เซียวเซวียนเช่อก้มหน้า อ่านเนื้อความภายในจดหมายอย่างละเอียดหลังผ่านไปนาน เซียวเซวียนเช่อก็พรูลมหายใจยาวเหยียดออกมาเฮือกหนึ่ง คิ้วที่ขมวดเข้าหากันคลายออก “สมเป็นอาจารย์! อุบายยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้!”เซียวเซวียนเช่อรีบจุดเทียน เผาจดหมายจนเหลือเพียงขี้เถ้า ไปหาหลี่จือ “องค์ชายสี่ แผนของอาจารย์มาแล้ว!”หลี่จือชะงัก พูดอย่างกระตือรือร้น “แผนอะไร?”เซียวเซวียนเช่อเปล่งเสียงเครียด “องค์ชายเก้าถูกลอบสังหารอย่างกะทันหัน! อาจารย์คิดว่าเรื่องนี้มีความบังเอิญอยู่! น่ากลัวว่า ซูเฟิ่งหลิงมิใช่กำลังตามหามือสังหาร แต่กำลังตามหาธัญพืชที่หายไป!”อุบายทุกข์กายของหลี่หลงหลินนี้ยอดเยี่ยมเหนือชั้นแม้แต่เซียวเซวียนเช่อก็ถูกหลอกแต่ ผู้เชี่ยวชาญการเดินหมากกลับมองออกได้อย่างง่ายดายหลี่จือตกตะลึงพรึงเพริด “ซูเฟิ่งหลิงกำลังตามหาธัญพืช? เช่นนั้นไม่ช้าก็เร็วนางจะต้องมาหาที่พวกเราแน่! นี่จะดีได้อย่างไร?”เซียวเซวียนเช่อยิ้มเย็นทีหนึ่ง “ง่ายมาก! เวลาไม่คอยท่า ลำเลียงออกไปช่วงกลางคืนเถอะ”หลี่จือไม่เข้าใจ “แต่ เมืองหลวงถูกปิดไว้นี่! จะลำเลียงไปเยี่ยงไร?”เซียวเซวียนเช่อกระซิบเสียงค่อยข้างหูหลี่จือดวงตา
หลี่จือและเซียวเม่ยเอ๋อร์มาถึงห้องทรงพระอักษร คุกเข่าคารวะ “ลูก ถวายบังคมเสด็จพ่อ!”ฮ่องเต้หวู่ขมวดคิ้ว “ลุกขึ้นเถอะ!”เขาปฏิบัติต่อหลี่จือ อย่างมีอคติมาโดยตลอดองค์หญิงชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือคนนี้ ฮ่องเต้หวู่ชอบไม่ลงเลยแม้แต่น้อยฮ่องเต้หวู่ตัดสินใจอย่างว่องไวเช่นนี้ ให้พวกเขาเข้าเฝ้า ก็เพราะมีแผนของตน“เจ้าสี่!”ฮ่องเต้หวู่ทอดสายตามองหลี่จือ เปล่งเสียงแผ่วเบา “เรื่องเจ้าเก้าถูกลอบสังหาร เจ้าได้ยินแล้วหรือไม่?”หลี่จือพยักหน้าเร็วรี่ “ทูลเสด็จพ่อ ลูกได้ยินแล้วพ่ะย่ะค่ะ”สีหน้าฮ่องเต้หวู่เข้มขึ้น ตวาดเสียงเฉียบ! “ได้ยิน? ทั้งๆ ที่เจ้าส่งมือสังหารไป ลอบสังหารเจ้าเก้า! อยู่ต่อหน้าเรา เจ้าเสแสร้งเลอะเลือนอะไร!”หลี่จือคิดไม่ถึงเลยว่าเพียงเอ่ยปากไม่เข้าหูคำเดียว เสด็จพ่อก็เปลี่ยนสีหน้าแล้ว ตกใจจนขาสองข้างอ่อนยวบ คุกเข่ากับพื้น เปล่งเสียงสั่นๆ “เสด็จพ่อ ไม่ใช่ลูกจริงๆ! ลูกไม่ได้ส่งมือสังหาร ไปลอบสังหารเจ้าเก้าจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ!”“ลูกถูกปรักปรำ!”สายตาฮ่องเต้หวู่ตกลงบนตัวเซียวเม่ยเอ๋อร์ ยิ้มเย็น “ไม่ใช่เจ้าสี่ เช่นนั้นก็เป็นเรื่องดีที่พวกเจ้าชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือทำแล้ว!”เซ
“ท่านอาจารย์!”ในวันนี้ จางอี้ผู้มีหน้าที่การงานก้าวหน้า ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นรองผู้บัญชาการกองกำลังองครักษ์เสื้อแพร แต่ก็ยังไม่ลืมความเคารพอาจารย์ โดยเฉพาะซูเฟิ่งหลิงจางอี้ทั้งเคารพและเกรงกลัว รีบก้าวเข้าไปพร้อมคารวะอย่างนอบน้อมซูเฟิ่งหลิงพยักหน้าเล็กน้อย “วันนี้มีใครที่ดูน่าสงสัย เข้าออกเมืองหลวงบ้างหรือไม่?”จางอี้ตอบ “ศิษย์ได้ทำการตรวจตราอย่างเข้มงวด แต่ไม่พบผู้ใดน่าสงสัยเลยขอรับ! เพียงแต่ว่า...มีคนจากชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือจำนวนไม่น้อย ซึ่งได้รับราชโองการจากฝ่าบาท เพิ่งออกจากเมืองหลวงไปหมาดๆ! พวกเขาใช้รถม้าหลายคัน ข้าเองก็ไม่รู้ว่าพวกเขาทำอะไร แต่ดูแล้วช่างแปลกนัก”ซูเฟิ่งหลิงถึงกับตกใจ “เจ้าว่าอะไรนะ? คนของชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือขับรถม้ามากมายออกจากเมืองหลวงอย่างนั้นหรือ? แล้วเจ้าตรวจดูรถม้าเหล่านั้นหรือไม่?”จางอี้ถอนหายใจด้วยความจนใจ “พวกเขามีราชโองการของฝ่าบาท อีกทั้งเป็นทูต ข้าเป็นแค่รองผู้บัญชาการกองกำลังองครักษ์เสื้อแพร จะกล้าเข้าไปตรวจค้นได้อย่างไร? อีกอย่าง ข้าก็ได้ไปขอคำสั่งจากเว่ยกงกงแล้ว เขาบอกว่าให้ปล่อยผ่านไป!”สีหน้าของซูเฟิ่งหลิงเปลี่ยนไปอย่างมาก นา
บาดแผลของหลี่หลงหลินปวดแปลบขึ้นมา ทำให้เขากลับมาสงบและมีสติอีกครั้ง“จางอี้!”หลังจากเงียบคิดอยู่ครู่หนึ่ง หลี่หลงหลินจึงเอ่ยขึ้นมา “เจ้าบรรยายสถานการณ์ตอนที่เหยลวี่เกอออกจากเมืองให้ข้าฟังให้ละเอียดที่สุดเท่าที่จะทำได้...”จางอี้รู้สึกแปลกใจไม่น้อยองค์ชายเก้าไม่ใช่กำลังเป็นห่วงซูเฟิ่งหลิงอยู่หรือ? แล้วเหตุใดถึงกลับมาถามเรื่องตอนที่เหยลวี่เกอออกจากเมืองแทน?อย่างไรก็ตาม เขายังคงบรรยายทุกอย่างตามความจริงโดยละเอียดให้หลี่หลงหลินฟังดวงตาของหลี่หลงหลินเป็นประกายวูบหนึ่ง “เจ้าหมายความว่า... ตอนที่เหยลวี่เกอออกจากเมือง เขาทำตัวโอ้อวดใหญ่โต เดินขบวนอย่างไม่เกรงกลัวใคร แถมยังทำท่าทางเหมือนอยากให้ทุกคนรู้หรือ?”จางอี้พยักหน้ารัวๆ พลางเอ่ยด้วยความโกรธ “ใช่ขอรับ! ไอ้พวกเผ่าหมานนั่น หยิ่งผยองอะไรนักหนา!”หลี่หลงหลินยิ้ม “ไม่เลว! วันใดที่ข้ากรีธาทัพนับหมื่นบุกไปเหยียบท้องพระโรงของฮ่องเต้ชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือ ข้าจะทำให้พวกเขาร้องไห้จนไม่มีน้ำตาให้ไหล!”ความจริงแล้ว เมื่อครู่หลี่หลงหลินเองก็รู้สึกแปลกใจอยู่ไม่น้อยต่อให้ชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือมีราชโองการจากฝ่าบาทที่อนุญาตให้ออก
หลังจากที่เหยลวี่เกอพักฟื้นมาได้หลายเดือน บาดแผลบนร่างกายของเขาหายดีแล้ว แต่เมื่อเดินยังคงกะโผลกกะเผลกอยู่ด้วยเหตุนี้เหยลวี่เกอจึงโกรธแค้นซูเฟิ่งหลิงจนสุดเข้ากระดูก ดวงตาคู่นั้นฉายประกายอันตรายออกมา“โจรภูเขา?”ซูเฟิ่งหลิงหัวเราะเยาะเย้ย “ช่างน่าขันเสียจริง! เจ้าซึ่งเป็นถึงยอดนักรบอันดับหนึ่งของชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือ กลัวโจรภูเขาอย่างนั้นหรือ! ที่สำคัญ แถวใกล้เมืองหลวงเช่นนี้ จะมีโจรภูเขาได้อย่างไร? ข้าว่า เจ้านั่นแหละที่ทำผิดแล้วรู้สึกผิดเอง!”เหยลวี่เกอเลิกคิ้วสูง “พวกเราทำตามพระราชโองการของฝ่าบาท!” ซูเฟิ่งหลิงจ้องมองเหยลวี่เกอ “อย่าเอาพระราชโองการของฝ่าบาทมาข่มขู่ข้า! ตอนนี้ ข้าสงสัยว่าบนรถของพวกเจ้า กำลังซ่อนตัวนักฆ่าอยู่!”“ทหาร!”“ตรวจค้นให้ข้า!”เหล่าทหารแห่งเขาทิศประจิมที่เฝ้ารอจนแทบทนไม่ไหว ได้กรูกันเข้าไปทันทีเหล่าทหารของชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือก็ไม่ได้เป็นเพียงพวกที่กินแรงเปล่า พวกเขาจะยอมมอบตัวโดยดีได้อย่างไร?ทหารแต่ละคนชักดาบโค้งออกมา ใบหน้าเต็มไปด้วยความดุดัน ในเวลาเพียงเสี้ยวอึดใจ บรรยากาศระหว่างทั้งสองฝ่ายตึงเครียดถึงขีดสุด จวนเจียนจะกลายเป็นการส
“น่าโมโหชะมัด!”ซูเฟิ่งหลิงเตะประตูพรวดพราดเข้ามา คว้าถ้วยชาจากมือของหลี่หลงหลิน และดื่มรวดเดียวจนหมด“นี่มันชาบ้าอะไร!”“ขมแบบนี้!”ซูเฟิ่งหลิงดื่มหมดในรวดเดียวก่อนจะแลบลิ้นออกมา ขมจนต้องแลบลิ้น พร้อมกับสูดลมเข้าลึกๆ หลายครั้งหลี่หลงหลินได้แต่บ่นอยู่ในใจชาอะไรกัน นั่นมันยาของข้าเอาเถอะ ดื่มยาไปก็ดี ช่วยดับไฟโทสะได้หน่อย“น่าโมโหชะมัด!”ซูเฟิ่งหลิงเห็นหลี่หลงหลินเงียบขรึมไม่พูดอะไร ก็ยิ่งโกรธจนกระโดดโหยง “ทำไมเจ้าไม่ถามข้าว่าเกิดอะไรขึ้น?”หลี่หลงหลินยักไหล่เล็กน้อย “มีอะไรให้น่าถาม? ก็แค่รถม้าเปล่า พวกชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือไม่ได้ลอบขนเสบียงออกไปเลย”ตั้งแต่ซูเฟิ่งหลิงก้าวเข้ามา หลี่หลงหลินก็ยืนยันความคิดของตัวเองได้แล้วเด็กสาวคนนี้ มองท่าทางโกรธเช่นนี้ก็รู้ว่าถูกหยามจนเสียหน้าไม่น้อยแน่ซูเฟิ่งหลิงยืนอึ้งอยู่กับที่ มองหลี่หลงหลินด้วยสีหน้าราวกับเห็นผี เสียงของนางสั่นไหว “เจ้า...เจ้ารู้ได้ยังไง?”หลี่หลงหลินถอนหายใจ “มันไม่ชัดเจนหรือไง? ถึงพวกชนเผ่าป่าเถื่อนจะโง่แค่ไหน ก็ไม่มีทางใช้วิธีที่เห็นชัดขนาดนี้ในการลอบขนเสบียงออกจากเมืองหลวง! เจ้านั่นแหละ โดนกลอุบายล่อเ
หลี่หลงหลินสีหน้าจริงจังขึ้น “ไม่มีเลยสักเม็ดจริงหรือ?”ซูเฟิ่งหลิงขมวดคิ้ว “ไม่มีจริงๆ! เจ้าคงจะเข้าใจอะไรผิดแล้ว! คนที่ขโมยเสบียงไป อาจจะไม่ใช่องค์ชายสี่ก็ได้”หลี่หลงหลินหัวเราะเย็นชา “ตรงกันข้ามเลย! ข้ามั่นใจว่าหลายสิ่งหลายอย่างนี้เกี่ยวข้องกับชนเผ่าป่าเถื่อนทางเหนือและองค์ชายสี่อย่างแน่นอน! และเสบียงเหล่านั้น ก่อนหน้านี้ก็ถูกซ่อนอยู่ในจวนขององค์ชายสี่!”ซูเฟิ่งหลิงมีสีหน้างุนงง กล่าวอย่างไม่เข้าใจ “ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?”หลี่หลงหลินอธิบาย “เหตุผลง่ายมาก! จวนขององค์ชายสี่มีคนอยู่กี่คนในแต่ละวัน ทั้งกิน ทั้งดื่ม ทั้งขับถ่าย? ไม่ถึงพัน ก็ต้องมีแปดร้อยใช่หรือไม่?”ซูเฟิ่งหลิงพยักหน้าเห็นด้วยองค์ชายสี่ไม่เหมือนหลี่หลงหลิน ที่เป็นคนโดดเดี่ยว อยู่ในจวนตระกูลซูแบบสภาพต้องพึ่งพาอาศัยผู้อื่น ข้างกายไม่แม้แต่จะมีสาวใช้หรือนายบ่าวสักคนชีวิตขององค์ชายสี่หรูหราและฟุ่มเฟือยยิ่งนัก ภายในจวนเต็มไปด้วยคนรับใช้และสาวใช้จำนวนมาก ซึ่งนับรวมแล้วมีหลายร้อยคนเลยทีเดียวคนจำนวนมากเช่นนี้ ทั้งอาหาร การแต่งกาย และของใช้ ย่อมต้องเป็นจำนวนที่น่าตกใจหลี่หลงหลินหัวเราะเย็นชาและกล่าวต่อ “ช่วงที่ผ่านมา
ในช่วงหลายวันถัดมาซูเฟิ่งหลิงทุ่มเทกำลังกายและใจในการค้นหาเบาะแสภายในเมืองหลวงภายใต้คำแนะนำของหลี่หลงหลิน นางได้กลับไปตรวจสอบยุ้งฉางและคลังเก็บเสบียงที่เคยค้นมาก่อนหน้านี้อีกครั้ง เพื่อหลีกเลี่ยงการมองข้ามจุดสำคัญแต่การตรวจสอบเพียงครั้งเดียวไม่พอ ผ่านไปไม่กี่วันก็ตรวจสอบซ้ำอีกครั้ง การกระทำเช่นนี้ย่อมสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนบ้างอย่างไรก็ตาม ชาวบ้านไม่ได้ต่อต้าน กลับให้การสนับสนุนเป็นอย่างดีเพราะหลี่หลงหลินได้ทำการปรับลดราคาข้าว ทำให้ประชาชนสามารถซื้อข้าวกินได้ในราคาที่จับต้องได้ ความดีนี้ทำให้ชื่อเสียงของเขาในหมู่ประชาชนพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นที่ยกย่องอย่างไม่เคยมีมาก่อนเมื่อชาวบ้านได้ยินว่าหลี่หลงหลินถูกลอบสังหารจนบาดเจ็บหนัก พวกเขาต่างเดือดดาลด้วยความโกรธแค้น ส่งของพื้นบ้านอย่างไข่ไก่ น้ำผึ้ง และหมูแห้งมาให้เขา หวังให้เขาหายดีในเร็ววันด้วยเหตุนี้ ชาวบ้านในเมืองหลวงจึงปรารถนาให้ผู้ลอบสังหารถูกจับตัวได้ในเร็ววัน เพื่อนำตัวมาลงโทษตามกฎหมายผู้ที่ลำบากใจอย่างแท้จริงและแสดงการคัดค้านอย่างรุนแรงกลับเป็นเหล่าชนชั้นสูงและขุนนางพวกเขาครอบครองทรัพย์สมบัติมหาศา
ฉินฮั่นหยางครุ่นคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่สุดท้ายก็ไม่กล้าตอบเสิ่นชิงโจวล่วงรู้ความลับของเขามากเกินไปหากเรื่องพวกนั้นถูกเปิดโปง ต่อให้ถูกประหารสิบครั้งก็ยังไม่พอ!แม้ว่าหลี่หลงหลินจะรับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะ ว่าจะลืมเรื่องในอดีตและค้ำจุนให้เขารุ่งเรืองมั่งคั่งต่อไปแต่หากอีกฝ่ายเปลี่ยนใจขึ้นมาล่ะ?ฉินฮั่นหยางไม่กล้าเสี่ยงเขาหวังว่าหลี่หลงหลินจะยื่นข้อเสนอที่จริงใจมากกว่านี้ทว่าหลี่หลงหลินไม่ได้เสียเวลาพูดจาให้มากความ เขาหันไปเดินเข้าหาบรรดาบัณฑิตทรงคุณวุฒิคนอื่นๆ แทน ชัดเจนว่าต้องการดึงพวกเขาเข้าพวก“แย่แล้ว! แย่แล้ว!”เมื่อเห็นดังนั้น สีหน้าของฉินฮั่นหยางก็เปลี่ยนไปทันทีในหมู่บัณฑิตทรงคุณวุฒิเหล่านี้ หากมีแม้แต่คนเดียวที่ใจอ่อน ยอมรับหลี่หลงหลินเป็นอาจารย์ และเข้าสู่สำนักปรัชญาแห่งจิตใจนั่นหมายความว่า เสิ่นชิงโจวแพ้แล้ว!หากหลี่หลงหลินสามารถนั่งมั่นในตำแหน่งนักปราชญ์คนใหม่แห่งสำนักปรัชญาแห่งจิตใจได้ตนเองเป็นเพียงบัณฑิตทรงคุณวุฒิ จะเอาอะไรไปเทียบกับนักปราชญ์ได้?ถึงตอนนั้น จะมีจุดจบที่ดีได้อย่างไร!ฉินฮั่นหยางอาจมั่นใจว่าตนเองจะไม่หวั่นไหว แต่เขาไม่อาจมั่นใจได้ว่านักปราช
เสิ่นชิงโจวเองก็คาดไม่ถึงว่ามันจะกลายเป็นแบบนี้ มุมปากกระตุกเล็กน้อยช่างเป็นพวกชาวบ้านโง่เขลาเสียจริงพวกเจ้าแม้แต่แนวคิดของปรัชญาแห่งจิตใจก็ยังไม่เข้าใจแท้ๆ แต่กลับยอมคารวะหลี่หลงหลินเป็นอาจารย์อย่างง่ายดาย?ต่อให้หลี่หลงหลินหลอกขายพวกเจ้า พวกเจ้าก็คงยังช่วยเขานับเงินให้ด้วยซ้ำ!แต่พูดก็พูดเถอะหลี่หลงหลินใช้วิธีอะไรกันแน่ ถึงสามารถซื้อใจชาวบ้านได้มากมายถึงเพียงนี้?ช่างน่าทึ่งนัก!หลี่หลงหลินมองเสิ่นชิงโจวด้วยรอยยิ้มสงบ “ท่านราชครู เท่านี้พอหรือไม่?”เสิ่นชิงโจวยังคงไม่ยอมรับ “ข้าบอกไปแล้วว่าพวกเขาเป็นเพียงกลุ่มคนไร้ระเบียบ ส่วนใหญ่ไม่รู้หนังสือเสียด้วยซ้ำ!”หลี่หลงหลินเอ่ยอย่างไม่รีบร้อน “ที่ท่านหมายถึงคือ มีแต่ผู้มีความรู้เท่านั้นที่คารวะข้าเป็นอาจารย์ ท่านจึงจะยอมรับงั้นหรือ?”เสิ่นชิงโจวพยักหน้า “แน่นอนอยู่แล้ว!”หลี่หลงหลินยกมือขึ้น ชี้ไปยังบัณฑิตทรงคุณวุฒิเหล่านี้สิบคนที่อยู่ด้านหลังเสิ่นชิงโจว “แล้วพวกเขาล่ะ? หากบัณฑิตทรงคุณวุฒิเหล่านี้ยินดีคารวะข้าเป็นอาจารย์ ท่านจะยังกล้าหาข้อแก้ตัวอีกหรือไม่?”เสิ่นชิงโจวถึงกับตะลึงงันให้บัณฑิตทรงคุณวุฒิเหล่านั้นคารวะหลี่หลงห
ฮ่องเต้หวู่เผยสีหน้าลำบากใจเสิ่นชิงโจวกล่าวความจริงต่อให้ปรัชญาแห่งจิตใจล้ำเลิศเพียงใด ก็ต้องมีผู้สืบทอดจึงจะเกิดผลศิษย์ของนักปราชญ์มีมากถึงสามพันคน ในจำนวนนั้นมีผู้ทรงปัญญาเจ็ดสิบสองคนศิษย์เอกอย่างเหยียนหุย ก็มีเค้าลางของนักปราชญ์เช่นกันแต่หลี่หลงหลินเพิ่งก่อตั้งปรัชญาแห่งจิตใจขึ้นมาใหม่ กระทั่งศิษย์สักคนก็ยังไม่มีแล้วจะให้เราสถาปนาเขาเป็นนักปราชญ์ได้อย่างไร?หากเป็นคนแปลกหน้าก็แล้วไปเถิดแต่เขาดันเป็นบุตรของตนหากเรื่องนี้แพร่ออกไป ผู้คนทั้งใต้หล้าย่อมกล่าวหาว่าเราลำเอียงเข้าข้างเขานักปราชญ์เช่นนี้ ใครจะยอมรับกัน?หลี่หลงหลินเผยรอยยิ้มบาง “ใครบอกว่าข้าไม่มีศิษย์?”ทันทีที่คำพูดจบลงจากกลุ่มชาวบ้านก็มีคนก้าวออกมาเป็นกลุ่มพวกเขาสวมอาภรณ์บัณฑิต ศีรษะสวมหมวกสี่เหลี่ยม ดูเป็นบัณฑิตโดยแท้คนที่เดินนำหน้า ฮ่องเต้หวู่จำได้ดีเขาคือจอหงวนหนิงชิงโหวส่วนบัณฑิตที่เหลือ แม้ฮ่องเต้หวู่จะไม่รู้จัก แต่เพียงเห็นสีหน้าท่าทางอันหยิ่งยโส ก็เข้าใจได้ทันทีพวกเขาย่อมเป็นบัณฑิตหยิ่งยโสที่ติดตามหนิงชิงโหวมาแน่นอนบัณฑิตเหล่านี้เข้าร่วมกับเขาทิศประจิม ทั้งยังสั่งสอนอบรมผู้คน ทำหน้
เช่นนั้นมิสู้ให้ข้าดำเนินการก่อน แต่งตั้งนักปราชญ์ขึ้นมาก่อนหนึ่งคนหากนักปราชญ์ต้องได้รับการแต่งตั้งจากฮ่องเต้ เช่นนั้นบัณฑิตทรงคุณวุฒิทั้งหลายก็ต้องได้รับการแต่งตั้งจากอำนาจของฮ่องเต้จึงจะมีผลเดิมที สำนักปราชญ์อยู่เหนือการควบคุมของราชสำนัก มีระบบเป็นของตนเองหากทำเช่นนี้แล้วบัณฑิตทรงคุณวุฒิและนักปราชญ์ของสำนักปราชญ์จะต้องได้รับการแต่งตั้งจากราชสำนัก ไม่เท่ากับว่าสามารถควบคุมได้อย่างง่ายดายหรือ?พวกเขาจะคิดก่อคลื่นลม ปั่นป่วนในเงามืดอีกต่อไปคงเป็นไปไม่ได้แล้วแน่นอนว่าการแต่งตั้งนักปราชญ์ ไม่ใช่ว่าจะกระทำได้ตามอำเภอใจความสามารถเป็นเรื่องรอง ที่สำคัญที่สุดคือฐานะหากฮ่องเต้หวู่แต่งตั้งนักปราชญ์ขึ้นมาเพียงคนเดียว บุคคลผู้นั้นย่อมได้รับชื่อเสียงเกียรติคุณอันสูงส่งจากประชาชนหากบุคคลผู้นี้คิดไม่ซื่อ วางแผนก่อกบฏถ้าเป็นอย่างนั้นจริง บ้านเมืองจะต้องลุกเป็นไฟอย่างแน่นอน!อย่างไรก็ตาม ปัญหาเหล่านี้ไม่มีอยู่จริงสำหรับหลี่หลงหลินเขาเป็นองค์ชายรัชทายาทอยู่แล้ว ยังไงก็ต้องขึ้นครองราชย์ในสักวัน ไม่มีเหตุผลที่จะก่อกบฏการแต่งตั้งหลี่หลงหลินเป็นนักปราชญ์ ไม่เพียงแต่จะสามารถกดขี่ส
“ดี...”ฮ่องเต้หวู่กลั้นความคิดอยู่นาน กว่าจะเปล่งเสียงออกมาได้เพียงคำเดียว แต่เมื่อนึกว่ามันดูจืดชืดเกินไป จึงเสริมขึ้นอีกว่า “ดีมาก!”หลี่หลงหลินรู้สึกพูดไม่ออกในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าทำไมเสิ่นชิงโจวถึงต้องการยุยงให้ฮ่องเต้หวู่ก่อกบฏบิดาไร้ประโยชน์ของตนผู้นั้น ไม่เพียงแค่ละเลยด้านการปกครองด้วยวัฒนธรรมเท่านั้นเห็นได้ชัดว่าเขาไม่เข้าใจหลักขงจื๊อแม้แต่น้อย แถมยังอ่านปรัชญาแห่งจิตใจไม่ออกเลยด้วยซ้ำ ถึงขนาดไม่รู้จะกล่าวคำชมเชยอย่างไร กลัวว่าเอ่ยออกไปมากกว่านี้จะเผลอทำให้ตัวเองโป๊ะแตกอย่างไรก็ตาม ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นตัวเขาก็ไม่ต่างกันโทษฐานที่ตัวเองไม่มีวัฒนธรรม อาศัยแต่การลอกเลียนแบบปรัชญาแห่งจิตใจของปราชญ์หวังหยางหมิงนั้น ลึกซึ้งอย่างแท้จริงหลี่หลงหลินใช้เวลาสามวัน คัดลอกปรัชญาแห่งจิตใจฉบับดั้งเดิมตามความทรงจำ อันที่จริง เขาก็แค่เข้าใจหลักการใหญ่ๆ อย่าง “รู้แล้วลงมือทำ” “ศึกษาสิ่งต่างๆ เพื่อเข้าถึงความรู้” “มุ่งสู่จิตสำนึกแห่งคุณธรรม”ส่วนที่ลึกซึ้งกว่านั้น หลี่หลงหลินก็ไม่ค่อยเข้าใจ ต้องอาศัยให้เหล่าศิษย์ไปอ่านปรัชญาแห่งจิตใจและเข้าใจด้วยตัวเองจะบรรลุสู่ความเป็นปราชญ
หลี่หลงหลินส่ายหัวเบาๆ “ท่านผิดแล้ว! ในใจของทุกคนล้วนมีสำนึกดี! หากรู้แล้วลงมือทำ มุ่งสู่จิตสำนึกแห่งคุณธรรม ทุกคนก็สามารถบรรลุสู่ความเป็นปราชญ์ สร้างความรุ่งเรืองให้กับหลักขงจื๊อไปหมื่นชั่วอายุคน!”รู้แล้วลงมือทำ มุ่งสู่จิตสำนึกแห่งคุณธรรม?ร่างกายของเสิ่นชิงโจวสั่นสะท้าน สีหน้าปรากฏความไม่อยากเชื่อท้ายที่สุด เขาก็เป็นปราชญ์ผู้รอบรู้ตำรา ถึงแม้เพราะความเห็นแก่ตัวจะทำให้เขาเดินออกนอกเส้นทางแต่ความรู้ของเขาก็ยังคงเป็นของจริงแน่นอนว่าเมื่อหลี่หลงหลินกล่าวคำว่า “รู้แล้วลงมือทำ มุ่งสู่จิตสำนึกแห่งคุณธรรม” ทั้งเจ็ดคำออกมา เสิ่นชิงโจวก็เข้าใจได้ทันทีว่านี่คือวิถีแห่งปราชญ์!“น่าเสียดาย...”“หากข้ายังหนุ่มกว่านี้สักหลายสิบปี บางทีก็อาจเห็นด้วยกับปรัชญาแห่งจิตใจ และเดินบนวิถีแห่งปราชญ์นี้”“แต่ข้าแก่ชราแล้ว ไม่อาจหวนกลับได้!”“ทำได้เพียงสู้จนถึงที่สุด!”เสิ่นชิงโจวส่ายหัว มองไปที่หลี่หลงหลิน “พูดไปก็ไร้ประโยชน์! ข้าจะไม่โต้เถียงกับท่านด้วยวาจา! นำงานเขียนของท่านมาให้ข้าดูเสียก่อน แล้วค่อยว่ากัน!”หลี่หลงหลินส่ายหัว ปฏิเสธโดยตรง “ท่านไม่คู่ควร!”เสิ่นชิงโจวโกรธจนอับอาย หน้าแดงก่ำ
คำพูดของหลี่หลงหลินประโยคนี้ เปรียบเสมือนเสียงระฆังยามเช้า และกลองยามเย็น ทำให้ผู้คนตื่นตระหนกและฉุกคิดสำนักปราชญ์ของพวกเจ้า ไม่ต้องการผูกขาดการสอบขุนนาง สร้างตระกูลขุนนาง ก่อตั้งชนชั้น เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน และผลประโยชน์แก่ลูกหลานในภายภาคหน้าของพวกเจ้าหรือ?ปรัชญาแห่งจิตใจ คือการทำลายความอยุติธรรมในโลก!ทุกคนดุจดั่งมังกร ทุกคนบรรลุเป็นนักปราชญ์!บนลานหยกขาว เงียบสงัดไร้เสียงแม้แต่นกกามีเพียงความตื่นตะลึง!แม้แต่ฮ่องเต้หวู่ยังตกตะลึงจนร่างมังกรสั่นสะท้านทุกคนดุจดั่งมังกร ทุกคนบรรลุความเป็นนักปราชญ์!นี่ช่างเป็นปณิธานอันยิ่งใหญ่เพียงใด!หากสามารถทำให้เป็นจริงได้ โลกมนุษย์จะรุ่งเรืองเพียงใดกัน!ชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือ ไม่มีค่าอะไรเลย!ทุกที่ที่กองทัพพยัคฆ์ต้าเซี่ยย่างกรายไป หากพวกหมานอี๋กล้าขัดขืน ย่อมถูกบดขยี้จนแหลกเป็นผุยผง!ในห้วงความคิดของฮ่องเต้หวู่ ภาพตนเองในเกราะทองอันทรงอำนาจดุดัน ปรากฏขึ้นแจ่มชัด นำทัพทหารต้าเซี่ยนับหมื่นที่สวมเกราะถืออาวุธคมกล้า ออกรบแผ่ขยายอำนาจไปทั่วทุกสารทิศเพียงแค่จินตนาการถึงภาพนั้น ดวงตาของฮ่องเต้หวู่ก็เปล่งประกาย เลือดลมเดือดพล่
รากฐานของขงจื๊อ ก็คือสี่ตำราห้าคัมภีร์และคำสอนของนักปราชญ์สี่ตำราห้าคัมภีร์ มีเนื้อหามากมายเพียงใด?แม้แต่ทงเซิงผู้เฉลียวฉลาด ยังสามารถท่องจำได้อย่างคล่องแคล่วยิ่งไม่ต้องพูดถึงบัณฑิตอัจฉริยะมากมายแห่งต้าเซี่ยในตลอดพันปีที่ผ่านมา ต่างก็อุทิศตนศึกษาและขบคิดอย่างลึกซึ้งในสี่ตำราห้าคัมภีร์พูดได้ว่าแนวทางแห่งขงจื๊อ เปรียบเสมือนเส้นทางโคลนที่ถูกเหยียบย่ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยผู้คนมากมายการจะสร้างความแปลกใหม่ บุกเบิกแนวคิดใหม่ หรือเขียนตำราใหม่ บนเส้นทางที่ถูกเหยียบย่ำจนเลอะเทอะนี้ หาใช่เรื่องง่ายดายไม่?หากมีผู้ใดสามารถทำได้จริงเช่นนั้น สมญานักปราชญ์ ก็คู่ควรกับเขาอย่างแท้จริง!เพียงแต่เสิ่นชิงโจวรู้ดีว่า ตนไม่มีความสามารถนั้นหลี่หลงหลิน แม้จะเคยศึกษาตำราของนักปราชญ์มาหลายปี แต่ก็ยิ่งไม่มีความสามารถทำเช่นนั้นได้“เขียนตำราบุกเบิกแนวคิดใหม่...”“ข้ากลับมีอยู่จริงๆ!”ภายใต้สายตานับไม่ถ้วน หลี่หลงหลินไม่รีบร้อนหรือลนลานแม้แต่น้อย เขาหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ พลางกล่าวว่า “วันนี้ข้าจะประกาศแนวคิดใหม่ ตั้งชื่อว่า... ปรัชญาแห่งจิตใจ!”ฉากนี้ทำให้ผู้คนมากมายถึงกับตะลึงงั
นักปราชญ์ใหม่แห่งสำนักปราชญ์?คำคำนี้ดังราวกับสายฟ้าฟาด ก้องกังวานในหูของทุกคนอะไรกัน?ข้าคงไม่ได้หูฝาดไปใช่ไหม!เมื่อครู่รัชทายาทเพิ่งบอกว่าตนเองเป็นนักปราชญ์ใหม่แห่งสำนักปราชญ์?นักปราชญ์ใหม่ก็คือนักปราชญ์คนใหม่!รัชทายาทหมายความว่า ตนเองสามารถเทียบได้กับนักปราชญ์อันดับสอง ซึ่งก็หมายความว่า เขาเป็นนักปราชญ์อันดับสามของสำนักปราชญ์ในรอบพันปีหรือ?นี่ นี่ นี่...นี่มันเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!เหลือเชื่อยิ่งกว่าดวงอาทิตย์ขึ้นจากทางทิศตะวันตกเสียอีก!“ฮ่าฮ่าฮ่า...”เสิ่นชิงโจวชะงักไปชั่วขณะ จากนั้นกุมท้องหัวเราะจนตัวงอเหล่าขุนนางฝ่ายบุ๋นและบัณฑิตทั้งหลาย ต่างก็ระเบิดเสียงหัวเราะดังกึกก้องไปทั่วห้องโถง“รัชทายาท ท่านเสียสติไปแล้วหรือ?”“นักปราชญ์คนใหม่แห่งสำนักปราชญ์? ท่านหมายความว่า ท่านคือปราชญ์ของสำนักปราชญ์อย่างนั้นหรือ?”“ฮ่าฮ่าฮ่า! องค์ชายเสเพลผู้ไร้ความรู้ความสามารถเช่นท่าน กล้าประกาศตนเป็นนักปราชญ์ ช่างน่าขันเสียจริง!”“ถ้าท่านเป็นนักปราชญ์ เช่นนั้นคนทั้งโลกก็คงเป็นปราชญ์กันหมดแล้ว!”ซูเฟิ่งหลิงถึงกับอึ้ง ใบหน้างดงามแฝงความตกตะลึง ดวงตาหงส์จับจ้องไปที่หลี่หลงหลิน ริมฝ