เพียงเห็นปลายกระบี่ยาวเล่มหนึ่งแทงทะลุออกมาจากหน้าอก เลือดสด ๆ ค่อย ๆ หยดลงจากปลายกระบี่เมื่อครู่เขาคิดแต่จะสังหารฉินเหยี่ยนเพียงอย่างเดียว จนลืมไปว่าตงฟางไป๋ที่อยู่ข้าง ๆกว่าเขาจะรู้สึกตัว ทุกอย่างก็สายเกินไปแล้วภายใต้สายตาเย็นชาของตงฟางไป๋ เฉินอันล้มลงไปบนพื้นด้วยความมิเชื่อเต็มใบหน้าตงฟางไป๋เหลือบมองกลุ่มคนที่กำลังต่อสู้กันอยู่ กระบี่ในมือสั่นไหวเล็กน้อยแล้วกระโจนเข้าร่วมการต่อสู้ทันทีเมื่อมีเขาเข้าร่วมการต่อสู้ด้วย บรรดาลูกน้องของเฉินอันก็มิอาจต้านทานได้ไหว ถูกสังหารจนล้มลงไปในเวลามินานแต่ก่อนที่ตงฟางไป๋จะทันได้หายใจหายคอ เงาร่างสีดำก็พุ่งออกมาจากป่าหนาทึบอีกด้านหนึ่งเมื่อเห็นศัตรูพุ่งมาอย่างอาฆาตมาดร้าย ตงฟางไป๋ก็มีสีหน้าเคร่งขรึม ใช้เท้าขวากระแทกพื้นอย่างแรงแล้วกระโจนตัวออกไปเพื่อเผชิญหน้า“แค่มดแมลงอย่างเจ้า กล้ามาขวางทางข้ารึ? ตายซะ!”เสียงชราดังขึ้น เย็นเยียบราวกับน้ำแข็งที่เสียดแทงกระดูก!ทันทีที่สิ้นเสียง เงาร่างในชุดคลุมสีดำก็ผลักฝ่ามือที่แห้งเหี่ยวราวกับกิ่งไม้ออกไปอย่างรวดเร็วตงฟางไป๋สะบัดข้อมือเล็กน้อย กระบี่ในมือพุ่งตรงเข้าหาฝ่ามือของชายชุดดำเมื่อเห
นิ้วของฉินซูสะบัดเบา ๆ ปราณแห่งกระบี่แหลมคมกรีดอาภรณ์บริเวณหน้าอกของฉินเหยี่ยนให้ขาดออกในทันทีจากนั้นเขาหยิบเข็มเงินหลายเล่มขึ้นมาปิดจุดรอบ ๆ บาดแผลของฉินเหยี่ยน ก่อนจะค่อย ๆ ดึงกระบี่ยาวครึ่งฉื่อออกจากร่างของเขาฉินซูใช้เข็มเงินดันแผลของฉินเหยี่ยนออก และส่องดูภายใน จากนั้นคิ้วของเขาก็ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย“บาดเจ็บถึงอวัยวะภายใน แบบนี้ยุ่งยากแล้วสิ”เขาพึมพำเบา ๆ ก่อนจะหยิบเม็ดยาจากอกเสื้อออกมาสองเม็ดหนึ่งเม็ดถูกป้อนเข้าปากของฉินเหยี่ยน และบีบอีกเม็ดหนึ่งจนแตก แล้วดีดใส่เข้าไปในบาดแผล ตัวยาเข้าไปเกาะติดกับอวัยวะที่ได้รับความเสียหายอวัยวะภายในที่ยังคงมีเลือดไหลอยู่ เลือดก็หยุดไหลลงในทันทีฉินซูหยิบเข็มเงินอีกเล่มขึ้นมา ดึงด้ายออกจากอาภรณ์ของฉินเหยี่ยน พันด้ายรอบปลายเข็ม และเริ่มเย็บปิดแผลให้เขาทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นใกล้ ๆเขาหันไปมอง เห็นว่าฉงชูโม่กำลังเดินเข้ามาด้วยสภาพผมกระเซอะกระเซิงเล็กน้อยกริชเขี้ยวมังกรในมือของนางยังมีเลือดหยดลงมาอย่างต่อเนื่องเมื่อฉงชูโม่เห็นฉินซู นางก็ถามขึ้นด้วยความตกใจว่า “องค์รัชทายาท เหตุใดท่านถึงมาที่นี่ได้?”“หากข้ามิมา ฉินเหยี่
ฉินเหยี่ยนคิดอย่างไรก็คิดมิตก จู่ ๆ เขาก็หันไปมองตงฟางไป๋และถามว่า “ข้าจำได้ว่าเมื่อครู่เจ้าว่าพวกเขาคือคนของอ๋องหนิง ใช่หรือไม่?”“ตอนที่พวกเราออกนอกเมืองมาพร้อมแม่ทัพใหญ่ฉง คนพวกนั้นก็โผล่มาพอดี ตอนนั้นพวกเขากล่าวอ้างว่าตนเป็นทหารในสังกัดของจวนอ๋องหนิง”“ถ้าเช่นนั้น รีบตรวจดูว่าบนร่างพวกเขามีป้ายของจวนอ๋องหนิงหรือไม่!”ตงฟางไป๋โบกมือให้เหล่าทหาร พวกเขาจึงเริ่มค้นหาบนร่างของผู้เสียชีวิตเหล่านั้นแต่เพียงครู่เดียว พวกเขาก็มิพบอะไรเลยฉงชูโม่โกรธจัดและกล่าวว่า “ตงฟางไป๋ เจ้าคุ้มกันองค์รัชทายาทกลับไป ข้าจะไปถามอ๋องหนิงให้รู้เรื่อง!”เมื่อนางพูดจบก็ทำท่าจะจากไป แต่ฉินซูกลับเรียกนางเอาไว้ก่อน“ชูโม่ ช้าก่อน!”“องค์รัชทายาทมีรับสั่งอะไรอีกหรือเพคะ?”“เจ้าบุกไปถามตรง ๆ เช่นนั้น หากอ๋องหนิงยอมรับ ก็นับว่าแปลกแล้ว”ฉงชูโม่ครุ่นคิดเล็กน้อย นางเห็นด้วยจึงถามว่า “เช่นนั้นในความเห็นของท่าน เราควรทำอย่างไรต่อไป?”ฉินซูคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “เมื่อครู่คนร้ายโจมตีแล้วรีบหนีไปโดยมิลังเล เพราะมันคิดว่าฉินเหยี่ยนตายแล้ว ดังนั้นเราจะใช้แผนลวง รอจนข่าวการตายของฉินเหยี่ยนล่วงไปถึงหลงเฉิง แ
ฉินซูพยักหน้าเล็กน้อย “ก็อาจจะใช่ ข้ามิค่อยสบายใจนัก จึงแอบตามมาด้วย เจ้าลองเล่าถึงเหตุการณ์ตอนนั้นให้ข้าฟังหน่อยเถอะ ข้าจะได้ดูว่ามีจุดอ่อนใดที่พวกเขาเผยไต๋ออกมาบ้างหรือไม่”ฉงชูโม่จึงเล่าถึงการลอบโจมตีของชายชุดขาวให้ฟังอย่างละเอียดเมื่อนางพูดจบ ตงฟางไป๋ก็เสริมว่า “หลังจากที่แม่ทัพฉงไล่ตามชายชุดขาวไปแล้ว เฉินอันและพรรคพวกก็เข้าโจมตีพวกเราทันที หม่อมฉันคิดว่าพวกเขาต้องเป็นพวกเดียวกันแน่!”แต่ฉินซูปฏิเสธ “ไม่หรอก หากพวกเขาเป็นพวกเดียวกัน วิธีที่ดีที่สุดคือต้องให้เฉินอันและพรรคพวกโจมตีเราก่อน เพื่อให้พวกเจ้าติดพันอยู่กับการต่อสู้ เมื่อมัวต่อสู้จนชุลมุน แล้วชายชุดขาวค่อยออกมาจากป่ามาโจมตีทีหลัง เช่นนั้นจะมีโอกาสสำเร็จมากกว่าและสมเหตุสมผลกว่าด้วย”ตงฟางไป๋ประหลาดใจ “ถ้าเช่นนั้น พวกเขาเป็นคนละพวกกัน ไม่สิ ดูแล้วน่าจะมีถึงสามกลุ่ม!”“สามกลุ่ม? เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” ฉงชูโม่ถามด้วยความงุนงง“อ้อ เดิมทีกระหม่อมก็ยังมิรู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ แต่หลังจากที่ได้ฟังคำวิเคราะห์ขององค์รัชทายาทแล้ว คนที่ออกมาโจมตีกระหม่อมคือชายชุดดำ เขามิใช่พวกเดียวกับเฉินอัน แต่เป็นอีกกลุ่มหนึ่ง”“เจ้าว่ากระไ
“หลิวเว่ย รองหัวหน้าศาลต้าหลี่ ถวายบังคมองค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ” “ขอถวายบังคมองค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ!”ฉินซูเลิกคิ้วเล็กน้อย ถามขึ้นว่า "ใต้เท้าหลิว เหตุใดพวกท่านจึงมาที่นี่ได้?"หลิวเว่ยตอบกลับอย่างนอบน้อม "กระหม่อมได้รับรายงานว่ามีผู้วางแผนลอบสังหารเฉินหลิวอ๋องที่ศาลาสิบลี้แห่งนี้ กระหม่อมจึงนำคนเร่งรุดมาทันที มิทราบว่าองค์รัชทายาทได้พบเจอพวกโจรบ้างหรือมิพ่ะย่ะค่ะ?""พวกเจ้ามาช้าไปแล้ว ฉินเหยี่ยนถูกลอบสังหารเสียชีวิตไปแล้ว พวกโจรชั่วส่วนใหญ่หลบหนีไปได้ ที่เหลือก็ถูกสังหารทั้งหมด"เมื่อได้ยินคำนี้ สีหน้าของหลิวเว่ยเปลี่ยนไปเล็กน้อยเขาเดินไปสำรวจที่รถม้าที่เสียหายและพินิจอย่างละเอียดเมื่อเห็นศพของฉินเหยี่ยนและชายารองข้างกาย เขาจึงกล่าวด้วยสีหน้าหนักใจว่า "องค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ การลอบสังหารเฉินหลิวอ๋องเป็นเรื่องใหญ่หลวงนัก กระหม่อมต้องรีบนำความกลับไปรายงานต่อศาลต้าหลี่ เพื่อให้ตุลาการศาลต้าหลี่ทูลเรื่องที่เกิดขึ้นต่อองค์จักรพรรดิ องค์รัชทายาท กระหม่อมของทูลลา""ได้ พวกท่านไปเถอะ" ฉินซูตอบอย่างมิใส่ใจ“ขอองค์รัชทายาททรงพระเจริญ”หลิวเว่ยคำนับแล้วขึ้นม้ากลับไปทางเดิมพร้อมกับเหล่
“ไม่มีปัญหา อีกหนึ่งชั่วยามข้าจะให้คนจัดส่งไปให้เจ้า”“ฮ่าฮ่า ขอบพระทัยไว้ณที่นี้ มิเสียแรงที่กระหม่อมทุ่มเทเพื่อท่านไปมากมาย”หลังจากที่ชายชุดดำกล่าวจบ เขาก็เดินไปกดบางกลไกที่ข้างชั้นหนังสือเสียงกึกก้องดังขึ้น พร้อมกับที่ผนังค่อย ๆ แยกออกทั้งสองข้าง เผยให้เห็นทางเดินทอดยาวลงไปเบื้องยาวชายชุดดำเคลื่อนตัวหายเข้าไปในทางเดินนั้นทันทีฉินเซียวออกจากห้องตำรา แล้วเรียกลูกน้องคนสนิทมาพบ ก่อนสั่งการว่า “หาสตรีบริสุทธิ์มาสิบคน อย่าทิ้งร่องรอยไว้เด็ดขาด”“ท่านอ๋องโปรดวางพระทัย กระหม่อมจะรีบไปจัดการเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ”......ในโรงเตี๊ยมเทียนเว่ยมู่หรงจื่อเยียนและมู่หรงฟู่ กำลังรับประทานอาหารเย็นทันใดนั้น ร่างหนึ่งก็กระโดดเข้ามาทางหน้าต่างมู่หรงฟู่สะดุ้งด้วยความตกใจ พอเห็นชัดเจนจึงร้องออกมาว่า “จื่อชิน! เจ้าได้รับบาดเจ็บอย่างนั้นหรือ?!”“พี่จื่อชิน ท่านบาดเจ็บหนักหรือ เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่?”เมื่อเห็นแขนเสื้อข้างซ้ายของหนานกงจื่อชินถูกย้อมด้วยเลือดจนชุ่ม มู่หรงจื่อเยียนทั้งตกใจและกังวล รีบเดินไปพยุงให้เขานั่งลงหนานกงจื่อชินโบกมือเบา ๆ แล้วพูดว่า “มิเป็นไร แค่บาดแผลภายนอกเท่
ครู่ต่อมา เสียงของเฉาฉุนก็ดังมาจากข้างใน “ทูลฝ่าบาท ตุลาการศาลต้าหลี่ หวังฉือ ขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ!”หวังฉือจัดเครื่องแต่งกายให้เรียบร้อย แล้วก้าวเดินเข้ามาอย่างมั่นคงเขาคำนับรีบตามธรรมเนียม และเริ่มกล่าวทันทีว่า “ฝ่าบาท เกิดเหตุใหญ่แล้วพ่ะย่ะค่ะ เฉินหลิวอ๋องพร้อมทั้งพระชายารองถูกลอบปลงพระชนม์ระหว่างเดินทางผ่านศาลาสิบลี้พ่ะย่ะค่ะ...”“ว่ากระไรนะ!!”ฉินอู๋ต้าวผุดกายลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว พร้อมคำรามออกมาอย่างเกรี้ยวกราด “ใคร! ใครมันช่างบังอาจถึงเพียงนี้ กล้าลอบสังหารบุตรของข้าเชียวรึ?!”หวังฉือรีบตอบด้วยความหวาดกลัวว่า “ฝ่าบาทโปรดระงับโทสะ ยามที่คนของศาลต้าหลี่ไปถึงยังศาลาสิบลี้ เฉินหลิวอ๋องก็ถูกปลงพระชนม์ลงแล้วพ่ะย่ะค่ะ และพระศพก็ได้ถูกทหารที่ติดตามองค์รัชทายาทคุ้มครองนำกลับมา จากคำบอกเล่าขององค์รัชทายาท...”เขายังมิทันพูดจนจบประโยค ฉินอู๋ต้าวก็ขัดขึ้นทันที “เจ้าว่าอย่างไรนะ? องค์รัชทายาทก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วยหรือ?”“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ได้ยินว่า องค์รัชทายาทยังพากองทหารจากตำหนักบูรพาไปด้วย”“องค์รัชทายาทพากองทหารไปยังศาลาสิบลี้ หรือว่าเขารู้ล่วงหน้าว่าจะมีการลอบสังหารฉินเหยี่ยน? หรือว่
ภายในท้องพระโรงพระตำหนักจินหลวนฉินอู๋ต้าวนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร สีหน้าเคร่งขรึมราวกับน้ำแข็ง ดวงตาที่ลึกล้ำและเย็นชานั้นเต็มไปด้วยเส้นเลือดแดงก่ำความโกรธที่ปะทุขึ้นทำให้กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเขากระตุกเล็กน้อยฉินอู๋ต้าวนั่งนิ่งบนบัลลังก์ มิเอ่ยปากแม้สักคำ สายตาจับจ้องไปยังด้านนอกท้องพระโรงอย่างมิลดละคล้ายกับว่ากำลังรออะไรบางอย่างอยู่...บรรยากาศในท้องพระโรงเต็มไปด้วยความอึดอัด ขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ทั้งหลายไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยปากขึ้นก่อนแม้กระทั่งเว่ยเจิงแห่งสำนักขุนนางใหญ่ และเหลยเจิ้นผู้เป็นเจ้าสำนักหอดูดาวหลวงต่างก็เลือกที่จะนิ่งเงียบขณะนั้น เสียงที่ยังฟังดูอ่อนเยาว์เสียงหนึ่งก็ทำลายความเงียบในท้องพระโรงลง“เสด็จพ่อ ลูกได้ยินว่าพี่หกถูกลอบสังหาร เรื่องนี้จริงหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”ผู้ถามคือ ฉินอี้ องค์ชายลำดับที่แปดในองค์จักรพรรดิหลังจากที่เขาเอ่ยถามจบ ฉินหงก็ถามขึ้นต่อว่า “เสด็จพ่อ ทรงพระกรุณาตรัสอะไรบ้างเถิด น้องหกของพวกเราเป็นอย่างไรกันแน่?” “เสด็จพ่อ แม้น้องหกจะถูกลดฐานันดรเหลือเพียงตำแหน่งเฉินหลิวอ๋อง แต่เขายังเป็นโอรสของท่าน และเป็นน้องของพวกเราด้วย หากเขาตาย