ณ ภูเขาทิศประจิมนิ้วเรียวยาวดุจหยกของลั่วอวี้จู๋ กำลังดีดลูกคิดอย่างว่องไวนางคิดบัญชีครั้งแล้วครั้งเล่า ขมวดคิ้วแน่นขึ้นเรื่อยๆ“พี่สะใภ้ใหญ่!”หลี่หลงหลินเดินเข้ามาด้วยท่าทางเอ้อระเหย พูดยิ้มๆ “ปีนี้ภูเขาทิศประจิมของพวกเราได้กำไรมากน้อยเพียงใด?”ลั่วอวี้จู๋ถอนหายใจ ยื่นสมุดบัญชีที่คิดไว้ดีแล้วให้หลี่หลงหลิน “ไม่ได้กำไร ยังขาดทุนอีกด้วย...”หลี่หลงหลินตกตะลึงพรึงเพริดนี่เรื่องอะไรกัน?ข้าทำงานหนักมาตลอดทั้งปี เพิ่มรายการมากมายถึงเพียงนั้น มีอย่างใดไม่มีเงินเข้าเป็นกอบเป็นกำทุกวันบ้าง?จะเป็นไปได้เยี่ยงไร?“พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านคำนวณผิดไปหรือไม่...”หลี่หลงหลินถือสมุดบัญชี ดูอย่างละเอียดไม่ดูก็ไม่รู้ เพียงได้ดูก็ตกตะลึงพรึงเพริดถึงขั้นขาดทุนจริงๆ!ยิ่งไปกว่านั้นยังขาดทุนไม่น้อย เพียงช่องโหว่ที่ปรากฏขึ้นบนบัญชี ก็มีนับล้านตำลึงแล้วแท้จริงแล้วไม่ว่าเครื่องปั่นด้ายจักรเย็บผ้า ร้านที่ตลาดทิศทักษิณ น้ำตาลทรายขาว รวมถึงสุราเหินเวหา ไปจนถึงการรับสมัครของโรงเรียนทหารซีซาน เหล่านี้ล้วนสามารถหาเงินได้รวมทั้งหมดเข้าด้วยกัน เพียงพอให้มีเงินมากนับสิบล้านตำลึงแต่ภูเขาทิศประจิมม
เพราะเหตุใดลัทธิขงจื๊ออยู่มานานนับพันปีไม่ล่มสลาย?เพราะเหตุใดกลุ่มขุนนางบุ๋นยั่วยุไปยั่วยุมาในราชสำนัก ฮ่องเต้หวู่กลับไม่สามารถทำอันใดพวกเขาได้?หลายพันปีมานี้ ลัทธิขงจื๊อมีสิทธิ์ในการพูดมาโดยตลอด!หากใครล่วงเกินลัทธิขงจื๊อ นั่นก็จบสิ้นแล้ว!บัณฑิตในใต้หล้า ล้วนเขียนเรียงความ เขียนบทกวีด่าเจ้าต่อให้เป็นฝ่าบาทก็ห้ามไว้ไม่ได้!หลี่หลงหลินหน้าหนา คำสบถด่าของบัณฑิต เขาฟังหูซ้ายทะลุหูขวาทว่า ครั้งนี้พวกเขาทำเลยเถิดเกินไปแล้ว ถึงขั้นตัดเส้นทางหาเงินของตน?หลี่หลงหลินมิอาจอดกลั้นได้อีกต่อไป!ตัดเส้นทางหาเงิน ดุจฆ่าบิดามารดา!บิดามารดาของหลี่หลงหลินคือฮ่องเต้และฮองเฮาฆ่าฮ่องเต้ฮองเฮา นั่นจะเป็นเช่นไร?ก็คือก่อกบฏอย่างไรเล่า!“ฮึ พวกปัญญาชนยุคปฏิวัติ คอยดูเถอะ ไม่ช้าก็เร็วข้าจะจัดการพวกเจ้า!”หลี่หลงหลินสบถด่าภายในใจโดยไม่สนใจความจริงที่ว่า ตนเองก็เป็นเจ้าเก้าเฉกเช่นเดียวกันสรุปคือ เส้นทางการเงินเรียกเก็บค่าเล่าเรียนนี้ ไม่สามารถเดินได้ชั่วคราวหลี่หลงหลินครุ่นคิด พูดว่า “เช่นนั้นสุราเหินเวหาและน้ำตาลทรายขาวเล่า? ของสองสิ่งนี้ถูกจัดเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย ใกล้ปีใหม่แล้ว น่าจะ
“พี่สะใภ้ใหญ่”หลี่หลงหลินทอดสายตามองลั่วอวี้จู๋ผู้งดงามดุจบุปผา “การค้าของร้านขายผ้าสกุลซู ตอนนี้เป็นเช่นไร?”ลั่วอวี้จู๋มุ่นคิ้วถอนหายใจ “ตกต่ำลงอย่างต่อเนื่อง พูดได้เพียงว่าเฉยๆ...”หลี่หลงหลินชะงักเบาๆ งุนงงอยู่บ้างไม่กระมัง!การค้าร้านขายผ้าก่อนหน้านี้ แพร่กระจายไปทั่วทั้งเมืองหลวง ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากเพราะเหตุใดจึงตกต่ำลงอย่างต่อเนื่องได้เล่า?ตกลงเกิดปัญหาที่ใดกันแน่?หรือว่าการค้าไม่ดี?เป็นไปไม่ได้!การค้าของร้านขายผ้าสกุลซู ล้วนเป็นลั่วอวี้จู๋ดูแลเองกับมือมาโดยตลอดความสามารถทางการค้าของนางเป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาของทุกคน ไม่มีทางที่แม้แต่ร้านขายผ้าเล็กๆ แห่งหนึ่งจะไม่สามารถจัดการได้ดูท่าแล้วกำลังเกิดปัญหาบางอย่าง!หลี่หลงหลินถามเสียงเครียด “พี่สะใภ้ใหญ่ เกิดเรื่องใดขึ้น? หรือว่าผ้าของร้านพวกเราไม่ใช่ของดีราคาถูกกระนั้น?”ลั่วอวี้จู๋ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “ตอนนี้ น่ากลัวว่าผ้าไม่ดี ราคาก็ไม่ถูกแล้ว”หลี่หลงหลินงุนงงผ้าฝ้ายของสกุลซู สาเหตุที่สามารถเปิดตลาดได้ มุ่งเน้นที่ความคุ้มค่าและราคาทว่าฟังความนัยของลั่วอวี้จู๋ดูแล้วความคุ้มค่าและราคาของผ้าฝ้ายหมด
เปิดตลาด แต่ไหนแต่ไรมาล้วนไม่ใช่เรื่องง่ายขนส่ง โฆษณา แรงงานคน ทุกด้านล้วนต้องจ่ายเงินมหาศาลทว่า ลั่วชิงซานเมาแล้วก็พลั้งปาก ทำความผิดใหญ่หลวง ทำให้ความน่าครั่นคร้ามของหลี่หลงหลินตกฮวบลั่วอวี้จู๋รู้สึกผิดอยู่ภายในใจ ต้องการชดใช้ลั่วอวี้จู๋ถึงขั้นเคยคิดมาก่อน ขอเพียงหลี่หลงหลินรับปาก ต่อให้สกุลลั่วต้องล้มละลาย ก็จะควักกระเป๋า ขายผ้าทั้งหมด แก้ปัญหาเร่งด่วนหลี่หลงหลินจะไม่เข้าใจความคิดลั่วอวี้จู๋ได้อย่างไร จับจ้องนางอย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง หวั่นไหวภายในใจพี่สะใภ้ทำเพื่อตน ยอมนำชีวิตของสกุลลั่วมาเสี่ยง!ความรู้สึกนี้ สูงเหนือภูเขา ลึกกว่ามหาสมุทรแต่หลี่หลงหลินส่ายหน้า ปฏิเสธอย่างเด็ดขาด “พี่สะใภ้ใหญ่ วิธีที่ท่านพูดนี้ ใช้ไม่ได้!”ลั่วอวี้จู๋ตกตะลึง เงยหน้าขึ้น ใบหน้าเผยแววแปลกใจ “ไม่ได้? เพราะเหตุใด?”หลี่หลงหลินหัวเราะ “พี่สะใภ้ใหญ่ น้ำใจของท่าน ข้ารับไว้แล้ว! แต่ ทำการค้า เดิมทีก็เพื่อหาเงิน! การค้าขาดทุน ไม่ทำยังจะดีเสียกว่า!”“การผลิตผ้าไหมของเจียงหนาน ราคาทุนต่ำยิ่งกว่าเมืองหลวง”“แม้ว่าผ้าของพวกเราที่เมืองหลวงราคาต่ำ แต่ไปที่เจียงหนาน รวมต้นทุนการขนส่งแล้ว ราคายังส
หลี่หลงหลินหัวเราะเบาๆ เอ่ยว่า “ภูเขาไม่มาหาข้า ข้าก็ไปพบภูเขา! แทนที่จะทำการค้าผ้าที่เมืองหลวง ขนส่งไปขายที่เจียงหนาน ยังมิสู้ทำการค้าที่เจียงหนาน ขายที่เจียงหนานโดยตรง”ลั่วอวี้จู๋ตกตะลึงพรึงเพริด ทันใดนั้นเข้าใจความนัยของหลี่หลงหลินแล้ว “ท่านกำลังพูดว่า...ส่งเครื่องทอผ้ารูปแบบใหม่ ไปที่เจียงหนาน ให้สกุลลั่วรับผิดชอบตั้งโรงงานทอผ้า?”หลี่หลงหลินพยักหน้าพลางหัวเราะเบาๆ “ใช่แล้ว! เจียงหนาน เดิมทีก็เป็นแหล่งกำเนิดของเส้นไหมผ้าฝ้ายลินินสดอยู่แล้ว! ค่าขนส่งลดลง ราคาวัตถุดิบก็สามารถลดลงได้อีกด้วย!”“ยิ่งไปกว่านั้น นับตั้งแต่โบราณจนถึงตอนนี้ อุตสาหกรรมการทอผ้าของเจียงหนานรุ่งเรืองมาก มีช่างทอผ้าที่เชี่ยวชาญมากมาย”“ขอเพียงอบรมเพิ่มสักหน่อย พวกนางก็สามารถใช้เครื่องทอผ้าใหม่นี้ได้แล้ว ไม่คล้ายเมืองหลวง ต้องใช้เวลาอบรมนาน ต้นทุนของแรงงานคนเองก็เพิ่มขึ้น!”“ความร่ำรวยของเจียงหนาน ราษฎร์มีเงิน ขอเพียงพวกเรารับประกันความคุ้มค่าของราคาได้ จะต้องสามารถเปิดตลาดได้อย่างแน่นอน!”ยังมีอีกหนึ่งเรื่อง หลี่หลงหลินไม่ได้พูดสร้างโรงงานทอผ้าแห่งหนึ่งที่ชายฝั่งเจียงหนาน มีข้อดีมากนักต่อให้ตลาดอิ่มตั
ซูเฟิ่งหลิงเองก็รู้ ปีนี้ขาดทุนไม่น้อยนางกลัวงบประมาณจะถูกตัดลดมากเกินไป กระทบต่อพวกทหาร นางถึงต้องระมัดระวังมากถึงเพียงนี้หลี่หลงหลินรับรายงานแผนงบประมาณจากมือซูเฟิ่งหลิง อ่านอย่างละเอียด ขมวดคิ้วน้อยๆซูเฟิ่งหลิงใจเต้นตึกตักดังคาด รายจ่ายมากเกินไปแล้วกระมัง?แต่ข้าพยายามตัดค่าใช้จ่ายให้มากที่สุดแล้วหากลดลงมากกว่านี้ จะฝึกทหารเยี่ยงไร?หลี่หลงหลินโยนรายงานแผนงบประมาณไว้ที่ฝั่งหนึ่ง พูดเสียงเย็น “นี่สิ่งเหลวไหลไร้สาระอะไรของเจ้า? ไม่สมเหตุสมผลเลยแม้แต่น้อย!”เพียงซูเฟิ่งหลิงได้ยิน กำหมัดสองข้างแน่น รู้สึกอึดอัดคับข้องใจนางพยายามอย่างที่สุดแล้วจริงๆนี่คือนางเค้นสมอง ถึงสามารถวางแผนออกมาได้ทองแดงหนึ่งแผ่น ล้วนต้องหักครึ่งเพื่อใช้จ่ายไม่ได้ฟุ่มเฟือยเลยแม้แต่น้อย!สรุปคือ ได้ยินความนัยของหลี่หลงหลิน ยังไม่พอใจ คิดว่ารายจ่ายมากเกินไป!แต่กองทัพใหม่สกุลซูเป็นทหารม้า เป็นทหารชั้นยอด ทำเกินกำลังตน เดิมทีก็มีรายจ่ายมหาศาลอยู่แล้วซูเฟิ่งหลิงอับจนหนทางแล้วจริงๆ!หลี่หลงหลินถือรายงานไว้ด้วยมือหนึ่ง ส่วนนอีกมือดีดเบาๆ “เจ้าดูตรงนี้! ไม่มีเหตุผล จะต้องแก้ไข! เหล่าทหารฝึกลำบา
แท้จริงแล้วซูเฟิ่งหลิงได้ยินทางฝั่งลั่วอวี้จู๋พูดว่าภูเขาทิศประจิมเผชิญหน้ากับความอันตรายใหญ่หลวงทางการเงิน ขาดทุนไม่น้อยหลี่หลงหลินกำลังเค้นสมอง หาทางสร้างรายได้เพราะเหตุนี้ ซูเฟิ่งหลิงจึงคิดว่าหลี่หลงหลินจะต้องตัดรายจ่ายของทหารภูเขาทิศประจิมอย่างแน่นอนสรุปคือ กลับตรงข้ามกัน หลี่หลงหลินไม่เพียงไม่ตัดรายจ่ายออก แต่ยังเพิ่มรายจ่ายมากยิ่งขึ้นยากจนอย่างไรก็ไม่สามารถยากจนไปถึงทหารได้!นี่ต่างหากคือรักทหารดุจลูกชายอย่างแท้จริง!ซูเฟิ่งหลิงซาบซึ้งใจ เปล่งเสียงสะอื้น “ข้าขอเป็นตัวแทนเหล่าทหาร ขอบคุณองค์ชาย! พวกข้าจะบุกน้ำลุยไฟ ตายเป็นหมื่นครั้งก็ไม่ปฏิเสธ!”สีหน้าหลี่หลงหลินเคร่งขรึม พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ชายารัก คำเรียกแทนตนของเจ้า ต้องเปลี่ยนได้แล้วใช่หรือไม่?”ซูเฟิ่งหลิงชะงักคำเรียกแทนตน?ข้าสมควรเรียกว่าอะไรเล่า?หรือจะเป็น...หม่อมฉัน?ซูเฟิ่งหลิงหน้าแดงเรื่อ พูดเสียงแผ่วเบา “หม่อม...หม่อมฉัน...เข้าใจแล้ว”หลี่หลงหลินเห็นท่าทางเขินอายของซูเฟิ่งหลิง พึงพอใจอย่างมากภายในใจ รูขุมขนทั่วทั้งสรรพางค์กายเปิดออก สบายอย่างบอกไม่ถูกซูเฟิ่งหลิงอายแทบตาย อยากหาแผ่นดินมุดลง
อาศัยโอกาสนี้ ข้าลอกบทกวีมีชื่อเสียงมาอีกหน่อย เปิดเผยต่อหน้านางจากนั้นหลี่หลงหลินเพิ่งเดินถึงหอละอองฝน ก็ได้ยินเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของหลิ่วหรูเยียน ดังออกมา“เหตุใดร้องไห้อีกแล้ว...”หลี่หลงหลินสับสนภายภาคหน้าพี่สะใภ้สี่เปลี่ยนชื่อเป็นหลินไต้อวี้ท่าจะดี!หลี่หลงหลินเดินขึ้นชั้นบน ก็มองเห็นหลิ่วหรูเยียนนั่งข้างหน้าต่าง ทอดสายตามองสีท้องฟ้าดำดุจหมึกที่ภายนอก น้ำตารินไหล กำลังร้องไห้ดุจดอกสาลี่ต้องหยาดพิรุณ คนเห็นแล้วก็รู้สึกสงสารจับใจได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้น หลิ่วหรูเยียนหันหน้ามา พบว่าเป็นหลี่หลงหลินก็ว้าวุ่น รีบเช็ดคราบน้ำตา ฝืนยิ้มต้อนรับ “องค์ชาย ท่านมาแล้ว...”หลี่หลงหลินเดินขึ้นมา รอยยิ้มอ่อนโยน “ข้าเพิ่งผ่านหอละอองฝน ก็ได้ยินเสียงคนร้องไห้ ไม่วางใจ จึงขึ้นมาดู”หลิ่วหรูเยียนหน้าแดง พูดเสียงแผ่วเบา “หม่อมฉัน...ทำให้องค์ชายตกใจ องค์ชายโปรดอภัยด้วย...”หลี่หลงหลินสบมองใบหน้างดงามเป็นอันดับหนึ่งของหลิ่วหรูเยียน “พี่สะใภ้สี่ เมื่อครู่ท่านร้องไห้ด้วยเหตุใด? หรือว่า คิดถึงท่านพี่สี่อีกแล้ว?”หลิ่วหรูเยียนรีบส่ายหน้า “ไม่ใช่เรื่องของท่านพี่สี่ องค์ชายท่านฆ่าเซียวเซวียนเ
หนิงชิงโหวชี้ไปยังกลุ่มคนที่แออัดอยู่เบื้องหน้า: “น้ำสามารถพยุงเรือได้ ก็สามารถคว่ำเรือได้เช่นกัน” “ราษฎรเหล่านี้ล้วนติดตามองค์รัชทายาทเข้าวัง หากองค์รัชทายาทไม่หาทางระงับความโกรธของราษฎรเหล่านี้ เกรงว่าภายหน้าจะเกิดการจลาจล!” “จลาจล!” เมื่อได้ยินคำพูดของหนิงชิงโหว ซูเฟิ่งหลิงก็รู้สึกเย็นวาบไปถึงสันหลัง แม้ว่าตอนนี้เสิ่นชิงโจวจะตายไปแล้ว แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าสำนักปราชญ์ที่เสื่อมโทรมของต้าเซี่ยจะหายไปด้วย กลุ่มข้าราชการที่กุมอำนาจในราชสำนักยังคงอยู่ เสิ่นชิงโจวคนหนึ่งตายไป เสิ่นชิงโจวอีกนับพันจะลุกขึ้นมา ที่นี่คือพระราชวังต้องห้าม สถานที่ที่ใกล้ชิดกับอำนาจของราชวงศ์มากที่สุด! หากความโกรธของราษฎรถูกปลุกปั่นขึ้นมา จะต้องมีคนฉวยโอกาสก่อความวุ่นวาย ผลที่ตามมาย่อมยากจะคาดเดา กลุ่มข้าราชการแม้จะไม่มีกำลังทหาร แต่พวกเขาใช้ริมฝีปากเป็นปืน ใช้ลิ้นเป็นดาบ สิ่งที่ถนัดที่สุดคือการใส่ร้ายป้ายสี ถึงตอนนั้น ต่อให้หลี่หลงหลินกระโดดลงแม่น้ำเหลืองก็ล้างมลทินไม่หมด!ซูเฟิ่งหลิงไม่ยอม: “ต่อให้เกิดการจลาจลจริง ข้าก็สามารถนำทัพตระกูลซูมาปราบปรามได้!” เมื่อได้ยินคำพูดของซูเฟิ่งห
เหล่าราษฎรที่อยู่ด้านหลังก็ยังไม่ยอมให้เรื่องนี้ผ่านพ้นไป เมื่อเห็นซากศพที่ตายอย่างน่าอนาถ ต่างก็โกรธแค้นจนแทบจะพุ่งเข้าไปฉีกร่างของเสิ่นชิงโจวเป็นชิ้น ๆ ต่อให้ตาย ก็ไม่ยอมให้เขาไปสบาย! หลี่เทียนฉี่เห็นว่าสถานการณ์เริ่มจะควบคุมไม่อยู่ จึงรีบทูลขอ: “เสด็จพ่อ เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ลูกมีเรื่องหนึ่งอยากจะขอร้อง!” ฮ่องเต้หวู่ทอดสายตามองหลี่เทียนฉี่: “ทำไมข้าถึงมีลูกเช่นเจ้า!” ยังดีที่ตอนนั้นแต่งตั้งหลี่หลงหลินเป็นรัชทายาท มิเช่นนั้น เกรงว่าแผ่นดินต้าเซี่ยอันกว้างใหญ่ไพศาล คงเต็มไปด้วยความทุกข์ยาก ราษฎรต้องล้มตายเป็นจำนวนมาก แต่หลี่เทียนฉี่ก็เป็นโอรสองค์โต เคยเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้หวู่มาก่อน ฮ่องเต้หวู่มิได้ปฏิเสธ: “ว่ามา มีเรื่องอันใด!” หลี่เทียนฉี่สีหน้าเศร้าสร้อย ชี้ไปที่ร่างไร้วิญญาณของเสิ่นชิงโจว: “เป็นอาจารย์หนึ่งวัน เป็นดั่งบิดาตลอดชีวิต หวังว่าเสด็จพ่อจะทรงเมตตาฝังศพท่านอาจารย์ของรัชทายาท ให้เขาได้ร่างที่สมบูรณ์!” คำพูดนี้ ทำให้เหล่าราษฎรเดือดดาลขึ้นมาทันทีเสิ่นชิงโจวทำลายบ้านเมือง ไม่รู้ว่าสร้างความเดือดร้อนให้แก่ราษฎรไปมากเท่าใด! บัดนี้ไม่เพียงแต่ไม่ประ
โบราณว่า ท้องของอัครเสนาบดีกว้างใหญ่พอจะให้เรือแล่นผ่านได้ เสิ่นชิงโจวเป็นถึงราชครู มีตำแหน่งเป็นถึงหัวหน้าสามมหาเสนาบดี เทียบเท่ากับอัครเสนาบดี แต่คาดไม่ถึงว่า ใจคอจะคับแคบเพียงนี้ ถูกโทสะบีบคั้นจนตาย ฮ่องเต้หวู่สีหน้าเคร่งขรึม: “เจ้าเก้า นี่จะให้จบเรื่องเช่นไร?” อย่างไรเสีย เสิ่นชิงโจวก็เป็นถึงราชครู ผู้บงการที่แท้จริงเบื้องหลังกลุ่มข้าราชการและสำนักปราชญ์ แม้ว่าความชั่วจะมากมาย บัดนี้หลักฐานก็ชัดเจน แต่ก็ควรจะลงโทษตามกฎหมายแคว้นต้าเซี่ย ตัดสินประหารชีวิต บัดนี้ถูกหลี่หลงหลินทำให้โกรธจนตาย ไม่เพียงแต่ทำให้เสิ่นชิงโจวได้ประโยชน์ ยังทำให้หลี่หลงหลินถูกครหา เกรงว่าภายหน้าจะถูกกลุ่มข้าราชการนำมาเป็นข้อโจมตี หลี่หลงหลินขมวดคิ้วมุ่น เขาก็มิคาดคิดว่า เสิ่นชิงโจวจะมีจิตใจคับแคบเพียงนี้ แม้แต่เรื่องเล็กน้อยเพียงนี้ก็ยังทนไม่ได้ “เสด็จพ่อ เกรงว่านี่จะเป็นลิขิตสวรรค์ กำจัดคนชั่วร้าย ทำลายคนพาล” “มิเช่นนั้น ราชครูผู้ยิ่งใหญ่ไยจึงไม่มีความอดทนเพียงนี้ ถูกคำพูดไม่กี่คำของลูกบีบคั้นจนสิ้นใจต่อหน้าธารกำนัล?” คำพูดของหลี่หลงหลินปัดความรับผิดชอบออกจากตัวจนหมดสิ้น เขารู้ว
กลอุบายของหลี่หลงหลินนี้นับว่าอำมหิตยิ่งนัก เท่ากับทำลายชื่อเสียงของฉินฮั่นหยางและเหล่าบัณฑิตทรงคุณวุฒิให้พวกเขากลายเป็นคนธรรมดาสามัญ! นับแต่นี้ไป ฉินฮั่นหยางจะใช้ชื่อเสียงของสำนักปราชญ์เพื่อหลอกลวง ฉ้อฉล หรือกระทำการอันมิชอบใด ๆ ย่อมไม่มีทางเป็นไปได้อีก แต่ว่า พวกเขาได้คุกเข่าคำนับไปแล้ว จะให้กลับคำได้อย่างไร? ต่อให้เงื่อนไขของหลี่หลงหลินจะโหดร้ายเพียงใด พวกเขาก็จำต้องกล้ำกลืนฝืนทน “พวกข้า... ยินยอม!” เหล่าบัณฑิตทรงคุณวุฒิคุกเข่าลงกับพื้น เอ่ยขึ้นพร้อมกัน หลี่หลงหลินเผยรอยยิ้ม หันไปมองเสิ่นชิงโจว “ท่านอาจารย์ของฮ่องเต้ บัดนี้สิบบัณฑิตทรงคุณวุฒิล้วนอยู่ภายใต้ร่มเงาของสำนักปรัชญาแห่งจิตใจแล้ว ท่านยังมีอะไรจะกล่าวอีกหรือไม่?” “เจ้า...ช่างชั่วช้า!” ดวงตาทั้งสองของเสิ่นชิงโจวแดงก่ำ จ้องมองหลี่หลงหลินอย่างเคียดแค้น การรวมความรู้กับการปฏิบัติ เข้าถึงแก่นแท้! ทุกคนเป็นดั่งมังกร ทุกคนบรรลุเป็นเซียน! ฟังดูแล้ว สำนักปรัชญาแห่งจิตใจช่างน่าหลงใหลยิ่งนัก แต่ว่า หลี่หลงหลินทำให้สิบบัณฑิตทรงคุณวุฒิยอมสยบได้ด้วยหลักการของสำนักปรัชญาแห่งจิตใจหรือ? หามิได้! ทั้งหมดล้วนอ
ฉินฮั่นหยางครุ่นคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่สุดท้ายก็ไม่กล้าตอบเสิ่นชิงโจวล่วงรู้ความลับของเขามากเกินไปหากเรื่องพวกนั้นถูกเปิดโปง ต่อให้ถูกประหารสิบครั้งก็ยังไม่พอ!แม้ว่าหลี่หลงหลินจะรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะ ว่าจะลืมเรื่องในอดีตและค้ำจุนให้เขารุ่งเรืองมั่งคั่งต่อไปแต่หากอีกฝ่ายเปลี่ยนใจขึ้นมาล่ะ?ฉินฮั่นหยางไม่กล้าเสี่ยงเขาหวังว่าหลี่หลงหลินจะยื่นข้อเสนอที่จริงใจมากกว่านี้ทว่าหลี่หลงหลินไม่ได้เสียเวลาพูดจาให้มากความ เขาหันไปเดินเข้าหาบรรดาบัณฑิตทรงคุณวุฒิคนอื่นๆ แทน ชัดเจนว่าต้องการดึงพวกเขาเข้าพวก“แย่แล้ว! แย่แล้ว!”เมื่อเห็นดังนั้น สีหน้าของฉินฮั่นหยางก็เปลี่ยนไปทันทีในหมู่บัณฑิตทรงคุณวุฒิเหล่านี้ หากมีแม้แต่คนเดียวที่ใจอ่อน ยอมรับหลี่หลงหลินเป็นอาจารย์ และเข้าสู่สำนักปรัชญาแห่งจิตใจนั่นหมายความว่า เสิ่นชิงโจวแพ้แล้ว!หากหลี่หลงหลินสามารถนั่งมั่นในตำแหน่งนักปราชญ์คนใหม่แห่งสำนักปรัชญาแห่งจิตใจได้ตนเองเป็นเพียงบัณฑิตทรงคุณวุฒิ จะเอาอะไรไปเทียบกับนักปราชญ์ได้?ถึงตอนนั้น จะมีจุดจบที่ดีได้อย่างไร!ฉินฮั่นหยางอาจมั่นใจว่าตนเองจะไม่หวั่นไหว แต่เขาไม่อาจมั่นใจได้ว่านักปราช
เสิ่นชิงโจวเองก็คาดไม่ถึงว่ามันจะกลายเป็นแบบนี้ มุมปากกระตุกเล็กน้อยช่างเป็นพวกชาวบ้านโง่เขลาเสียจริงพวกเจ้าแม้แต่แนวคิดของปรัชญาแห่งจิตใจก็ยังไม่เข้าใจแท้ๆ แต่กลับยอมคารวะหลี่หลงหลินเป็นอาจารย์อย่างง่ายดาย?ต่อให้หลี่หลงหลินหลอกขายพวกเจ้า พวกเจ้าก็คงยังช่วยเขานับเงินให้ด้วยซ้ำ!แต่พูดก็พูดเถอะหลี่หลงหลินใช้วิธีอะไรกันแน่ ถึงสามารถซื้อใจชาวบ้านได้มากมายถึงเพียงนี้?ช่างน่าทึ่งนัก!หลี่หลงหลินมองเสิ่นชิงโจวด้วยรอยยิ้มสงบ “ท่านราชครู เท่านี้พอหรือไม่?”เสิ่นชิงโจวยังคงไม่ยอมรับ “ข้าบอกไปแล้วว่าพวกเขาเป็นเพียงกลุ่มคนไร้ระเบียบ ส่วนใหญ่ไม่รู้หนังสือเสียด้วยซ้ำ!”หลี่หลงหลินเอ่ยอย่างไม่รีบร้อน “ที่ท่านหมายถึงคือ มีแต่ผู้มีความรู้เท่านั้นที่คารวะข้าเป็นอาจารย์ ท่านจึงจะยอมรับงั้นหรือ?”เสิ่นชิงโจวพยักหน้า “แน่นอนอยู่แล้ว!”หลี่หลงหลินยกมือขึ้น ชี้ไปยังบัณฑิตทรงคุณวุฒิเหล่านี้สิบคนที่อยู่ด้านหลังเสิ่นชิงโจว “แล้วพวกเขาล่ะ? หากบัณฑิตทรงคุณวุฒิเหล่านี้ยินดีคารวะข้าเป็นอาจารย์ ท่านจะยังกล้าหาข้อแก้ตัวอีกหรือไม่?”เสิ่นชิงโจวถึงกับตะลึงงันให้บัณฑิตทรงคุณวุฒิเหล่านั้นคารวะหลี่หลงห
ฮ่องเต้หวู่เผยสีหน้าลำบากใจเสิ่นชิงโจวกล่าวความจริงต่อให้ปรัชญาแห่งจิตใจล้ำเลิศเพียงใด ก็ต้องมีผู้สืบทอดจึงจะเกิดผลศิษย์ของนักปราชญ์มีมากถึงสามพันคน ในจำนวนนั้นมีผู้ทรงปัญญาเจ็ดสิบสองคนศิษย์เอกอย่างเหยียนหุย ก็มีเค้าลางของนักปราชญ์เช่นกันแต่หลี่หลงหลินเพิ่งก่อตั้งปรัชญาแห่งจิตใจขึ้นมาใหม่ กระทั่งศิษย์สักคนก็ยังไม่มีแล้วจะให้เราสถาปนาเขาเป็นนักปราชญ์ได้อย่างไร?หากเป็นคนแปลกหน้าก็แล้วไปเถิดแต่เขาดันเป็นบุตรของตนหากเรื่องนี้แพร่ออกไป ผู้คนทั้งใต้หล้าย่อมกล่าวหาว่าเราลำเอียงเข้าข้างเขานักปราชญ์เช่นนี้ ใครจะยอมรับกัน?หลี่หลงหลินเผยรอยยิ้มบาง “ใครบอกว่าข้าไม่มีศิษย์?”ทันทีที่คำพูดจบลงจากกลุ่มชาวบ้านก็มีคนก้าวออกมาเป็นกลุ่มพวกเขาสวมอาภรณ์บัณฑิต ศีรษะสวมหมวกสี่เหลี่ยม ดูเป็นบัณฑิตโดยแท้คนที่เดินนำหน้า ฮ่องเต้หวู่จำได้ดีเขาคือจอหงวนหนิงชิงโหวส่วนบัณฑิตที่เหลือ แม้ฮ่องเต้หวู่จะไม่รู้จัก แต่เพียงเห็นสีหน้าท่าทางอันหยิ่งยโส ก็เข้าใจได้ทันทีพวกเขาย่อมเป็นบัณฑิตหยิ่งยโสที่ติดตามหนิงชิงโหวมาแน่นอนบัณฑิตเหล่านี้เข้าร่วมกับเขาทิศประจิม ทั้งยังสั่งสอนอบรมผู้คน ทำหน้
เช่นนั้นมิสู้ให้ข้าดำเนินการก่อน แต่งตั้งนักปราชญ์ขึ้นมาก่อนหนึ่งคนหากนักปราชญ์ต้องได้รับการแต่งตั้งจากฮ่องเต้ เช่นนั้นบัณฑิตทรงคุณวุฒิทั้งหลายก็ต้องได้รับการแต่งตั้งจากอำนาจของฮ่องเต้จึงจะมีผลเดิมที สำนักปราชญ์อยู่เหนือการควบคุมของราชสำนัก มีระบบเป็นของตนเองหากทำเช่นนี้แล้วบัณฑิตทรงคุณวุฒิและนักปราชญ์ของสำนักปราชญ์จะต้องได้รับการแต่งตั้งจากราชสำนัก ไม่เท่ากับว่าสามารถควบคุมได้อย่างง่ายดายหรือ?พวกเขาจะคิดก่อคลื่นลม ปั่นป่วนในเงามืดอีกต่อไปคงเป็นไปไม่ได้แล้วแน่นอนว่าการแต่งตั้งนักปราชญ์ ไม่ใช่ว่าจะกระทำได้ตามอำเภอใจความสามารถเป็นเรื่องรอง ที่สำคัญที่สุดคือฐานะหากฮ่องเต้หวู่แต่งตั้งนักปราชญ์ขึ้นมาเพียงคนเดียว บุคคลผู้นั้นย่อมได้รับชื่อเสียงเกียรติคุณอันสูงส่งจากประชาชนหากบุคคลผู้นี้คิดไม่ซื่อ วางแผนก่อกบฏถ้าเป็นอย่างนั้นจริง บ้านเมืองจะต้องลุกเป็นไฟอย่างแน่นอน!อย่างไรก็ตาม ปัญหาเหล่านี้ไม่มีอยู่จริงสำหรับหลี่หลงหลินเขาเป็นองค์ชายรัชทายาทอยู่แล้ว ยังไงก็ต้องขึ้นครองราชย์ในสักวัน ไม่มีเหตุผลที่จะก่อกบฏการแต่งตั้งหลี่หลงหลินเป็นนักปราชญ์ ไม่เพียงแต่จะสามารถกดขี่ส
“ดี...”ฮ่องเต้หวู่กลั้นความคิดอยู่นาน กว่าจะเปล่งเสียงออกมาได้เพียงคำเดียว แต่เมื่อนึกว่ามันดูจืดชืดเกินไป จึงเสริมขึ้นอีกว่า “ดีมาก!”หลี่หลงหลินรู้สึกพูดไม่ออกในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าทำไมเสิ่นชิงโจวถึงต้องการยุยงให้ฮ่องเต้หวู่ก่อกบฏบิดาไร้ประโยชน์ของตนผู้นั้น ไม่เพียงแค่ละเลยด้านการปกครองด้วยวัฒนธรรมเท่านั้นเห็นได้ชัดว่าเขาไม่เข้าใจหลักขงจื๊อแม้แต่น้อย แถมยังอ่านปรัชญาแห่งจิตใจไม่ออกเลยด้วยซ้ำ ถึงขนาดไม่รู้จะกล่าวคำชมเชยอย่างไร กลัวว่าเอ่ยออกไปมากกว่านี้จะเผลอทำให้ตัวเองโป๊ะแตกอย่างไรก็ตาม ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นตัวเขาก็ไม่ต่างกันโทษฐานที่ตัวเองไม่มีวัฒนธรรม อาศัยแต่การลอกเลียนแบบปรัชญาแห่งจิตใจของปราชญ์หวังหยางหมิงนั้น ลึกซึ้งอย่างแท้จริงหลี่หลงหลินใช้เวลาสามวัน คัดลอกปรัชญาแห่งจิตใจฉบับดั้งเดิมตามความทรงจำ อันที่จริง เขาก็แค่เข้าใจหลักการใหญ่ๆ อย่าง “รู้แล้วลงมือทำ” “ศึกษาสิ่งต่างๆ เพื่อเข้าถึงความรู้” “มุ่งสู่จิตสำนึกแห่งคุณธรรม”ส่วนที่ลึกซึ้งกว่านั้น หลี่หลงหลินก็ไม่ค่อยเข้าใจ ต้องอาศัยให้เหล่าศิษย์ไปอ่านปรัชญาแห่งจิตใจและเข้าใจด้วยตัวเองจะบรรลุสู่ความเป็นปราชญ