หลินชิงเหยาถามด้วยความสับสน “องค์รัชทายาท เหตุใดท่านถึงมองหม่อมฉันเช่นนี้เพคะ?”“ชิงเหยา เจ้าฉลาดมาก ทำให้ข้าตระหนักรู้ได้ด้วยคำพูดเพียงคำเดียว!”ฉินซูจึงได้นึกถึงมู่หรงฟู่อีกฝ่ายคือองค์ชายห้าแห่งเป่ยเยี่ยน ตอนนี้เขาถูกสั่งกักบริเวณให้อยู่แต่ในเมืองหลงเฉิงมาได้ระยะหนึ่งแล้ว มิรู้ว่าจักรพรรดิแห่งเป่ยเยี่ยนยังนั่งดูอยู่เฉย ๆ ได้อย่างไรหากส่งยอดฝีมือเข้าไปแฝงตัวสร้างความวุ่นวายในเมืองหลงเฉิงยังจะฟังดูมีเหตุผลมากกว่าเขาเหมือนจะนึกอะไรออก จากนั้นก็พูดว่า “ชิงเหยา เจ้าไปนอนก่อน ข้าจะไปถามอะไรตงฟางไป๋สักหน่อย”“องค์รัชทายาท นี่มันก็ดึกมากแล้วเพคะ มีเรื่องอะไรก็เก็บไว้ถามในวันพรุ่งมิได้หรือเพคะ?”น้ำเสียงของหลินชิงเหยาเศร้าสร้อย และนางก็กอดคอของฉินซูไว้แน่นมิยอมปล่อยฉินซูพูดอย่างจนใจ “ตอนที่ข้ากลับมาจากทางใต้ ตงฟางไป๋เหมือนจะเคยพูดถึงบุตรแห่งนักปราชญ์จากเป่ยเยี่ยน ข้าจะไปถามเขาสักหน่อย”เมื่อเห็นว่าฉินซูมีเรื่องจริงจังที่ต้องทำ หลินชิงเหยาก็เลิกเอาแต่ใจและยอมปล่อยมืออย่างว่าง่ายฉินซูจูบที่หน้าผากของนางก่อนจะลุกจากเตียงและเดินออกจากห้องบรรทมไปเขาส่งคนไปเรียกตงฟางไป๋มาอีกฝ่ายถ
แต่ผ่านไปเพียงแค่ครึ่งวันก็มีข่าวจากพระราชวังว่าการกระทำของฉินเซียวถูกเปิยเผยแล้วนั่นทำให้พวกเขาโกรธมาก!มู่หรงฟู่ทำลายความเงียบด้วยการพูดออกมาอย่างโกรธเคือง “อ๋องหนิงผู้นี้ช่างไร้ความสามารถยิ่งนัก มิเพียงโค่นฉินซูมิได้ แต่ยังทำให้ตัวเองเดือดร้อนอีกด้วย ข้าก็อุตส่าห์หลงคิดว่าเขาเป็นคนมากความสามารถ”“แม้ว่าจักรพรรดิแห่งต้าเหยียนจะมิได้จัดการกับเรื่องนี้อย่างชัดเจน แต่ต่อไปฉินเซียวก็คงจะมิกล้าทำตัวหยิ่งผยองอีกอย่างแน่นอน องค์ชาย ดูท่าว่าแผนของพวกเราจะล้มเหลวอีกแล้วเพคะ”ในคำพูดของมู่หรงจื่อเยียนแฝงไว้ซึ่งความมิพอใจตอนนั้นนางไปเอ่ยชักชวนด้วยตัวเองถึงที่จวนอ๋องหนิง โดยคิดว่าทุกอย่างจะไร้กังวลหลังจากที่ฉินเซียวตกลงแต่คาดมิถึงว่า สุดท้ายจะคว้าน้ำเหลว“แม้จะโค่นล้มฉินซูมิสำเร็จ แต่ใจเขาคงนึกเกลียดฉินเซียวเป็นแน่ จะทำการแก้แค้นเมื่อใดก็ขึ้นอยู่กับเวลา ฉะนั้นพูดกันอย่างจริงจังก็คือ แผนของพวกเรายังมิถือว่าล้มเหลว”“แม้จะพูดเช่นนั้น แต่ตอนนี้พวกเขาคงมิได้สู้กันไปอีกสักระยะ พวกเราควรคิดแผนอื่นเพิ่มหรือไม่เพคะ?”มู่หรงฟู่ลูบคางของเขาแล้วถามหนานกงจื่อชิน “จื่อชิน เจ้าคิดเห็นอย่างไร?”หน
วันรุ่งขึ้นฉินซูกำลังกินข้าวเย็นอยู่ที่ห้องโถงด้านข้างขณะนั้น ตงฟางไป๋ก็เดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว“องค์รัชทายาท หาเจอแล้วพ่ะย่ะค่ะ หนานกงจื่อชินอยู่ที่โรงเตี๊ยมเทียนเวย!”“ดีมาก ถึงเวลาที่ข้าจะได้พบกับบุตรแห่งนักปราชญ์จากหอดารารักษ์ในเป่ยเยี่ยนผู้นี้เสียที!”เขาวางชามโจ๊กในมือลงแล้วตะโกนเรียกฉงชูโม่เมื่อรู้ว่าฉินซูกำลังจะไปที่โรงเตี๊ยมเทียนเวยเพื่อตามหาหนานกงจื่อชิน ฉงชูโม่ก็ถามด้วยความสับสน “องค์รัชทายาท เหตุใดจู่ ๆ ท่านถึงทรงอยากไปพบหนานกงจื่อชิน ทรงว่างมากหรือ?”“เจ้าต่างหากที่ว่าง หนานกงจื่อชินผู้นี้ว่ากันว่ามีความสามารถทั้งบุ๋นและบู๊ วรยุทธ์แข็งแกร่ง ข้าสงสัยว่าเขาอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการลอบสังหารฉินเหยี่ยนด้วย!”“องค์รัชทายาท เหตุใดจู่ ๆ ท่านถึงทรงสงสัยเขาเพคะ?”“คิดเสียว่ามันเป็นลางสังหรณ์ก็แล้วกัน เจ้าไปกับข้าแล้วหาโอกาสทดสอบอีกฝ่ายดู”ฉงชูโม่พยักหน้าช้า ๆ และตามฉินซูออกไป……โรงเตี๊ยมเทียนเวยมู่หรงฟู่และคนอื่น ๆ กำลังนั่งทานอาหารด้วยกันขณะนั้นก็มีผู้ติดตามคนหนึ่งเดินเข้ามาอย่างรวดเร็วและพูดว่า “ท่านอ๋อง องค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียนมาที่นี่ และกำลังจะลงจากเกี้ยวที
ฉงชูโม่ประหลาดใจเล็กน้อย “เจ้ารู้จักข้าด้วยหรือ?”“หากมิเคยได้ยินแม้แต่ชื่อเสียงอันเกรียงไกรในการทำศึกของท่านแม่ทัพใหญ่ฉง นั่นจะมิทำให้ข้าน้อยดูขาดความรู้น้อยประสบการณ์หรือขอรับ”“ชื่อเสียงเกรียงไกรอะไรกัน ข้าได้ยินมาว่าวิชากระบี่ดารารักษ์แห่งหอดารารักษ์ของเจ้านั้นอัศจรรย์ไร้เทียมทาน ข้าอยากเรียนรู้วิชากระบี่นี้จากพวกเจ้ามานานแล้ว มาเริ่มกันเลย”ฉงชูโม่ชักกระบี่ออกมาโดยมิฟังคำอธิบายใด ๆเพื่อทดสอบหนานกงจื่อชิน นางตั้งใจนำกระบี่มาเป็นพิเศษเมื่อเห็นเช่นนั้น สีหน้าของหนานกงจื่อชินก็มิสู้ดีขึ้นมาทันทีมู่หรงฟู่กล่าวว่า “แม่ทัพฉง เจ้าทำให้เขาลำบากใจอยู่นะ เมื่อสองวันเขาเอวเคล็ด จึงมิสามารถต่อสู้ได้”หนานกงจื่อชินตามน้ำไปด้วย “ใช่ขอรับ ข้าน้อยมิทันระวังจนเอวเคล็ด มิว่าอย่างไรวันนี้ข้าน้อยก็มิสามารถประลองกับท่านแม่ทัพฉงได้ โปรดอภัยให้ข้าน้อยด้วยขอรับ”เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉงชูโม่ก็ยิ้มเยาะ เห็นได้ชัดว่านางมิเชื่อฉินซูถามด้วยสีหน้าท่าทางซุบซิบ “หนานกงจื่อชิน สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับบุรุษอย่างเรา ๆ ก็คือเอว เหตุใดจู่ ๆ ถึงได้เอวเคล็ดเล่า? ไปทำอีท่าไหนมา?”ดวงตาของหนานกงจื่อชินกะพริบเ
หนานกงจื่อชินรีบปฏิเสธทันที “มือกระบี่ชุดขาวอะไรกัน ข้ามิรู้ว่าเจ้ากำลังพูดถึงอะไร”ขณะที่พูด เขาก็ปัดกระบี่ของฉงชูโม่ออกและถอยหลังไปสองสามก้าว เพื่อสร้างระยะห่างระหว่างตนกับอีกฝ่ายฉงชูโม่มิได้มีท่าทีจะโจมตีต่อ นางเพียงยิ้มเยาะและกล่าวว่า “ยังมิยอมรับอีกหรือ? เช่นนั้นบอกข้าหน่อยสิว่า บาดแผลที่แขนของเจ้าเกิดขึ้นได้อย่างไร?”มู่หรงจื่อเยียนรีบอธิบาย “เรื่องนั้น เจ้าเข้าใจผิดแล้ว บาดแผลของท่านพี่จื่อชินเป็นเพราะข้าเอง เมื่อวานเขาสอนข้าฝึกกระบี่ ข้าพลั้งมือทำให้แขนเขามีบาดแผล”“ฮึ คำพูดนี้เจ้าเอาไว้หลอกเด็กสามขวบเถอะ แผลที่แขนเขาชัดเจนว่าเกิดจากกริช อีกทั้งรอยแผลที่ข้าเป็นคนสร้าง ข้าดูออกได้ในทันที!”เมื่อฉงชูโม่พูดจบ นางก็มองหนานกงจื่อชินและหัวเราะเยาะ “หนานกงจื่อชิน ในฐานะจอมบุทธ์ที่มีฝีมือเช่นพวกเรา เจ้าควรจะรู้ดีว่าบาดแผลมิอาจโกหกได้!”สีหน้าของหนานกงจื่อชินเคร่งเครียดทันที เพราะสิ่งที่ฉงชูโกล่าวนั้นถูกต้อง ด้วยความสามารถระดับพวกเขา แม้จะเป็นกระบวนท่าเดียวกัน แต่เมื่อคนที่ใช้ต่างกัน ผลลัพธ์ย่อมแตกต่างกันออกไปอย่างสิ้นเชิง แผลที่ถูกอีกฝ่ายสร้างขึ้น อีกฝ่ายย่อมสามารถจดจำได้อย่
หนานกงจื่อชินกล่าวอย่างมั่นใจ “กระหม่อมคือบุตรแห่งนักปราชญ์จากหอดารารักษ์แห่งเป่ยเยียน ท่านคงรู้ดีว่าหอดารารักษ์มีความหมายต่อเป่ยเยียนอย่างไร อีกทั้งฉินเหยี่ยนก็มิได้ตายด้วยน้ำมือข้า แม้เรื่องนี้จะถึงพระกรรณของเสด็จพ่อของท่าน ฝ่าบาทก็คงมิทำอะไรมากไปกว่าตักเตือนกระหม่อมเพียงมิกี่คำเท่านั้น”“ใช่ เจ้าคำนวณได้มิผิด ฉินเหยี่ยนมิได้ตายด้วยน้ำมือเจ้า เสด็จพ่อของข้าคงมิอาจลงโทษเจ้าได้มากนัก แต่ในเมื่อเจ้าคิดได้ถึงขนาดนี้ แล้วเหตุใดเมื่อครู่จึงมิกล้ายอมรับเล่า?”หนานกงจื่อชินยกมือขึ้นเล็กน้อย “หากหลีกเลี่ยงปัญหาได้ก็ควรทำ แม้สุดท้ายจะหลีกเลี่ยงมิได้แล้ว ปฏิเสธไปก็มิได้อะไรอยู่ดี”ฉงชูโม่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนหันไปถามฉินซู “องค์รัชทายาท จะมิจับเขาไปส่งให้ศาลต้าหลี่จัดการจริงหรือ?”เมื่อได้ยินเช่นนั้น มู่หรงจื่อเยียนก็ตกใจ รีบเข้าไปยืนบังร่างหนานกงจื่อชินทันที “พวกเจ้าจะจับท่านพี่จื่อชินไปมิได้นะ เขาเป็นบุตรแห่งนักปราชญ์ของหอดารารักษ์ มีสถานะต่ำกว่าเชื้อพระวงศ์สายตรงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หากพวกเจ้ากล้าทำอะไรเขา เป่ยเยียนของเรามิยอมอยู่เฉยแน่!”“เฮ้อ เหตุใดเจ้าต้องร้อนใจปานนั้นด้วย ข้าย
หนานกงจื่อชินคิดว่าตนเองฟังผิดไป จึงถามย้ำว่า “ท่านว่ากระไรนะ? แค่กระหม่อมประลองกับฉงชูโม่ก็จบเรื่องแล้วหรือ?”“ถูกต้อง อย่างนั้นแหละ!”“ท่าน... ท่านอย่าบอกนะว่า จะใช้ข้ออ้างการประลองเพื่อให้ฉงชูโม่จัดการกระหม่อม?”ก็มิน่าแปลกที่หนานกงจื่อชินจะสงสัยเช่นนี้ เพราะเมื่อครู่สายตาเย็นชาของฉินซูนั้นน่ากลัวเกินไปแต่ตอนนี้ฉินซูกลับบอกว่า แค่ประลองกันก็ถือว่าจบเรื่องแล้วหากเป็นใครก็คงต้องสงสัยว่าฉินซูคิดจะใช้โอกาสนี้สังหารตนฉินซูกลับหัวเราะเล็กน้อยและกล่าวว่า “หากข้าต้องการฆ่าเจ้า ข้าก็แค่ให้ชูโม่ลงมือตรง ๆ ก็ได้ จะต้องอ้อมค้อมให้ยุ่งยากหาปะไร”เมื่อหนานกงจื่อชินคิดทบทวนดูก็รู้สึกว่ามีเหตุผล จึงพยักหน้า“ตกลง เราประลองกันแค่ให้รู้ฝีมือ เป็นอย่างไร?”“ในเมื่อเป็นการประลอง ก็ย่อมต้องเอาแต่พอประมาณอยู่แล้ว”ฉงชูโม่รับคำต่อทันที “ที่นี่คับแคบเกินไป ไปที่ลานหลังโรงเตี๊ยมกันเถอะ”หนานกงจื่อชินพยักหน้ารับ จากนั้นทุกคนจึงเดินไปยังลานหลังของโรงเตี๊ยมระหว่างทาง มู่หรงจื่อเยียนแสดงความกังวลเต็มหน้า พูดเสียงเบา ๆ ว่า “ท่านพี่จื่อชิน จะไม่มีปัญหาแน่หรือ? ข้ารู้สึกมิสบายใจเลย”“มิเป็นไร อย่า
ฉากเบื้องหน้าภายใต้การโจมตีอันรุนแรงและทรงพลังของหนานกงจื่อชิน ใบหน้าของฉงชูโม่ยังคงไร้ความรู้สึกนางใช้ปลายเท้าสัมผัสพื้นเบา ๆ ร่างของนางก็พลันพุ่งขึ้นกลางอากาศทันทีพร้อมกับที่นางสะบัดกระบี่สร้างลายกระบี่หลายลายเข้าสกัดลำแสงกระบี่ที่เหมือนดาวตกของหนานกงจื่อชินเกร๊ง แกร๊ง แกร๊งหลังจากเสียงดังต่อเนื่อง หลังจากนั้นมินานกระบวนท่า “ดาวตกสู่ใต้หล้า!” ก็ถูกทำลายจนหมดสิ้น เหลือเพียงคลื่นพลังที่พุ่งกระจายออกไปในทุกทิศทางเมื่อเห็นดังนั้น มู่หรงฟู่และมู่หรงจื่อเยียนต่างก็แสดงความประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด!พวกเขามิคาดคิดเลยว่า กระบวนท่าที่หนานกงจื่อชินภาคภูมิใจ จะถูกฉงชูโม่ทำลายลงอย่างง่ายดายเช่นนี้ในเวลานั้น หนานกงจื่อชินเองก็ดูตกตะลึงอยู่เช่นกัน จากนั้นเขาก็เริ่มใช้เพลงกระบี่ดารารักษ์อย่างต่อเนื่องด้วยวิชากระบี่ที่แปรปรวนคาดเดามิได้ ทำให้เขาสามารถต่อสู้กับฉงชูโม่ได้อย่างสูสีเมื่อเห็นเช่นนั้น สีหน้าของมู่หรงฟู่และมู่หรงจื่อเยียนที่เคยเคร่งเครียดก็กลับมามีรอยยิ้มอีกครั้งมู่หรงจื่อเยียนกล่าวด้วยความภาคภูมิใจว่า “ฉินซู ท่านเห็นหรือไม่ นี่แหละคือความมหัศจรรย์ของเพลงกระบี่ดารารักษ์