่พูดได้ยากมากในใจของเขาสับสนวุ่นวายอยู่ครู่หนึ่ง และดวงตาของเขาแข็งกร้าวขึ้นมา ดูเหมือนเขาจะตัดสินใจได้แล้ว!
ร่างนั้นปรากฏขึ้นเร็วกว่าสายฟ้าฟาด และลากฉงชูโม่ไปข้างหลังด้วยมือเดียว!ในเวลาเดียวกันนั้น อีกฝ่ายก็โจมตีด้วยฝ่ามือ!แรงกดดันท่วมท้น ดั่งภูเขาถล่ม ทะเลพลิกคว่ำ พุ่งเข้าหาชายชุดคลุมดำด้วยพลังมหาศาลทันใดนั้นสีหน้าของชายชุดคลุมดำก็เปลี่ยนไป และความรู้สึกหวาดกลัวก็เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ เขาคิดอยากจะล่าถอยโดยไร้ซึ่งความลังเลแต่ในเวลานี้ทุกอย่างได้สายเกินไปแล้ว!“พรืด!”แขนซ้ายของชายชุดคลุมดำกลายเป็นไอหมอกสีเลือด ร่างของเขากระเด็นออกไปเหมือนหุ่นไล่กาและล้มลงกับพื้นอย่างแรง!หลังจากมีเสียงดัง ‘อั่ก’ ชายชุดคลุมดำก็กระอักเลือดออกมาคำโต!เวลานี้ดูเหมือนว่าทั้งร่างของเขาจะแตกสลายไปเสียให้ได้ เขาอยากจะลุกขึ้นมาต่อสู้ แต่กลับมิสามารถขยับได้เลยสายตาหวาดผวาของเขามองชายชุดดำผู้นั้นที่เป็นคนลงมือด้วยความมิอยากเชื่อทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก!ตั้งแต่การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของชายชุดดำและลากฉงชูโม่ออกไป ไปจนถึงชายชุดคลุมดำที่ถูกโจมตีจนพิการ หากพูดแล้วเรื่องจะยาว แต่ทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นภายในพริบตาส่วนฉงชูโม่ก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่งก่อนที่นางจะกลับมาได้สตินางมองไปที่คนตรงหน้าแล้วอุทาน “ท่านผู้อาวุ
กู่ตงเฟิงพูดอย่างภาคภูมิใจ “ใช่ ข้าเอง! แต่ก็คาดมิถึงเหมือนกันว่าวันนี้ข้าจะตกมาอยู่ในกำมือของเจ้า!”ฉงชูโม่ทำสีหน้าเคร่งขรึม นางมิเคยคิดเลยว่าคนตรงหน้าจะเป็นปีศาจร้ายที่ก่อกรรมทำเข็ญไว้มากมาย!ขณะนั้นก็มีเสียงฝีเท้าดังเข้ามาแต่ไกลหัวใจของฉงชูโม่เต้นแรง และนางก็กำกริชในมือโดยมิรู้ตัวแต่หลังจากพบว่าคนที่มาคือฉินซู นางก็ถอนหายใจยาวและพูดตำหนิ “องค์รัชทายาท ทรงมาที่นี่ได้อย่างไรเพคะ?”“ข้ามิวางใจจึงมาที่นี่ เจ้ามิเป็นอะไรใช่หรือไม่?” ฉินซูถามด้วยสีหน้าเป็นกังวลเมื่อเห็นฉินซูห่วงใยตนเช่นนี้ หัวใจของฉงชูโม่ก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาทันทีแต่นางจงใจทำหน้าบึ้งตึงและส่ายหัวโดยแสร้งทำเป็นนิ่งเฉย “หม่อมฉันมิเป็นอะไร พาคนกลับไปก่อนค่อยว่ากันทีหลังเพคะ”ฉินซูพยักหน้า เมื่อเขาเห็นแขนซ้ายของกู่ตงเฟิงว่างเปล่า เขาก็ถามด้วยความประหลาดใจ “ชูโม่ เหตุใดเจ้าถึงตัดแขนซ้ายของเขาเล่า?”ฉงชูโม่พูดด้วยรอยยิ้มขมขื่นอย่างจนใจ “มิใช่หม่อมฉันเพคะ ปีศาจตัวนี้แข็งแกร่งกว่าหม่อมฉันมาก หม่อมฉันจะปราบเขาได้อย่างไร?”“โอ้? แล้วใครทำให้เขาบาดเจ็บกัน?”“เป็นท่านผู้อาวุโสที่หม่อมฉันเคยพบก่อนหน้านี้ที่หลงโย่วเพคะ เข
ฉินเซียวรีบร้อนจะพูดปกป้องตัวเองแต่ฉงชูโม่กลับกล่าวต่อ “และจะมีใครที่สามารถผ่านการป้องกันของจวนอ๋องหนิงไปอย่างเงียบ ๆ และซ่อนหญิงสาวเหล่านี้ไว้ในห้องลับของห้องตำราได้ล่ะเพคะ?ที่น่าขันคือท่านอ๋องหนิงยังคงทรงคร่ำครวญร้องขอความยุติธรรมและบอกว่าถูกผู้อื่นใส่ร้าย คำพูดนี้มิมีความน่าเชื่อเลยสักนิด ขอฝ่าบาทโปรดทรงไขข้อเท็จจริงด้วยเพคะ!”สีหน้าของฉินอู๋ต้าวยิ่งเคร่งขรึมขึ้นเรื่อย ๆ เขาตำหนิออกมา “ลูกทรพี ยังมีอะไรจะพูดอีกรึ? หา?”พูดจบ เขาก็เตะฉินเซียวจนตัวพลิกลงไปที่พื้นฉินเซียวพูดปกป้องตัวเองทั้งน้ำตา “เสด็จพ่อ เรื่องมาถึงขั้นนี้และลูกก็มิอาจแก้ตัวได้ แต่ลูกถูกใส่ร้ายจริง ๆ นะพ่ะย่ะค่ะเสด็จพ่อ ขอเสด็จพ่อโปรดทรงช่วยคลี่คลายเรื่องให้กระจ่างด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”เมื่อเห็นว่าฉินเซียวยังคงปฏิเสธ หวังฉือก็โกรธเป็นอย่างมาก!เขาจ้องมองไปที่ฉินเซียวและถามเสียงเย็น “ท่านอ๋องหนิง ท่านทรงซ่อนบุตรีของกระหม่อมไว้ที่ไหน? พานางออกมาเดี๋ยวนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ!”ฉินเซียวสับสนกับสิ่งที่อีกฝ่ายพูด “ใต้เท้าหวัง ท่านหมายความว่าอย่างไร ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าบุตรีของท่านอยู่ที่ไหน?”ฉินอู๋ต้าวขมวดคิ้วและถามว่า “ห
เซี่ยหลานตกใจลนลาน รีบแก้ตัวว่า “มิใช่อย่างนั้น ชูโม่ เจ้าคิดมากไปแล้ว ข้าจะกอดพระองค์ได้อย่างไร เจ้าก็รู้ว่าก่อนหน้านี้เขาทำกับข้าเช่นไร”ฉงชูโม่จึงนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้เซี่ยหลานเคยถูกฉินซูฉีกอาภรณ์และทำให้อับอายนางจึงคลายความสงสัยในใจ “ข้าแค่ล้อเจ้าเล่นเท่านั้นเอง จะตกใจไปไยเล่า”“หึ กล้าล้อข้ารึ ข้ามิคุยกับเจ้าแล้ว” เซี่ยหลานแสร้งทำเป็นโกรธแล้วหันหลังเดินไปฉงชูโม่เห็นดังนั้นจึงรีบตามไป “เซี่ยหลาน ข้าผิดไปแล้ว เจ้าอย่าใจน้อยนักเลย”มองดูทั้งสองคนที่ทำราวกับว่าตนเป็นอากาศธาตุ ฉินซูก็จนคำจะกล่าวโชคดีที่ในเวลานั้นหลินชิงเหยาเดินเข้ามานางคล้องแขนฉินซูพลางกล่าวด้วยความนัยลึกซึ้งว่า “องค์รัชทายาท อากาศหนาวเย็นเช่นนี้อย่าประทับอยู่ข้างนอกเลยเพคะ ข้างนอกแม้จะเย็น แต่ดีที่ตำหนักบูรพาของเรามีบ่อน้ำพุร้อน องค์รัชทายาทจะเสด็จลงไปแช่เพื่อคลายความหนาวเหน็บหรือไม่เพคะ?”“ไปสิ ไยจึงมิไป!”ฉินซูเข้าใจความหมายในทันที จึงจับมือหลินชิงเหยาแล้วรีบเข้าไปในโรงอาบน้ำอย่างใจจดใจจ่อจากนั้นเขาก็ได้รำลึกถึงความหลังกับหลินชิงเหยาอีกครั้งในขณะเดียวกันเหลยเจิ้นได้รับพระบัญชาให้มายังห้องทรงอัก
“อืม เพราะหากเป็นเช่นนั้น ก็อธิบายหลายสิ่งหลายอย่างได้”ฉงชูโม่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า “คนที่สามารถสั่งการยอดฝีมือจากวังหลวงได้ ตำแหน่งของเขาต้องมิธรรมดาอย่างแน่นอน หากคนเช่นนั้นลอบให้การช่วยเหลืออ๋องฉู่ ก็อาจจะปิดบังสายตาของสำนักโหรหลวงได้จริง ๆ”ฉินซูยักไหล่อย่างจนใจ “ดูเหมือนว่าการจะสาวถึงตัวคนที่อยู่เบื้องหลังอ๋องฉู่จะเป็นเรื่องยาก”“ถูกต้องแล้วเพคะ ครั้งนี้อ๋องฉู่ก่อกบฏมิสำเร็จ ต่อไปคงต้องระมัดระวังตัวยิ่งขึ้น พวกเราคงจะจับจุดอ่อนของเขาได้ยากขึ้นด้วย” ฉงชูโม่เองก็รู้สึกเสียดายอย่างยิ่ง“ช่างเถอะ พักเรื่องนี้ไว้ก่อน หากสืบสวนต่อไป เกรงว่าเสด็จพ่อจะทรงสงสัยว่าพวกเราสมคบคิดกันใส่ร้ายอ๋องฉู่”“แต่พวกเราจะปล่อยเรื่องนี้ไปเฉย ๆ หรือเพคะ? ในเมื่อที่อ๋องฉู่ตั้งใจจะก่อกบฏก็เป็นเรื่องจริง”ฉินซูกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “มิอาจปล่อยไปง่าย ๆ แน่นอน สิ่งที่เราทำได้ในยามนี้คือรอ รอให้ฉินอวี่ทำผิดพลาดอีกครั้ง ข้าเชื่อว่าเมื่อเรื่องนี้ซาลงไปแล้ว เขาจะต้องเคลื่อนไหวอย่างแน่นอน เมื่อใดที่มีการเคลื่อนไหว ก็จะต้องมีพิรุธเป็นแน่”ฉงชูโม่ถามว่า “ให้หม่อมฉ้นแอบจับตาดูเขาดีหรือไม่?”
ฉินซูขมวดคิ้วกล่าวว่า “ตอนนี้ข้าก็แค่คาดเดา ยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด จะสอบสวนเลยได้อย่างไร? ยิ่งกว่านั้นพวกเขายังเป็นศิษย์เอกของท่านทั้งสิ้น หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป เกรงว่าจะส่งผลเสียได้”เหลยเจิ้นส่ายหน้าอย่างจนใจ กล่าวว่า “ที่แท้องค์รัชทายาทก็แค่คาดเดาไปเอง แต่ข้าน้อยบอกท่านได้เต็มปากว่า นอกจากเสวี่ยเจี้ยน โฉ่วเยวี่ยและจีอันแล้ว ข้าน้อยล้วนจับศิษย์คนอื่น ๆ ขังแยกกันไว้ในห้องลับของสำนักหอดูดาวหลวงตั้งแต่ครึ่งปีก่อน พวกเขาไม่มีรอดพ้นจากสายตาข้าน้อยได้อย่างเงียบเชียบแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”“อ้อ? ถูกท่านขังไว้หมดเลยหรือ?”ต่อมความอยากรู้อยากเห็นของฉินซูถูกกระตุ้นขึ้นมาทันที เขาถามต่อว่า “ท่านหัวหน้าโหรหลวงขังพวกเขาไว้ด้วยเหตุผลใดหรือ?”กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเหลยเจิ้นกระตุกสองสามครั้ง เขายกมือขึ้นลูบหน้าผากแล้วตอบว่า “ช่างเถิด ข้าน้อยมิกลัวองค์รัชทายาทจะหัวเราะเยาะอยู่แล้ว ศิษย์เอกของข้าน้อยแต่ละคนล้วนมีสันดานทรยศ ข้าน้อยแน่ใจว่าท่านก็พอจะรู้นิสัยใจคอของโฉ่วเยวี่ยและจีอันอยู่บ้าง ดังนั้นข้าน้อยจึงทำได้เพียงปล่อยให้พวกเขาไตร่ตรองถึงความผิดพลาดของตนเท่านั้น”“เช่นนั้น ศิษย์เอกทั้งเจ็ดคนของท
ทันทีที่เขาลงบันไดมา จีอันก็ถามด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ว่า “ศิษย์พี่รอง โดนดุมาหรือไร?”“ไป ๆ ๆ หัวโขกจนปูดไปหมด เรื่องนี้ข้ายังมิได้คิดบัญชีกับเจ้าเลย!”“ดูเถอะ ขี้ใจน้อยเหมือนสตรีไปได้”“นี่ เจ้าอยู่ดี ๆ มิชอบใช่หรือไม่? ข้าจะฟาดเจ้าคอยดูเถอะ!” ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยไปหาแส้ยาวมาจากไหนก็มิทราบจีอันแคะขี้มูกแล้วกล่าวอย่างมิได้ยี่หระว่า “ข้ามิกลัวเจ้าหรอก ถึงอย่างไรท่านก็สู้ข้ามิได้”“ข้า… เจ้ามันร้ายกาจ ข้ายอมแพ้!”ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยหมดความอดทนใดทันที จีอันผู้นี้ขึ้นชื่อเรื่องหนังหนา อีกทั้งยังเก่งกาจจนน่าขนลุก สู้มิได้ เขาหลบดีกว่าพูดจบเขาก็หันหลังเดินออกไปครู่ต่อมา ฉินซูและฉงชูโม่ก็มาถึงเมื่อเห็นฉินซู จีอันก็อุทานด้วยความประหลาดใจว่า “โอ้โหแฮะ องค์รัชทายาท มิไปประกาศศักดาที่ใดหรือ ไฉนจึงมาเยือนสำนักหอดูดาวหลวงของเราได้?”ฉินซูงงงวยเล็กน้อย จึงถามกลับว่า “ตัวข้าต้องไปประกาศศักดาที่ใดเล่า? อวดอ้างกระไร?”“ท่านมิทรงทราบหรือ? ยึดครองแคว้นหนานเยวี่ยง่ายเหมือนปอกกล้วยเช่นนี้ ผลงานระดับนี้ไยมิไปประกาศให้ทั่วเล่า? หากเป็นข้าน้อย ข้าน้อยจะร้องแรกแหกกระเชอคุยโวไปสามวันสามคืนเต็ม ๆ ท่านนี่ช่าง
ชิวก่วนกล่าวด้วยสีหน้าเศร้าหมองว่า “หาได้มีโจรผู้ร้ายบุกรุกเข้ามาไม่พ่ะย่ะค่ะ หูก่วงเซิงและพวกตายไปโดยไร้สาเหตุ ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีความผิดปกติใด ๆ พ่ะย่ะค่ะ”“ว่ากระไรนะ? หูก่วงเซิงและพวกตายแล้วรึ?”ฉงชูโม่เดินเข้ามาด้วยสีหน้าประหลาดใจฉินซูกล่าวอย่างมิสบอารมณ์ว่า “มิใช่แค่พวกเขา แม้แต่กองทัพส่วนตัวห้าหมื่นนายของอ๋องฉู่ก็ถูกคนช่วยออกไปแล้ว”“ว่ากระไรนะเพคะ?”ฉงชูโม่ตกตะลึงอ้าปากค้าง!เมื่อได้สติกลับมา นางก็ขมวดคิ้วกล่าวว่า “ด้วยกำลังของอ๋องฉู่เพียงลำพัง ไม่มีทางทำเรื่องเหล่านี้ได้แน่ ดังนั้นเบื้องหลังของเขาต้องมียอดฝีมือคอยช่วยเหลือเป็นแน่เพคะ!”ฉินซูครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า “ศพของหูก่วงเซิงและพวกอยู่ที่ใด?”“ตอนนี้อยู่ที่ศาลต้าหลี่พ่ะย่ะค่ะ”“ไปดูกัน”ฉินซูกล่าวจบก็เดินจากไปอย่างรวดเร็วหวังฉือเห็นเขาออกมาก็คำนับแล้วกำลังจะกล่าวทว่าฉินซูกลับพูดแทรกขึ้นก่อนว่า “ใต้เท้าหวัง ไปกันเถิด ไปศาลต้าหลี่ของท่านด้วยกัน”เมื่อได้ยินเช่นนั้น หวังฉือก็ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็รีบพยักหน้าหนึ่งชั่วยามต่อมาพวกเขาก็มาถึงศาลต้าหลี่เมื่อมองดูร่างไร้วิญญาณของหูก่วงเซิงและพวก ฉ
ฉงชูโม่พยักหน้าหนักแน่น “ถูกต้องแล้วเพคะ เรื่องนี้มิใช่แค่ข้าน้อยคนเดียวที่เห็นกับตา ทหารทั้งสามทัพหลายนายก็เห็นเช่นกัน”เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของฉินอู๋ต้าวก็มิสู้ดีขึ้นมาทันตาอดีตองค์รัชทายาทสำมะเลเทเมาบัดนี้กลับสร้างคุณงามความดีครั้งยิ่งใหญ่ อีกทั้งวรยุทธ์ก็ยังลึกล้ำเกินหยั่งถึง นี่มัน… เกินความคาดหมายของเขาไปมาก!ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาคิดว่าเบื้องหลังฉินซูต้องมียอดฝีมือคอยชี้แนะแต่จากที่เห็นในเวลานี้ ยอดฝีมือที่ว่านั้น แท้จริงแล้วก็คือฉินซูเองกล่าวคือ ฉินซูมิเพียงแต่มีกลยุทธ์ที่เหนือชั้น แต่วรยุทธ์ก็ยังก้าวเข้าสู่ระดับที่น่าตกตะลึงซ้ำร้ายฉินซูยังจงใจปิดบังวรยุทธ์ของตนอีกด้วย!เมื่อรวมทุกอย่างเข้าด้วยกัน ความระแวงที่ฉินอู๋ต้าวมีต่อฉินซูก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อเห็นฉินอู๋ต้าวนิ่งอึ้งไป ฉงชูโม่ก็กล่าวต่ออย่างมีนัยแฝงว่า “ฝ่าบาท ข่าวลือเรื่ององค์รัชทายาททรงทักษะยอดเยี่ยม เกรงว่าอีกมินานคงจะแพร่สะพัดไปทั่วหลงเฉิงเพคะแต่ก็ดีเหมือนกันเพคะ เหล่าคนชั่วที่คิดจะลอบสังหารองค์รัชทายาทจะได้ประมาณตนก่อนจะลงมือ เช่นนี้แล้ว ก็จะได้มิต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยขององค์รัชทายาทให้มา
สวี่จิ้นเสนาบดีกรมโยธาธิการกล่าวว่า “องค์รัชทายาท พระองค์ได้นำหนานเยวี่ยทั้งเจ็ดมณฑลสามสิบแปดเมืองมาอยู่ภายใต้ต้าเหยียนของเรา คุณูปการอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ สมควรได้รับการประทานเครื่องยศเก้าประการแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ฉินซูส่ายหน้าเล็กน้อย “ใต้เท้าสวี่ ท่านกล่าวผิดแล้ว มีคำกล่าวว่า ใต้หล้าไพศาลล้วนเป็นแผ่นดินขององค์จักรพรรดิ บนแผ่นดินนี้ล้วนเป็นข้ารองพระบาทขององค์จักรพรรดิ ข้าในฐานะองค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียน ย่อมถือเอาความผาสุกของราษฎรเป็นภารกิจของตน ทุกสิ่งที่ทำล้วนเป็นหน้าที่”เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ฉินซูก็ประสานมือคำนับฉินอู๋ต้าวอีกครั้ง “เสด็จพ่อ ดังนั้นรางวัลอันยิ่งใหญ่อย่างเครื่องยศเก้าประการนี้ลูกมิกล้ารับไว้จริง ๆ หวังว่าเสด็จพ่อจะทรงเข้าพระทัยพ่ะย่ะค่ะ!”เมื่อได้ยินเช่นนั้น เหล่าขุนนางระดับสูงก็อุทานด้วยความประหลาดใจอีกครั้งรางวัลอันยิ่งใหญ่เช่นเครื่องยศเก้าประการนี้ องค์รัชทายาทกลับปฏิเสธจริง ๆ หรือ?ต้องเท้าความว่า หากฉินซูในฐานะเป็นองค์รัชทายาทรับรางวัลนี้ ในภายภาคหน้า สถานะความสำคัญของเขาในสายตาของขุนนางและราษฎรแห่งต้าเหยียนก็แทบจะเทียบเท่ากับฉินอู๋ต้าวผู้เป็นองค์จักรพรรดิได้เลยทีเ
ฉงชูโม่กำลังจะกล่าวต่อ แต่กลับสังเกตเห็นว่าฉินซูกำลังส่ายหน้าให้นางเล็กน้อยเมื่อเห็นดังนั้น คิ้วเรียวก็ขมวดเล็กน้อยด้วยความสงสัยจากนั้นเสียงของฉินซูก็ดังขึ้นในหูของนาง “สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว หลักฐานสำคัญหายไป”ฉินซูใช้วิชาแห่งกระแสจิต ดังนั้นจึงไม่มีใครสังเกตได้นอกจากฉงชูโม่เมื่อได้ยินถ้อยคำของฉินซู แววตาของฉงชูโม่ก็พลันไหววูบ จากนั้นจึงกล่าวกับฉินอู๋ต้าวว่า “ทูลฝ่าบาท ข้าน้อยไม่มีสิ่งใดจะกล่าวทูลแล้วเพคะ”เมื่อเห็นเช่นนั้น ฉินอู๋ต้าวก็มองฉงชูโม่ด้วยความสงสัยผาดหนึ่งแล้วหันไปมองฉินซูแทน“องค์รัชทายาท รายงานเรื่องคลังหลวงของหนานเยวี่ยหน่อยซิ”“ลูกน้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ!”ฉินซูประสานมือแล้วพูดต่อ “ทูลเสด็จพ่อ ในการตรวจค้นคลังหลวงของหนานเยวี่ยครั้งนี้ ลูกพบผ้าไหมแพรพรรณสูงค่ามากมายนับมิถ้วน เงินแท้รวมทั้งสิ้นสิบสามล้านกว่าตำลึง ทองคำสองล้านตำลึง เสบียงอาหารก็มีมากถึงเกือบแสนต้านพ่ะย่ะค่ะ”“ลูกได้จัดสรรเงินจำนวนหนึ่งล้านตำลึงจากทั้งหมดในพระนามของเสด็จพ่อ เพื่อใช้เป็นรางวัลแก่ทหารทั้งสามทัพ ส่วนพืชพรรณธัญหารก็ได้สั่งให้คนนำกลับไปเก็บไว้ที่เจียวโจวแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“ยังมีอีกเรื่
ฉินอู๋ต้าวผงกศีรษะให้ฉินอวี่เล็กน้อย แล้วกล่าวว่า “อ๋องฉู่ ในเมื่อชูโม่เข้าใจตัวเจ้าผิดไป เจ้าก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดอีกครั้งเถิด”“ลูกรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ!”ฉินอวี่ประสานมือคำนับ แล้วกล่าวช้า ๆ ว่า “ชูโม่ ตอนที่ลงใต้ไปยังเจียวโจว ยามนั้นข้าประมาทเลินเล่อ ถูกคนสนิทขโมยตราประจำตัวไป ภายหลังจึงได้ทราบว่าเจ้าคนสารเลวนั่นถูกเติ้งหม่างซื้อตัวไปนานแล้วแม้แต่หูก่วงเซิงและคนอื่น ๆ ก็ยังแปรพักตร์ไปเข้าข้างหนานเยวี่ย กว่าข้าจะรู้ตัวทัพหนานเยวี่ยก็บุกเข้าประตูเมืองเจียวโจวแล้วด้วยความจำเป็น ข้าจึงต้องถอยกลับมาก่อน จากนั้นก็เดินทางทั้งวันทั้งคืน เมื่อกลับมาถึงหลงเฉิงก็รีบทูลเรื่องนี้ให้เสด็จพ่อทรงทราบในทันที”เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉงชูโม่ก็แค่นยิ้มหยันทันที “ท่านอ๋องฉู่ ท่านทรงคิดว่าแค่โยนความผิดทั้งหมดไปให้คนสนิทขอท่านแล้วเรื่องก็จะจบลงง่าย ๆ เช่นนั้นหรือ?”ฉินอวี่โต้กลับว่า “สิ่งที่ตัวข้าพูดมาทั้งหมดเป็นความจริง จะเรียกว่าโยนความผิดได้อย่างไร?”ฉงชูโม่มิได้โต้เถียงกับเขาต่อ แต่หันไปกล่าวกับฉินอู๋ต้าวว่า “ฝ่าบาท ที่ทะเลตงไห่ ท่านอ๋องฉู่...”ยังมิทันที่นางจะพูดจบ ขันทีน้อยคนหนึ่งก็วิ่งเข้าม