บทที่ 7 พระราชโองการของฝ่าบาท
เรือนตระกูลหวัง
เช้าวันนี้อากาศดีเช่นทุกวันลั่วเออร์ไปหาท่านแม่ของนางที่ห้อง ท่านแม่ของนางนั้นมักเจ็บไข้ได้ป่วยอยู่บ่อยครั้งจึงไม่ค่อยได้ออกไปที่ใด โชคดีที่ท่านใต้เท้าหวังเป็นบุรุษที่รักครอบครัว ไม่มีอนุเข้ามาเพิ่มจึงไม่มีเรื่องให้ฮูหยินได้ทุกข์ใจ
“ท่านแม่วันนี้ข้าทำขนมที่ท่านแม่ชอบมาให้ด้วยเจ้าค่ะ จื่อหลินยกสำรับมาให้ข้า ข้าจะป้อนท่านแม่เอง” ฮูหยินมองบุตรสาวของตนด้วยความเอ็นดู
“ลั่วเออร์เจ้าเป็นบุตรสาวที่ข้าภูมิใจยิ่งนัก ทั้ง ๆ ที่ข้าไม่ค่อยมีเวลาอบรมสั่งสอนเจ้าแต่ทว่าเจ้ากลับเป็นเด็กดีเรียนรู้ทุกอย่าง อย่างง่ายดาย”
“เป็นเพราะท่านพ่อกับท่านแม่มอบความรักให้ข้ามากเพียงพออย่างไรเจ้าคะ ท่านพ่อกับท่านแม่เองก็เป็นคนดีข้าจึงเป็นคนดีอย่างท่านทั้งสองเจ้าค่ะ ว่าแต่ช่วงนี้ร่างกายของท่านแม่เป็นเช่นไรบ้างเจ้าคะ”
“ร่างกายของหญิงชราเช่นข้าก็เป็นเช่นเดิมเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายไม่รู้จะอยู่บนโลกนี้อีกนานเพียงใดมีสิ่งเดียวที่ข้ายังคงเป็นห่วงก็คือเจ้า ยามนี้ลั่วเออร์ของข้าก็ถึงวัยออกเรือนแล้วเจ้ามีใจกับแม่ทัพเจาหยางมานานเมื่อไหร่ทางนั้นจะมาสู่ขอเจ้ากันนะ แค่ก ๆ ” มารดาของลั่วเออร์เอ่ยด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหอบพร้อมไอออกมาเนื่องจากอาการของนาง
“ท่านแม่ดื่มน้ำหน่อยนะเจ้าคะ” ลั่วเออร์หยิบแก้วน้ำเพื่อให้ท่านแม่ได้ดื่มก่อนจะตอบเรื่องที่ท่านแม่เป็นห่วง “เรื่องนั้นข้ากับท่านแม่ทัพได้หารือกันบ้างแล้วเจ้าค่ะ ท่านแม่ทัพมาหาข้าก่อนจะนำกองกำลังทหารไปช่วยออกรบที่ทิศเหนือ เขาได้ให้คำสัญญากับข้าว่าเมื่อไหร่ที่ท่านแม่ทัพกลับมาจะทูลขอให้ฝ่าบาทประทานงานมงคลให้เจ้าค่ะ เรื่องนี้ท่านแม่มิต้องเป็นกังวล”
“เช่นนั้นหรือ? หากเป็นเช่นเจ้าเอ่ยข้าเองก็เบาใจ” หญิงชรายิ้มบาง ๆ ให้แก่ลั่วเออร์ทันใดนั้นเองเสียงของสาวรับใช้ที่แตกตื่นรีบวิ่งเข้ามาแจ้งคุณหนูเพราะว่ายามนี้มีเกี้ยวมาจากวังหลวง
“ขออภัยฮูหยินกับคุณหนูด้วยเจ้าค่ะที่ข้าเร่งรีบเข้ามา...แฮ่ก แฮ่ก!!”
“เจ้ามีเรื่องอันใดเหตุใดถึงได้มีใบหน้าแตกตื่นเช่นนี้หรือว่าเกิดเรื่องไม่ดีอะไรขึ้น” ลั่วเออร์เอ่ยถามสาวใช้ด้วยความสงสัย
“เกิดเรื่องอันใดนั้นข้าเองก็หารู้ไม่เจ้าค่ะ แต่ทว่ายามนี้มีขบวนเกี้ยวมาจากวังหลวงอยู่ที่หน้าเรือนเจ้าค่ะ”
“เกิดเรื่องอันใดกันนะท่านแม่ ท่านอยู่ที่ห้องนี่นะเจ้าคะข้าจะออกไปดูเองว่าผู้ใดมาเยือนตระกูลของเรา”
“เจ้าไปเถิดไม่ต้องเป็นห่วงข้า “ฮูหยินตอบกลับลั่วเออร์ก่อนที่นางจะลุกขึ้นเดินตามสาวใช้ไปด้านนอก
“เจ้าไปตามท่านพ่อแล้วอย่างนั้นหรือ?”
“เจ้าค่ะ ท่านใต้เท้ากำลังออกมาต้อนรับเจ้าค่ะ” เมื่อลั่วเออร์ได้ยินเช่นนั้นก็รีบย่างกรายไปที่หน้าเรือนเมื่อเดินเข้าไปใกล้ ๆ นางเห็นเกี้ยวที่จัดแต่งมาอย่างงดงามนางคิดในใจคงเป็นเกี้ยวของผู้ที่สูงศักดิ์เป็นแน่
‘เกี้ยวผู้ใดกันนะ ปกติที่เรือนของข้าไม่เคยมีเชื้อพระวงศ์มาเยือนที่เรือนสักครา’ ลั่วเออร์คิดในใจแต่เมื่อเดินเข้าไปใกล้ถึงเห็นเหล่าทหาร ขันทีนางกำนัลมากพอจะทำให้นางได้รู้แล้วว่าผู้ใดมาเยือนและได้ยินเสียงของท่านพ่อกำลังกล่าวเชื้อเชิญต้อนรับเป็นอย่างดี
“เป็นพระมหากรุณาพ่ะย่ะค่ะฮองเฮาเสด็จมาที่เรือนของกระหม่อม ต้องขออภัยด้วยหากกระหม่อมต้อนรับไม่ดีเชิญที่ห้องโถงเถิดพ่ะย่ะค่ะกระหม่อมจะรีบจัดเตรียมน้ำชามาถวาย” ลั่วเออร์มองไปด้านหน้าเห็นสตรีที่สง่าแม้ไม่ได้ฉลองพระองค์ด้วยชุดที่ใส่ในวังหลวงก็ตาม
“ใต้เท้าหวัง ที่ข้ามาในวันนี้เพราะข้ามาเพราะพระราชโองการของฝ่าบาท” ใต้เท้าหวังคิ้วขมวดเข้าหากันฮองเฮายื่นพระราชโองการให้แก่เขา เขานั่งคุกเข่าลงเพื่อน้อมรับพระราชโองการ
“กระหม่อมหวังอี้เฉินน้อมรับพระราชโองการ” เมื่อใต้เท้าหวังได้เปิดอ่านก็ต้องชะงักใบหน้าถอดสีเล็กน้อย
“เหตุใดท่านถึงมีสีหน้าเช่นนั้นหรือ? ”
“มิได้มีอะไรพ่ะย่ะค่ะ เชิญฮองเฮาเสด็จมาที่ห้องโถงแล้วค่อยหารือเรื่องนี้เถิดพ่ะย่ะค่ะ โอ๊ะ!! ลั่วเออร์มาพอดีเลย ฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะนี่คือบุตรสาวของกระหม่อมหวังลั่วเออร์พ่ะย่ะค่ะ “ลั่วเออร์นำมือมาประสานกันไว้กลางหน้าอกย่อตัวลงเพื่อถวายบังคมฮองเฮาอย่างนอบน้อม
“หม่อมฉันหวังลั่วเออร์ถวายบังคมฮองเฮา ขอให้ฮองเฮาแข็งแรงหมื่นปีหมื่นหมื่นปีเพคะ”
ฮองเฮาเพ่งมองโดยละเอียดกวาดตามองตั้งแต่หัวจรดเท้าเพื่อสำรวจร่างกายของลั่วเออร์ ผิวพรรณใบหน้ากิริยาไม่มีสิ่งใดที่ขาดตกบกพร่องสมแล้วที่บุตรชายของนางอยากได้ลั่วเออร์เป็นพระชายา
"นี่สินะหวังลั่วเออร์ ช่างมีใบหน้าที่งดงามกิริยามารยาทล้วนไม่ต่างจากสตรีชั้นสูงช่างเหมาะสมยิ่งนัก " ลั่วเออร์ไม่เข้าใจในสิ่งที่ฮองเฮาเอ่ยมาแม้แต่น้อยอะไรคือเหมาะสมนางจ้องมองไปทางบิดา ใต้เท้าหวังขยิบตาให่แก่บุตรสาวก่อนจะผายมือให้แก่ฮองเฮาได้เสด็จไปที่ห้องโถงของเรือน
"เชิญทางนี้พ่ะย่ะค่ะ " ฮองเฮาเดินตามหลังท่านใต้เท้าหวังโดยมีลั่วเออร์เดินตามไปอีกคนและนางกำนัลพร้อมกับขันทีก็พากันเดินเป็นขบวนเพื่อตามรับใช้ฮองเฮา เมื่อมาถึงห้องโถงฮองเฮาได้นั่งที่เก้าอี้ที่ถูกจัดเตรียมลั่วเออร์ได้ไปนำน้ำชาพร้อมขนมเมื่อถวาย โดยนางเป็นคนรินน้ำชาให้แก่ฮองเฮาก่อนที่จะเดินถอยหลังมายืนอยู่ข้าง ๆ ท่านพ่อของตน
"น้ำชาที่นี่รสสัมผัสดีเสียจริง "
"หากฮองเฮาโปรดปราณกระหม่อมจะนำไปถวายที่ตำหนักนะพ่ะย่ะค่ะ " ใต้เท้าหวังเอ่ยบอกฮองเฮา นางวางจอกน้ำชาลงและเอ่ยเข้าเรื่องที่มาในวันนี้
"ข้าขอเอ่ยตามตรงท่านใต้เท้าได้อ่านพระราชโองการของฝ่าบาทคงรู้จุดประสงค์ที่ข้ามาในวันนี้แล้วใช่หรือไม่? ส่วนลั่วเออร์เจ้าคงยังไม่รู้สินะ วันนี้ข้ามิได้มาใมนามของฮองเฮาแต่ข้ามาในนามของมารดาขององค์ชายสามเซียวอี้เพื่อมาสู่ขอเจ้าไปให้เป็นพระชายาเคียงคู่บุตรชายของข้า ไม่รู้ว่าเจ้าทั้งสองพบกันที่ใดบุตรชายของข้าปักใจให้เจ้า ถึงขั้นเอ่ยขอฝ่าบาทด้วยตนเองเรื่องนี้ทำให้ผู้เป็นมารดาเช่นข้าสงสัยจึงได้ออกมาดูด้วยตนเอง และเหมือนว่าบุตรชายรองของข้ามีสายตาที่แหลมคม เพียงแค่ข้ามองเจ้าเพียงครู่รับรู้ได้ถึงนิสัยมารยาทของเจ้า เป็นเพราะท่านใต้เท้าหวังสั่งสอนมาดี "
"ขอบพระทัยฮองเฮาที่เอ็นดูลั่วเออร์ของกระหม่อม แต่ทว่าเรื่องนี้กระหม่อมต้องถามเจ้าตัวก่อนพ่ะย่ะค่ะ" ทันทีที่ลั่วเออร์ได้ยินจุดประสงค์ของฮองเฮาที่เสด็จมาวันนี้หัวใจของนางสั่นระรัว นางมีใจให้แก่ท่านแม่ทัพอยู่แล้วจะแต่งกับชายอื่นได้อย่างไรอีกอย่างนี่คือพระราชโองการของฝ่าบาท หากนางขัดขืนคำสั่งคงมิต้องโทษหรอกหรือ ลั่วเอร์ครุ่นคิดอย่างกังวลไม่คิดเลยว่าเรื่องเช่นนี้จะเกิดขึ้นกับตนเองได้ นางไม่เคยพบกับองค์ชายสามเซียวอี้เลยสักครั้งเพียงแค่เคยได้ยินชาวบ้านเล่าขานกันในตลาดว่าองค์ชายเซียวอี้คือองค์ชายที่ไม่เอาไหนเสเพลไปวัน ๆ มักดื่มสุราออกท่องราตรี มิใช่นางไม่คู่ควรแต่องค์ชายเซียวอี้ต่างหากที่ไม่คู่ควรหากสตรีใดได้เป็นพระชายาคงหน้าชื่นอกตรมเป็นแน่
"ทูลฮองเฮาหม่อมฉันหวังลั่วเออร์มิได้มีใจให้แก่องค์ชายเซียวอี้แม้แต่พระพักษต์หม่อมฉันเองก็ยังไม่เคยเห็น และสิ่งหนึ่งที่สำคัญคือหม่อมฉันนั่นมีใจให้บุรุษอื่นแล้วเพคะมิอาจจะรับพระราชโองการได้" น้ำเสียงหนักแน่นไม่หวั่นกลัวเพราะหัวใจที่มั่นคงต่อแม่ทัพเจาหยางจึงเอ่ยพรางสบตาฮองเฮาอย่างทนงตน
บทที่ 8 ถูกชะตาฮองเฮาไม่ได้ถือโกรธนางแต่กลับหัวเราะออกมาอย่างขบขัน"เจ้าช่างอาจหาญต่างจากใบหน้าของเจ้ายิ่งนัก เป็นเช่นนี้ข้ายิ่งชอบเจ้ามากกว่าเดิม ช่างเป็นสตรีที่ดีเสียจริงข้านับถือน้ำใจเจ้าที่มีใจซื่อตรง แม้ข้าจะรู้ว่าการที่พรากเจ้ามาจากคนที่เจ้ารักมันผิด แต่เจ้ารู้หรือไม่โทษของการฝ่าฝืนพระราชโองการเป็นเช่นไร ตระกูลของจะถูกลงโทษแถมยังจะถูกเนรเทศออกไปอยู่ที่แคว้นอื่นอำนาจบารมีที่ท่านพ่อเจ้ามีก็สูญหาย ข้าได้ยินมาว่าฮูหยินท่านแม่ของเจ้าไม่สบายอยู่มิใช่หรือ?" ลั่วเออร์กำมือแน่นแม้คำพูดของฮองเฮาจะบอกว่าไม่อยากพรากนางจากคนที่นางรักแต่เอ่ยออกมาเช่นนี้ราวกับบีบคั้นให้นางทำตามพระราชโองการโดยการใช้อำนาจข่มขู่ ลั่วเออร์หันไปมองใบหน้าของบิดาที่ยามนี้ซีดเซียวหากนางไม่รับราชโองการและทำตาม ท่านพ่อกับท่านแม่ของนางต้องได้รับความเดือดร้อนในคราวนี้ ลั่วเออร์หมดหนทางที่จะหลีกเลี่ยงเหตุใดต้องเกิดเรื่องเช่นนี้กับนางด้วย"ฮองเฮาเพคะที่ทรงเอ่ยมาเพราะจะข่มขู่ให้หม่อมฉันรับพระราชโองการหรือเพคะ ฮองเฮาเป็นมารดาของแผ่นดินและเป็นมารดาขององค์ชายทำเช่นนี้ไม่ทำร้ายจิตใจของหม่อมฉันเกินไปหรอกหรือเพคะ " ลั่วเออร์เอ่ยว
บทที่ 9 ใจที่แตกสลายสองวันถัดมา"คุณหนูวันนี้ท่านงดงามเหลือเกิน หากว่างานมงคลวันนี้เป็นงานมงคลของคุณหนูกับท่านแม่ทัพคงจะดีกว่านี้ " จื่อหลินจ้องมองลั่วเออร์ผ่านกระจกหลังจากที่ปักเครื่องประดับบนศีรษะเสร็จสิ้น"ข้าเองก็คิดเช่นเจ้า หากวันนี้ผู้ที่จับมือข้าเดินเข้างานพิธีเป็นท่านแม่ทัพคงจะดี ไม่รู้ว่ายามนี้ท่านแม่ทัพจะเป็นเช่นไรบ้างหากกลับมาพบว่าข้าเข้าพิธีมงคลกับผู้อื่นหัวใจของเขาจะแตกสลายมากเพียงใดนะ เป็นข้าเองที่รักษาสัญญาไม่ได้จื่อหลินข้าฝากจดหมายพร้อมกับผ้าผืนนี้ให้แก่ท่านแม่ทัพด้วยในวันที่เขากลับมา " จื่อหลินมิอาจห้ามน้ำตาของตนได้เพราะเห็นว่ายามนี้คุณหนูของนางพยายามซ้อนความเจ็บปวดเอาไว้ หัวใจของลั่วเออร์เองก็แตกสลายไปหมดสองวันที่ผ่านมานางเอาแต่เก็บตัวเงียบในห้องและออกไปพบฮูหยินที่ห้องพักของนางเมื่อนางเห็นมารดาน้ำตาแห่งความเจ็บช้ำได้ไหลรินออกมาราวกับสายฝน มารดาของนางสงสารนางมากเช่นกัน แต่ทว่าตนเองกลับทำอันใดให้บุตรสาวไม่ได้แม้แต่น้อย จึงเอ่ยบอกให้นางใช้ชีวิตในวังหลวงอย่างระมัดระวังเพราะวังหลังนั้นมีแต่ภัยอันตรายล้อมตัว"อึก อึก ....ฮื้อ ๆ คุณหนูข้าสงสารท่านเหลือเกินเราหนีกันดีมั้ยเจ
บทที่ 10 ไม่มีทางได้ใจองค์ชายสามเซียวอี้เดินมาที่ลานพิธีพร้อมตั้งขบวนรอพระชายาที่กำลังเดินทางมาในยามนี้มีฝ่าบาทที่นั่งอยู่เคียงข้างฮองเฮาใบหน้าชื่นบานอย่างมีความสุข บุตรชายที่เสเพลวัน ๆ เอาแต่เที่ยวเล่นในวันนี้เขากลับเปลี่ยนแปลงตนเองและเลือกพระชายาด้วยตนเอง ฝ่าบาทเบาพระทัยคิดว่าตอนนี้องค์ชายสามเซียวอี้คิดได้แล้ว ถัดจากเก้าอี้ของฮองเฮามีองค์ชายใหญ่มาร่วมยินดีกับองค์ชายสามด้วยอีกคนแต่ทว่าเหล่าเสนาบดีกลับมีใบหน้าบูดบึ้ง เพราะไม่คิดเลยว่าองค์ชายเซียวอี้จะเป็นผู้เป็นคนแถมยังจัดงานมงคลขึ้นอีก ใต้เท้าเซ่อเจิ้งหวางยืนจ้องมองไปยังองค์ชายเซียวอี้ด้วยใบหน้าที่เคียดแค้น เพราะเขารู้ดีว่าสตรีที่จะเข้าพิธีมงคลในวันนี้คือสตรีที่เป็นคนรักของบุตรชายตนเอง ยิ่งทำให้เขาโกรธแค้นก่อนที่บุตรชายจะออกไปสนามรบได้บอกกล่าวเขาเรื่องการสู่ขอลั่วเออร์บุตรสาวตระกูลหวัง แต่ไม่คิดเลยว่าหลังจากที่บุตรชายของเขาออกไปสนามรบไม่ถึงห้าวันจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ใต้เท้าเซ่อเจิ้งหวางมิได้คิดโกรธแค้นใต้เท้าตระกูลหวังเพราะรู้ดีว่าเรื่องนี้เป็นพระราชโองการของฝ่าบาท ที่พระราชทานงานมงคลนี้ขึ้นมาและเขารู้มาว่าองค์ชายเซียวอี้เป็นคนท
บทที่ 11 หม่อมฉันเกลียดองค์ชายมือเรียวประท้วงด้วยการทุบตีอกแกร่งจนเขาต้องใช้มือขวาจับมือของนางเอาไว้พร้อมผลักให้นางนอนราบลงบนเตียงนอนก่อนจะถอดริมฝีปากออกมาจ้องมองร่างบางที่กำลังโกรธเขาอยู่พรางหายใจเหนื่อยหอบ“ประท้วงข้าไปก็เท่านั้นอย่างไรเจ้าก็เป็นของข้า”“หม่อมฉันเกลียด เกลียดทุกอย่างที่เกี่ยวกับองค์ชายการกระทำของท่านไม่ต่างกับทาสชั้นต่ำ” ลั่วเออร์จ้องมองเขม็งแม้จะหวาดกลัวสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นแต่ตอนนี้นางเองทั้งโกรธทั้งเกลียดชายที่อยู่ตรงหน้าเหลือเกิน“ฮึ ฮึ ทาสชั้นต่ำเช่นนั้น? หรือได้ข้าจะแสดงให้เจ้าได้ดูเอง” เซียวอี้ขึ้นบนเตียงคร่อมร่างของลั่วเออร์ใช้มือทั้งสองข้างจับแขนของนางให้แนบลงกับที่นอนเพื่อไม่ให้นางใช้มือมาปัดป้องพร้อมก้มลงใช้จมูกฝังลงซอกคอเนียนขาวซุกไซร้คออย่างหื่นกระหาย ร่างบางบิดเร่าดิ้นหนีแต่มีหรือที่นางจะหนีได้เพราะยามนี้ไม่ว่าส่วนใดของร่างกายถูกเขาตราตรึงไว้จนหมดสิ้น“ปล่อยนะ! หม่อมฉันบอกให้ปล่อยอย่างไรเพคะ” นางสั่นกลัวเปล่งเสียงสะอึกสะอื้นให้เซียวอี้หยุดการกระทำแต่ทว่าเซียวอี้นั้นกลับถวิลหาร่างกายของลั่วเออร์จนหยุดตนเองไม่ได้ เขาเงยหน้าขึ้นมาจ้องมองใบหน้าของนางก่อน
บทที่ 12 จำเอาไว้เจ้าคือพระชายาของข้าไฟราคะปะทุขึ้นอย่างรวดเร็วร่างกายทั้งสองร้อนผ่าวทั้งคู่ เซียวอี้ถอดริมฝีปากอย่างอ้อยอิ่งจ้องมองกลีบกุหลาบที่เปียกชุ่มอยู่ต่อหน้า จับมังกรที่ตั้งผงาดของตนถูที่กลีบกุหลาบไปมาให้คุ้นเคย"สงบได้แล้วสินะ ดูสิในยามนี้ร่างกายของเจ้าที่รังเกียจข้าต้องการข้ามากเพียงใด กระตุกเร่าแอ่นกายให้ข้าเข้าไปหา เจ้าคงมิได้คิดว่าข้าเป็นแม่ทัพเจาหยางอยู่หรอกนะ " เซียวอี้คิดเช่นนั้นมังกรของเขายิ่งแข็งและตั้งผงาดมากกว่าเดิม เขาจะสอดใส่แท่งร้อนของตนเพื่อทำให้นางลืมเจาหยางและคิดถึงเขาเพียงผู้เดียว เขาดึงมือของนางออกจากใบหน้าเพื่อจะได้มองเห็นใบหน้าของนางชัด ๆ และให้นางจ้องมองเขาว่าคนที่นางกำลังร่วมรักอยู่นั่นคือเซียวอี้มิใช่เจาหยาง"ทะ..ท่านช่างหยาบโลนเช่นไรหม่อมฉันก็ไม่มีวันหายเกลียดท่านและไม่มีวันที่จะลืมคนที่หม่อมฉันรักคือแม่ทัพเจาหยาง " น้ำเสียงเปล่งออกมาอย่างกระเส่าแหบพร่า เพราะช่องรักของนางกำลังถูกเขาคืบคลานเข้าไปด้านใน"เช่นนี้หรือ? ทั้ง ๆ ที่เจ้านอนกับข้าและยามนี้ร่างกายของเจ้ากำลังกลืนกินแท่งร้อนของข้าอยู่แต่ในใจเจ้ายังหวนคิดถึงชายรักของเจ้า เจ้าช่างเป็นสตรีที่น่ารั
บทที่ 13 หม่อมฉันปฏิเสธได้หรือ?หลังจากนางแต่งกายเสร็จสิ้นได้มาเข้าเฝ้าฝ่าบาทพร้อมองค์ชายเซียวอี้ ระหว่างทางเดินมายังท้องพระโรงลั่วเออร์เดินตามหลังคอยเหลียวมองแผ่นหลังของเขาอย่างเครียดแค้น แม้ว่าใบหน้ารูปร่างขององค์ชายจะหล่อเหลาราวเทพเทวดาแต่ทว่าการกระทำของเขาช่างราวกับสัตว์ร้าย ยิ่งทำให้ลั่วเออร์รังเกียจเขามากกว่าเดิม แม้แต่ร่างกายของนาง นางไม่อยากให้เขามาแตะกายนางด้วยซ้ำ ไม่นานนักก็ได้เดินมาถึงท้องพระโรงที่กว้างใหญ่ท้องพระโรง“องค์ชายสามเสด็จพ่ะย่ะค่ะ” เสียงของขันทีดังขึ้นเพื่อแจ้งให้ฝ่าบาทที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ได้รับรู้ ลั่วเออร์รู้สึกประหม่าเล็กน้อย เมื่อวานในพิธีนางไม่ได้เอ่ยวาจาใดกับฝ่าบาทเลยเมื่อมายืนต่อหน้าความหวาดกลัวเริ่มปะทุในหัวใจ“ถวายบังคมฝ่าบาท ถวายบังคมฮองเฮา” เซียวอี้เอ่ยถวายบังคมท่านพ่อกับท่านแม่ของตน ลั่วเออร์มองไปยังบัลลังก์ชายชราที่นั่งใบหน้าเข้มขรึมน่าเกรงขามยิ้มกว้างเมื่อเห็นนาง แววตาเต็มไปด้วยความดีใจได้เอ่ยให้องค์ชายพานางนั่งลงที่ประจำตำแหน่ง“เจ้าพาพระชายาของเจ้ามาเข้าเฝ้าข้ากับฮองเฮาอย่างนั้นหรือ? พานางไปนั่งที่ของเจ้าเถิดข้าเองก็มีเรื่องที่จะแจ้งเจ้าเช่นกัน
บทที่ 14 ร้อนใจรีบคิดแผนการ“นี่คือของกำนัลที่ฮองเฮาเตรียมไว้ให้เพคะ” นางกำนัลได้นำของมามอบให้แก่ลั่วเออร์นางรีบรับมาถือไว้ในใจครุ่นคิดสงสัยว่าสิ่งที่ฮองเฮาให้มานั่นคืออะไรกัน“เจ้าเปิดดูสิถูกใจเจ้าหรือไม่?”“เพคะฮองเฮา” ลั่วเออร์เปิดดูด้านในเป็นปิ่นปักผมที่ทำมาจากทองคำงดงามระยิบระยับ“ทูลฮองเฮาหม่อมฉันมิอาจรับของสิ่งนี้ไว้ได้เพคะ”“สิ่งที่ข้ามอบให้แก่เจ้ายังน้อยไป หากเมื่อไหร่ที่เจ้าตั้งครรภ์ข้าจะมอบของกำนัลที่มากกว่านี้ให้แก่เจ้า ยามนี้ข้ารู้สึกเหน็ดเหนื่อยเจ้ากลับตำหนักหนานฉีเถิด มามาหลี่อย่าลืมเรื่องที่ข้ากำชับเจ้าด้วยล่ะ” ฮองเฮาเอ่ยพร้อมใช้มือปัด ๆ ให้ลั่วเออร์กลับตำหนักพร้อมกำชับสิ่งที่นางต้องการให้มามาหลี่จัดการสอนทุกอย่างให้แก่ลั่วเออร์“ขอบพระทัยฮองเฮาเพคะ หม่อมฉันขอตัวนะเพคะ” ลั่วเออร์ลุกขึ้นคำนับฮองเฮาก่อนจะเดินกลับตำหนักพร้อมมามาหลี่และนางกำนัลที่ดูแลนางตั้งแต่เข้ามาอยู่ที่วังหลังแห่งนี้ฝั่งด้านใต้เท้าเซ่อที่รอทุกคนอยู่ที่หอคณิกาเขาได้ดื่มสุราเพื่อบรรเทาความโมโหยิ่งคิดเห็นภาพรอยยิ้มขององค์ชายเซียวอี้ยิ่งทำให้จิตใจของเขาร้อนรุ่ม ที่เขาไม่ต้องการให้องค์ชายเซียวอี้รับตำแหน่ง
บทที่ 15 แม่ทัพนำพาชัยชนะกลับมาลั่วเออร์ลุกขึ้นจากอ่างน้ำนางกำนัลที่เตรียมผ้าได้มาสวมใส่เพื่อพาตัวของนางไปแต่งกายอีกห้องส่งนางเข้าห้องบรรทม แม้จะมีนางกำนัลมากมายแต่ทว่าลั่วเออร์กลับรู้สึกว่าไม่มีผู้ใดที่นางไว้ใจได้สักคน นางคิดถึงจื่อหลินยิ่งนักหลังจากแต่งกายเสร็จนางกำนัลส่งลั่วเออร์มาที่ห้องบรรทมลั่วเออร์มองซ้ายมองขวาที่นี่กว้างใหญ่จนนางรู้สึกอ้างว้าง เสียงฝีเท้าย่างกรายเข้ามาใกล้หัวใจของนางสั่นกลัว คงเป็นเขาองค์ชายใจร้ายใจดำที่ย่ำยีนางเขาเดินเข้ามาจ้องมองมาที่นางพร้อมแสยะยิ้มจนลั่วเออร์ขนลุกซู่ เหตุใดชะตากรรมของนางต้องมาพบเจอกับคนที่โหดเหี้ยมเช่นนี้ด้วย“พระชายาของข้าช่างรู้ใจเสียจริง แต่งกายเพื่อรอให้ข้าเข้ามาหาสินะดูสิเนื้อผ้าบางหวิวนั้นทำให้ข้ามองเห็นร่างกายของเจ้า ข้าชักอดใจไม่ไหวอีกแล้วสิวันนี้ทั้งวันข้าเอาแต่คิดถึงใบหน้าของเจ้าน้ำเสียงของเจ้าเหลือเกิน” ยิ่งนางได้ยินยิ่งรู้สึกขยะแขยงเขายิ่งนัก“หม่อมฉันเองก็คิดถึงใบหน้าขององค์ชายเช่นกันเพคะแต่ความรู้สึกของหม่อมฉันมันแตกต่างจากท่าน เมื่อไหร่ที่ใบหน้าขององค์ชายปรากฎขึ้นในสมองของหม่อมฉัน หม่อมฉันยิ่งเกลียดท่าน หากหม่อมฉันสามารถปล
บทที่ 44 ข้ารักท่านใต้เท้าเซ่อรู้สึกอับอายที่บุตรชายได้รับความพ่ายแพ้ต่อองค์รัชทายาท ตระกูลเซ่อทุกคนต่างได้รับโทษและใต้เท้าที่รวมตัวกันวางแผนก็ถูกลงโทษด้วยเช่นกัน โทษของเจาหยางคือการถูกโบยตีก่อนจะนำไปแคว้นคอประจานให้แก่ราษฎรได้เห็นถึงการก่อกบฏและประสงค์ร้ายต่อราชวงศ์จะถูกลงโทษเช่นไร แม้จะมีคุณงามความดีต่อแผ่นดินแต่ถ้าหากคิดร้ายก็ไม่ละเว้นก่อนจะนำร่างไปโยนให้แร้งกิน สนมตระกูลเซ่อถูกปลดให้เป็นเพียงสาวใช้และองค์ชายห้าถูกตัดขาดกับราชวงศ์มิอาจจะเข้ามาในวังหลวงได้อีกต่อไปใต้เท้าเซ่อถูกรุมประชาทัณฑ์ชาวบ้านหรือผู้ที่เคยถูกเขาข่มเหงรังแกขว้างหินขว้างดินใส่จนเขาถึงแก่ความตายภายในวังหลวงกลับมาสุขสงบอีกครั้ง แม้ลั่วเออร์จะเห็นชอบการลงโทษแต่ทว่าในใจของนางลึก ๆ ยังคงคิดถึงใบหน้ารอยยิ้มของเจาหยางแต่มิใช่เพราะนางคิดถึงเพราะความรักแต่ทว่านางกลับเสียดาย หากเขาเลือกเดินทางถูกต้องและคอยช่วยเหลือองค์รัชทายาทอาจจะเป็นท่านแม่ทัพใหญ่ที่ทุกคนนับหน้าถือตา"พระชายาเพคะ วันนี้หม่อมฉันจะออกไปอยู่ที่ตำหนักของนางในแล้วจะได้พบพระชายาอีกไม่เพคะ" หนิงเอ๋อเดินเข้ามาหาลั่วเออร์ที่ศาลารับลม นางได้เข้ามาเป็นนางในฝึกหัด
บทที่ 43 ลงโทษอย่างสาสม"ใครบอกเป็นเพราะเจ้าที่เป็นองค์ชายไม่เอาไหนต่างหาก ข้าจงรักภักดีต่อแผ่นดิน หวังว่าวันหนึ่งจะเป็นแม่ทัพที่ดีและเป็นกองกำลังให้ฮ่องเต้เช่นเจ้าในภายภาคหน้าแต่เจ้าทำลายทุกอย่าง เจ้าทำร้ายหัวใจของข้า ทำให้ข้าต้องแย่งชิงคืนมาเช่นนี้อย่างไรเล่า " เจาหยางตั้งท่าได้สู้กับเซียวอี้อีกครั้ง จนทั้งสองทะลุกำแพงห้องพังทลายล้มลง เสียงดังจึงถึงห้องของลั่วเออร์ตึง!"นั่นเสียงอะไรกัน ทำไมถึงดังอยู่ใกล้ ๆ เช่นนี้หรือว่าแม่ทัพเจาหยางบุกมาที่ตำหนักนี้แล้ว " ลั่วเออร์ไม่รีรอนางร้อนใจจึงเปิดประตูออกไปด้านนอกเพื่อดู แต่ก็ต้องถูกองครักษ์เข้ามาห้ามไม่ให้ออกไปเสียก่อน"พระชายาจะออกไปที่ใดพ่ะย่ะค่ะ ""ข้าได้ยินเสียงดังที่ตำหนักนี้ข้าเป็นห่วงองค์รัชทายาทกลัวว่าเขาจะรับมือแม่ทัพเจาหยางไม่ได้ ""พระชายาอย่าร้อนใจไปพ่ะย่ะค่ะ ยามนี้องครักษ์ไป๋เหลียนก็อยู่กับองค์รัชทายาท พระชายาเข้าไปอยู่ในห้องดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ " ลั่วเออร์มองลอดใต้แขนขององครักษ์ที่ยืนบังนางเห็นแม่ทัพเจาหยางกำลังจะใช้ดาบจัดการกับเซียวอี้ที่ล้มลงกับแผ่นไม้ฝาผนังที่เสียงดังเมื่อครู่ นางคือต้นเหตุทุกอย่างที่ทำให้เรื่องนี้เกิดขึ้นและเ
บทที่ 42 ก่อกบฏรุ่งเช้าวันต่อมาไป๋เหลียนที่เฝ้าดูการเคลื่อนไหวของแม่ทัพเจาหยางได้เข้ามารายงานต่อเซียวอี้ที่กำลังนั่งหน้าเคร่งเครียดเพื่อรับมือจากแม่ทัพ"ทูลองค์รัชทายาท ยามนี้กองทัพของแม่ทัพเจาหยางจะเคลื่อนขบวนในยามวิกาลพ่ะย่ะค่ะ ข้าได้ยินมาว่าเขาบอกกล่าวกองกำลังเพื่ออ้อมล้อมวังหลวงในคืนนี้ในเวลายามที่ทุกคนต่างหลับใหล จำนวนทหารของแม่ทัพมีประมาณสี่ร้อยนายจะรับมือเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ""ทหารของเจาหยางมีสี่ร้อยนายหรือ? เช่นนั้นกองกำลังของเราก็มีไม่น้อยไปกว่าเขาเพราะความช่วยเหลือของท่านแม่ ข้าจะวางแผนตลบหลัง ขันทีลี่เว่ยไปแจ้งกองกำลังมาหาข้าที่นี่""พ่ะย่ะค่ะองค์ชาย ""ส่วนเจ้าค่ำคืนนี้ทำตามแผนของข้า ส่วนพระชายาข้าจะให้องครักษ์เงาอีกกลุ่มไปเฝ้านางเอง มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่จะสามารถรับมือแม่ทัพเจาหยางได้ จงทำตามนี้" เซียวอี้บอกแผนการให้ไป๋เหลียนได้รับรู้ จากนั้นเมื่อกองกำลังมาถึงเขาได้บอกแผนการในการรับมือครั้งนี้ให้แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องและทุกคนต่างพากันหลบซ่อนจนกว่ากองกำลังของแม่ทัพเจาหยางจะล้อมวังหลวงจากนั้นค่อยให้ทหารออกมาล้อมกองทัพของแม่ทัพเจาหยาง เซียวอี้ครุ่นคิดมาทั้งคืนเขาจะไม่ให้เกิดการ
บทที่ 41 วางแผนรับมือฝั่งด้านแม่ทัพเซ่อเจาหยางเขากลับมาจากตำหนักหนานฉี มาปรึกษาหารือท่านพ่อคิดจะก่อกบฏท่านใต้เท้าเซ่อไม่ห้ามแถมยังให้ความสนับสนุนเซ่อเจาหยางอีกด้วย เขาจึงตระเวนออกไปหาใต้เท้าที่อยู่ภายใต้ความควบคุมท่านพ่อเพื่อขอความร่วมมือในการชิงบัลลังก์ในครั้งนี้ ข้ากลับจากเรือนใต้เท้าท่านหนึ่งเห็นองค์รัชทายาทกำลังพาลั่วเออร์ออกจากวังหลวงเพียงลำพังจึงได้แอบตามไป ได้เห็นหมู่บ้านในหุบเขาที่เซียวอี้แอบซ่อนไว้ รอยยิ้มของลั่วเออร์ที่เคยเป็นของเขายามนี้ถูกเซียวอี้ครอบครองจนหมดสิ้นไม่ว่าจะเป็นใจหรือกายของนาง ดวงตาร้อนระอุในอกเต็มไปด้วยความเคลียดแค้น ยิ่งเห็นชาวบ้านที่นี่รักและเทิดทูลเขายิ่งไม่พึงพอใจ เมื่อเห็นว่าเซียวอี้พาลั่วเออร์กลับวังหลวงความคิดชั่วร้ายของเจาหยางที่ก่อเกิดจึงสั่งการให้ทหารของตนไปจัดการสอบถามชาวบ้านแต่เมื่อชาวบ้านตอบคำถามไม่ตรงความคิดของเขาจึงสั่งให้ทหารจัดการฆ่าทิ้งให้หมดทุกคนไม่ละเว้น เขาอยากเห็นความเจ็บปวดของเซียวอี้ที่พรากคนรักของเขาไป หากเขารู้ว่าหมู่บ้านและชาวบ้านที่เขาให้การช่วยเหลือตายกันหมดคงจะเจ็บปวดเจียนตายเมื่อตรวจสอบแล้วไม่เหลือผู้เหลือรอดเขาจึงจุดไฟเผาให้
บทที่ 40 เป็นฝีมือเขาในห้องของลั่วเออร์มีจื่อหลินที่แต่งกายให้อยู่นางเกิดความสงสัยจึงเอ่ยถามผู้เป็นนาย"พระชายาเพคะ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันเพคะพระชายาถึงได้พากันกลับวังหลวงจนท้องฟ้ามืดมิดเช่นนี้แล้วเด็กนั้นคือใครกันเพคะ" ลั่วเออร์หันไปมองหน้าของนางกำนัลเสมือนพวกนางรู้พากันเดินออกจากห้องเหลือเพียงจื่อหลิน"เด็กนั่นเป็นเด็กที่องค์รัชทายาทช่วยเหลือเอาไว้ ข้างนอกวังเกิดเรื่องขึ้นทำให้ข้ากับองค์รัชทายาทกลับมาล่วงเวลาเช่นนี้ วันนี้ข้าเหน็ดเหนื่อยเหลือเกินจนไม่มีเรี่ยวแรงจะเอ่ยแล้วเจ้าไปพักเถิดนะ รุ่งสางข้าจะเล่าให้เจ้าฟังเอง ""เพคะพระชายา " จื่อหลินวางแปรงผมลงที่โต๊ะเครื่องแป้ง เดินออกไปด้านนอกไม่นานเซียวอี้ได้เสด็จมาหาลั่วเออร์เพื่อมฟังคำพูดของนางเหตุใดนางถึงรู้ว่าเป็นแม่ทัพเจาหยางและเขามาพบนางเพราะการใด"มาแล้วหรือเพคะ ""ข้ารู้ว่าเจ้าตกใจและเสียใจเพียงใดแต่เรื่องที่ข้าต้องการจะรู้จากปากเจ้าในวันนี้ข้าต้องรู้ให้ได้ "ลั่วเออร์ลุกขึ้นมานั่งที่เก้าอี้พรางสูดลมหายใจให้ทั่วท้องและเล่าเรื่่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้แก่เซียวอี้ฟัง"อะไรกันเจาหยางคิดทำลายข้าจนถึงขั้นจะให้เจ้าปลงพระชนม์ข้าอย่างนั้นห
บทที่ 39 ช่างโหดร้ายลั่วเออร์ปาดน้ำตาลุกขึ้นยืนเดินไปเดินมาด้วยหัวใจที่ร้อนรุ่มกำมือแน่นภาวนาให้ยังพอมีคนเหลือรอด นางได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้รีบหันไปมองเห็นเซียวอี้อุ้มหนิงเอ๋อกลับมา ลั่วเออร์ดีใจราวกับคำอ้อนวอนของนางเป็นจริง นางวิ่งเข้าหาหาทั้งสองทันที“สวรรค์หนิงเอ๋อเจ้าปลอดภัย เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นห่วงเจ้าเพียงใด” เซียวอี้วางหนิงเอ๋อหลงจากอ้อมแขน นางวิ่งเข้าไปโอบกอดลั่วเออร์แน่น“พี่ลั่วเออร์ข้ากลัว กลัวเหลือเกินเจ้าค่ะพวกเขาช่างโหดร้ายเพื่อน ๆ ของข้าท่านแม่ของข้าต่างพากันอ้อนวอนพวกเขาไม่มีความเมตตาสักนิด ท่านแม่ก้มลงเพื่อวอนขอชีวิตแต่เขากลับใช้ดาบบั่นคอท่านแม่ชั่วพริบตา อึก อึก ข้ากลัวเจ้าค่ะ เพื่อน ๆ ของข้าหนีไม่ทันถูกคนใจร้ายจัดการจนไม่เหลือ พี่ลั่วเออร์ท่านอย่าทิ้งข้าไปอีกคนนะเจ้าคะ ข้าไม่เหลือใครแล้ว” เมื่อทุกคนได้ยินคำพูดของหลินเอ๋อต่างพากันสงสาร ร่างเล็กสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว ฝืนใจข่มความกลัวเพื่อบอกว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นที่นี่ ลั่วเออร์กอดนางแน่นพรางร้องไห้เด็กตัวเล็กเพียงนี้ต้องมาพบเจอเรื่องโหดร้ายแถมยังต้องเสียทุกคนไปคงสะเทือนใจไม่น้อย“ข้าอยู่นี่แล้ว ข้าไม่มีท
บทที่ 38 เปลวไฟแห่งความสูญเสียระหว่างทางกลับวังหลวงเซียวอี้ได้พาลั่วเออร์ควบม้าขึ้นไปบนยอดเขาเพื่อพานางไปดูพระอาทิตย์ตกดิน ตรงที่เขาพานางมาเป็นหน้าผาสูงชันมองเห็นด้านล่างที่เป็นแผ่นดินกว้างใหญ่มองเห็นหมู่บ้านที่นางเพิ่มจะกลับมาเมื่อครู่เป็นเพียงหมู่บ้านเล็ก ๆ เท่านั้น“องค์ชายพาหม่อมฉันมาที่นี่ทำไมกันเพคะ”“ข้าอยากให้เจ้าเห็นที่ที่งดงามยากนักที่จะได้มาที่เช่นนี้เพราะต่อจากนี้ไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ข้าเองก็ไม่ค่อยมีเวลาให้เจ้าต้องคอยดูแลฝ่าบาทและทำงาน วันนี้เป็นโอกาสดีที่พาเจ้าออกมาอยากให้เจ้าได้รับบรรยายกาศดี ๆ ก่อนกลับวังหลวง” เขากระโดดลงจากหลังม้าก่อนจะยื่นมือให้นางจับเพื่อลงมา ลั่วเออร์จับมืออย่างไม่ลังเลลงมายืนใกล้หน้าผากวาดตามองไปจนทั่ว ลมเย็นสบายฝูงนกบินว่อนเต็มท้องฟ้าพากันโผบินกลับรังกันเป็นฝูง ท้องฟ้าเริ่มทอประกายแสงสีทองอร่ามกระทบใบหน้างามอย่างผ่องใส“งดงามเหลือเกิน” เซียวอี้ที่ยืนอยู่ด้านหลังของลั่วเออร์ได้เอ่ยออกมา นางคิดว่าเขาชมดวงอาทิตย์ที่กำลังลาลับขอบฟ้า นางจึงเอ่ยตอบกลับเขา“หม่อมฉันก็ว่าเช่นนั้นเพคะ”“ข้าไม่ได้หมายถึงดวงอาทิตย์แต่เป็นเจ้าต่างหากที่งดงาม” ไม่ร
บทที่ 37 ใจเจ้าเปลี่ยนไปใบหน้าของเจาหยางเริ่มเปลี่ยนสีคล้ายรู้แล้วว่าลั่วเออร์กำลังจะทำอะไรต่อจากนี้"ของพวกนี้ข้าขอคือท่านแม่ทัพเจ้าค่ะ ข้ามิอาจจะทำเรื่องที่ท่านแม่ทัพต้องการได้และต่อจากนี้เราอย่ามาเจอกันดีกว่าและเลิกเรียกข้าว่าลั่วเออร์สักที เพราะยามนี้ข้าคือพระชายาขององค์รัชทายาทมิใช่ลั่วเออร์ของท่านอีกต่อไป "น้ำเสียงเย็นชาบาดจิตผู้ที่ได้ยินสั่นสะท้านไปทั้งหัวใจราวกับถูกสายฟ้าผ่าลงกลางใจ"เกิดอะไรขึ้น! ทำไมเจ้าถึงเอ่ยมาเช่นนี้เจ้ายังรักข้าอยู่มิใช่หรือแล้วเรื่องที่ข้าให้เจ้าทำล้วนแต่เป็นประโยชน์ของเจ้าที่จะได้มาอยู่กับข้า ""เลิกพูดว่าเป็นผลประโยชน์ของข้าเสียที คำว่ารักของท่านนั้นท่านไม่รักข้า แต่ท่านรักตนเองต่างหากท่านแม่ทัพไตร่ตรองให้ดีว่าสิ่งที่ทำให้ข้าทำนั้นทำเพื่อผู้ใด ทุกอย่างล้วนทำเพื่อท่านเท่านั้นนี่มิใช่ความรัก แต่เป็นความเห็นแก่ตัววันที่ท่านมอบยานี้ให้ข้าเสมือนท่านยื่นความตายให้กับข้า วันนี้ข้าขอคืนผ้าเช็ดหน้ากับหัวใจคืนให้ท่านอย่าได้มาเกี่ยวข้องกันอีกเลย เพราะลั่วเออร์ได้ตายจากท่านในวันที่ท่านส่งมอบยาให้ข้าแล้ว" คำพูดของลั่วเออร์ทำให้เจาหยางสะอึกและไม่สามารถเอ่ยปากพูดอะ
บทที่ 36 ตัดสินใจท้องพระโรงเสนาบดีที่ได้รับสารจากฝ่าบาทพากันมายืนรอฝ่าบาทที่ท้องพระโรงเพื่อรับฟังเรื่องอาการเจ็บป่วย ทุกคนตางพากันพูดคุยหารือเสียงดัง ใต้เท้าเซ่อเจิ้งหวางเริ่มเป็นกังวลหากเรื่องที่ฝ่าบาทประชวรเป็นเรื่องจริงอีกไม่นานบัลลังก์ต้องตกเป็นขององค์รัชทายาท เขาจ้องมองไปยังเจาหยางที่ยืนอยู่ไม่ไกลกันเท่าไหร่นักเจาหยางจึงเดินเข้ามาหาท่านพ่อของตน"เรื่องที่เจ้าไปทำถึงขั้นไหนแล้วเหตุใดถึงได้ชักช้าเช่นนี้""ข้าเองก็ไม่ทราบเช่นกันหลังจากที่แยกย้ายข้าจะไปหาลั่วเออร์เพื่อถามนางอีกครั้งขอรับ ""เราจะรอช้ากว่านี้ไม่ได้แล้ว เจ้ารีบไปคาดคั้นให้นางเร่งมือหน่อย""ขอรับท่านพ่อ" ทั้งสองพูดคุยกันเสร็จได้แยกย้ายประจำที่เพราะบัดนี้ฝ่าบาทได้เสด็จมาแล้ว ภายใต้สายตาของเหล่าเสนาบดีหลายคนเห็นใบหน้าของฝ่าบาทก็รับรู้ได้ทันทีว่าเรื่องข่าวลือเป็นความจริง เพราะฝ่าบาทถูกขันทีกับองค์รัชทายาทประคองออกมา เพียงไม่กี่วันอาการของฝ่าบาททรุดลงอย่างรวดเร็ว"ฝ่าบาทเสด็จ" เสียงขันทีแจ้งบอกทุกคนเสนาบดีโค้งคำนับลงพร้อมเพียงกัน"ถวายบังคมฝ่าบาทขอให้พระองค์มีพระกรกายแข็งแรงหมื่นปีหมื่น ๆ ปี" ฝ่าบาทนั่งลงบนบัลลังก์กวาดตาม