“นั่นน่ะสิ น่าเสียดายที่อ๋องหนิงมิสามารถโค่นล้มองค์รัชทายาทด้วยแผนการที่ดีเช่นนี้ได้”เซี่ยเหอเองก็ดูเสียดายเช่นกันฉินหงขมวดคิ้วและพึมพำ “มิรู้ว่าเสด็จพ่อจะทรงจัดการกับฉินเซียวอย่างไร"“ท่านอ๋องวางพระทัยได้ จากที่ข้าน้อยรู้เกี่ยวกับฝ่าบาทมา ไม่มีทางที่ฝ่าบาทจะทรงจัดการกับอ๋องหนิงมิว่าอย่างไรก็ตาม หากทรงจัดการอย่างเปิดเผย ก็จะส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง”“ถูกต้อง การปราบปรามอ๋องหนิงนั้นเท่ากับเป็นการเพิ่มแรงกดดันของตำหนักบูรพา ซึ่งเป็นสิ่งที่ฝ่าบาทมิทรงต้องการเห็น ดังนั้นฝ่าบาทอาจจะทรงเปลี่ยนเรื่องใหญ่ให้กลายเป็นเรื่องเล็ก มิเช่นนั้น พระองค์คงจะมิทรงไล่ขุนนางทั้งราชสำนักออกมา”ฉินหงพยักหน้าเบา ๆ “พวกท่านพูดถูก แต่หลังจากเหตุการณ์นี้ พวกเราคงต้องประเมิณฉินซูใหม่อีกครั้งแล้ว พฤติกรรมของเขาในช่วงนี้ มิว่าจะมองอย่างไร ก็ดูมิเหมือนขยะไร้ค่าที่เอาแต่หมกมุ่นอยู่กับสุรานารี”หลินซีกล่าวอย่างเคร่งเครียด “ท่านตรัสถูก ข้าน้อยคิดอย่างไรก็มิเข้าใจเช่นกันว่า เหตุใดองค์รัชทายาทจึงเปลี่ยนไปอย่างกะทันหันราวกับเป็นคนละคน”“ตอนนี้ทั้งในและนอกราชสำนักต่างก็ลือกันว่า มียอดฝีมือคอยชี้แนะองค์รัชทายาทอยู่เบื
ฉินซูไพล่มือไว้ด้านหลังและพูดด้วยท่าทีน่าเกรงขราม “รอข้าจัดการฉินเซียวและคนอื่น ๆ ได้ก่อนเถอะ ฝ่าบาทจะทรงทำอะไรได้นอกจากต้องมอบความไว้วางใจให้ข้าปกครองแคว้น? มิอยากเชื่อเลยว่าองค์รัชทายาทผู้สูงศักดิ์เช่นข้าจะต้องมามิลงรอยกับคนที่เป็นเพียงแค่อ๋องหนิง!”“องค์รัชทายาท โปรดอย่าตรัสเหลวไหลเช่นนั้นเพคะ หากรู้ไปถึงฝ่าบาท ท่านต้องเดือดร้อนแน่”หลังจากที่เซี่ยหลานพูดจบ นางก็รีบมองไปรอบ ๆ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ จากนั้นก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกฉินซูพูดอย่างมิเห็นด้วย “จะรู้ก็รู้ไปสิ ถึงอย่างไรข้าก็ดูออกว่าก่อนถึวันชุนเฟินปีหน้า พระองค์ไม่มีทางปลดข้าก่อนแน่นอน เช่นนี้ก็ถือเป็นการให้เวลาข้าได้กลับมาเรืองอำนาจพอดี”“พูดถึงเรื่องนี้ หม่อมฉันรู้สึกแปลก ๆ เพคะ เมื่อวานท่านบีบบังคับจนฝ่าบาทระเบิดโทสะกลางราชสำนัก นั่นก็เป็นเหตุผลที่เพียงพอจะทำให้ฝ่าบาททรงปลดท่านล่วงหน้าได้เลยด้วยโทษฐานดูหมิ่น เพราะถึงอย่างไรคนทั่วหล้าต่างก็รู้กันหมดว่าท่านคือองค์รัชทายาทผู้รอวันถูกปลด”แต่พระองค์กลับทรงมิได้ทำเช่นนั้น หรือต้องรอวันชุนเฟินมาถึงจริง ๆ ถึงจะปลดท่านได้? แล้วมันเป็นเพราะเหตุใดกันแน่?”“ข้าเองก็มิร
ฉงชูโม่ถามด้วยความสงสัย “เซี่ยหลาน เหตุใดจู่ ๆ เจ้าถึงพูดแทนองค์รัชทายาทล่ะ? เจ้าเกลียดพระองค์มากมิใช่หรือ?”เมื่อถูกฉงชูโม่สงสัย ร่องรอยของความตื่นตระหนกก็ฉายแววไปทั่วใบหน้าของเซี่ยหลาน นางรีบพูดปกป้องตัวเอง “อะไรกัน ของข้าน่ะเรียกว่าบุญคุญกับความแค้นแยกกันชัดเจน เข้าใจหรือไม่? ส่วนสิ่งที่องค์รัชทายาททรงเคยทำเอาไว้ก่อนหน้า หลังจากนี้ข้าย่อมหาโอกาสเอาคืนแน่ แต่นี่มันคนละเรื่องกันมิใช่รึ”“ขนาดเซี่ยหลานยังมีความชอบธรรม ชูโม่ เจ้าก็อย่าใจแคบถึงเพียงนั้นเลย ไปสืบให้หน่อยเถิด”“ก็ได้ ๆ ๆ หม่อมฉันจะไปสืบให้พอพระทัยหรือไม่เพคะ ถึงอย่างไรองค์จักรพรรดิก็ยังทรงตระหนักรู้ว่า พระองค์ทำให้ท่านต้องเสียพระทัย พระองค์จึงมีรับสั่งให้พวกเรางดจับตาดูท่านไปสักสองสามวัน พอดีเลย หม่อมฉันจะได้มีเวลาไปสืบเรื่องของอ๋องหนิงให้”เมื่อเซี่ยหลานได้ยินเช่นนั้น นางก็ยิ้มแย้มแจ่มใสทันทีหลังจากที่กลายเป็นสตรีของฉินซู นางก็รู้สึกเกลียดงานที่ฝ่าบาททรงมอบหมายให้มากกว่าเดิมแต่ก็มิสามารถฝ่าฝืนพระราชโองการขององค์จักรพรรดิได้ ดังนั้นนางทำได้เพียงกัดฟันจำใจบันทึกทุกการเคลื่อนไหวของฉินซูหลังจากได้ยินฉงชูโม่พูดเช่นนี
หลินชิงเหยาถามด้วยความสับสน “องค์รัชทายาท เหตุใดท่านถึงมองหม่อมฉันเช่นนี้เพคะ?”“ชิงเหยา เจ้าฉลาดมาก ทำให้ข้าตระหนักรู้ได้ด้วยคำพูดเพียงคำเดียว!”ฉินซูจึงได้นึกถึงมู่หรงฟู่อีกฝ่ายคือองค์ชายห้าแห่งเป่ยเยี่ยน ตอนนี้เขาถูกสั่งกักบริเวณให้อยู่แต่ในเมืองหลงเฉิงมาได้ระยะหนึ่งแล้ว มิรู้ว่าจักรพรรดิแห่งเป่ยเยี่ยนยังนั่งดูอยู่เฉย ๆ ได้อย่างไรหากส่งยอดฝีมือเข้าไปแฝงตัวสร้างความวุ่นวายในเมืองหลงเฉิงยังจะฟังดูมีเหตุผลมากกว่าเขาเหมือนจะนึกอะไรออก จากนั้นก็พูดว่า “ชิงเหยา เจ้าไปนอนก่อน ข้าจะไปถามอะไรตงฟางไป๋สักหน่อย”“องค์รัชทายาท นี่มันก็ดึกมากแล้วเพคะ มีเรื่องอะไรก็เก็บไว้ถามในวันพรุ่งมิได้หรือเพคะ?”น้ำเสียงของหลินชิงเหยาเศร้าสร้อย และนางก็กอดคอของฉินซูไว้แน่นมิยอมปล่อยฉินซูพูดอย่างจนใจ “ตอนที่ข้ากลับมาจากทางใต้ ตงฟางไป๋เหมือนจะเคยพูดถึงบุตรแห่งนักปราชญ์จากเป่ยเยี่ยน ข้าจะไปถามเขาสักหน่อย”เมื่อเห็นว่าฉินซูมีเรื่องจริงจังที่ต้องทำ หลินชิงเหยาก็เลิกเอาแต่ใจและยอมปล่อยมืออย่างว่าง่ายฉินซูจูบที่หน้าผากของนางก่อนจะลุกจากเตียงและเดินออกจากห้องบรรทมไปเขาส่งคนไปเรียกตงฟางไป๋มาอีกฝ่ายถ
แต่ผ่านไปเพียงแค่ครึ่งวันก็มีข่าวจากพระราชวังว่าการกระทำของฉินเซียวถูกเปิยเผยแล้วนั่นทำให้พวกเขาโกรธมาก!มู่หรงฟู่ทำลายความเงียบด้วยการพูดออกมาอย่างโกรธเคือง “อ๋องหนิงผู้นี้ช่างไร้ความสามารถยิ่งนัก มิเพียงโค่นฉินซูมิได้ แต่ยังทำให้ตัวเองเดือดร้อนอีกด้วย ข้าก็อุตส่าห์หลงคิดว่าเขาเป็นคนมากความสามารถ”“แม้ว่าจักรพรรดิแห่งต้าเหยียนจะมิได้จัดการกับเรื่องนี้อย่างชัดเจน แต่ต่อไปฉินเซียวก็คงจะมิกล้าทำตัวหยิ่งผยองอีกอย่างแน่นอน องค์ชาย ดูท่าว่าแผนของพวกเราจะล้มเหลวอีกแล้วเพคะ”ในคำพูดของมู่หรงจื่อเยียนแฝงไว้ซึ่งความมิพอใจตอนนั้นนางไปเอ่ยชักชวนด้วยตัวเองถึงที่จวนอ๋องหนิง โดยคิดว่าทุกอย่างจะไร้กังวลหลังจากที่ฉินเซียวตกลงแต่คาดมิถึงว่า สุดท้ายจะคว้าน้ำเหลว“แม้จะโค่นล้มฉินซูมิสำเร็จ แต่ใจเขาคงนึกเกลียดฉินเซียวเป็นแน่ จะทำการแก้แค้นเมื่อใดก็ขึ้นอยู่กับเวลา ฉะนั้นพูดกันอย่างจริงจังก็คือ แผนของพวกเรายังมิถือว่าล้มเหลว”“แม้จะพูดเช่นนั้น แต่ตอนนี้พวกเขาคงมิได้สู้กันไปอีกสักระยะ พวกเราควรคิดแผนอื่นเพิ่มหรือไม่เพคะ?”มู่หรงฟู่ลูบคางของเขาแล้วถามหนานกงจื่อชิน “จื่อชิน เจ้าคิดเห็นอย่างไร?”หน
วันรุ่งขึ้นฉินซูกำลังกินข้าวเย็นอยู่ที่ห้องโถงด้านข้างขณะนั้น ตงฟางไป๋ก็เดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว“องค์รัชทายาท หาเจอแล้วพ่ะย่ะค่ะ หนานกงจื่อชินอยู่ที่โรงเตี๊ยมเทียนเวย!”“ดีมาก ถึงเวลาที่ข้าจะได้พบกับบุตรแห่งนักปราชญ์จากหอดารารักษ์ในเป่ยเยี่ยนผู้นี้เสียที!”เขาวางชามโจ๊กในมือลงแล้วตะโกนเรียกฉงชูโม่เมื่อรู้ว่าฉินซูกำลังจะไปที่โรงเตี๊ยมเทียนเวยเพื่อตามหาหนานกงจื่อชิน ฉงชูโม่ก็ถามด้วยความสับสน “องค์รัชทายาท เหตุใดจู่ ๆ ท่านถึงทรงอยากไปพบหนานกงจื่อชิน ทรงว่างมากหรือ?”“เจ้าต่างหากที่ว่าง หนานกงจื่อชินผู้นี้ว่ากันว่ามีความสามารถทั้งบุ๋นและบู๊ วรยุทธ์แข็งแกร่ง ข้าสงสัยว่าเขาอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการลอบสังหารฉินเหยี่ยนด้วย!”“องค์รัชทายาท เหตุใดจู่ ๆ ท่านถึงทรงสงสัยเขาเพคะ?”“คิดเสียว่ามันเป็นลางสังหรณ์ก็แล้วกัน เจ้าไปกับข้าแล้วหาโอกาสทดสอบอีกฝ่ายดู”ฉงชูโม่พยักหน้าช้า ๆ และตามฉินซูออกไป……โรงเตี๊ยมเทียนเวยมู่หรงฟู่และคนอื่น ๆ กำลังนั่งทานอาหารด้วยกันขณะนั้นก็มีผู้ติดตามคนหนึ่งเดินเข้ามาอย่างรวดเร็วและพูดว่า “ท่านอ๋อง องค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียนมาที่นี่ และกำลังจะลงจากเกี้ยวที
ฉงชูโม่ประหลาดใจเล็กน้อย “เจ้ารู้จักข้าด้วยหรือ?”“หากมิเคยได้ยินแม้แต่ชื่อเสียงอันเกรียงไกรในการทำศึกของท่านแม่ทัพใหญ่ฉง นั่นจะมิทำให้ข้าน้อยดูขาดความรู้น้อยประสบการณ์หรือขอรับ”“ชื่อเสียงเกรียงไกรอะไรกัน ข้าได้ยินมาว่าวิชากระบี่ดารารักษ์แห่งหอดารารักษ์ของเจ้านั้นอัศจรรย์ไร้เทียมทาน ข้าอยากเรียนรู้วิชากระบี่นี้จากพวกเจ้ามานานแล้ว มาเริ่มกันเลย”ฉงชูโม่ชักกระบี่ออกมาโดยมิฟังคำอธิบายใด ๆเพื่อทดสอบหนานกงจื่อชิน นางตั้งใจนำกระบี่มาเป็นพิเศษเมื่อเห็นเช่นนั้น สีหน้าของหนานกงจื่อชินก็มิสู้ดีขึ้นมาทันทีมู่หรงฟู่กล่าวว่า “แม่ทัพฉง เจ้าทำให้เขาลำบากใจอยู่นะ เมื่อสองวันเขาเอวเคล็ด จึงมิสามารถต่อสู้ได้”หนานกงจื่อชินตามน้ำไปด้วย “ใช่ขอรับ ข้าน้อยมิทันระวังจนเอวเคล็ด มิว่าอย่างไรวันนี้ข้าน้อยก็มิสามารถประลองกับท่านแม่ทัพฉงได้ โปรดอภัยให้ข้าน้อยด้วยขอรับ”เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉงชูโม่ก็ยิ้มเยาะ เห็นได้ชัดว่านางมิเชื่อฉินซูถามด้วยสีหน้าท่าทางซุบซิบ “หนานกงจื่อชิน สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับบุรุษอย่างเรา ๆ ก็คือเอว เหตุใดจู่ ๆ ถึงได้เอวเคล็ดเล่า? ไปทำอีท่าไหนมา?”ดวงตาของหนานกงจื่อชินกะพริบเ
หนานกงจื่อชินรีบปฏิเสธทันที “มือกระบี่ชุดขาวอะไรกัน ข้ามิรู้ว่าเจ้ากำลังพูดถึงอะไร”ขณะที่พูด เขาก็ปัดกระบี่ของฉงชูโม่ออกและถอยหลังไปสองสามก้าว เพื่อสร้างระยะห่างระหว่างตนกับอีกฝ่ายฉงชูโม่มิได้มีท่าทีจะโจมตีต่อ นางเพียงยิ้มเยาะและกล่าวว่า “ยังมิยอมรับอีกหรือ? เช่นนั้นบอกข้าหน่อยสิว่า บาดแผลที่แขนของเจ้าเกิดขึ้นได้อย่างไร?”มู่หรงจื่อเยียนรีบอธิบาย “เรื่องนั้น เจ้าเข้าใจผิดแล้ว บาดแผลของท่านพี่จื่อชินเป็นเพราะข้าเอง เมื่อวานเขาสอนข้าฝึกกระบี่ ข้าพลั้งมือทำให้แขนเขามีบาดแผล”“ฮึ คำพูดนี้เจ้าเอาไว้หลอกเด็กสามขวบเถอะ แผลที่แขนเขาชัดเจนว่าเกิดจากกริช อีกทั้งรอยแผลที่ข้าเป็นคนสร้าง ข้าดูออกได้ในทันที!”เมื่อฉงชูโม่พูดจบ นางก็มองหนานกงจื่อชินและหัวเราะเยาะ “หนานกงจื่อชิน ในฐานะจอมบุทธ์ที่มีฝีมือเช่นพวกเรา เจ้าควรจะรู้ดีว่าบาดแผลมิอาจโกหกได้!”สีหน้าของหนานกงจื่อชินเคร่งเครียดทันที เพราะสิ่งที่ฉงชูโกล่าวนั้นถูกต้อง ด้วยความสามารถระดับพวกเขา แม้จะเป็นกระบวนท่าเดียวกัน แต่เมื่อคนที่ใช้ต่างกัน ผลลัพธ์ย่อมแตกต่างกันออกไปอย่างสิ้นเชิง แผลที่ถูกอีกฝ่ายสร้างขึ้น อีกฝ่ายย่อมสามารถจดจำได้อย่