บทที่ 6 ข้อแม้ที่ข้าจะรับตำแหน่ง
หลังจากที่ลั่วเออร์สวดมนต์ขอพรเพื่อให้คุ้มครองคนรักของนางเรียบร้อยแล้วได้พากันกลับเรือน เมื่อนางขึ้นรถม้าสายตาของลั่วเออร์ได้หันไปเห็นนักพรตคนเดิมอีกครั้งเขาจ้องมองนางจนรถม้าเคลื่อนตัวออกไป
"คุณหนูครั้งหน้าเราอย่ามาที่นี่อีกเลยนะเจ้าคะ ข้ารู้สึกว่าที่นี่แปลก ๆ จนน่ากลัวดูนักพรตผู้นั้นที่มาเอ่ยวาจาแปลก ๆ กับคุณหนูสิเจ้าคะจ้องมองเสียจนข้ารู้สึกกลัวไปหมด "
"เจ้าเองก็เห็นใช่หรือไม่สายตาของนักพรตที่จ้องมองเราเมื่อครู่ "
"เจ้าค่ะ " ลั่วเออร์เองก็รู้สึกไม่ต่างกันจนพ้นสำนักสงฆ์ความรู้สึกของลั่วเออร์ยังคงอยู่
ฝั่งด้านไป๋เหลียนที่ตามดูลั่วเออร์ตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมายเขาได้ยินทุกคำพูดที่นักพรตเอ่ยกับลั่วเออร์จึงได้เข้าไปถามหลังจากที่เห็นรถม้าของนางเคลื่อนขบวนออกไปไกล
"ท่านนักพรตเรื่องที่ท่านเอ่ยมาเมื่อครู่กับแม่นางผู้นั้นหมายความว่าอย่างไรกันขอรับ เช่นนี้ท่านก็สามารถดูให้ข้าได้ด้วยหรือไม่ขอรับ "
"ข้าเป็นเพียงนักพรตที่เข้ามาปฎิบัติธรรมเท่านั้นมิได้มีความสามารถทำนายอนาคตผู้ใดได้ " น้ำเสียงตอบกลับมาอย่างเรียบเฉย
"แต่เมื่อครู่ข้าได้ยินเต็มสองหูเรื่องที่ท่านเอ่ยกับแม่นาง"
"ข้าเห็นจิตวิญญาณความสูงส่งของคุณหนูนางนั้น ในวันหนึ่งนางจะอยู่สูงสุดของใต้หล้าแต่กว่านางจะได้อยู่สูงเพียงนั้นนางต้องแบกรับความเจ็บปวดความข่มขื่นในทุกวัน " ไป๋เหลียนคิ้วขมวดเข้าหากันอย่างครุ่นคิดหรือนี่จะเป็นวาสนาที่นางจะได้เคียงคู่องค์ชายเซียวอี้
"เช่นนั้นข้าไม่ขอรบกวนท่าน" ไป๋เหลียนโค้งคำนับลงเดินหันกลับกระโดดขึ้นม้าควบตามรถม้าของตระกูลหวังเพื่อตามดูกิริยานิสัยของคุณหนูตามที่องค์ชายเซียวอี้ต้องการ
หลังจากที่เขาตามมาหลายวันได้เห็นว่านางเป็นสตรีที่คู่ควรเหมาะสมกับองค์ชายทุกประการไม่ว่าจะเป็นใบหน้ากิริยาหรือแม้แต่นิสัยนางช่างอ่อนโยนจิตใจเมตตาหากนางได้เคียงข้างองค์ชายนับเป็นคู่ที่คู่ควรยิ่งนัก เมื่อไป๋เหลียนมั่นใจเขาจึงกลับวังเพื่อรายงายเรื่องนี้ให้แก่องค์ชายสามเซียวอี้ได้รับรู้
ตำหนักหนานฉี
หลายวันมานี้เซียวอี้ไม่ได้ออกไปข้างนอกตามคำสั่งของฝ่าบาทเขาซุ่มอ่านตำราขงจื้อต่าง ๆ ที่ขันทีประจำกายจัดเตรียมมากองไว้ให้ แต่ทว่าเขากลับแสร้งไม่สนใจเรียกหาสุราและหญิงงามที่เพื่อเข้ามาปรนนิบัติ เรื่องนี้ได้แพร่ออกไปด้านนอกตำหนักจนถึงหูของเหล่าเสนาบดีว่าองค์ชายสามเซียวอี้แม้ไม่ได้ออกไปด้านนอกก็ยังคงทำตนเช่นเดิม ไม่มีสำนึกยิ่งทำให้ฝ่าบาทถึงกับเหนื่อยพระทัย แต่หารู้ไม่ว่าเขาเพียงทำเช่นนั้นบังหน้าเพราะไม่อยากให้พวกใต้เท้าหวังสูงรู้ถึงความเคลื่อนไหวเท่านั้น
ก๊อก ๆ " เสียงเคาะทางหน้าต่างได้ดังขึ้นอีกครั้งในยามวิกาล เซียวอี้ลุกขึ้นเดินไปเปิดหน้าต่างพร้อมมองซ้ายมองขวาว่าไม่มีผู้ใดแล้วจึงพยักหน้าให้อีกคนเข้ามาด้านใน
"ได้เรื่องว่าเช่นไรบ้าง"
"ทูลองค์ชาย คุณหนูตระกูลหวังนั้นเป็นสตรีที่อ่อนหวานไม่ว่าจะเป็นกิริยามารยาท หรือแม้กระทั่งนิสัยช่างเป็นสตรีที่หายากนักในใต้หล้า "
"มิน่าล่ะ! แม่ทัพเจาหยางถึงได้รักนางยิ่งนัก ฮึ! ดีหากเจ้ากล่าวมาเช่นนี้ไม่มีอะไรที่นางไม่คู่ควรกับข้าใช่หรือไม่? รุ่งสางข้าจะเข้าเฝ้าฝ่าบาทเพื่อทูลขอให้พระราชทานงานมงคลให้ข้ากับนางเพื่อแลกกับการที่ข้าจะขึ้นรับตำแหน่งองค์รัชทายาท อย่างไรเสียฝ่าบาทต้องเห็นดีด้วยกับข้าเป็นแน่ "
"พ่ะย่ะค่ะ แต่กระหม่อมเกรงว่าหากทำเช่นนี้องค์ชายจะพบเจอเรื่องยุ่งยากภายภาคหน้าเป็นแน่ "
"เจ้าคงคิดเรื่องของแม่ทัพเจาหยางอย่างนั้นหรือ? จะกลัวอันใดกันอย่างไรเสียการที่คนรักของแม่ทัพมาแต่งกับข้าหาใช่ความสมัครใจและเป็นพระราชโองการของฝ่าบาทเขาไม่มีทางที่จะขัดคำสั่งได้ ข้าสะใจยิ่งนักที่จะได้เห็นสิ่งที่เขารักตกมาเป็นของผู้อื่น เจ้ากลับไปพักเถิดแล้วเฝ้าดูฝั่งนั้นว่าจะทำอย่างไรต่อไป หากข้าทูลเรื่องนี้กับฝ่าบาทพวกใต้เท้าเซ่อเจิ้งหวางต้องวางแผนรับมือทำอย่างอื่นอีกแน่ " เซียวอี้ตบบ่าขององครักษ์ให้ไปพักผ่อนพร้อมมอบหมายงานให้แก่เขาอีกครั้ง องค์ชายเซียวอี้แม้จะมักจะออกไปด้านนอกแต่ทว่าเขาไม่ได้เที่ยวเล่นอย่างที่เหล่าใต้เท้าเข้าใจแต่เขาแสร้งทำตนเช่นนี้เพราะคอยสอดส่องใต้เท้าที่คิดจะทำร้ายต่อราชวงค์
รุ่งสางมาเยือน
องค์ชายสามเซียวอี้วันนี้ฉลองพระองค์ด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์อย่างที่เขาไม่เคยแต่งจนทำให้ขันทีประจำตนตกใจคิดว่าวันนี้พระอาทิตย์คงขึ้นทิศตะวันตกเป็นแน่
"เจ้าจะยืนจ้องข้าอีกนานหรือไม่? " เสียงเข้มขรึมเอ่ยขึ้นมาเพื่อเรียกสติขันทีที่จ้องเขาอยู่
"ประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่กระหม่อมเป็นขันทีองค์ชายมาวันนี้เป็นวันแรกที่เห็นองค์ชายฉลองพระองค์ได้งดงามเช่นนี้"
"ขนาดท่านที่ดูแลข้ามาตั้งนานยังตกตะลึงเพียงนี้ หากข้าฉลองพระองค์ในชุดขององค์รัชทายาทท่านไม่สลบเลยอย่างนั้นหรือ?"
"องค์ชาย! องค์ชายเอ่ยมาเช่นนี้หรือว่าองค์ชายจะน้อมรับตำแหน่งองค์รัชทายาทแล้วอย่างนั้นหรือ? วันนี้ช่างเป็นวันที่กระหม่อมดีใจที่สุดเลยพ่ะย่ะค่ะ ช่างเป็นวันที่ท้องฟ้าแจ่มใสยิ่งนัก" ขันทีลี่เว่ยยิ้มกริ่มอย่างดีใจพรางใช้มือทาบอกเมื่อเห็นว่าวันนี้องค์ชายของเขาได้เปลี่ยนไปแล้ว
"เจ้าได้เห็นแน่ ๆ ตามข้ามา" องค์ชายสามเซียวอี้ย่างเท้าออกอย่างห้องอย่างทนงองอาจชายผ้าปลิวไหวตามแรงเดิน ช่างสง่างามจนขันทีภูมิใจที่ได้เห็นภาพเช่นนี้
ตำหนักฮ่องเต้
ภายในตำหนักฮ่องเต้กำลังนั่งเสวยพระกายาหารร่วมกับฮองเฮาจู่ ๆ เขาได้เอ่ยขึ้นระหว่างกินอาหาร
"ฮองเฮาเจ้าได้ยินเรื่องขององค์ชายสามหรือไม่? เจ้าเป็นมารดาเป็นฮองเฮาของแผ่นดินเข้าไปว่ากล่าวตักเตือนบุตรชายของเจ้าให้ทรงทำตนให้เหมาะสมแก่ฐานะ เจ้ารู้หรือไม่ขนาดข้าสั่งไม่ให้ออกไปด้านนอกองค์ชายสามยังคงเรียกนางคณิกาเข้ามาในวังหลวง เรื่องนี้ทำให้ข้าปวดหัวยิ่งนัก เหล่าเสนาบดีต่างไม่เห็นด้วยที่ข้าจะยกตำแหน่งองค์รัชทายาทให้แก่องค์ชายเซียวอี้ ข้าต้องอ่านฎีกาเรื่องของเขาในทุก ๆ วันจนข้าเหนื่อยใจ "
"หม่อมฉันจะเข้าไปสั่งสอนองค์ชายเซียวอี้เองเพคะ องค์ชายเซียวอี้หาใช่คนไม่ดีแต่ที่ทรงทำเช่นนั้นเพราะยังดื้อดันไม่อยากรับตำแหน่งเท่านั้น เพราะความรักที่เขามีต่อท่านพี่ของเขา " ฮองเฮาวางตะเกียบลงพร้อมตอบฝ่าบาทให้เบาใจ แต่ไม่ทันที่ฝ่าบาทจะได้เอ่ยอันใดขันทีหน้าห้องได้ตะโกนเข้ามาเพื่อให้ผู้ที่อยู่ด้านในได้รับรู้
"องค์ชายสามเซียวอี้เสด็จพ่ะย่ะค่ะ " ทั้งฝ่าบาทและฮองเฮาต่างพากันคิ้วขมวดและหันไปมองด้านประตู เซียวอี้ก้าวเท้าเข้ามาด้านในพรางนั่งลงถวายบังคมฝ่าบาทและฮองเฮา
"ถวายบังคมท่านพ่อ ถวายบังคมท่านแม่ " ฝ่าบาทจ้องมองร่างกายของเซียวอี้ด้วยความสงสัยเหตุใดวันนี้ถึงได้แต่งกายผิดแปลกไป
"วันนี้ตะวันคงขึ้นทิศตะวันตกสินะเจ้าถึงได้แต่งกายเช่นนี้ ข้าจำได้ว่าสั่งห้ามมิให้เจ้าออกมาจากตำหนักมิใช่หรือ?"
"ฝ่าบาทเพคะ ในเมื่อองค์ชายเซียวอี้มาเข้าเฝ้าท่านอย่าพึ่งได้ตำหนิเลยเพคะอาจจะมีเรื่องที่จะแจ้งต่อท่านก็เป็นได้ " ฮองเฮาเอ่ยบอกฝ่าบาทพร้อมหันไปพยักหน้าให้แก่เซียวอี้บุตรชายคนรองของตนให้ลุกขึ้นไมต้องคุกเข่าต่อไป
"กราบทูลท่านพ่อ เป็นเช่นดั่งท่านแม่กล่าวตลอดหลายวันที่ผ่านมาข้าได้สำนึกตนแล้วว่าสิ่งที่ข้าทำไปนั้นเป็นสิ่งที่ไม่สมควร ข้าจะรับตำแหน่งองค์รัชทายาทอย่างที่ท่านพ่อต้องการแต่ทว่าข้ามีข้อแม้พ่ะย่ะค่ะ" ในยามแรกสีหน้าของฝ่าบาทกับฮองเฮาปรากฎรอยยิ้มอย่างดีใจที่บุตรชายของเขาคิดได้แต่เมื่อได้ยินว่ามีข้อแม้ถึงกับชักสีหน้าไม่ทัน
"ข้อแม้ของเจ้าคือเรื่องอันใดกันลองเอ่ยมา"
"ข้อแม้ของข้านั้นหากท่านพ่อต้องการให้ข้าเป็นองค์รัชทายาทข้าขอเลือกพระชายาของตนเองได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ" เมื่อได้ยินเช่นนั้นฝ่าบาทถึงกับหัวเราะออกมาอย่างขบขัน
"ข้าก็คิดว่าเรื่องอันใดเพียงเรื่องนี้เหตุใดข้าจะให้เจ้ามิได้แต่ว่าสตรีที่เจ้าอยากให้มาเป็นพระชายาต้องมิใช่นางในหอคณิกาหรือเป็นบุตรของสาวใช้เพียงเท่านั้นข้าก็ไม่ขัดขวางเจ้า"
"ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ ท่านพ่อวางใจได้เพราะสตรีที่ข้ามีใจอยากให้มาเป็นพระชายาคือคุณหนูตระกูลหวัง บุตรสาวของใต้เท้าหวังอี้เฉินพ่ะย่ะค่ะ "
"คุณหนูตระกูลหวังเช่นนั้นหรือ? ฝ่าบาทหม่อมฉันเคยได้ยินมาบ้างนางเป็นสตรีที่งดงามไม่ว่าจะเป็นใบหน้าหรือแม้กระทั่งกิริยานิสัยของนางก็เป็นคนจิตใจดีมีเมตตาเช่นนี้ช่างคู่ควรต่อองค์ชายเซียวอี้ยิ่งนักเพคะ เจ้าช่างมีสายตาแหลมคมยิ่งนักหากเป็นเช่นนี้หม่อมฉันจะเป็นธุระไปที่เรือนตระกูลหวังตัวด้วยเองเพคะเพื่อเอ่ยกับใต้เท้าหวังและฮูหยินของเขาเพื่อขอคุณหนูตระกูลหวังให้แก่องค์ชายเซียวอี้ "
"เฮอะ เฮอะ ดี ๆ ข้าจะเขียนพระราชโองการให้แก่ฮองเฮาเดินทางไปมอบให้แก่ใต้เท้าหวังเพื่อพระราชทานงานมงคลครั้งนี้ให้แก่องค์ชายเซียวอี้ ยิ่งเร็วยิ่งดีเมื่อจัดงานมงคลเสร็จสิ้นเมื่อไหร่ข้าจะจัดการการรับตำแหน่งองค์รัชทายาทให้แก่ประชาชนในใต้หล้าได้รับรู้นับว่าต่อจากนี้จะมีแต่เรื่องดี ๆ เกิดขึ้น วันนี้ข้ามีความสุขยิ่งนัก ฮ่า ฮ่า" ฝ่าบาทหัวเราะออกมาอย่างชอบใจในที่สุดองค์ชายสามก็คิดได้เสียที
บทที่ 7 พระราชโองการของฝ่าบาทเรือนตระกูลหวังเช้าวันนี้อากาศดีเช่นทุกวันลั่วเออร์ไปหาท่านแม่ของนางที่ห้อง ท่านแม่ของนางนั้นมักเจ็บไข้ได้ป่วยอยู่บ่อยครั้งจึงไม่ค่อยได้ออกไปที่ใด โชคดีที่ท่านใต้เท้าหวังเป็นบุรุษที่รักครอบครัว ไม่มีอนุเข้ามาเพิ่มจึงไม่มีเรื่องให้ฮูหยินได้ทุกข์ใจ“ท่านแม่วันนี้ข้าทำขนมที่ท่านแม่ชอบมาให้ด้วยเจ้าค่ะ จื่อหลินยกสำรับมาให้ข้า ข้าจะป้อนท่านแม่เอง” ฮูหยินมองบุตรสาวของตนด้วยความเอ็นดู“ลั่วเออร์เจ้าเป็นบุตรสาวที่ข้าภูมิใจยิ่งนัก ทั้ง ๆ ที่ข้าไม่ค่อยมีเวลาอบรมสั่งสอนเจ้าแต่ทว่าเจ้ากลับเป็นเด็กดีเรียนรู้ทุกอย่าง อย่างง่ายดาย”“เป็นเพราะท่านพ่อกับท่านแม่มอบความรักให้ข้ามากเพียงพออย่างไรเจ้าคะ ท่านพ่อกับท่านแม่เองก็เป็นคนดีข้าจึงเป็นคนดีอย่างท่านทั้งสองเจ้าค่ะ ว่าแต่ช่วงนี้ร่างกายของท่านแม่เป็นเช่นไรบ้างเจ้าคะ”“ร่างกายของหญิงชราเช่นข้าก็เป็นเช่นเดิมเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายไม่รู้จะอยู่บนโลกนี้อีกนานเพียงใดมีสิ่งเดียวที่ข้ายังคงเป็นห่วงก็คือเจ้า ยามนี้ลั่วเออร์ของข้าก็ถึงวัยออกเรือนแล้วเจ้ามีใจกับแม่ทัพเจาหยางมานานเมื่อไหร่ทางนั้นจะมาสู่ขอเจ้ากันนะ แค่ก ๆ ” มารดาของลั่วเออ
บทที่ 8 ถูกชะตาฮองเฮาไม่ได้ถือโกรธนางแต่กลับหัวเราะออกมาอย่างขบขัน"เจ้าช่างอาจหาญต่างจากใบหน้าของเจ้ายิ่งนัก เป็นเช่นนี้ข้ายิ่งชอบเจ้ามากกว่าเดิม ช่างเป็นสตรีที่ดีเสียจริงข้านับถือน้ำใจเจ้าที่มีใจซื่อตรง แม้ข้าจะรู้ว่าการที่พรากเจ้ามาจากคนที่เจ้ารักมันผิด แต่เจ้ารู้หรือไม่โทษของการฝ่าฝืนพระราชโองการเป็นเช่นไร ตระกูลของจะถูกลงโทษแถมยังจะถูกเนรเทศออกไปอยู่ที่แคว้นอื่นอำนาจบารมีที่ท่านพ่อเจ้ามีก็สูญหาย ข้าได้ยินมาว่าฮูหยินท่านแม่ของเจ้าไม่สบายอยู่มิใช่หรือ?" ลั่วเออร์กำมือแน่นแม้คำพูดของฮองเฮาจะบอกว่าไม่อยากพรากนางจากคนที่นางรักแต่เอ่ยออกมาเช่นนี้ราวกับบีบคั้นให้นางทำตามพระราชโองการโดยการใช้อำนาจข่มขู่ ลั่วเออร์หันไปมองใบหน้าของบิดาที่ยามนี้ซีดเซียวหากนางไม่รับราชโองการและทำตาม ท่านพ่อกับท่านแม่ของนางต้องได้รับความเดือดร้อนในคราวนี้ ลั่วเออร์หมดหนทางที่จะหลีกเลี่ยงเหตุใดต้องเกิดเรื่องเช่นนี้กับนางด้วย"ฮองเฮาเพคะที่ทรงเอ่ยมาเพราะจะข่มขู่ให้หม่อมฉันรับพระราชโองการหรือเพคะ ฮองเฮาเป็นมารดาของแผ่นดินและเป็นมารดาขององค์ชายทำเช่นนี้ไม่ทำร้ายจิตใจของหม่อมฉันเกินไปหรอกหรือเพคะ " ลั่วเออร์เอ่ยว
บทที่ 9 ใจที่แตกสลายสองวันถัดมา"คุณหนูวันนี้ท่านงดงามเหลือเกิน หากว่างานมงคลวันนี้เป็นงานมงคลของคุณหนูกับท่านแม่ทัพคงจะดีกว่านี้ " จื่อหลินจ้องมองลั่วเออร์ผ่านกระจกหลังจากที่ปักเครื่องประดับบนศีรษะเสร็จสิ้น"ข้าเองก็คิดเช่นเจ้า หากวันนี้ผู้ที่จับมือข้าเดินเข้างานพิธีเป็นท่านแม่ทัพคงจะดี ไม่รู้ว่ายามนี้ท่านแม่ทัพจะเป็นเช่นไรบ้างหากกลับมาพบว่าข้าเข้าพิธีมงคลกับผู้อื่นหัวใจของเขาจะแตกสลายมากเพียงใดนะ เป็นข้าเองที่รักษาสัญญาไม่ได้จื่อหลินข้าฝากจดหมายพร้อมกับผ้าผืนนี้ให้แก่ท่านแม่ทัพด้วยในวันที่เขากลับมา " จื่อหลินมิอาจห้ามน้ำตาของตนได้เพราะเห็นว่ายามนี้คุณหนูของนางพยายามซ้อนความเจ็บปวดเอาไว้ หัวใจของลั่วเออร์เองก็แตกสลายไปหมดสองวันที่ผ่านมานางเอาแต่เก็บตัวเงียบในห้องและออกไปพบฮูหยินที่ห้องพักของนางเมื่อนางเห็นมารดาน้ำตาแห่งความเจ็บช้ำได้ไหลรินออกมาราวกับสายฝน มารดาของนางสงสารนางมากเช่นกัน แต่ทว่าตนเองกลับทำอันใดให้บุตรสาวไม่ได้แม้แต่น้อย จึงเอ่ยบอกให้นางใช้ชีวิตในวังหลวงอย่างระมัดระวังเพราะวังหลังนั้นมีแต่ภัยอันตรายล้อมตัว"อึก อึก ....ฮื้อ ๆ คุณหนูข้าสงสารท่านเหลือเกินเราหนีกันดีมั้ยเจ
บทที่ 10 ไม่มีทางได้ใจองค์ชายสามเซียวอี้เดินมาที่ลานพิธีพร้อมตั้งขบวนรอพระชายาที่กำลังเดินทางมาในยามนี้มีฝ่าบาทที่นั่งอยู่เคียงข้างฮองเฮาใบหน้าชื่นบานอย่างมีความสุข บุตรชายที่เสเพลวัน ๆ เอาแต่เที่ยวเล่นในวันนี้เขากลับเปลี่ยนแปลงตนเองและเลือกพระชายาด้วยตนเอง ฝ่าบาทเบาพระทัยคิดว่าตอนนี้องค์ชายสามเซียวอี้คิดได้แล้ว ถัดจากเก้าอี้ของฮองเฮามีองค์ชายใหญ่มาร่วมยินดีกับองค์ชายสามด้วยอีกคนแต่ทว่าเหล่าเสนาบดีกลับมีใบหน้าบูดบึ้ง เพราะไม่คิดเลยว่าองค์ชายเซียวอี้จะเป็นผู้เป็นคนแถมยังจัดงานมงคลขึ้นอีก ใต้เท้าเซ่อเจิ้งหวางยืนจ้องมองไปยังองค์ชายเซียวอี้ด้วยใบหน้าที่เคียดแค้น เพราะเขารู้ดีว่าสตรีที่จะเข้าพิธีมงคลในวันนี้คือสตรีที่เป็นคนรักของบุตรชายตนเอง ยิ่งทำให้เขาโกรธแค้นก่อนที่บุตรชายจะออกไปสนามรบได้บอกกล่าวเขาเรื่องการสู่ขอลั่วเออร์บุตรสาวตระกูลหวัง แต่ไม่คิดเลยว่าหลังจากที่บุตรชายของเขาออกไปสนามรบไม่ถึงห้าวันจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ใต้เท้าเซ่อเจิ้งหวางมิได้คิดโกรธแค้นใต้เท้าตระกูลหวังเพราะรู้ดีว่าเรื่องนี้เป็นพระราชโองการของฝ่าบาท ที่พระราชทานงานมงคลนี้ขึ้นมาและเขารู้มาว่าองค์ชายเซียวอี้เป็นคนท
บทที่ 11 หม่อมฉันเกลียดองค์ชายมือเรียวประท้วงด้วยการทุบตีอกแกร่งจนเขาต้องใช้มือขวาจับมือของนางเอาไว้พร้อมผลักให้นางนอนราบลงบนเตียงนอนก่อนจะถอดริมฝีปากออกมาจ้องมองร่างบางที่กำลังโกรธเขาอยู่พรางหายใจเหนื่อยหอบ“ประท้วงข้าไปก็เท่านั้นอย่างไรเจ้าก็เป็นของข้า”“หม่อมฉันเกลียด เกลียดทุกอย่างที่เกี่ยวกับองค์ชายการกระทำของท่านไม่ต่างกับทาสชั้นต่ำ” ลั่วเออร์จ้องมองเขม็งแม้จะหวาดกลัวสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นแต่ตอนนี้นางเองทั้งโกรธทั้งเกลียดชายที่อยู่ตรงหน้าเหลือเกิน“ฮึ ฮึ ทาสชั้นต่ำเช่นนั้น? หรือได้ข้าจะแสดงให้เจ้าได้ดูเอง” เซียวอี้ขึ้นบนเตียงคร่อมร่างของลั่วเออร์ใช้มือทั้งสองข้างจับแขนของนางให้แนบลงกับที่นอนเพื่อไม่ให้นางใช้มือมาปัดป้องพร้อมก้มลงใช้จมูกฝังลงซอกคอเนียนขาวซุกไซร้คออย่างหื่นกระหาย ร่างบางบิดเร่าดิ้นหนีแต่มีหรือที่นางจะหนีได้เพราะยามนี้ไม่ว่าส่วนใดของร่างกายถูกเขาตราตรึงไว้จนหมดสิ้น“ปล่อยนะ! หม่อมฉันบอกให้ปล่อยอย่างไรเพคะ” นางสั่นกลัวเปล่งเสียงสะอึกสะอื้นให้เซียวอี้หยุดการกระทำแต่ทว่าเซียวอี้นั้นกลับถวิลหาร่างกายของลั่วเออร์จนหยุดตนเองไม่ได้ เขาเงยหน้าขึ้นมาจ้องมองใบหน้าของนางก่อน
บทที่ 12 จำเอาไว้เจ้าคือพระชายาของข้าไฟราคะปะทุขึ้นอย่างรวดเร็วร่างกายทั้งสองร้อนผ่าวทั้งคู่ เซียวอี้ถอดริมฝีปากอย่างอ้อยอิ่งจ้องมองกลีบกุหลาบที่เปียกชุ่มอยู่ต่อหน้า จับมังกรที่ตั้งผงาดของตนถูที่กลีบกุหลาบไปมาให้คุ้นเคย"สงบได้แล้วสินะ ดูสิในยามนี้ร่างกายของเจ้าที่รังเกียจข้าต้องการข้ามากเพียงใด กระตุกเร่าแอ่นกายให้ข้าเข้าไปหา เจ้าคงมิได้คิดว่าข้าเป็นแม่ทัพเจาหยางอยู่หรอกนะ " เซียวอี้คิดเช่นนั้นมังกรของเขายิ่งแข็งและตั้งผงาดมากกว่าเดิม เขาจะสอดใส่แท่งร้อนของตนเพื่อทำให้นางลืมเจาหยางและคิดถึงเขาเพียงผู้เดียว เขาดึงมือของนางออกจากใบหน้าเพื่อจะได้มองเห็นใบหน้าของนางชัด ๆ และให้นางจ้องมองเขาว่าคนที่นางกำลังร่วมรักอยู่นั่นคือเซียวอี้มิใช่เจาหยาง"ทะ..ท่านช่างหยาบโลนเช่นไรหม่อมฉันก็ไม่มีวันหายเกลียดท่านและไม่มีวันที่จะลืมคนที่หม่อมฉันรักคือแม่ทัพเจาหยาง " น้ำเสียงเปล่งออกมาอย่างกระเส่าแหบพร่า เพราะช่องรักของนางกำลังถูกเขาคืบคลานเข้าไปด้านใน"เช่นนี้หรือ? ทั้ง ๆ ที่เจ้านอนกับข้าและยามนี้ร่างกายของเจ้ากำลังกลืนกินแท่งร้อนของข้าอยู่แต่ในใจเจ้ายังหวนคิดถึงชายรักของเจ้า เจ้าช่างเป็นสตรีที่น่ารั
บทที่ 13 หม่อมฉันปฏิเสธได้หรือ?หลังจากนางแต่งกายเสร็จสิ้นได้มาเข้าเฝ้าฝ่าบาทพร้อมองค์ชายเซียวอี้ ระหว่างทางเดินมายังท้องพระโรงลั่วเออร์เดินตามหลังคอยเหลียวมองแผ่นหลังของเขาอย่างเครียดแค้น แม้ว่าใบหน้ารูปร่างขององค์ชายจะหล่อเหลาราวเทพเทวดาแต่ทว่าการกระทำของเขาช่างราวกับสัตว์ร้าย ยิ่งทำให้ลั่วเออร์รังเกียจเขามากกว่าเดิม แม้แต่ร่างกายของนาง นางไม่อยากให้เขามาแตะกายนางด้วยซ้ำ ไม่นานนักก็ได้เดินมาถึงท้องพระโรงที่กว้างใหญ่ท้องพระโรง“องค์ชายสามเสด็จพ่ะย่ะค่ะ” เสียงของขันทีดังขึ้นเพื่อแจ้งให้ฝ่าบาทที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ได้รับรู้ ลั่วเออร์รู้สึกประหม่าเล็กน้อย เมื่อวานในพิธีนางไม่ได้เอ่ยวาจาใดกับฝ่าบาทเลยเมื่อมายืนต่อหน้าความหวาดกลัวเริ่มปะทุในหัวใจ“ถวายบังคมฝ่าบาท ถวายบังคมฮองเฮา” เซียวอี้เอ่ยถวายบังคมท่านพ่อกับท่านแม่ของตน ลั่วเออร์มองไปยังบัลลังก์ชายชราที่นั่งใบหน้าเข้มขรึมน่าเกรงขามยิ้มกว้างเมื่อเห็นนาง แววตาเต็มไปด้วยความดีใจได้เอ่ยให้องค์ชายพานางนั่งลงที่ประจำตำแหน่ง“เจ้าพาพระชายาของเจ้ามาเข้าเฝ้าข้ากับฮองเฮาอย่างนั้นหรือ? พานางไปนั่งที่ของเจ้าเถิดข้าเองก็มีเรื่องที่จะแจ้งเจ้าเช่นกัน
บทที่ 14 ร้อนใจรีบคิดแผนการ“นี่คือของกำนัลที่ฮองเฮาเตรียมไว้ให้เพคะ” นางกำนัลได้นำของมามอบให้แก่ลั่วเออร์นางรีบรับมาถือไว้ในใจครุ่นคิดสงสัยว่าสิ่งที่ฮองเฮาให้มานั่นคืออะไรกัน“เจ้าเปิดดูสิถูกใจเจ้าหรือไม่?”“เพคะฮองเฮา” ลั่วเออร์เปิดดูด้านในเป็นปิ่นปักผมที่ทำมาจากทองคำงดงามระยิบระยับ“ทูลฮองเฮาหม่อมฉันมิอาจรับของสิ่งนี้ไว้ได้เพคะ”“สิ่งที่ข้ามอบให้แก่เจ้ายังน้อยไป หากเมื่อไหร่ที่เจ้าตั้งครรภ์ข้าจะมอบของกำนัลที่มากกว่านี้ให้แก่เจ้า ยามนี้ข้ารู้สึกเหน็ดเหนื่อยเจ้ากลับตำหนักหนานฉีเถิด มามาหลี่อย่าลืมเรื่องที่ข้ากำชับเจ้าด้วยล่ะ” ฮองเฮาเอ่ยพร้อมใช้มือปัด ๆ ให้ลั่วเออร์กลับตำหนักพร้อมกำชับสิ่งที่นางต้องการให้มามาหลี่จัดการสอนทุกอย่างให้แก่ลั่วเออร์“ขอบพระทัยฮองเฮาเพคะ หม่อมฉันขอตัวนะเพคะ” ลั่วเออร์ลุกขึ้นคำนับฮองเฮาก่อนจะเดินกลับตำหนักพร้อมมามาหลี่และนางกำนัลที่ดูแลนางตั้งแต่เข้ามาอยู่ที่วังหลังแห่งนี้ฝั่งด้านใต้เท้าเซ่อที่รอทุกคนอยู่ที่หอคณิกาเขาได้ดื่มสุราเพื่อบรรเทาความโมโหยิ่งคิดเห็นภาพรอยยิ้มขององค์ชายเซียวอี้ยิ่งทำให้จิตใจของเขาร้อนรุ่ม ที่เขาไม่ต้องการให้องค์ชายเซียวอี้รับตำแหน่ง
บทที่ 44 ข้ารักท่านใต้เท้าเซ่อรู้สึกอับอายที่บุตรชายได้รับความพ่ายแพ้ต่อองค์รัชทายาท ตระกูลเซ่อทุกคนต่างได้รับโทษและใต้เท้าที่รวมตัวกันวางแผนก็ถูกลงโทษด้วยเช่นกัน โทษของเจาหยางคือการถูกโบยตีก่อนจะนำไปแคว้นคอประจานให้แก่ราษฎรได้เห็นถึงการก่อกบฏและประสงค์ร้ายต่อราชวงศ์จะถูกลงโทษเช่นไร แม้จะมีคุณงามความดีต่อแผ่นดินแต่ถ้าหากคิดร้ายก็ไม่ละเว้นก่อนจะนำร่างไปโยนให้แร้งกิน สนมตระกูลเซ่อถูกปลดให้เป็นเพียงสาวใช้และองค์ชายห้าถูกตัดขาดกับราชวงศ์มิอาจจะเข้ามาในวังหลวงได้อีกต่อไปใต้เท้าเซ่อถูกรุมประชาทัณฑ์ชาวบ้านหรือผู้ที่เคยถูกเขาข่มเหงรังแกขว้างหินขว้างดินใส่จนเขาถึงแก่ความตายภายในวังหลวงกลับมาสุขสงบอีกครั้ง แม้ลั่วเออร์จะเห็นชอบการลงโทษแต่ทว่าในใจของนางลึก ๆ ยังคงคิดถึงใบหน้ารอยยิ้มของเจาหยางแต่มิใช่เพราะนางคิดถึงเพราะความรักแต่ทว่านางกลับเสียดาย หากเขาเลือกเดินทางถูกต้องและคอยช่วยเหลือองค์รัชทายาทอาจจะเป็นท่านแม่ทัพใหญ่ที่ทุกคนนับหน้าถือตา"พระชายาเพคะ วันนี้หม่อมฉันจะออกไปอยู่ที่ตำหนักของนางในแล้วจะได้พบพระชายาอีกไม่เพคะ" หนิงเอ๋อเดินเข้ามาหาลั่วเออร์ที่ศาลารับลม นางได้เข้ามาเป็นนางในฝึกหัด
บทที่ 43 ลงโทษอย่างสาสม"ใครบอกเป็นเพราะเจ้าที่เป็นองค์ชายไม่เอาไหนต่างหาก ข้าจงรักภักดีต่อแผ่นดิน หวังว่าวันหนึ่งจะเป็นแม่ทัพที่ดีและเป็นกองกำลังให้ฮ่องเต้เช่นเจ้าในภายภาคหน้าแต่เจ้าทำลายทุกอย่าง เจ้าทำร้ายหัวใจของข้า ทำให้ข้าต้องแย่งชิงคืนมาเช่นนี้อย่างไรเล่า " เจาหยางตั้งท่าได้สู้กับเซียวอี้อีกครั้ง จนทั้งสองทะลุกำแพงห้องพังทลายล้มลง เสียงดังจึงถึงห้องของลั่วเออร์ตึง!"นั่นเสียงอะไรกัน ทำไมถึงดังอยู่ใกล้ ๆ เช่นนี้หรือว่าแม่ทัพเจาหยางบุกมาที่ตำหนักนี้แล้ว " ลั่วเออร์ไม่รีรอนางร้อนใจจึงเปิดประตูออกไปด้านนอกเพื่อดู แต่ก็ต้องถูกองครักษ์เข้ามาห้ามไม่ให้ออกไปเสียก่อน"พระชายาจะออกไปที่ใดพ่ะย่ะค่ะ ""ข้าได้ยินเสียงดังที่ตำหนักนี้ข้าเป็นห่วงองค์รัชทายาทกลัวว่าเขาจะรับมือแม่ทัพเจาหยางไม่ได้ ""พระชายาอย่าร้อนใจไปพ่ะย่ะค่ะ ยามนี้องครักษ์ไป๋เหลียนก็อยู่กับองค์รัชทายาท พระชายาเข้าไปอยู่ในห้องดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ " ลั่วเออร์มองลอดใต้แขนขององครักษ์ที่ยืนบังนางเห็นแม่ทัพเจาหยางกำลังจะใช้ดาบจัดการกับเซียวอี้ที่ล้มลงกับแผ่นไม้ฝาผนังที่เสียงดังเมื่อครู่ นางคือต้นเหตุทุกอย่างที่ทำให้เรื่องนี้เกิดขึ้นและเ
บทที่ 42 ก่อกบฏรุ่งเช้าวันต่อมาไป๋เหลียนที่เฝ้าดูการเคลื่อนไหวของแม่ทัพเจาหยางได้เข้ามารายงานต่อเซียวอี้ที่กำลังนั่งหน้าเคร่งเครียดเพื่อรับมือจากแม่ทัพ"ทูลองค์รัชทายาท ยามนี้กองทัพของแม่ทัพเจาหยางจะเคลื่อนขบวนในยามวิกาลพ่ะย่ะค่ะ ข้าได้ยินมาว่าเขาบอกกล่าวกองกำลังเพื่ออ้อมล้อมวังหลวงในคืนนี้ในเวลายามที่ทุกคนต่างหลับใหล จำนวนทหารของแม่ทัพมีประมาณสี่ร้อยนายจะรับมือเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ""ทหารของเจาหยางมีสี่ร้อยนายหรือ? เช่นนั้นกองกำลังของเราก็มีไม่น้อยไปกว่าเขาเพราะความช่วยเหลือของท่านแม่ ข้าจะวางแผนตลบหลัง ขันทีลี่เว่ยไปแจ้งกองกำลังมาหาข้าที่นี่""พ่ะย่ะค่ะองค์ชาย ""ส่วนเจ้าค่ำคืนนี้ทำตามแผนของข้า ส่วนพระชายาข้าจะให้องครักษ์เงาอีกกลุ่มไปเฝ้านางเอง มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่จะสามารถรับมือแม่ทัพเจาหยางได้ จงทำตามนี้" เซียวอี้บอกแผนการให้ไป๋เหลียนได้รับรู้ จากนั้นเมื่อกองกำลังมาถึงเขาได้บอกแผนการในการรับมือครั้งนี้ให้แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องและทุกคนต่างพากันหลบซ่อนจนกว่ากองกำลังของแม่ทัพเจาหยางจะล้อมวังหลวงจากนั้นค่อยให้ทหารออกมาล้อมกองทัพของแม่ทัพเจาหยาง เซียวอี้ครุ่นคิดมาทั้งคืนเขาจะไม่ให้เกิดการ
บทที่ 41 วางแผนรับมือฝั่งด้านแม่ทัพเซ่อเจาหยางเขากลับมาจากตำหนักหนานฉี มาปรึกษาหารือท่านพ่อคิดจะก่อกบฏท่านใต้เท้าเซ่อไม่ห้ามแถมยังให้ความสนับสนุนเซ่อเจาหยางอีกด้วย เขาจึงตระเวนออกไปหาใต้เท้าที่อยู่ภายใต้ความควบคุมท่านพ่อเพื่อขอความร่วมมือในการชิงบัลลังก์ในครั้งนี้ ข้ากลับจากเรือนใต้เท้าท่านหนึ่งเห็นองค์รัชทายาทกำลังพาลั่วเออร์ออกจากวังหลวงเพียงลำพังจึงได้แอบตามไป ได้เห็นหมู่บ้านในหุบเขาที่เซียวอี้แอบซ่อนไว้ รอยยิ้มของลั่วเออร์ที่เคยเป็นของเขายามนี้ถูกเซียวอี้ครอบครองจนหมดสิ้นไม่ว่าจะเป็นใจหรือกายของนาง ดวงตาร้อนระอุในอกเต็มไปด้วยความเคลียดแค้น ยิ่งเห็นชาวบ้านที่นี่รักและเทิดทูลเขายิ่งไม่พึงพอใจ เมื่อเห็นว่าเซียวอี้พาลั่วเออร์กลับวังหลวงความคิดชั่วร้ายของเจาหยางที่ก่อเกิดจึงสั่งการให้ทหารของตนไปจัดการสอบถามชาวบ้านแต่เมื่อชาวบ้านตอบคำถามไม่ตรงความคิดของเขาจึงสั่งให้ทหารจัดการฆ่าทิ้งให้หมดทุกคนไม่ละเว้น เขาอยากเห็นความเจ็บปวดของเซียวอี้ที่พรากคนรักของเขาไป หากเขารู้ว่าหมู่บ้านและชาวบ้านที่เขาให้การช่วยเหลือตายกันหมดคงจะเจ็บปวดเจียนตายเมื่อตรวจสอบแล้วไม่เหลือผู้เหลือรอดเขาจึงจุดไฟเผาให้
บทที่ 40 เป็นฝีมือเขาในห้องของลั่วเออร์มีจื่อหลินที่แต่งกายให้อยู่นางเกิดความสงสัยจึงเอ่ยถามผู้เป็นนาย"พระชายาเพคะ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันเพคะพระชายาถึงได้พากันกลับวังหลวงจนท้องฟ้ามืดมิดเช่นนี้แล้วเด็กนั้นคือใครกันเพคะ" ลั่วเออร์หันไปมองหน้าของนางกำนัลเสมือนพวกนางรู้พากันเดินออกจากห้องเหลือเพียงจื่อหลิน"เด็กนั่นเป็นเด็กที่องค์รัชทายาทช่วยเหลือเอาไว้ ข้างนอกวังเกิดเรื่องขึ้นทำให้ข้ากับองค์รัชทายาทกลับมาล่วงเวลาเช่นนี้ วันนี้ข้าเหน็ดเหนื่อยเหลือเกินจนไม่มีเรี่ยวแรงจะเอ่ยแล้วเจ้าไปพักเถิดนะ รุ่งสางข้าจะเล่าให้เจ้าฟังเอง ""เพคะพระชายา " จื่อหลินวางแปรงผมลงที่โต๊ะเครื่องแป้ง เดินออกไปด้านนอกไม่นานเซียวอี้ได้เสด็จมาหาลั่วเออร์เพื่อมฟังคำพูดของนางเหตุใดนางถึงรู้ว่าเป็นแม่ทัพเจาหยางและเขามาพบนางเพราะการใด"มาแล้วหรือเพคะ ""ข้ารู้ว่าเจ้าตกใจและเสียใจเพียงใดแต่เรื่องที่ข้าต้องการจะรู้จากปากเจ้าในวันนี้ข้าต้องรู้ให้ได้ "ลั่วเออร์ลุกขึ้นมานั่งที่เก้าอี้พรางสูดลมหายใจให้ทั่วท้องและเล่าเรื่่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้แก่เซียวอี้ฟัง"อะไรกันเจาหยางคิดทำลายข้าจนถึงขั้นจะให้เจ้าปลงพระชนม์ข้าอย่างนั้นห
บทที่ 39 ช่างโหดร้ายลั่วเออร์ปาดน้ำตาลุกขึ้นยืนเดินไปเดินมาด้วยหัวใจที่ร้อนรุ่มกำมือแน่นภาวนาให้ยังพอมีคนเหลือรอด นางได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้รีบหันไปมองเห็นเซียวอี้อุ้มหนิงเอ๋อกลับมา ลั่วเออร์ดีใจราวกับคำอ้อนวอนของนางเป็นจริง นางวิ่งเข้าหาหาทั้งสองทันที“สวรรค์หนิงเอ๋อเจ้าปลอดภัย เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นห่วงเจ้าเพียงใด” เซียวอี้วางหนิงเอ๋อหลงจากอ้อมแขน นางวิ่งเข้าไปโอบกอดลั่วเออร์แน่น“พี่ลั่วเออร์ข้ากลัว กลัวเหลือเกินเจ้าค่ะพวกเขาช่างโหดร้ายเพื่อน ๆ ของข้าท่านแม่ของข้าต่างพากันอ้อนวอนพวกเขาไม่มีความเมตตาสักนิด ท่านแม่ก้มลงเพื่อวอนขอชีวิตแต่เขากลับใช้ดาบบั่นคอท่านแม่ชั่วพริบตา อึก อึก ข้ากลัวเจ้าค่ะ เพื่อน ๆ ของข้าหนีไม่ทันถูกคนใจร้ายจัดการจนไม่เหลือ พี่ลั่วเออร์ท่านอย่าทิ้งข้าไปอีกคนนะเจ้าคะ ข้าไม่เหลือใครแล้ว” เมื่อทุกคนได้ยินคำพูดของหลินเอ๋อต่างพากันสงสาร ร่างเล็กสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว ฝืนใจข่มความกลัวเพื่อบอกว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นที่นี่ ลั่วเออร์กอดนางแน่นพรางร้องไห้เด็กตัวเล็กเพียงนี้ต้องมาพบเจอเรื่องโหดร้ายแถมยังต้องเสียทุกคนไปคงสะเทือนใจไม่น้อย“ข้าอยู่นี่แล้ว ข้าไม่มีท
บทที่ 38 เปลวไฟแห่งความสูญเสียระหว่างทางกลับวังหลวงเซียวอี้ได้พาลั่วเออร์ควบม้าขึ้นไปบนยอดเขาเพื่อพานางไปดูพระอาทิตย์ตกดิน ตรงที่เขาพานางมาเป็นหน้าผาสูงชันมองเห็นด้านล่างที่เป็นแผ่นดินกว้างใหญ่มองเห็นหมู่บ้านที่นางเพิ่มจะกลับมาเมื่อครู่เป็นเพียงหมู่บ้านเล็ก ๆ เท่านั้น“องค์ชายพาหม่อมฉันมาที่นี่ทำไมกันเพคะ”“ข้าอยากให้เจ้าเห็นที่ที่งดงามยากนักที่จะได้มาที่เช่นนี้เพราะต่อจากนี้ไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ข้าเองก็ไม่ค่อยมีเวลาให้เจ้าต้องคอยดูแลฝ่าบาทและทำงาน วันนี้เป็นโอกาสดีที่พาเจ้าออกมาอยากให้เจ้าได้รับบรรยายกาศดี ๆ ก่อนกลับวังหลวง” เขากระโดดลงจากหลังม้าก่อนจะยื่นมือให้นางจับเพื่อลงมา ลั่วเออร์จับมืออย่างไม่ลังเลลงมายืนใกล้หน้าผากวาดตามองไปจนทั่ว ลมเย็นสบายฝูงนกบินว่อนเต็มท้องฟ้าพากันโผบินกลับรังกันเป็นฝูง ท้องฟ้าเริ่มทอประกายแสงสีทองอร่ามกระทบใบหน้างามอย่างผ่องใส“งดงามเหลือเกิน” เซียวอี้ที่ยืนอยู่ด้านหลังของลั่วเออร์ได้เอ่ยออกมา นางคิดว่าเขาชมดวงอาทิตย์ที่กำลังลาลับขอบฟ้า นางจึงเอ่ยตอบกลับเขา“หม่อมฉันก็ว่าเช่นนั้นเพคะ”“ข้าไม่ได้หมายถึงดวงอาทิตย์แต่เป็นเจ้าต่างหากที่งดงาม” ไม่ร
บทที่ 37 ใจเจ้าเปลี่ยนไปใบหน้าของเจาหยางเริ่มเปลี่ยนสีคล้ายรู้แล้วว่าลั่วเออร์กำลังจะทำอะไรต่อจากนี้"ของพวกนี้ข้าขอคือท่านแม่ทัพเจ้าค่ะ ข้ามิอาจจะทำเรื่องที่ท่านแม่ทัพต้องการได้และต่อจากนี้เราอย่ามาเจอกันดีกว่าและเลิกเรียกข้าว่าลั่วเออร์สักที เพราะยามนี้ข้าคือพระชายาขององค์รัชทายาทมิใช่ลั่วเออร์ของท่านอีกต่อไป "น้ำเสียงเย็นชาบาดจิตผู้ที่ได้ยินสั่นสะท้านไปทั้งหัวใจราวกับถูกสายฟ้าผ่าลงกลางใจ"เกิดอะไรขึ้น! ทำไมเจ้าถึงเอ่ยมาเช่นนี้เจ้ายังรักข้าอยู่มิใช่หรือแล้วเรื่องที่ข้าให้เจ้าทำล้วนแต่เป็นประโยชน์ของเจ้าที่จะได้มาอยู่กับข้า ""เลิกพูดว่าเป็นผลประโยชน์ของข้าเสียที คำว่ารักของท่านนั้นท่านไม่รักข้า แต่ท่านรักตนเองต่างหากท่านแม่ทัพไตร่ตรองให้ดีว่าสิ่งที่ทำให้ข้าทำนั้นทำเพื่อผู้ใด ทุกอย่างล้วนทำเพื่อท่านเท่านั้นนี่มิใช่ความรัก แต่เป็นความเห็นแก่ตัววันที่ท่านมอบยานี้ให้ข้าเสมือนท่านยื่นความตายให้กับข้า วันนี้ข้าขอคืนผ้าเช็ดหน้ากับหัวใจคืนให้ท่านอย่าได้มาเกี่ยวข้องกันอีกเลย เพราะลั่วเออร์ได้ตายจากท่านในวันที่ท่านส่งมอบยาให้ข้าแล้ว" คำพูดของลั่วเออร์ทำให้เจาหยางสะอึกและไม่สามารถเอ่ยปากพูดอะ
บทที่ 36 ตัดสินใจท้องพระโรงเสนาบดีที่ได้รับสารจากฝ่าบาทพากันมายืนรอฝ่าบาทที่ท้องพระโรงเพื่อรับฟังเรื่องอาการเจ็บป่วย ทุกคนตางพากันพูดคุยหารือเสียงดัง ใต้เท้าเซ่อเจิ้งหวางเริ่มเป็นกังวลหากเรื่องที่ฝ่าบาทประชวรเป็นเรื่องจริงอีกไม่นานบัลลังก์ต้องตกเป็นขององค์รัชทายาท เขาจ้องมองไปยังเจาหยางที่ยืนอยู่ไม่ไกลกันเท่าไหร่นักเจาหยางจึงเดินเข้ามาหาท่านพ่อของตน"เรื่องที่เจ้าไปทำถึงขั้นไหนแล้วเหตุใดถึงได้ชักช้าเช่นนี้""ข้าเองก็ไม่ทราบเช่นกันหลังจากที่แยกย้ายข้าจะไปหาลั่วเออร์เพื่อถามนางอีกครั้งขอรับ ""เราจะรอช้ากว่านี้ไม่ได้แล้ว เจ้ารีบไปคาดคั้นให้นางเร่งมือหน่อย""ขอรับท่านพ่อ" ทั้งสองพูดคุยกันเสร็จได้แยกย้ายประจำที่เพราะบัดนี้ฝ่าบาทได้เสด็จมาแล้ว ภายใต้สายตาของเหล่าเสนาบดีหลายคนเห็นใบหน้าของฝ่าบาทก็รับรู้ได้ทันทีว่าเรื่องข่าวลือเป็นความจริง เพราะฝ่าบาทถูกขันทีกับองค์รัชทายาทประคองออกมา เพียงไม่กี่วันอาการของฝ่าบาททรุดลงอย่างรวดเร็ว"ฝ่าบาทเสด็จ" เสียงขันทีแจ้งบอกทุกคนเสนาบดีโค้งคำนับลงพร้อมเพียงกัน"ถวายบังคมฝ่าบาทขอให้พระองค์มีพระกรกายแข็งแรงหมื่นปีหมื่น ๆ ปี" ฝ่าบาทนั่งลงบนบัลลังก์กวาดตาม