แต่ผ่านไปเพียงแค่ครึ่งวันก็มีข่าวจากพระราชวังว่าการกระทำของฉินเซียวถูกเปิยเผยแล้วนั่นทำให้พวกเขาโกรธมาก!มู่หรงฟู่ทำลายความเงียบด้วยการพูดออกมาอย่างโกรธเคือง “อ๋องหนิงผู้นี้ช่างไร้ความสามารถยิ่งนัก มิเพียงโค่นฉินซูมิได้ แต่ยังทำให้ตัวเองเดือดร้อนอีกด้วย ข้าก็อุตส่าห์หลงคิดว่าเขาเป็นคนมากความสามารถ”“แม้ว่าจักรพรรดิแห่งต้าเหยียนจะมิได้จัดการกับเรื่องนี้อย่างชัดเจน แต่ต่อไปฉินเซียวก็คงจะมิกล้าทำตัวหยิ่งผยองอีกอย่างแน่นอน องค์ชาย ดูท่าว่าแผนของพวกเราจะล้มเหลวอีกแล้วเพคะ”ในคำพูดของมู่หรงจื่อเยียนแฝงไว้ซึ่งความมิพอใจตอนนั้นนางไปเอ่ยชักชวนด้วยตัวเองถึงที่จวนอ๋องหนิง โดยคิดว่าทุกอย่างจะไร้กังวลหลังจากที่ฉินเซียวตกลงแต่คาดมิถึงว่า สุดท้ายจะคว้าน้ำเหลว“แม้จะโค่นล้มฉินซูมิสำเร็จ แต่ใจเขาคงนึกเกลียดฉินเซียวเป็นแน่ จะทำการแก้แค้นเมื่อใดก็ขึ้นอยู่กับเวลา ฉะนั้นพูดกันอย่างจริงจังก็คือ แผนของพวกเรายังมิถือว่าล้มเหลว”“แม้จะพูดเช่นนั้น แต่ตอนนี้พวกเขาคงมิได้สู้กันไปอีกสักระยะ พวกเราควรคิดแผนอื่นเพิ่มหรือไม่เพคะ?”มู่หรงฟู่ลูบคางของเขาแล้วถามหนานกงจื่อชิน “จื่อชิน เจ้าคิดเห็นอย่างไร?”หน
วันรุ่งขึ้นฉินซูกำลังกินข้าวเย็นอยู่ที่ห้องโถงด้านข้างขณะนั้น ตงฟางไป๋ก็เดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว“องค์รัชทายาท หาเจอแล้วพ่ะย่ะค่ะ หนานกงจื่อชินอยู่ที่โรงเตี๊ยมเทียนเวย!”“ดีมาก ถึงเวลาที่ข้าจะได้พบกับบุตรแห่งนักปราชญ์จากหอดารารักษ์ในเป่ยเยี่ยนผู้นี้เสียที!”เขาวางชามโจ๊กในมือลงแล้วตะโกนเรียกฉงชูโม่เมื่อรู้ว่าฉินซูกำลังจะไปที่โรงเตี๊ยมเทียนเวยเพื่อตามหาหนานกงจื่อชิน ฉงชูโม่ก็ถามด้วยความสับสน “องค์รัชทายาท เหตุใดจู่ ๆ ท่านถึงทรงอยากไปพบหนานกงจื่อชิน ทรงว่างมากหรือ?”“เจ้าต่างหากที่ว่าง หนานกงจื่อชินผู้นี้ว่ากันว่ามีความสามารถทั้งบุ๋นและบู๊ วรยุทธ์แข็งแกร่ง ข้าสงสัยว่าเขาอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการลอบสังหารฉินเหยี่ยนด้วย!”“องค์รัชทายาท เหตุใดจู่ ๆ ท่านถึงทรงสงสัยเขาเพคะ?”“คิดเสียว่ามันเป็นลางสังหรณ์ก็แล้วกัน เจ้าไปกับข้าแล้วหาโอกาสทดสอบอีกฝ่ายดู”ฉงชูโม่พยักหน้าช้า ๆ และตามฉินซูออกไป……โรงเตี๊ยมเทียนเวยมู่หรงฟู่และคนอื่น ๆ กำลังนั่งทานอาหารด้วยกันขณะนั้นก็มีผู้ติดตามคนหนึ่งเดินเข้ามาอย่างรวดเร็วและพูดว่า “ท่านอ๋อง องค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียนมาที่นี่ และกำลังจะลงจากเกี้ยวที
ฉงชูโม่ประหลาดใจเล็กน้อย “เจ้ารู้จักข้าด้วยหรือ?”“หากมิเคยได้ยินแม้แต่ชื่อเสียงอันเกรียงไกรในการทำศึกของท่านแม่ทัพใหญ่ฉง นั่นจะมิทำให้ข้าน้อยดูขาดความรู้น้อยประสบการณ์หรือขอรับ”“ชื่อเสียงเกรียงไกรอะไรกัน ข้าได้ยินมาว่าวิชากระบี่ดารารักษ์แห่งหอดารารักษ์ของเจ้านั้นอัศจรรย์ไร้เทียมทาน ข้าอยากเรียนรู้วิชากระบี่นี้จากพวกเจ้ามานานแล้ว มาเริ่มกันเลย”ฉงชูโม่ชักกระบี่ออกมาโดยมิฟังคำอธิบายใด ๆเพื่อทดสอบหนานกงจื่อชิน นางตั้งใจนำกระบี่มาเป็นพิเศษเมื่อเห็นเช่นนั้น สีหน้าของหนานกงจื่อชินก็มิสู้ดีขึ้นมาทันทีมู่หรงฟู่กล่าวว่า “แม่ทัพฉง เจ้าทำให้เขาลำบากใจอยู่นะ เมื่อสองวันเขาเอวเคล็ด จึงมิสามารถต่อสู้ได้”หนานกงจื่อชินตามน้ำไปด้วย “ใช่ขอรับ ข้าน้อยมิทันระวังจนเอวเคล็ด มิว่าอย่างไรวันนี้ข้าน้อยก็มิสามารถประลองกับท่านแม่ทัพฉงได้ โปรดอภัยให้ข้าน้อยด้วยขอรับ”เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉงชูโม่ก็ยิ้มเยาะ เห็นได้ชัดว่านางมิเชื่อฉินซูถามด้วยสีหน้าท่าทางซุบซิบ “หนานกงจื่อชิน สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับบุรุษอย่างเรา ๆ ก็คือเอว เหตุใดจู่ ๆ ถึงได้เอวเคล็ดเล่า? ไปทำอีท่าไหนมา?”ดวงตาของหนานกงจื่อชินกะพริบเ
หนานกงจื่อชินรีบปฏิเสธทันที “มือกระบี่ชุดขาวอะไรกัน ข้ามิรู้ว่าเจ้ากำลังพูดถึงอะไร”ขณะที่พูด เขาก็ปัดกระบี่ของฉงชูโม่ออกและถอยหลังไปสองสามก้าว เพื่อสร้างระยะห่างระหว่างตนกับอีกฝ่ายฉงชูโม่มิได้มีท่าทีจะโจมตีต่อ นางเพียงยิ้มเยาะและกล่าวว่า “ยังมิยอมรับอีกหรือ? เช่นนั้นบอกข้าหน่อยสิว่า บาดแผลที่แขนของเจ้าเกิดขึ้นได้อย่างไร?”มู่หรงจื่อเยียนรีบอธิบาย “เรื่องนั้น เจ้าเข้าใจผิดแล้ว บาดแผลของท่านพี่จื่อชินเป็นเพราะข้าเอง เมื่อวานเขาสอนข้าฝึกกระบี่ ข้าพลั้งมือทำให้แขนเขามีบาดแผล”“ฮึ คำพูดนี้เจ้าเอาไว้หลอกเด็กสามขวบเถอะ แผลที่แขนเขาชัดเจนว่าเกิดจากกริช อีกทั้งรอยแผลที่ข้าเป็นคนสร้าง ข้าดูออกได้ในทันที!”เมื่อฉงชูโม่พูดจบ นางก็มองหนานกงจื่อชินและหัวเราะเยาะ “หนานกงจื่อชิน ในฐานะจอมบุทธ์ที่มีฝีมือเช่นพวกเรา เจ้าควรจะรู้ดีว่าบาดแผลมิอาจโกหกได้!”สีหน้าของหนานกงจื่อชินเคร่งเครียดทันที เพราะสิ่งที่ฉงชูโกล่าวนั้นถูกต้อง ด้วยความสามารถระดับพวกเขา แม้จะเป็นกระบวนท่าเดียวกัน แต่เมื่อคนที่ใช้ต่างกัน ผลลัพธ์ย่อมแตกต่างกันออกไปอย่างสิ้นเชิง แผลที่ถูกอีกฝ่ายสร้างขึ้น อีกฝ่ายย่อมสามารถจดจำได้อย่
หนานกงจื่อชินกล่าวอย่างมั่นใจ “กระหม่อมคือบุตรแห่งนักปราชญ์จากหอดารารักษ์แห่งเป่ยเยียน ท่านคงรู้ดีว่าหอดารารักษ์มีความหมายต่อเป่ยเยียนอย่างไร อีกทั้งฉินเหยี่ยนก็มิได้ตายด้วยน้ำมือข้า แม้เรื่องนี้จะถึงพระกรรณของเสด็จพ่อของท่าน ฝ่าบาทก็คงมิทำอะไรมากไปกว่าตักเตือนกระหม่อมเพียงมิกี่คำเท่านั้น”“ใช่ เจ้าคำนวณได้มิผิด ฉินเหยี่ยนมิได้ตายด้วยน้ำมือเจ้า เสด็จพ่อของข้าคงมิอาจลงโทษเจ้าได้มากนัก แต่ในเมื่อเจ้าคิดได้ถึงขนาดนี้ แล้วเหตุใดเมื่อครู่จึงมิกล้ายอมรับเล่า?”หนานกงจื่อชินยกมือขึ้นเล็กน้อย “หากหลีกเลี่ยงปัญหาได้ก็ควรทำ แม้สุดท้ายจะหลีกเลี่ยงมิได้แล้ว ปฏิเสธไปก็มิได้อะไรอยู่ดี”ฉงชูโม่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนหันไปถามฉินซู “องค์รัชทายาท จะมิจับเขาไปส่งให้ศาลต้าหลี่จัดการจริงหรือ?”เมื่อได้ยินเช่นนั้น มู่หรงจื่อเยียนก็ตกใจ รีบเข้าไปยืนบังร่างหนานกงจื่อชินทันที “พวกเจ้าจะจับท่านพี่จื่อชินไปมิได้นะ เขาเป็นบุตรแห่งนักปราชญ์ของหอดารารักษ์ มีสถานะต่ำกว่าเชื้อพระวงศ์สายตรงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หากพวกเจ้ากล้าทำอะไรเขา เป่ยเยียนของเรามิยอมอยู่เฉยแน่!”“เฮ้อ เหตุใดเจ้าต้องร้อนใจปานนั้นด้วย ข้าย
หนานกงจื่อชินคิดว่าตนเองฟังผิดไป จึงถามย้ำว่า “ท่านว่ากระไรนะ? แค่กระหม่อมประลองกับฉงชูโม่ก็จบเรื่องแล้วหรือ?”“ถูกต้อง อย่างนั้นแหละ!”“ท่าน... ท่านอย่าบอกนะว่า จะใช้ข้ออ้างการประลองเพื่อให้ฉงชูโม่จัดการกระหม่อม?”ก็มิน่าแปลกที่หนานกงจื่อชินจะสงสัยเช่นนี้ เพราะเมื่อครู่สายตาเย็นชาของฉินซูนั้นน่ากลัวเกินไปแต่ตอนนี้ฉินซูกลับบอกว่า แค่ประลองกันก็ถือว่าจบเรื่องแล้วหากเป็นใครก็คงต้องสงสัยว่าฉินซูคิดจะใช้โอกาสนี้สังหารตนฉินซูกลับหัวเราะเล็กน้อยและกล่าวว่า “หากข้าต้องการฆ่าเจ้า ข้าก็แค่ให้ชูโม่ลงมือตรง ๆ ก็ได้ จะต้องอ้อมค้อมให้ยุ่งยากหาปะไร”เมื่อหนานกงจื่อชินคิดทบทวนดูก็รู้สึกว่ามีเหตุผล จึงพยักหน้า“ตกลง เราประลองกันแค่ให้รู้ฝีมือ เป็นอย่างไร?”“ในเมื่อเป็นการประลอง ก็ย่อมต้องเอาแต่พอประมาณอยู่แล้ว”ฉงชูโม่รับคำต่อทันที “ที่นี่คับแคบเกินไป ไปที่ลานหลังโรงเตี๊ยมกันเถอะ”หนานกงจื่อชินพยักหน้ารับ จากนั้นทุกคนจึงเดินไปยังลานหลังของโรงเตี๊ยมระหว่างทาง มู่หรงจื่อเยียนแสดงความกังวลเต็มหน้า พูดเสียงเบา ๆ ว่า “ท่านพี่จื่อชิน จะไม่มีปัญหาแน่หรือ? ข้ารู้สึกมิสบายใจเลย”“มิเป็นไร อย่า
ฉากเบื้องหน้าภายใต้การโจมตีอันรุนแรงและทรงพลังของหนานกงจื่อชิน ใบหน้าของฉงชูโม่ยังคงไร้ความรู้สึกนางใช้ปลายเท้าสัมผัสพื้นเบา ๆ ร่างของนางก็พลันพุ่งขึ้นกลางอากาศทันทีพร้อมกับที่นางสะบัดกระบี่สร้างลายกระบี่หลายลายเข้าสกัดลำแสงกระบี่ที่เหมือนดาวตกของหนานกงจื่อชินเกร๊ง แกร๊ง แกร๊งหลังจากเสียงดังต่อเนื่อง หลังจากนั้นมินานกระบวนท่า “ดาวตกสู่ใต้หล้า!” ก็ถูกทำลายจนหมดสิ้น เหลือเพียงคลื่นพลังที่พุ่งกระจายออกไปในทุกทิศทางเมื่อเห็นดังนั้น มู่หรงฟู่และมู่หรงจื่อเยียนต่างก็แสดงความประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด!พวกเขามิคาดคิดเลยว่า กระบวนท่าที่หนานกงจื่อชินภาคภูมิใจ จะถูกฉงชูโม่ทำลายลงอย่างง่ายดายเช่นนี้ในเวลานั้น หนานกงจื่อชินเองก็ดูตกตะลึงอยู่เช่นกัน จากนั้นเขาก็เริ่มใช้เพลงกระบี่ดารารักษ์อย่างต่อเนื่องด้วยวิชากระบี่ที่แปรปรวนคาดเดามิได้ ทำให้เขาสามารถต่อสู้กับฉงชูโม่ได้อย่างสูสีเมื่อเห็นเช่นนั้น สีหน้าของมู่หรงฟู่และมู่หรงจื่อเยียนที่เคยเคร่งเครียดก็กลับมามีรอยยิ้มอีกครั้งมู่หรงจื่อเยียนกล่าวด้วยความภาคภูมิใจว่า “ฉินซู ท่านเห็นหรือไม่ นี่แหละคือความมหัศจรรย์ของเพลงกระบี่ดารารักษ์
ฉงชูโม่ปรายตามองเขาเล็กน้อย แต่มิได้กล่าวอะไรฉินซูหันไปยิ้มเล็กน้อยให้กับมู่หรงฟู่และคนอื่น ๆ ก่อนกล่าวว่า “การประลองครั้งนี้นับว่ายอดเยี่ยม บุตรแห่งนักปราชญ์หนานกง รักษาตัวให้ดี เราขอตัวลาไปก่อน”“เรามิส่ง!”มู่หรงฟู่ทำหน้าบึ้งตึงอย่างมิพอใจฉินซูเองก็มิได้ใส่ใจอะไรนัก เขาพาฉงชูโม่เดินออกไปอย่างสง่าผ่าเผยเมื่อออกมาจากโรงเตี้ยมเทียนเวย ฉงชูโม่เอ่ยถามว่า “องค์รัชทายาท ท่านให้หม่อมฉันประลองกับหนานกงจื่อชิน เพื่อที่จะให้หม่อมฉันได้มองหาจุดอ่อนของเพลงกระบี่ดารารักขของเขาใช่หรือไม่?”“แล้วเจ้าสังเกตเห็นจุดอ่อนอะไรบ้าง?”“เพลงกระบี่นี้แปลกประหลาดและคาดเดาได้ยาก ถือได้ว่ารัดกุมมาก หม่อมฉันสามารถชนะได้เพราะหนานกงจื่อชินยังมิชำนาญมากพอ หากเขาใช้พลังของกระบวนท่านี้ได้ถึงห้าส่วน หม่อมฉันก็คงเอาชนะมิได้”ฉินซูหัวเราะเล็กน้อยก่อนกล่าวว่า “ใต้หล้านี้จะมีกระบวนท่าใดที่รัดกุมจนไม่มีจุดอ่อน ขอเพียงศึกษาอย่างละเอียดก็น่าจะค้นพบจุดอ่อนได้ ในภายภาคหน้าหากต้องเจอกับยอดฝีมือของหอดารารักษ์ เพลงดาบนี้อาจมีประโยชน์”ฉงชูโม่แปลกใจจึงถามว่า “องค์รัชทายาท ท่านกังวลว่าเป่ยเยียนอาจจะเปิดศึกกับพวกเราหรือ?
ฉินซูขมวดคิ้วกล่าวว่า “ตอนนี้ข้าก็แค่คาดเดา ยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด จะสอบสวนเลยได้อย่างไร? ยิ่งกว่านั้นพวกเขายังเป็นศิษย์เอกของท่านทั้งสิ้น หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป เกรงว่าจะส่งผลเสียได้”เหลยเจิ้นส่ายหน้าอย่างจนใจ กล่าวว่า “ที่แท้องค์รัชทายาทก็แค่คาดเดาไปเอง แต่ข้าน้อยบอกท่านได้เต็มปากว่า นอกจากเสวี่ยเจี้ยน โฉ่วเยวี่ยและจีอันแล้ว ข้าน้อยล้วนจับศิษย์คนอื่น ๆ ขังแยกกันไว้ในห้องลับของสำนักหอดูดาวหลวงตั้งแต่ครึ่งปีก่อน พวกเขาไม่มีรอดพ้นจากสายตาข้าน้อยได้อย่างเงียบเชียบแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”“อ้อ? ถูกท่านขังไว้หมดเลยหรือ?”ต่อมความอยากรู้อยากเห็นของฉินซูถูกกระตุ้นขึ้นมาทันที เขาถามต่อว่า “ท่านหัวหน้าโหรหลวงขังพวกเขาไว้ด้วยเหตุผลใดหรือ?”กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเหลยเจิ้นกระตุกสองสามครั้ง เขายกมือขึ้นลูบหน้าผากแล้วตอบว่า “ช่างเถิด ข้าน้อยมิกลัวองค์รัชทายาทจะหัวเราะเยาะอยู่แล้ว ศิษย์เอกของข้าน้อยแต่ละคนล้วนมีสันดานทรยศ ข้าน้อยแน่ใจว่าท่านก็พอจะรู้นิสัยใจคอของโฉ่วเยวี่ยและจีอันอยู่บ้าง ดังนั้นข้าน้อยจึงทำได้เพียงปล่อยให้พวกเขาไตร่ตรองถึงความผิดพลาดของตนเท่านั้น”“เช่นนั้น ศิษย์เอกทั้งเจ็ดคนของท
ทันทีที่เขาลงบันไดมา จีอันก็ถามด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ว่า “ศิษย์พี่รอง โดนดุมาหรือไร?”“ไป ๆ ๆ หัวโขกจนปูดไปหมด เรื่องนี้ข้ายังมิได้คิดบัญชีกับเจ้าเลย!”“ดูเถอะ ขี้ใจน้อยเหมือนสตรีไปได้”“นี่ เจ้าอยู่ดี ๆ มิชอบใช่หรือไม่? ข้าจะฟาดเจ้าคอยดูเถอะ!” ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยไปหาแส้ยาวมาจากไหนก็มิทราบจีอันแคะขี้มูกแล้วกล่าวอย่างมิได้ยี่หระว่า “ข้ามิกลัวเจ้าหรอก ถึงอย่างไรท่านก็สู้ข้ามิได้”“ข้า… เจ้ามันร้ายกาจ ข้ายอมแพ้!”ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยหมดความอดทนใดทันที จีอันผู้นี้ขึ้นชื่อเรื่องหนังหนา อีกทั้งยังเก่งกาจจนน่าขนลุก สู้มิได้ เขาหลบดีกว่าพูดจบเขาก็หันหลังเดินออกไปครู่ต่อมา ฉินซูและฉงชูโม่ก็มาถึงเมื่อเห็นฉินซู จีอันก็อุทานด้วยความประหลาดใจว่า “โอ้โหแฮะ องค์รัชทายาท มิไปประกาศศักดาที่ใดหรือ ไฉนจึงมาเยือนสำนักหอดูดาวหลวงของเราได้?”ฉินซูงงงวยเล็กน้อย จึงถามกลับว่า “ตัวข้าต้องไปประกาศศักดาที่ใดเล่า? อวดอ้างกระไร?”“ท่านมิทรงทราบหรือ? ยึดครองแคว้นหนานเยวี่ยง่ายเหมือนปอกกล้วยเช่นนี้ ผลงานระดับนี้ไยมิไปประกาศให้ทั่วเล่า? หากเป็นข้าน้อย ข้าน้อยจะร้องแรกแหกกระเชอคุยโวไปสามวันสามคืนเต็ม ๆ ท่านนี่ช่าง
ชิวก่วนกล่าวด้วยสีหน้าเศร้าหมองว่า “หาได้มีโจรผู้ร้ายบุกรุกเข้ามาไม่พ่ะย่ะค่ะ หูก่วงเซิงและพวกตายไปโดยไร้สาเหตุ ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีความผิดปกติใด ๆ พ่ะย่ะค่ะ”“ว่ากระไรนะ? หูก่วงเซิงและพวกตายแล้วรึ?”ฉงชูโม่เดินเข้ามาด้วยสีหน้าประหลาดใจฉินซูกล่าวอย่างมิสบอารมณ์ว่า “มิใช่แค่พวกเขา แม้แต่กองทัพส่วนตัวห้าหมื่นนายของอ๋องฉู่ก็ถูกคนช่วยออกไปแล้ว”“ว่ากระไรนะเพคะ?”ฉงชูโม่ตกตะลึงอ้าปากค้าง!เมื่อได้สติกลับมา นางก็ขมวดคิ้วกล่าวว่า “ด้วยกำลังของอ๋องฉู่เพียงลำพัง ไม่มีทางทำเรื่องเหล่านี้ได้แน่ ดังนั้นเบื้องหลังของเขาต้องมียอดฝีมือคอยช่วยเหลือเป็นแน่เพคะ!”ฉินซูครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า “ศพของหูก่วงเซิงและพวกอยู่ที่ใด?”“ตอนนี้อยู่ที่ศาลต้าหลี่พ่ะย่ะค่ะ”“ไปดูกัน”ฉินซูกล่าวจบก็เดินจากไปอย่างรวดเร็วหวังฉือเห็นเขาออกมาก็คำนับแล้วกำลังจะกล่าวทว่าฉินซูกลับพูดแทรกขึ้นก่อนว่า “ใต้เท้าหวัง ไปกันเถิด ไปศาลต้าหลี่ของท่านด้วยกัน”เมื่อได้ยินเช่นนั้น หวังฉือก็ชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็รีบพยักหน้าหนึ่งชั่วยามต่อมาพวกเขาก็มาถึงศาลต้าหลี่เมื่อมองดูร่างไร้วิญญาณของหูก่วงเซิงและพวก ฉ
ฉงชูโม่พยักหน้าหนักแน่น “ถูกต้องแล้วเพคะ เรื่องนี้มิใช่แค่ข้าน้อยคนเดียวที่เห็นกับตา ทหารทั้งสามทัพหลายนายก็เห็นเช่นกัน”เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของฉินอู๋ต้าวก็มิสู้ดีขึ้นมาทันตาอดีตองค์รัชทายาทสำมะเลเทเมาบัดนี้กลับสร้างคุณงามความดีครั้งยิ่งใหญ่ อีกทั้งวรยุทธ์ก็ยังลึกล้ำเกินหยั่งถึง นี่มัน… เกินความคาดหมายของเขาไปมาก!ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาคิดว่าเบื้องหลังฉินซูต้องมียอดฝีมือคอยชี้แนะแต่จากที่เห็นในเวลานี้ ยอดฝีมือที่ว่านั้น แท้จริงแล้วก็คือฉินซูเองกล่าวคือ ฉินซูมิเพียงแต่มีกลยุทธ์ที่เหนือชั้น แต่วรยุทธ์ก็ยังก้าวเข้าสู่ระดับที่น่าตกตะลึงซ้ำร้ายฉินซูยังจงใจปิดบังวรยุทธ์ของตนอีกด้วย!เมื่อรวมทุกอย่างเข้าด้วยกัน ความระแวงที่ฉินอู๋ต้าวมีต่อฉินซูก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อเห็นฉินอู๋ต้าวนิ่งอึ้งไป ฉงชูโม่ก็กล่าวต่ออย่างมีนัยแฝงว่า “ฝ่าบาท ข่าวลือเรื่ององค์รัชทายาททรงทักษะยอดเยี่ยม เกรงว่าอีกมินานคงจะแพร่สะพัดไปทั่วหลงเฉิงเพคะแต่ก็ดีเหมือนกันเพคะ เหล่าคนชั่วที่คิดจะลอบสังหารองค์รัชทายาทจะได้ประมาณตนก่อนจะลงมือ เช่นนี้แล้ว ก็จะได้มิต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยขององค์รัชทายาทให้มา
สวี่จิ้นเสนาบดีกรมโยธาธิการกล่าวว่า “องค์รัชทายาท พระองค์ได้นำหนานเยวี่ยทั้งเจ็ดมณฑลสามสิบแปดเมืองมาอยู่ภายใต้ต้าเหยียนของเรา คุณูปการอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ สมควรได้รับการประทานเครื่องยศเก้าประการแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ฉินซูส่ายหน้าเล็กน้อย “ใต้เท้าสวี่ ท่านกล่าวผิดแล้ว มีคำกล่าวว่า ใต้หล้าไพศาลล้วนเป็นแผ่นดินขององค์จักรพรรดิ บนแผ่นดินนี้ล้วนเป็นข้ารองพระบาทขององค์จักรพรรดิ ข้าในฐานะองค์รัชทายาทแห่งต้าเหยียน ย่อมถือเอาความผาสุกของราษฎรเป็นภารกิจของตน ทุกสิ่งที่ทำล้วนเป็นหน้าที่”เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ฉินซูก็ประสานมือคำนับฉินอู๋ต้าวอีกครั้ง “เสด็จพ่อ ดังนั้นรางวัลอันยิ่งใหญ่อย่างเครื่องยศเก้าประการนี้ลูกมิกล้ารับไว้จริง ๆ หวังว่าเสด็จพ่อจะทรงเข้าพระทัยพ่ะย่ะค่ะ!”เมื่อได้ยินเช่นนั้น เหล่าขุนนางระดับสูงก็อุทานด้วยความประหลาดใจอีกครั้งรางวัลอันยิ่งใหญ่เช่นเครื่องยศเก้าประการนี้ องค์รัชทายาทกลับปฏิเสธจริง ๆ หรือ?ต้องเท้าความว่า หากฉินซูในฐานะเป็นองค์รัชทายาทรับรางวัลนี้ ในภายภาคหน้า สถานะความสำคัญของเขาในสายตาของขุนนางและราษฎรแห่งต้าเหยียนก็แทบจะเทียบเท่ากับฉินอู๋ต้าวผู้เป็นองค์จักรพรรดิได้เลยทีเ
ฉงชูโม่กำลังจะกล่าวต่อ แต่กลับสังเกตเห็นว่าฉินซูกำลังส่ายหน้าให้นางเล็กน้อยเมื่อเห็นดังนั้น คิ้วเรียวก็ขมวดเล็กน้อยด้วยความสงสัยจากนั้นเสียงของฉินซูก็ดังขึ้นในหูของนาง “สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว หลักฐานสำคัญหายไป”ฉินซูใช้วิชาแห่งกระแสจิต ดังนั้นจึงไม่มีใครสังเกตได้นอกจากฉงชูโม่เมื่อได้ยินถ้อยคำของฉินซู แววตาของฉงชูโม่ก็พลันไหววูบ จากนั้นจึงกล่าวกับฉินอู๋ต้าวว่า “ทูลฝ่าบาท ข้าน้อยไม่มีสิ่งใดจะกล่าวทูลแล้วเพคะ”เมื่อเห็นเช่นนั้น ฉินอู๋ต้าวก็มองฉงชูโม่ด้วยความสงสัยผาดหนึ่งแล้วหันไปมองฉินซูแทน“องค์รัชทายาท รายงานเรื่องคลังหลวงของหนานเยวี่ยหน่อยซิ”“ลูกน้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ!”ฉินซูประสานมือแล้วพูดต่อ “ทูลเสด็จพ่อ ในการตรวจค้นคลังหลวงของหนานเยวี่ยครั้งนี้ ลูกพบผ้าไหมแพรพรรณสูงค่ามากมายนับมิถ้วน เงินแท้รวมทั้งสิ้นสิบสามล้านกว่าตำลึง ทองคำสองล้านตำลึง เสบียงอาหารก็มีมากถึงเกือบแสนต้านพ่ะย่ะค่ะ”“ลูกได้จัดสรรเงินจำนวนหนึ่งล้านตำลึงจากทั้งหมดในพระนามของเสด็จพ่อ เพื่อใช้เป็นรางวัลแก่ทหารทั้งสามทัพ ส่วนพืชพรรณธัญหารก็ได้สั่งให้คนนำกลับไปเก็บไว้ที่เจียวโจวแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“ยังมีอีกเรื่
ฉินอู๋ต้าวผงกศีรษะให้ฉินอวี่เล็กน้อย แล้วกล่าวว่า “อ๋องฉู่ ในเมื่อชูโม่เข้าใจตัวเจ้าผิดไป เจ้าก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดอีกครั้งเถิด”“ลูกรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ!”ฉินอวี่ประสานมือคำนับ แล้วกล่าวช้า ๆ ว่า “ชูโม่ ตอนที่ลงใต้ไปยังเจียวโจว ยามนั้นข้าประมาทเลินเล่อ ถูกคนสนิทขโมยตราประจำตัวไป ภายหลังจึงได้ทราบว่าเจ้าคนสารเลวนั่นถูกเติ้งหม่างซื้อตัวไปนานแล้วแม้แต่หูก่วงเซิงและคนอื่น ๆ ก็ยังแปรพักตร์ไปเข้าข้างหนานเยวี่ย กว่าข้าจะรู้ตัวทัพหนานเยวี่ยก็บุกเข้าประตูเมืองเจียวโจวแล้วด้วยความจำเป็น ข้าจึงต้องถอยกลับมาก่อน จากนั้นก็เดินทางทั้งวันทั้งคืน เมื่อกลับมาถึงหลงเฉิงก็รีบทูลเรื่องนี้ให้เสด็จพ่อทรงทราบในทันที”เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉงชูโม่ก็แค่นยิ้มหยันทันที “ท่านอ๋องฉู่ ท่านทรงคิดว่าแค่โยนความผิดทั้งหมดไปให้คนสนิทขอท่านแล้วเรื่องก็จะจบลงง่าย ๆ เช่นนั้นหรือ?”ฉินอวี่โต้กลับว่า “สิ่งที่ตัวข้าพูดมาทั้งหมดเป็นความจริง จะเรียกว่าโยนความผิดได้อย่างไร?”ฉงชูโม่มิได้โต้เถียงกับเขาต่อ แต่หันไปกล่าวกับฉินอู๋ต้าวว่า “ฝ่าบาท ที่ทะเลตงไห่ ท่านอ๋องฉู่...”ยังมิทันที่นางจะพูดจบ ขันทีน้อยคนหนึ่งก็วิ่งเข้าม
“นึกมิถึงว่าเขาจะหนีรอดไปได้ เขาก็มีฝีมือเหมือนกันนี่ ดูท่าทางจะเตรียมการมาอย่างดีเชียว”“องค์รัชทายาท เมื่อกลับถึงหลงเฉิงแล้วเข้าเฝ้าฝ่าบาท จะทูลเรื่องที่อ๋องฉู่สมคบคิดก่อกบฏหรือไม่เพคะ?”“ทูลสิ ต้องทูลอยู่แล้ว ตอนนี้พวกเรามีทั้งพยานบุคคลและพยานวัตถุ ยิ่งกว่านั้นการที่เขาสมคบคิดก่อกบฏก็เป็นความจริง อย่างไรก็ต้องทูล”“แต่ยามนี้อ๋องฉู่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ด้วยนิสัยระแวดระวังของฝ่าบาท เกรงว่าพระองค์จะมิทรงเชื่อพวกเราเต็มร้อยกระมังเพคะ”ฉินซูกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “หลังจากเรื่องของอ๋องฉู่แดงขึ้นมา เขาก็หายตัวไป นี่เห็นได้ชัดว่าเป็นการหนีความผิด พวกเรากราบทูลตามความจริง บวกกับคำให้การของเหล่าคนสนิทของอ๋องฉู่และทหารห้าหมื่นนายที่ไม่มีรายชื่อในทะเบียน ก็เพียงพอที่จะตัดสินความผิดของอ๋องฉู่ได้แล้ว”“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น กองทัพส่วนตัวห้าหมื่นคนนั้น หม่อมฉันให้พวกตงฟางไป๋นำทางกลับหลงเฉิงล่วงหน้าไปแล้วเพคะ”ฉงชูโม่พูดพลางรู้สึกกระวนกระวายใจแปลก ๆจากนั้น พวกเขาก็พักค้างคืนที่เมืองหลงโย่วก่อนนอน ฉินซูสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังมหาศาลที่แผ่ออกมาจากห้องฝั่งตรงข้ามที่นั่นคือห้องของจีอันด้วยคว
เซวียหมิงมองไปยังทิศทางที่ฉินซูและพรรคพวกจากไปพลางพึมพำกับตัวเอง“คิดมิถึงเลยว่าจะได้เจอกับคนที่สามารถกลืนกินปราณเลือดอาถรรพ์ได้ จีอันหรือ? ข้าจะจำเจ้าเอาไว้!”“แล้วก็ฉินซู เจ้าคอยข้าก่อนเถอะ สักวันข้าจะทำให้เจ้าทุกข์ทรมานจนอยู่ต่อมิไหว จะตายก็มิได้!”“แค่นี้ก็น่าจะพอให้ข้าใช้แล้ว”เขาพูดพลางมองลูกแก้วสีแดงอมม่วงในมือภายในลูกแก้วนั้นคือปราณเลือดอาถรรพ์จุดประสงค์ของการเดินทางครั้งนี้ของเขาคือต้องการหามหาปุโรหิตแห่งสำนักจันทราโรหิต เพื่อขอยืมปราณเลือดอาถรรพ์มาใช้แต่เมื่อเข้าใกล้บริเวณนี้ ก็เห็นเฉินซีถูกฉงชูโม่ล่อลวงไปแล้ว ส่วนสาวกของสำนักจันทราโรหิตก็บาดเจ็บล้มตายกันเป็นเบือ เขาจึงฉวยโอกาสจัดการสาวกที่เหลือของสำนักจันทราโรหิต จากนั้นก็เข้าไปในถ้ำจนได้พบกับแท่นบูชาต่อมาก็ฉวยโอกาสที่ตู๋กูโฉ่วเยวี่ยมิทันระวังจัดการอีกฝ่ายจนสลบไป และเก็บรวบรวมปราณเลือดอาถรรพ์เหล่านี้ได้อย่างง่ายดายจากนั้นเซวียหมิงก็หันหลังเดินออกจากที่นี่ไปเช่นกันขณะที่เขาเดินผ่านป่าแห่งหนึ่ง จู่ ๆ ก็รู้สึกว่าเท้าเหยียบเข้ากับบางสิ่งบางอย่างเมื่อก้มลงมอง ก็พบว่าเป็นขลุ่ยกระดูกสีขาวบริสุทธิ์เขายกมันขึ้นมาด