“เสด็จพ่อเอ๋ย เสด็จพ่อ...”หลี่หลงหลินพูดไม่ออกอย่างที่สุด “เพื่อเงินเพียงเท่านี้ ถึงกับชักศึกเข้าบ้าน! คิดน้อยเกินไปแล้ว จะต้องสูญเสียอย่างใหญ่หลวงเพราะเรื่องเล็ก...”ทว่าหลี่หลงหลินเองก็เข้าใจความคิดของฮ่องเต้หวู่ราชสำนักขาดแคลนเงินหนึ่งล้านตำลึงเงิน ไม่ใช่จำนวนน้อยๆยิ่งไปกว่านั้นหลี่เทียนฉี่ยังมอบให้ หากไม่เอาก็เสียดาย!ส่วนความอันตรายที่ซ่อนอยู่ ฮ่องเต้หวู่กลับไม่ใส่ใจหลี่เทียนฉี่เข้าเมืองมาเพียงลำพัง มิได้นำทหารมาด้วยเขาจะยังสร้างปัญหาอันใดได้?หลี่เทียนฉี่ค่อยๆ ลุกขึ้น สายตาตกลงบนตัวหลี่หลงหลิน ยิ้มเย็น “เจ้าเก้า เจ้าอายุน้อยที่สุด ไม่สะดุดตาที่สุด! ข้าเกือบลืม หน้าตาเจ้าไปแล้ว!”“คิดไม่ถึงว่าการต่อสู้ชิงบัลลังก์นี้ เจ้าจะกลายเป็นผู้ชนะคนสุดท้าย ได้รับแต่งตังเป็นรัชทายาท!”“ช่างน่ายินดีน่าเฉลิมฉลองจริงๆ!”หลี่หลงหลินเอ่ยปากอย่างถ่อมตน “พี่ใหญ่ ข้าเพียงวาสนาดี...”หลี่เทียนฉี่ยิ้มเย็น จู่ๆ ก็กล่าวกดดัน “เป็นรัชทายาท ไม่ใช่เพียงวาสนาดีก็ใช้ได้! ในเมื่อเจ้าเป็นองค์ชายของต้าเซี่ย ก็สมควรทำตัวเป็นแบบอย่าง ช่วยแบ่งเบาความกังวลของเสด็จพ่อ!”“ข้าเพิ่งนำเงินหนึ่งล้านต
ในท้องพระโรงขุนนางทั้งหลายล้วนหันมองหลี่หลงหลินด้วยสีหน้างุนงงนี่มันเรื่องอะไรกัน?หลี่เทียนฉี่เพิ่งเข้าเมืองหลวง ก็เปิดศึกโจมตีหลี่หลงหลินหลี่หลงหลินรัชทายาทคนใหม่ ยามอยู่ต่อหน้ารัชทายาทที่ถูกปลด กลับถึงขนาดแสดงท่าทีขี้ขลาด?นี่ไม่ใช่ลักษณะนิสัยของเขา!หลี่เทียนฉี่ตกตะลึงจนเหม่อไปเขารู้สึกคล้ายปล่อยหมัด ลงบนนุ่น จะว่าเจ็บก็ไม่เชิงฮ่องเต้หวู่เผยสีหน้าชื่นชมดีใจ “เจ้าเก้า เจ้าคิดได้เช่นนี้ เราปลื้มใจยิ่งนัก! อย่างไรเสียเจ้าก็อายุยังน้อย ควรรับฟังคำสั่งสอนจากพี่ใหญ่เจ้าให้มาก”หลี่หลงหลินยิ้มเย็นในใจรับฟังคำสั่งสอนอะไร?วางแผนชั่วเยี่ยงไร ก่อกบฏเยี่ยงไรงั้นหรือ?หรือว่าจะเป็นรัชทายาทถูกปลดเยี่ยงไรงั้นหรือ?ทว่า หลี่หลงหลินกลับเผยสีหน้าเคารพนบนอบ ค้อมตัวให้หลี่เทียนฉี่ “ภายภาคหน้าข้าจะต้องเห็นพี่ใหญ่เป็นแบบอย่าง เรียนรู้จากพี่ใหญ่แน่!”หลี่เทียนฉี่ถูกโจมตีจนรับมือไม่ทัน ใบหน้าแดงเรื่อ “รัชทายาท เจ้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้...”ฮ่องเต้หวู่เห็นสองพี่น้องเข้ากันได้ดี ก็ซาบซึ้งใจมาก เกือบหลั่งน้ำตา “ช่างเป็นภาพพี่น้องรักใคร่กันอย่างลึกซึ้งภาพหนึ่ง! เจ้าเก้า เราเลือกเจ้าเป็น
หลี่หลงหลินพูดเนิบๆ “ข้านำเงินออกมาง่าย ๆ เช่นนี้ ก็ไม่มีความหมายอะไร! มิสู้ พวกเรามาเดิมพันกันดีหรือไม่!”หลี่เทียนฉี่เอ่ยอย่างประหลาดใจ “เจ้าจะเดิมพันกันเช่นไร?”หลี่หลงหลินหัวเราะเบาๆ “ง่ายมาก! หากข้านำเงินออกมามากกว่าพี่ใหญ่สิบตำลึง ขุนนางบุ๋นบู๊ทุกคน ก็ต้องเอาเงินออกมาหนึ่งตำลึง!”ทุกคนล้วนตกตะลึงนี่คือวิธีเดิมพันอะไรกัน?เทียบกันว่าใครมีเงินมากกว่าหรือ?มิใช่ว่า หลี่หลงหลินนำเงินหนึ่งแสนตำลึงออกมา เหล่าขุนนางทุกคนล้วนต้องออกเงินหนึ่งหมื่นตำลึงหรอกหรือ?นี่ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ เลยโดยเฉพาะขุนนางมือสะอาดที่พร่ำบอกว่าตนเองซื่อตรงเหล่านั้น แม้ว่าเป็นขุนนางคดโกงร่ำรวยอย่างมาก แต่ยามเข้าประชุมราชสำนักกลับแต่งกายทั้งปะทั้งเย็บมา ทุกวันล้วนพร่ำบ่นว่ายากจนต่อหน้าฮ่องเต้หวู่หากให้พวกเขานำเงินหนึ่งหมื่นตำลึงออกมา นั่นทรมานเสียยิ่งกว่าฆ่าพวกเขา!หลี่หลงหลินเห็นเหล่าขุนนางเงียบงันไม่พูดจา ยิ้มเย็นพูดว่า “ฮึๆ ไม่กล้าหรือ? เช่นนั้นพวกเจ้าก็หุบปาก!”เจ้ากรมคลังหน้าแดงไปถึงหู แก้ต่างขึ้นว่า “ราชสำนักเป็นสถานที่ทรงเกียรติมากเพียงใด องค์ชายท่านมาเดิมพันที่นี่ ช่างเล่นอะไรไร้สาระจริงๆ!”หล
เหล่าขุนนางต่างถกเถียงกันโดยเฉพาะเหล่าขุนนางบุ๋น แต่ละคนล้วนมีสีหน้ากระตือรือร้น โทสะสุมทรวงฮ่องเต้หวู่เอียงหน้า สบมองเว่ยซวินขันทีใหญ่หนึ่งปราดเพียะ!เว่ยซวินฟาดแส้ในมือทีหนึ่ง สะบัดลงบนพื้นเงาวาววับ ตวาดเสียงเฉียบ “เงียบ!”กลุ่มขุนนางเงียบลงในทันใดสายตาฮ่องเต้หวู่กวาดมองกลุ่มขุนนาง เปล่งเสียงเยียบเย็นน่าครั่นคร้าม “เจ้าเก้า หากเจ้านำเงินออกมาไม่ได้ เราจะลงโทษเจ้าข้อหาหลอกลวงเบื้องสูง!”แท้จริงแล้วฮ่องเต้หวู่ก็รู้สึกอึดอัดภายในใจเจ้าเก้าเด็กคนนี้ เหตุใดจึงอาจหาญถึงเพียงนี้ ขวัญกล้าเดิมพัน กับองค์ชายใหญ่และเหล่าขุนนางบุ๋นบู๊ในราชสำนักหลายวันก่อน เขายังร้องไห้เพราะความจนกับเราอยู่เลยมิใช่หรือ?เพิ่งผ่านไปไม่กี่วันในระยะเวลาสั้นๆ หรือว่าภายในมือเขาจะมีเงินแล้ว?ได้ยินถ้อยคำนี้ของฮ่องเต้หวู่ เหล่าขุนนางบุ๋นต่างดีใจหลอกลวงเบื้องสูง แม้ว่าสำหรับหลี่หลงหลินรัชทายาทคนนี้ ไม่สะทกสะท้านแต่ระยะนี้หลี่หลงหลิน โอหังเกินไปแล้วจริงๆ!องค์ชายใหญ่กลับเมืองหลวง ก็ลิดรอนอำนาจของหลี่หลงหลินนี่คือสัญญาณดี!องค์ชายคนอื่น อาจไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลี่หลงหลินองค์ชายใหญ่กลับไม่เหมือนก
ปรมาจารย์ยอดเยี่ยมเยี่ยงไร ก็ไม่สามารถเทียบกับอาจารย์ของฮ่องเต้เสิ่นชิงโจวได้!หลี่เทียนฉี่สำรวจรายงานของเจ้าเก้าอย่างละเอียด ตกตะลึงพรึงเพริดอย่างต่อเนื่องเจ้าเก้าคนนี้ ต่อให้เป็นตัวไร้ประโยชน์ก็เป็นผู้มีพรสวรรค์ในหมู่ผู้มีพรสวรรค์!ที่แท้ เขาแสร้งทำตัวต่ำต้อยเพื่อเก็บซ่อนความสามารถ เหมือนหมาป่าที่แสร้งเป็นหมูเพื่อจับเสือ เจ้าเก้าคิดค้นสิ่งของออกมาไม่น้อยยกตัวอย่างเช่นน้ำตาล สุราเหินเวหา ยังมีหนังสือพิมพ์วิชาการต้าเซี่ยที่ได้รับความนิยมในระยะอันใกล้นี้สินค้าเหล่านี้ล้วนมีโอกาสเติบโต หากให้เวลาอีกสักหน่อย จะต้องไม่มีปัญหาแน่!แท้จริงแล้วก่อนหน้านี้เจ้าเก้าก็ใช้กลโกง จัดตั้งโรงเรียนทหารซีซาน หาเงินได้มหาศาล มั่งคั่งร่ำรวยทว่าหลังไฟมังกรเผายุ้งฉาง เมืองหลวงขาดแคลนธัญพืช เพื่อบรรเทาทุกข์ เจ้าเก้าใช้เงินไปจนหมดแล้วสถานการณ์การเงินของภูเขาทิศประจิม ไม่สู้ดีนักในรายงานนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจน ยังไม่ต้องพูดถึงหนึ่งล้านตำลึงบัดนี้หลี่หลงหลิน แม้แต่สามแสนตำลึงก็นำออกมาไม่ได้!การเดิมพันครั้งนี้ หลี่หลงหลินต้องพ่ายแพ้แล้ว!เมื่อครู่ เขาต้องแสร้งทำเป็นโอ้อวดแน่!จากนั้
ท้องพระโรง เสียงเงียบกริบขุนนางทั้งหลาย ตกตะลึงลืมตาอ้าปากค้างพวกเขาล้วนไม่กล้าเชื่อสายตาของตน!สองล้านตำลึง!ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่ใช่ตั๋วเงิน แต่เป็นเงินทองของจริงตั๋วเงิน อาจปลอมขึ้นมาได้เงินทองของจริง ไม่สามารถปลอมแปลงได้!ขณะเดียวกัน เหล่าขุนนางต่างโล่งอก มีหลี่เทียนฉี่รับผิดชอบแทนหาไม่แล้วพวกเขาทุกคน ล้วนต้องสูญเสียมหาศาล นำเงินออกมาชดใช้สำหรับขุนนางส่วนมาก นี่มิใช่จำนวนน้อยแต่มากเพียงพอให้พวกเขาล้มละลายเงินมากถึงเพียงนี้ ทั้งหมดล้วนรวมอยู่บนตัวหลี่เทียนฉี่ จึงกลายเป็นจำนวนมหาศาลชวนให้คนตกใจ!ทั้งหมดสิบล้านตำลึง“รัชทายาทร้ายกาจเกินไปแล้ว!”“องค์ชายใหญ่เพิ่งกลับถึงเมืองหลวง ก็ถูกรัชทายาทขูดรีดเอาเงินก้อนโต!”“สิบล้านตำลึง หากข้าเป็นองค์ชายใหญ่ หัวใจจะต้องหลั่งเลือดแน่!”“ไม่เพียงแค่หัวใจหลั่งเลือด สมองเองก็มีเลือดออก!”เหล่าขุนนางต่างพากันไว้อาลัยหลี่เทียนฉี่หลี่เทียนฉี่วิญญาณหลุดลอยไปแล้ว เสียงสั่นเครือ “ข้า...เมื่อครู่พูดว่าจะช่วยรับผิดชอบแทนพวกเจ้า แต่มิได้พูดว่ารับผิดชอบแทนพวกเจ้าทั้งหมด! อย่างมากที่สุด ข้าก็ช่วยพวกเจ้าออกได้แค่ครึ่งหนึ่ง!”? ? ?เห
ฮ่องเต้หวู่ชะงักไป พูดอย่างไม่เข้าใจ “ความดีความชอบของเรา? อย่างไรกัน?”หลี่หลงหลินพูดยิ้มๆ “เสด็จพ่อ ท่านจะต้องแปลกใจแน่ เงินสองล้านตำลึงนี้ ได้มาจากที่ใด เหตุใดลูกสามารถร่ำรวยได้ในเวลาเพียงชั่วข้ามคืน!”ฮ่องเต้หวู่พยักหน้าอย่างต่อเนื่อง “อันที่จริงเราเองก็อยากรู้คำตอบ”หลี่หลงหลินหัวเราะคิกๆ “เงินเหล่านี้ แท้จริงแล้วล้วนเป็นเงินสินบนของโจวซิงพ่ะย่ะค่ะ!”ฮ่องเต้หวู่ตกตะลึงเหม่อไปเงินสินบนของโจวซิง?นั่นก็มีเหตุผล!นี่ไม่ใช่เงินของหลี่หลงหลิน แต่เป็นเงินของราชสำนัก เป็นเงินของเรา!นั่นก็หมายความว่า หลี่หลงหลินมิได้ออกเงินแม้ตำลึงเดียว ยังไม่ต้องพูดว่าหลอกหลี่เทียนฉี่ สร้างชื่อเสียงให้ตน!จับหมาป่าด้วยมือเปล่า!หากหลี่เทียนฉี่รู้เรื่องนี้ จะต้องโมโหจนกระอักโลหิตแน่!“เจ้าเก้า...”ฮ่องเต้หวู่ตบบ่าหลี่หลงหลิน พูดอย่างจริงใจ “เจ้าช่างทำให้เรา ตกตะลึงดีใจครั้งแล้วครั้งเล่าจริงๆ! แต่ความกล้าของเจ้า มากเกินไปแล้ว! หวังว่าความตกตะลึงดีใจนี้ จะไม่กลายเป็นตกตะลึงขวัญผวาในสักวันหนึ่ง!”หลี่หลงหลินค้อมตัว “ลูกซื่อสัตย์ภักดีต่อเสด็จพ่อ ฟ้าดินตะวันจันทราล้วนสามารถเป็นพยานได้!”ใบหน้าฮ
หลี่เทียนฉี่ตกตะลึงหน้าถอดสี หันมองเสิ่นชิงโจว “ท่านอาจารย์ นั่นจะทำเช่นไร? แผนเข้าเมืองหลวงของข้า ยังไม่เริ่ม ก็ล้มเหลวแล้ว!”เสิ่นชิงโจวถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “ตั้งแต่เริ่มจนจบเป็นเจ้าดูเบาหลี่หลงหลินมากจนเกินไป!”สีหน้าหลี่เทียนฉี่แดงเรื่อแม้ว่าสืบข่าวมาไม่น้อย รู้ว่าหลี่หลงหลินพลิกฟื้นขึ้นมาในเวลาเพียงชั่วข้ามคืน จะต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญทว่า ความประทับใจแรกของคน มักลึกซึ้งยากจะเปลี่ยนแปลงภายในส่วนลึกของหัวใจหลี่เทียนฉี่ หลี่หลงหลินคือไอ้คนชอบร้องไห้น้ำมูกไหล ตัวไร้ประโยชน์ตั้งแต่หัวจรดหาง ไล่ตามอยู่ข้างหลังที่สุดคนนั้น “ท่านอาจารย์ ข้ายังไม่เข้าใจ”หลี่เทียนฉี่ถามสิ่งที่กำลังสงสัยภายในใจ “เจ้าเก้าเด็กคนนี้ ตกลงไปเอาเงินสองล้านตำลึงมากจากที่ใด! หรือว่า เขาสามารถแตะหินเป็นทองได้กระนั้น?”เสิ่นชิงโจวสบมองหลี่เทียนฉี่สายตาลุ่มลึกแวบหนึ่ง ทันใดนั้นเอ่ยปาก “เมื่อคืน โจวซิงตายแล้ว! ถูกหลี่หลงหลินนำทหาร ฆ่าตายที่ศาลาสิบลี้ของเมืองทางทิศเหนือ!”หลี่เทียนฉี่ขมวดคิ้ว “ข้าได้ยินข่าวลือมาบางส่วน! หรือว่า ระหว่างทั้งสองฝ่ายมีความเกี่ยวข้องกัน?”อย่างไรเสียเขาก็เป็นศิษย์รักของเสิ่นชิงโ
ฉินฮั่นหยางครุ่นคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่สุดท้ายก็ไม่กล้าตอบเสิ่นชิงโจวล่วงรู้ความลับของเขามากเกินไปหากเรื่องพวกนั้นถูกเปิดโปง ต่อให้ถูกประหารสิบครั้งก็ยังไม่พอ!แม้ว่าหลี่หลงหลินจะรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะ ว่าจะลืมเรื่องในอดีตและค้ำจุนให้เขารุ่งเรืองมั่งคั่งต่อไปแต่หากอีกฝ่ายเปลี่ยนใจขึ้นมาล่ะ?ฉินฮั่นหยางไม่กล้าเสี่ยงเขาหวังว่าหลี่หลงหลินจะยื่นข้อเสนอที่จริงใจมากกว่านี้ทว่าหลี่หลงหลินไม่ได้เสียเวลาพูดจาให้มากความ เขาหันไปเดินเข้าหาบรรดาบัณฑิตทรงคุณวุฒิคนอื่นๆ แทน ชัดเจนว่าต้องการดึงพวกเขาเข้าพวก“แย่แล้ว! แย่แล้ว!”เมื่อเห็นดังนั้น สีหน้าของฉินฮั่นหยางก็เปลี่ยนไปทันทีในหมู่บัณฑิตทรงคุณวุฒิเหล่านี้ หากมีแม้แต่คนเดียวที่ใจอ่อน ยอมรับหลี่หลงหลินเป็นอาจารย์ และเข้าสู่สำนักปรัชญาแห่งจิตใจนั่นหมายความว่า เสิ่นชิงโจวแพ้แล้ว!หากหลี่หลงหลินสามารถนั่งมั่นในตำแหน่งนักปราชญ์คนใหม่แห่งสำนักปรัชญาแห่งจิตใจได้ตนเองเป็นเพียงบัณฑิตทรงคุณวุฒิ จะเอาอะไรไปเทียบกับนักปราชญ์ได้?ถึงตอนนั้น จะมีจุดจบที่ดีได้อย่างไร!ฉินฮั่นหยางอาจมั่นใจว่าตนเองจะไม่หวั่นไหว แต่เขาไม่อาจมั่นใจได้ว่านักปราช
เสิ่นชิงโจวเองก็คาดไม่ถึงว่ามันจะกลายเป็นแบบนี้ มุมปากกระตุกเล็กน้อยช่างเป็นพวกชาวบ้านโง่เขลาเสียจริงพวกเจ้าแม้แต่แนวคิดของปรัชญาแห่งจิตใจก็ยังไม่เข้าใจแท้ๆ แต่กลับยอมคารวะหลี่หลงหลินเป็นอาจารย์อย่างง่ายดาย?ต่อให้หลี่หลงหลินหลอกขายพวกเจ้า พวกเจ้าก็คงยังช่วยเขานับเงินให้ด้วยซ้ำ!แต่พูดก็พูดเถอะหลี่หลงหลินใช้วิธีอะไรกันแน่ ถึงสามารถซื้อใจชาวบ้านได้มากมายถึงเพียงนี้?ช่างน่าทึ่งนัก!หลี่หลงหลินมองเสิ่นชิงโจวด้วยรอยยิ้มสงบ “ท่านราชครู เท่านี้พอหรือไม่?”เสิ่นชิงโจวยังคงไม่ยอมรับ “ข้าบอกไปแล้วว่าพวกเขาเป็นเพียงกลุ่มคนไร้ระเบียบ ส่วนใหญ่ไม่รู้หนังสือเสียด้วยซ้ำ!”หลี่หลงหลินเอ่ยอย่างไม่รีบร้อน “ที่ท่านหมายถึงคือ มีแต่ผู้มีความรู้เท่านั้นที่คารวะข้าเป็นอาจารย์ ท่านจึงจะยอมรับงั้นหรือ?”เสิ่นชิงโจวพยักหน้า “แน่นอนอยู่แล้ว!”หลี่หลงหลินยกมือขึ้น ชี้ไปยังบัณฑิตทรงคุณวุฒิเหล่านี้สิบคนที่อยู่ด้านหลังเสิ่นชิงโจว “แล้วพวกเขาล่ะ? หากบัณฑิตทรงคุณวุฒิเหล่านี้ยินดีคารวะข้าเป็นอาจารย์ ท่านจะยังกล้าหาข้อแก้ตัวอีกหรือไม่?”เสิ่นชิงโจวถึงกับตะลึงงันให้บัณฑิตทรงคุณวุฒิเหล่านั้นคารวะหลี่หลงห
ฮ่องเต้หวู่เผยสีหน้าลำบากใจเสิ่นชิงโจวกล่าวความจริงต่อให้ปรัชญาแห่งจิตใจล้ำเลิศเพียงใด ก็ต้องมีผู้สืบทอดจึงจะเกิดผลศิษย์ของนักปราชญ์มีมากถึงสามพันคน ในจำนวนนั้นมีผู้ทรงปัญญาเจ็ดสิบสองคนศิษย์เอกอย่างเหยียนหุย ก็มีเค้าลางของนักปราชญ์เช่นกันแต่หลี่หลงหลินเพิ่งก่อตั้งปรัชญาแห่งจิตใจขึ้นมาใหม่ กระทั่งศิษย์สักคนก็ยังไม่มีแล้วจะให้เราสถาปนาเขาเป็นนักปราชญ์ได้อย่างไร?หากเป็นคนแปลกหน้าก็แล้วไปเถิดแต่เขาดันเป็นบุตรของตนหากเรื่องนี้แพร่ออกไป ผู้คนทั้งใต้หล้าย่อมกล่าวหาว่าเราลำเอียงเข้าข้างเขานักปราชญ์เช่นนี้ ใครจะยอมรับกัน?หลี่หลงหลินเผยรอยยิ้มบาง “ใครบอกว่าข้าไม่มีศิษย์?”ทันทีที่คำพูดจบลงจากกลุ่มชาวบ้านก็มีคนก้าวออกมาเป็นกลุ่มพวกเขาสวมอาภรณ์บัณฑิต ศีรษะสวมหมวกสี่เหลี่ยม ดูเป็นบัณฑิตโดยแท้คนที่เดินนำหน้า ฮ่องเต้หวู่จำได้ดีเขาคือจอหงวนหนิงชิงโหวส่วนบัณฑิตที่เหลือ แม้ฮ่องเต้หวู่จะไม่รู้จัก แต่เพียงเห็นสีหน้าท่าทางอันหยิ่งยโส ก็เข้าใจได้ทันทีพวกเขาย่อมเป็นบัณฑิตหยิ่งยโสที่ติดตามหนิงชิงโหวมาแน่นอนบัณฑิตเหล่านี้เข้าร่วมกับเขาทิศประจิม ทั้งยังสั่งสอนอบรมผู้คน ทำหน้
เช่นนั้นมิสู้ให้ข้าดำเนินการก่อน แต่งตั้งนักปราชญ์ขึ้นมาก่อนหนึ่งคนหากนักปราชญ์ต้องได้รับการแต่งตั้งจากฮ่องเต้ เช่นนั้นบัณฑิตทรงคุณวุฒิทั้งหลายก็ต้องได้รับการแต่งตั้งจากอำนาจของฮ่องเต้จึงจะมีผลเดิมที สำนักปราชญ์อยู่เหนือการควบคุมของราชสำนัก มีระบบเป็นของตนเองหากทำเช่นนี้แล้วบัณฑิตทรงคุณวุฒิและนักปราชญ์ของสำนักปราชญ์จะต้องได้รับการแต่งตั้งจากราชสำนัก ไม่เท่ากับว่าสามารถควบคุมได้อย่างง่ายดายหรือ?พวกเขาจะคิดก่อคลื่นลม ปั่นป่วนในเงามืดอีกต่อไปคงเป็นไปไม่ได้แล้วแน่นอนว่าการแต่งตั้งนักปราชญ์ ไม่ใช่ว่าจะกระทำได้ตามอำเภอใจความสามารถเป็นเรื่องรอง ที่สำคัญที่สุดคือฐานะหากฮ่องเต้หวู่แต่งตั้งนักปราชญ์ขึ้นมาเพียงคนเดียว บุคคลผู้นั้นย่อมได้รับชื่อเสียงเกียรติคุณอันสูงส่งจากประชาชนหากบุคคลผู้นี้คิดไม่ซื่อ วางแผนก่อกบฏถ้าเป็นอย่างนั้นจริง บ้านเมืองจะต้องลุกเป็นไฟอย่างแน่นอน!อย่างไรก็ตาม ปัญหาเหล่านี้ไม่มีอยู่จริงสำหรับหลี่หลงหลินเขาเป็นองค์ชายรัชทายาทอยู่แล้ว ยังไงก็ต้องขึ้นครองราชย์ในสักวัน ไม่มีเหตุผลที่จะก่อกบฏการแต่งตั้งหลี่หลงหลินเป็นนักปราชญ์ ไม่เพียงแต่จะสามารถกดขี่ส
“ดี...”ฮ่องเต้หวู่กลั้นความคิดอยู่นาน กว่าจะเปล่งเสียงออกมาได้เพียงคำเดียว แต่เมื่อนึกว่ามันดูจืดชืดเกินไป จึงเสริมขึ้นอีกว่า “ดีมาก!”หลี่หลงหลินรู้สึกพูดไม่ออกในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าทำไมเสิ่นชิงโจวถึงต้องการยุยงให้ฮ่องเต้หวู่ก่อกบฏบิดาไร้ประโยชน์ของตนผู้นั้น ไม่เพียงแค่ละเลยด้านการปกครองด้วยวัฒนธรรมเท่านั้นเห็นได้ชัดว่าเขาไม่เข้าใจหลักขงจื๊อแม้แต่น้อย แถมยังอ่านปรัชญาแห่งจิตใจไม่ออกเลยด้วยซ้ำ ถึงขนาดไม่รู้จะกล่าวคำชมเชยอย่างไร กลัวว่าเอ่ยออกไปมากกว่านี้จะเผลอทำให้ตัวเองโป๊ะแตกอย่างไรก็ตาม ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นตัวเขาก็ไม่ต่างกันโทษฐานที่ตัวเองไม่มีวัฒนธรรม อาศัยแต่การลอกเลียนแบบปรัชญาแห่งจิตใจของปราชญ์หวังหยางหมิงนั้น ลึกซึ้งอย่างแท้จริงหลี่หลงหลินใช้เวลาสามวัน คัดลอกปรัชญาแห่งจิตใจฉบับดั้งเดิมตามความทรงจำ อันที่จริง เขาก็แค่เข้าใจหลักการใหญ่ๆ อย่าง “รู้แล้วลงมือทำ” “ศึกษาสิ่งต่างๆ เพื่อเข้าถึงความรู้” “มุ่งสู่จิตสำนึกแห่งคุณธรรม”ส่วนที่ลึกซึ้งกว่านั้น หลี่หลงหลินก็ไม่ค่อยเข้าใจ ต้องอาศัยให้เหล่าศิษย์ไปอ่านปรัชญาแห่งจิตใจและเข้าใจด้วยตัวเองจะบรรลุสู่ความเป็นปราชญ
หลี่หลงหลินส่ายหัวเบาๆ “ท่านผิดแล้ว! ในใจของทุกคนล้วนมีสำนึกดี! หากรู้แล้วลงมือทำ มุ่งสู่จิตสำนึกแห่งคุณธรรม ทุกคนก็สามารถบรรลุสู่ความเป็นปราชญ์ สร้างความรุ่งเรืองให้กับหลักขงจื๊อไปหมื่นชั่วอายุคน!”รู้แล้วลงมือทำ มุ่งสู่จิตสำนึกแห่งคุณธรรม?ร่างกายของเสิ่นชิงโจวสั่นสะท้าน สีหน้าปรากฏความไม่อยากเชื่อท้ายที่สุด เขาก็เป็นปราชญ์ผู้รอบรู้ตำรา ถึงแม้เพราะความเห็นแก่ตัวจะทำให้เขาเดินออกนอกเส้นทางแต่ความรู้ของเขาก็ยังคงเป็นของจริงแน่นอนว่าเมื่อหลี่หลงหลินกล่าวคำว่า “รู้แล้วลงมือทำ มุ่งสู่จิตสำนึกแห่งคุณธรรม” ทั้งเจ็ดคำออกมา เสิ่นชิงโจวก็เข้าใจได้ทันทีว่านี่คือวิถีแห่งปราชญ์!“น่าเสียดาย...”“หากข้ายังหนุ่มกว่านี้สักหลายสิบปี บางทีก็อาจเห็นด้วยกับปรัชญาแห่งจิตใจ และเดินบนวิถีแห่งปราชญ์นี้”“แต่ข้าแก่ชราแล้ว ไม่อาจหวนกลับได้!”“ทำได้เพียงสู้จนถึงที่สุด!”เสิ่นชิงโจวส่ายหัว มองไปที่หลี่หลงหลิน “พูดไปก็ไร้ประโยชน์! ข้าจะไม่โต้เถียงกับท่านด้วยวาจา! นำงานเขียนของท่านมาให้ข้าดูเสียก่อน แล้วค่อยว่ากัน!”หลี่หลงหลินส่ายหัว ปฏิเสธโดยตรง “ท่านไม่คู่ควร!”เสิ่นชิงโจวโกรธจนอับอาย หน้าแดงก่ำ
คำพูดของหลี่หลงหลินประโยคนี้ เปรียบเสมือนเสียงระฆังยามเช้า และกลองยามเย็น ทำให้ผู้คนตื่นตระหนกและฉุกคิดสำนักปราชญ์ของพวกเจ้า ไม่ต้องการผูกขาดการสอบขุนนาง สร้างตระกูลขุนนาง ก่อตั้งชนชั้น เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน และผลประโยชน์แก่ลูกหลานในภายภาคหน้าของพวกเจ้าหรือ?ปรัชญาแห่งจิตใจ คือการทำลายความอยุติธรรมในโลก!ทุกคนดุจดั่งมังกร ทุกคนบรรลุเป็นนักปราชญ์!บนลานหยกขาว เงียบสงัดไร้เสียงแม้แต่นกกามีเพียงความตื่นตะลึง!แม้แต่ฮ่องเต้หวู่ยังตกตะลึงจนร่างมังกรสั่นสะท้านทุกคนดุจดั่งมังกร ทุกคนบรรลุความเป็นนักปราชญ์!นี่ช่างเป็นปณิธานอันยิ่งใหญ่เพียงใด!หากสามารถทำให้เป็นจริงได้ โลกมนุษย์จะรุ่งเรืองเพียงใดกัน!ชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือ ไม่มีค่าอะไรเลย!ทุกที่ที่กองทัพพยัคฆ์ต้าเซี่ยย่างกรายไป หากพวกหมานอี๋กล้าขัดขืน ย่อมถูกบดขยี้จนแหลกเป็นผุยผง!ในห้วงความคิดของฮ่องเต้หวู่ ภาพตนเองในเกราะทองอันทรงอำนาจดุดัน ปรากฏขึ้นแจ่มชัด นำทัพทหารต้าเซี่ยนับหมื่นที่สวมเกราะถืออาวุธคมกล้า ออกรบแผ่ขยายอำนาจไปทั่วทุกสารทิศเพียงแค่จินตนาการถึงภาพนั้น ดวงตาของฮ่องเต้หวู่ก็เปล่งประกาย เลือดลมเดือดพล่
รากฐานของขงจื๊อ ก็คือสี่ตำราห้าคัมภีร์และคำสอนของนักปราชญ์สี่ตำราห้าคัมภีร์ มีเนื้อหามากมายเพียงใด?แม้แต่ทงเซิงผู้เฉลียวฉลาด ยังสามารถท่องจำได้อย่างคล่องแคล่วยิ่งไม่ต้องพูดถึงบัณฑิตอัจฉริยะมากมายแห่งต้าเซี่ยในตลอดพันปีที่ผ่านมา ต่างก็อุทิศตนศึกษาและขบคิดอย่างลึกซึ้งในสี่ตำราห้าคัมภีร์พูดได้ว่าแนวทางแห่งขงจื๊อ เปรียบเสมือนเส้นทางโคลนที่ถูกเหยียบย่ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยผู้คนมากมายการจะสร้างความแปลกใหม่ บุกเบิกแนวคิดใหม่ หรือเขียนตำราใหม่ บนเส้นทางที่ถูกเหยียบย่ำจนเลอะเทอะนี้ หาใช่เรื่องง่ายดายไม่?หากมีผู้ใดสามารถทำได้จริงเช่นนั้น สมญานักปราชญ์ ก็คู่ควรกับเขาอย่างแท้จริง!เพียงแต่เสิ่นชิงโจวรู้ดีว่า ตนไม่มีความสามารถนั้นหลี่หลงหลิน แม้จะเคยศึกษาตำราของนักปราชญ์มาหลายปี แต่ก็ยิ่งไม่มีความสามารถทำเช่นนั้นได้“เขียนตำราบุกเบิกแนวคิดใหม่...”“ข้ากลับมีอยู่จริงๆ!”ภายใต้สายตานับไม่ถ้วน หลี่หลงหลินไม่รีบร้อนหรือลนลานแม้แต่น้อย เขาหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ พลางกล่าวว่า “วันนี้ข้าจะประกาศแนวคิดใหม่ ตั้งชื่อว่า... ปรัชญาแห่งจิตใจ!”ฉากนี้ทำให้ผู้คนมากมายถึงกับตะลึงงั
นักปราชญ์ใหม่แห่งสำนักปราชญ์?คำคำนี้ดังราวกับสายฟ้าฟาด ก้องกังวานในหูของทุกคนอะไรกัน?ข้าคงไม่ได้หูฝาดไปใช่ไหม!เมื่อครู่รัชทายาทเพิ่งบอกว่าตนเองเป็นนักปราชญ์ใหม่แห่งสำนักปราชญ์?นักปราชญ์ใหม่ก็คือนักปราชญ์คนใหม่!รัชทายาทหมายความว่า ตนเองสามารถเทียบได้กับนักปราชญ์อันดับสอง ซึ่งก็หมายความว่า เขาเป็นนักปราชญ์อันดับสามของสำนักปราชญ์ในรอบพันปีหรือ?นี่ นี่ นี่...นี่มันเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!เหลือเชื่อยิ่งกว่าดวงอาทิตย์ขึ้นจากทางทิศตะวันตกเสียอีก!“ฮ่าฮ่าฮ่า...”เสิ่นชิงโจวชะงักไปชั่วขณะ จากนั้นกุมท้องหัวเราะจนตัวงอเหล่าขุนนางฝ่ายบุ๋นและบัณฑิตทั้งหลาย ต่างก็ระเบิดเสียงหัวเราะดังกึกก้องไปทั่วห้องโถง“รัชทายาท ท่านเสียสติไปแล้วหรือ?”“นักปราชญ์คนใหม่แห่งสำนักปราชญ์? ท่านหมายความว่า ท่านคือปราชญ์ของสำนักปราชญ์อย่างนั้นหรือ?”“ฮ่าฮ่าฮ่า! องค์ชายเสเพลผู้ไร้ความรู้ความสามารถเช่นท่าน กล้าประกาศตนเป็นนักปราชญ์ ช่างน่าขันเสียจริง!”“ถ้าท่านเป็นนักปราชญ์ เช่นนั้นคนทั้งโลกก็คงเป็นปราชญ์กันหมดแล้ว!”ซูเฟิ่งหลิงถึงกับอึ้ง ใบหน้างดงามแฝงความตกตะลึง ดวงตาหงส์จับจ้องไปที่หลี่หลงหลิน ริมฝ