"ใครยังจะขายธัญพืชอีกหรือไม่?" "ถ้าไม่ขาย ข้าจะไม่รอแล้ว!" หลี่หลงหลินมองไปยังพ่อค้าธัญพืชคนอื่นๆ เหล่าพ่อค้ากัดฟันและตัดสินใจ:“องค์ชาย! ข้าจะขายด้วย!” “เอาเถอะ! ขายธัญพืชตอนนี้ยังพอจะรักษาต้นทุนได้!” “ถ้ารอให้ผ่านไปอีกไม่กี่วัน ใครจะรู้ว่าราคาธัญพืชจะตกลงไปขนาดไหน?” “ใช่! อย่างน้อยตอนนี้ขายธัญพืชยังได้รับคำชมจากฮ่องเต้ และอาจได้รับการจารึกชื่อไว้ในประวัติศาสตร์ด้วย!” ใจคนก็เหมือนกับเขื่อน เขื่อนพันลี้สามารถพังทลายได้ด้วยรูที่เล็กที่สุด! แค่มีคนหนึ่งที่เริ่มขายธัญพืช เส้นทางจิตใจของคนอื่นก็จะพังทลายตามไปด้วย! ทันใดนั้น พ่อค้าธัญพืชจากต่างถิ่นทั้งหมดก็เลือกที่จะยอมแพ้ และขายธัญพืชทั้งหมดบนเรือให้กับหลี่หลงหลิน หลี่หลงหลินยิ้มเล็กน้อย และไม่ปฏิเสธใคร ทุกอย่างอยู่ในการควบคุมของเขา แค่พ่อค้าธัญพืชจากต่างถิ่นยอมแพ้ พ่อค้าในท้องถิ่นก็ต้านทานได้ไม่นาน ธัญพืชทั้งหมดถูกเก็บไว้และขนส่งไปยังภูเขาทิศประจิม ระหว่างทางกลับไปยังจวนตระกูลซู หลี่หลงหลินและลั่วอวี้จู๋เดินทางโดยใช้รถม้าคันเดียวกัน “องค์ชาย...” ลั่วอวี้จู๋มองไปที่หลี่หลงหลินด้วยดวงตาแสนอ่อนหวานแ
ณ หอการค้า พ่อค้าธัญพืชจากเมืองหลวงมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ ทุกคนมีท่าทางหมดหวัง สีหน้าแสดงถึงความทุกข์ทรมานอย่างยิ่ง “ได้ยินหรือไม่?” “พ่อค้าธัญพืชจากที่อื่น เอาธัญพืชขายให้ภูเขาทิศประจิมแล้ว!” “จริงหรือ?” “จริงสิ เรือขนธัญพืชที่ท่าเรือออกไปหมดแล้ว!” “พวกมันช่างไร้กระดูกจริงๆ!” “ได้ยินว่า พวกมันยังจะขนธัญพืชจากทางใต้มาเพิ่มอีก แล้วขายให้ภูเขาทิศประจิมในราคาต่ำ!” “พวกสารเลวพวกนี้ ตั้งใจจะบีบเราให้จนมุมจนตายหรือไง!” “...” พ่อค้าธัญพืชทั้งหมดถอนหายใจด้วยความท้อแท้ สวีเหล่าก็เสียการควบคุมตัวเองไปด้วย เอ่ยด้วยสีหน้าหมดหวัง "องค์ชายเก้าช่างเจ้าเล่ห์จริงๆ! เขาคาดเดาออกว่า พวกเราพ่อค้าธัญพืชไม่ได้เป็นหนึ่งเดียวกัน! ใช้แผนการแบบนี้เพื่อทำให้พวกเรามีความแตกแยก!" “เฮ้อ!” “ขายไปเถอะ! ขายไปเถอะ!” “ถ้าไม่ขายตอนนี้ พวกเราจะถูกเขากินจนหมดตัว ไม่มีแม้แต่เศษเหลือ!” พ่อค้าธัญพืชทั้งหมดตระหนักถึงแผนการขององค์ชายเก้า ทั้งหมดนี้เป็นแผนการของหลี่หลงหลิน! พ่อค้าธัญพืชในเมืองหลวงสามารถรักษาราคาไม่ให้ตกได้ เพราะทุกคนยึดมั่นในการเก็บธัญพืชไว้ไม่ขายออกไป แต่พ่อค้าธัญพืชจา
สาวใช้หลายคนกำลังพูดคุยกันที่หน้าประตู “คุณหนูใหญ่เป็นอะไรหรือเปล่า?” “ทำไมช่วงนี้นางถึงไม่ออกจากห้องเลย?” “ใช่แล้ว นางไม่ใช่ฮูหยินของคุณชายรอง วันๆอยู่แต่ในห้อง อาจจะเสียสติได้!” “หรือว่า... เราไปบอกท่านเขยให้ช่วยคิดหาวิธีดีหรือไม่?” ซูเฟิ่งหลิงไม่ยอมออกจากห้องทำให้สาวใช้รู้สึกวิตกกังวลมาก หนึ่งในสาวใช้คนหนึ่งรีบส่ายหัวและเอ่ยว่า: “บอกท่านเขยหรือ? เรื่องนั้นไม่ได้หรอก! คุณหนูใหญ่เป็นแบบนี้ เพราะท่านเขยเป็นคนทำ! ถ้าท่านเขยมาที่นี่ อาจจะไม่รอดเลยก็ได้!” สาวใช้คนอื่นๆ ถึงกับตกใจ: “ท่านเขย? ท่านเขยทำอะไร?” สาวใช้ใหญ่ถอนหายใจและพูดว่า: “พวกเจ้าไม่รู้หรอก... ท่านเขยเก็บข้าวไว้ที่ภูเขาทิศประจิมมากมาย ทำให้ชาวบ้านลำบากหนัก! ตอนนี้ชื่อเสียงของท่านเขยแย่มากๆ ชาวบ้านถึงขั้นเรียกเขาว่าหลี่ปี่เซียะเลยล่ะ!” “ตอนนี้แค่ท่านเขยออกไปข้างนอก ชาวบ้านก็ขว้างผักเน่าใส่แล้ว!” “คุณหนูใหญ่ต้องเป็นคนปกป้องท่านเขย แต่ก็โดนชาวบ้านด่าไม่เว้นวัน” “เรื่องนี้มันทำให้คุณหนูใหญ่รู้สึกเครียดมาก...” สาวใช้ทั้งหมดเข้าใจในทันที ไม่แปลกใจเลยที่คุณหนูใหญ่จะเป็นแบบนี้ นางเป็นผู้หญิงที่มีจิตใจเมต
ชายชราเอ่ยแล้วโขกศีรษะลงอย่างแรง ซูเฟิ่งหลิงตกใจ รีบเข้าไปพยุงชายชราขึ้น: “ท่านผู้เฒ่า! หยุดๆ! ทำแบบนี้ไม่ได้!” แต่ ซูเฟิ่งหลิงสามารถพยุงได้แค่คนเดียว แต่นางไม่สามารถพยุงคนทั้งหมดได้ ในทันใดนั้น ชาวบ้านทุกคนก้มลงคุกเข่า ก้มลงโขกศีรษะอย่างหนัก “ขอบพระคุณองค์ชายเก้า ขอบพระคุณพระชายา!” “ถ้าไม่มีองค์ชายเก้า ลูกชายข้าคงอดตายแล้ว!” “ครอบครัวข้าก็เกือบจะทนไม่ไหวแล้ว!” “ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว! องค์ชายเก้าได้ควบคุมราคาธัญพืช ทำให้เรามีข้าวกินแล้ว!” ซูเฟิ่งหลิงแทบไม่เชื่อหูตัวเอง: “พวกท่านพูดว่าอะไรนะ? หลี่หลงหลิน ไอ้คนนั้นควบคุมราคาธัญพืชได้แล้วหรือ?” ไม่นานซูเฟิ่งหลิงก็เริ่มเข้าใจว่านี่คือความจริง ภายในไม่กี่วัน สถานการณ์ด้านนอกกลับพลิกผันไปอย่างสิ้นเชิง! หลี่หลงหลินจากที่เคยเป็นที่เกลียดชังของทุกคน กลับกลายเป็นวีรบุรุษผู้ช่วยชีวิต ช่วยเหลือผู้คน เหมือนพระโพธิสัตว์ ซูเฟิ่งหลิงนอกจากจะตกใจแล้ว ยังรู้สึกภาคภูมิใจมาก หลี่หลงหลินคือสามีของข้า! ข้าไม่ได้ตัดสินใจผิดจริงๆ! ...... ในช่วงเวลากลางคืน หลี่หลงหลินกลับมาจากภูเขาทิศประจิม สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจคือ ใ
ที่แท้ซูเฟิ่งหลิงก็รู้แล้วว่า เข้าใจตนเองผิดไป ตั้งใจแต่งหน้าแต่งตัวสวมชุดกระโปรงงดงามมาเป็นพิเศษ รอขอโทษอยู่ที่นี่กลางดึกปรากฏว่าหลี่หลงหลินกลับมีท่าทางคล้ายเห็นผี ทำให้ซูเฟิ่งหลิงหมดอารมณ์หลี่หลงหลินโคลงศีรษะ “แท้จริงแล้ว เจ้าไม่ต้องรีบขอโทษก็ได้! เรื่องนี้ยังไม่จบเลยนะ!”ซูเฟิ่งหลิงตกตะลึงภายในใจ “ยังไม่จบ? ท่านหมายความว่ากระไร?”หลี่หลงหลินจ้องมองใบหน้าซูเฟิ่งหลิง พูดอย่างจริงจัง “ทุกปีปริมาณธัญพืชของต้าเซี่ยคงที่! ปีที่มีภัยพิบัติก็จะน้อยลงหน่อย ปีที่อุดมสมบูรณ์ก็จะมากขึ้น”“ทว่า ธัญพืชสามแสนฉื่อในยุ้งฉางเมืองเหนือ ไม่ว่าไฟมังกรเผายุ้งฉางหลวง หรือผู้คุมทุจริต”“อย่างไรเสียก็สูญเสียไปแล้ว!”“นั่นก็หมายความว่า ไม่ว่าข้าใช้วิธีการใด ลำเลียงธัญพืชจากแดนใต้ไปเมืองหลวงก็ดี บีบคั้นเหล่าพ่อค้าธัญพืชให้ลดราคาก็ดี ช่องว่างของสามแสนฉื่อนี้ ก็ยังอยู่!”“สิ่งที่ข้าทำ ก็แค่ขุดรูนั้นอุดรูนี้ ชะลอเวลาที่ความอดอยากจะระเบิดออกมา!”“สุดท้ายแล้วก็เป็นแค่การแก้ปัญหาชั่วคราวไม่ได้แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ!”เฮ้อซูเฟิ่งหลิงสูดลมหายใจเย็นเข้าลึกๆ ดวงหน้างดงามตกตะลึง “ท่านกำลังจะบอกว่าปัญหาความอดอย
ซูเฟิ่งหลิงลืมตาอ้าปากค้าง สีหน้าตกตะลึงพรึงเพริดหากสิ่งที่หลี่หลงหลินพูดล้วนเป็นความจริง ต้าเซี่ยก็ตกอยู่ในอันตราย!“นี่จะดีได้อย่างไร?”ซูเฟิ่งหลิงเผยสีหน้าร้อนใจ รับมือไม่ทันหลี่หลงหลินยิ้มน้อยๆ พูดว่า “เจ้าอย่าเพิ่งลนลาน! หากข้าเดาไม่ผิด ธัญพืชสามแสนฉื่อนี้ บัดนี้ยังอยู่ในเมืองหลวง ยังไม่ทันถูกลำเลียงไป!”ระยะนี้หลี่หลงหลินอ้างชื่อผู้ตรวจการฝ่ายบรรเทาทุกข์ ปิดเส้นทางสำคัญภายในเมืองหลวงไว้แล้วธัญพืชสามารถลำเลียงเข้ามาได้ แต่ลำเลียงออกไปไม่ได้เพราะเหตุนี้หลี่หลงหลินจึงมั่นใจ ธัญพืชที่หายไปยังอยู่ในเมืองหลวง มิได้ลำเลียงไปที่อื่นซูเฟิ่งหลิงตกตะลึงพรึงเพริด “ธัญพืชยังอยู่ในเมืองหลวง? จะซ่อนไว้ที่ใดกันเล่า?”หลี่หลงหลินเปล่งเสียงเครียด “ยุ้งฉางของพวกพ่อค้าธัญพืช ข้าล้วนฉวยโอกาสตรวจสอบมาทั้งหมดแล้ว! ไม่พบธัญพืชหลงเหลืออยู่! ยุ้งฉางแห่งอื่นในเมืองหลวง ข้าส่งคนไปหาแล้ว ก็ไม่พบอะไร!”“เช่นนั้น ก็เหลือเพียงแห่งเดียว!”ซูเฟิ่งหลิงสูดลมหายใจเย็นเฮือกหนึ่ง “ท่านมิได้กำลังจะพูดว่ายุ้งฉางของตระกูลใหญ่หรอกกระมัง?”หลี่หลงหลินพูดว่า “ระยะนี้เจ้าฉลาดมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว รู้จักชิงตอ
จากนั้น เจ้าจึงขอขันอาสา ถือพระราชโองการตามจับกุมคนร้าย!”“ก็สามารถอ้างชื่อที่ถูกต้องนี้ ตรวจเรือนเหล่าขุนนางชนชั้นสูงได้แล้ว!”ซูเฟิ่งหลิงเข้าใจในทันใด ดวงตาทอประกายระยับ “ข้าเข้าใจแล้ว! หาตัวฆาตกรเป็นเรื่องเท็จ หาธัญพืชเป็นเรื่องจริง!”หลี่หลงหลินพูดยิ้มๆ “สมเป็นสตรีของข้า ยังไม่นับว่าโง่เกินไปนัก!”ซูเฟิ่งหลิงเงยหน้า มองหลี่หลงหลินอย่างไม่เข้าใจ “แต่ ท่านแสร้งเผชิญหน้ากับมือสังหาร แสร้งได้รับบาดเจ็บก็ได้ ไฉนเลยจะต้องทำเช่นนี้ ให้ข้าแทงท่านหนึ่งที ได้รับบาดเจ็บจริง?”หลี่หลงหลินพูดอย่างจนใจ “เมื่อครู่ชมเจ้าสองประโยค เหตุใดถึงโง่อีกแล้วเล่า? เจ้าคิดว่า คนที่พวกเราต่อสู้ด้วยเป็นใครกัน? คนผู้นี้ฉลาดหลักแหลมน่ากลัวมากนัก เป็นศัตรูที่ข้ารับมือยากที่สุดแล้ว!”“ข้าเพียงแสร้งได้รับบาดเจ็บ ก็สามารถปกปิดได้กระนั้น?”“ยิ่งไปกว่านั้น”“หากข้าไม่ได้รับบาดเจ็บ จะอธิบายกับทางฝั่งเสด็จพ่อเยี่ยงไร?”“นี่มิใช่กำลังหลอกลวงเบื้องสูงหรือ?”“ดังนั้น จะหลอกศัตรูก็ต้องหลอกคนของตนก่อน! มีเพียงทำเช่นนี้ คนอยู่เบื้องหลังถึงจะติดกับ!”ซูเฟิ่งหลิงเข้าใจแล้ว “ยังเป็นท่านคิดอ่านรอบคอบ! ก็ดี! ข้าจะแทงท่า
ประตูจวนซูปิดสนิทเว่ยซวินร้องเรียกอยู่นาน ประตูสีชาดแดงบานใหญ่จึงเปิดออกคนเปิดประตูคือลั่วอวี้จู๋ในชุดกระโปรงขาวเพราะภายในจวนชุลมุนวุ่นวายเรื่องมือสังหาร นางอดนอนตลอดทั้งคืน ดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยสีแดง สีหน้าย่ำแย่“เอ๋?”“ฝ่าบาท?”ลั่วอวี๋จู๋เห็นเว่ยซวินและรถม้ามังกรของฮ่องเต้หวู่ รีบคุกเข่าลง“ไม่ต้องมากพิธี!”ฮ่องเต้หวู่ลงจากรถม้า สีหน้าร้อนใจ เอ่ยถามว่า “เจ้าเก้าเล่า? อาการบาดเจ็บของเขาร้ายแรงหรือไม่?”ลั่วอวี้จู๋ส่ายหน้าเบาๆ น้ำตาไหล “องค์ชายเขา...เขาจนถึงตอนนี้ยังหลับใหลไม่ได้สติเลยเพคะ หากไม่ใช่น้องหญิงสามอยู่บ้านพอดี น่ากลัวว่า น่ากลัวว่า...”ย้อนนึกถึงสถานการณ์ชวนตกตะลึงเมื่อวาน ร่างบอบบางของลั่วอวี้จู๋สั่นเทาเดิมทีนางก็หลับไม่ลึก เมื่อคืนได้ยินซูเฟิ่งหลิงร้องตะโกนว่ามีมือสังหาร ก็รีบสวมเสื้อผ้าลุกจากเตียง ล่วงหน้ามาตรวจสอบ บังเอิญได้พบหลี่หลงหลินนอนจมกองเลือด ไม่รู้เป็นหรือตายลั่วอวี้จู๋ตกใจแทบแย่ ใบหน้าเผือดซีด สับสนมึนงงนอกจากความกลัวแล้ว มากที่สุดคือโทษตนเองมีคนซุบซิบนินทา พูดว่าสตรีสกุลซูล้วนมีดวงดาวแห่งความโชคร้าย ทำให้บุรุษตายสำหรับเรื่องนี้
“ดี...”ฮ่องเต้หวู่กลั้นความคิดอยู่นาน กว่าจะเปล่งเสียงออกมาได้เพียงคำเดียว แต่เมื่อนึกว่ามันดูจืดชืดเกินไป จึงเสริมขึ้นอีกว่า “ดีมาก!”หลี่หลงหลินรู้สึกพูดไม่ออกในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าทำไมเสิ่นชิงโจวถึงต้องการยุยงให้ฮ่องเต้หวู่ก่อกบฏบิดาไร้ประโยชน์ของตนผู้นั้น ไม่เพียงแค่ละเลยด้านการปกครองด้วยวัฒนธรรมเท่านั้นเห็นได้ชัดว่าเขาไม่เข้าใจหลักขงจื๊อแม้แต่น้อย แถมยังอ่านปรัชญาแห่งจิตใจไม่ออกเลยด้วยซ้ำ ถึงขนาดไม่รู้จะกล่าวคำชมเชยอย่างไร กลัวว่าเอ่ยออกไปมากกว่านี้จะเผลอทำให้ตัวเองโป๊ะแตกอย่างไรก็ตาม ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นตัวเขาก็ไม่ต่างกันโทษฐานที่ตัวเองไม่มีวัฒนธรรม อาศัยแต่การลอกเลียนแบบปรัชญาแห่งจิตใจของปราชญ์หวังหยางหมิงนั้น ลึกซึ้งอย่างแท้จริงหลี่หลงหลินใช้เวลาสามวัน คัดลอกปรัชญาแห่งจิตใจฉบับดั้งเดิมตามความทรงจำ อันที่จริง เขาก็แค่เข้าใจหลักการใหญ่ๆ อย่าง “รู้แล้วลงมือทำ” “ศึกษาสิ่งต่างๆ เพื่อเข้าถึงความรู้” “มุ่งสู่จิตสำนึกแห่งคุณธรรม”ส่วนที่ลึกซึ้งกว่านั้น หลี่หลงหลินก็ไม่ค่อยเข้าใจ ต้องอาศัยให้เหล่าศิษย์ไปอ่านปรัชญาแห่งจิตใจและเข้าใจด้วยตัวเองจะบรรลุสู่ความเป็นปราชญ
หลี่หลงหลินส่ายหัวเบาๆ “ท่านผิดแล้ว! ในใจของทุกคนล้วนมีสำนึกดี! หากรู้แล้วลงมือทำ มุ่งสู่จิตสำนึกแห่งคุณธรรม ทุกคนก็สามารถบรรลุสู่ความเป็นปราชญ์ สร้างความรุ่งเรืองให้กับหลักขงจื๊อไปหมื่นชั่วอายุคน!”รู้แล้วลงมือทำ มุ่งสู่จิตสำนึกแห่งคุณธรรม?ร่างกายของเสิ่นชิงโจวสั่นสะท้าน สีหน้าปรากฏความไม่อยากเชื่อท้ายที่สุด เขาก็เป็นปราชญ์ผู้รอบรู้ตำรา ถึงแม้เพราะความเห็นแก่ตัวจะทำให้เขาเดินออกนอกเส้นทางแต่ความรู้ของเขาก็ยังคงเป็นของจริงแน่นอนว่าเมื่อหลี่หลงหลินกล่าวคำว่า “รู้แล้วลงมือทำ มุ่งสู่จิตสำนึกแห่งคุณธรรม” ทั้งเจ็ดคำออกมา เสิ่นชิงโจวก็เข้าใจได้ทันทีว่านี่คือวิถีแห่งปราชญ์!“น่าเสียดาย...”“หากข้ายังหนุ่มกว่านี้สักหลายสิบปี บางทีก็อาจเห็นด้วยกับปรัชญาแห่งจิตใจ และเดินบนวิถีแห่งปราชญ์นี้”“แต่ข้าแก่ชราแล้ว ไม่อาจหวนกลับได้!”“ทำได้เพียงสู้จนถึงที่สุด!”เสิ่นชิงโจวส่ายหัว มองไปที่หลี่หลงหลิน “พูดไปก็ไร้ประโยชน์! ข้าจะไม่โต้เถียงกับท่านด้วยวาจา! นำงานเขียนของท่านมาให้ข้าดูเสียก่อน แล้วค่อยว่ากัน!”หลี่หลงหลินส่ายหัว ปฏิเสธโดยตรง “ท่านไม่คู่ควร!”เสิ่นชิงโจวโกรธจนอับอาย หน้าแดงก่ำ
คำพูดของหลี่หลงหลินประโยคนี้ เปรียบเสมือนเสียงระฆังยามเช้า และกลองยามเย็น ทำให้ผู้คนตื่นตระหนกและฉุกคิดสำนักปราชญ์ของพวกเจ้า ไม่ต้องการผูกขาดการสอบขุนนาง สร้างตระกูลขุนนาง ก่อตั้งชนชั้น เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน และผลประโยชน์แก่ลูกหลานในภายภาคหน้าของพวกเจ้าหรือ?ปรัชญาแห่งจิตใจ คือการทำลายความอยุติธรรมในโลก!ทุกคนดุจดั่งมังกร ทุกคนบรรลุเป็นนักปราชญ์!บนลานหยกขาว เงียบสงัดไร้เสียงแม้แต่นกกามีเพียงความตื่นตะลึง!แม้แต่ฮ่องเต้หวู่ยังตกตะลึงจนร่างมังกรสั่นสะท้านทุกคนดุจดั่งมังกร ทุกคนบรรลุความเป็นนักปราชญ์!นี่ช่างเป็นปณิธานอันยิ่งใหญ่เพียงใด!หากสามารถทำให้เป็นจริงได้ โลกมนุษย์จะรุ่งเรืองเพียงใดกัน!ชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือ ไม่มีค่าอะไรเลย!ทุกที่ที่กองทัพพยัคฆ์ต้าเซี่ยย่างกรายไป หากพวกหมานอี๋กล้าขัดขืน ย่อมถูกบดขยี้จนแหลกเป็นผุยผง!ในห้วงความคิดของฮ่องเต้หวู่ ภาพตนเองในเกราะทองอันทรงอำนาจดุดัน ปรากฏขึ้นแจ่มชัด นำทัพทหารต้าเซี่ยนับหมื่นที่สวมเกราะถืออาวุธคมกล้า ออกรบแผ่ขยายอำนาจไปทั่วทุกสารทิศเพียงแค่จินตนาการถึงภาพนั้น ดวงตาของฮ่องเต้หวู่ก็เปล่งประกาย เลือดลมเดือดพล่
รากฐานของขงจื๊อ ก็คือสี่ตำราห้าคัมภีร์และคำสอนของนักปราชญ์สี่ตำราห้าคัมภีร์ มีเนื้อหามากมายเพียงใด?แม้แต่ทงเซิงผู้เฉลียวฉลาด ยังสามารถท่องจำได้อย่างคล่องแคล่วยิ่งไม่ต้องพูดถึงบัณฑิตอัจฉริยะมากมายแห่งต้าเซี่ยในตลอดพันปีที่ผ่านมา ต่างก็อุทิศตนศึกษาและขบคิดอย่างลึกซึ้งในสี่ตำราห้าคัมภีร์พูดได้ว่าแนวทางแห่งขงจื๊อ เปรียบเสมือนเส้นทางโคลนที่ถูกเหยียบย่ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยผู้คนมากมายการจะสร้างความแปลกใหม่ บุกเบิกแนวคิดใหม่ หรือเขียนตำราใหม่ บนเส้นทางที่ถูกเหยียบย่ำจนเลอะเทอะนี้ หาใช่เรื่องง่ายดายไม่?หากมีผู้ใดสามารถทำได้จริงเช่นนั้น สมญานักปราชญ์ ก็คู่ควรกับเขาอย่างแท้จริง!เพียงแต่เสิ่นชิงโจวรู้ดีว่า ตนไม่มีความสามารถนั้นหลี่หลงหลิน แม้จะเคยศึกษาตำราของนักปราชญ์มาหลายปี แต่ก็ยิ่งไม่มีความสามารถทำเช่นนั้นได้“เขียนตำราบุกเบิกแนวคิดใหม่...”“ข้ากลับมีอยู่จริงๆ!”ภายใต้สายตานับไม่ถ้วน หลี่หลงหลินไม่รีบร้อนหรือลนลานแม้แต่น้อย เขาหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ พลางกล่าวว่า “วันนี้ข้าจะประกาศแนวคิดใหม่ ตั้งชื่อว่า... ปรัชญาแห่งจิตใจ!”ฉากนี้ทำให้ผู้คนมากมายถึงกับตะลึงงั
นักปราชญ์ใหม่แห่งสำนักปราชญ์?คำคำนี้ดังราวกับสายฟ้าฟาด ก้องกังวานในหูของทุกคนอะไรกัน?ข้าคงไม่ได้หูฝาดไปใช่ไหม!เมื่อครู่รัชทายาทเพิ่งบอกว่าตนเองเป็นนักปราชญ์ใหม่แห่งสำนักปราชญ์?นักปราชญ์ใหม่ก็คือนักปราชญ์คนใหม่!รัชทายาทหมายความว่า ตนเองสามารถเทียบได้กับนักปราชญ์อันดับสอง ซึ่งก็หมายความว่า เขาเป็นนักปราชญ์อันดับสามของสำนักปราชญ์ในรอบพันปีหรือ?นี่ นี่ นี่...นี่มันเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!เหลือเชื่อยิ่งกว่าดวงอาทิตย์ขึ้นจากทางทิศตะวันตกเสียอีก!“ฮ่าฮ่าฮ่า...”เสิ่นชิงโจวชะงักไปชั่วขณะ จากนั้นกุมท้องหัวเราะจนตัวงอเหล่าขุนนางฝ่ายบุ๋นและบัณฑิตทั้งหลาย ต่างก็ระเบิดเสียงหัวเราะดังกึกก้องไปทั่วห้องโถง“รัชทายาท ท่านเสียสติไปแล้วหรือ?”“นักปราชญ์คนใหม่แห่งสำนักปราชญ์? ท่านหมายความว่า ท่านคือปราชญ์ของสำนักปราชญ์อย่างนั้นหรือ?”“ฮ่าฮ่าฮ่า! องค์ชายเสเพลผู้ไร้ความรู้ความสามารถเช่นท่าน กล้าประกาศตนเป็นนักปราชญ์ ช่างน่าขันเสียจริง!”“ถ้าท่านเป็นนักปราชญ์ เช่นนั้นคนทั้งโลกก็คงเป็นปราชญ์กันหมดแล้ว!”ซูเฟิ่งหลิงถึงกับอึ้ง ใบหน้างดงามแฝงความตกตะลึง ดวงตาหงส์จับจ้องไปที่หลี่หลงหลิน ริมฝ
เสิ่นชิงโจวต้องมีแผนการที่ใหญ่กว่านั้น จึงกล้าลงมือเสี่ยงอันตรายคำพูดของหลี่หลงหลินทำให้ฮ่องเต้หวู่ตาสว่าง พลันเข้าใจทุกอย่างทันทีเสิ่นชิงโจวไม่เพียงไม่พอใจที่จะเป็นขุนนาง แม้แต่ตำแหน่งฮ่องเต้ก็ยังไม่อาจทำให้เขาพึงพอใจเขาต้องการเป็นเจ้าลัทธิ!เขาต้องการเลียนแบบศาสนากางเขนของชาวตะวันตก เปลี่ยนขงจื๊อจากเพียงแนวคิดให้กลายเป็นศาสนา แล้วขึ้นครองอำนาจเหนืออำนาจฮ่องเต้แม้แต่ฮ่องเต้ ก็ยังต้องรับการสถาปนาจากเจ้าลัทธิ!ความทะเยอทะยานเช่นนี้ ช่างน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก!แม้แต่ฮ่องเต้หวู่เอง ยังรู้สึกราวกับสายเลือดทั่วร่างถูกแช่แข็งอีกด้านหนึ่งเสิ่นชิงโจวรู้สึกเหมือนถูกชกเข้ากลางอกอย่างแรง สีหน้าหม่นหมองถึงขีดสุดชัดเจนแล้วว่าหลี่หลงหลินเดาถูกต้อง!ทำไมเสิ่นชิงโจวจึงปลุกปั่นความวุ่นวาย แท้จริงแล้วเป้าหมายของเขาคืออะไรกันแน่?หากมนุษย์ไม่เห็นแก่ตัว ฟ้าดินย่อมลงทัณฑ์เขาไม่ได้ทำเพื่อองค์ชายใหญ่หลี่เทียนฉี่ แต่ทำเพื่อตัวเอง!ความสำเร็จของฮ่องเต้ ก็คือการขยายแผ่นดินและอาณาเขตความสำเร็จของขุนนางมาจากการสนับสนุนและปกป้องผู้นำของตนหากหลี่เทียนฉี่ไม่ก่อกบฏ แต่ขึ้นครองบัลลังก์อย่างสงบเ
“ฮึๆ”หลี่หลงหลินหัวเราะเสียงเยียบเย็น หันมองเสิ่นชิงโจวแวบหนึ่ง สบถด่าออกมาโดยตรง “อาจารย์ฮ่องเต้บ้าบออะไร! ถึงรู้จักแต่วิธีการต่ำช้าเช่นนี้! ตัดรากถอนโคนหลักขงจื๊อ ล้มเลิกการสอบขุนนาง? นี่ข้าเคยพูดตั้งแต่ยามใด?”สีหน้าเสิ่นชิงโจวงุนงงไปคิดดูให้ดี หลี่หลงหลินคล้ายไม่เคยพูดมาก่อนจริงสุภาพชนมองผ่านการกระทำมิใช่จิตใจต่อให้ปากเจ้าไม่พูด แต่การกระทำทุกอย่าง กลับตั้งตนเป็นศัตรูกับสำนักปราชญ์ ตัดรากถอนโคนสำนักปราชญ์!ฮ่องเต้หวู่ขมวดคิ้ว “รัชทายาท ตกลงเจ้าหมายความเยี่ยงไร? เรางงไปหมดแล้ว”หลี่หลงหลินเงยหน้า พูดยิ้มๆ “เสด็จพ่อ นักปราชญ์นั้นดี หลักขงจื๊อนั้นก็ดี การสอบขุนนางเองก็ดี! หากไม่ใช่นักปราชญ์ ไม่ใช่หลักขงจื๊อ ต้าเซี่ยของข้าจะเจริญรุ่งเรืองได้เยี่ยงไร?”ถ้อยคำนี้พูดออกมา ทุกคนล้วนตกตะลึงรัชทายาทกำลังทำอันใด?เสิ่นชิงโจวเป็นบัณฑิตทรงคุณวุฒิ ยอมรับว่าสำนักปราชญ์มีความผิด ทำให้สำนักปราชญ์มีชื่อเสียงฉาวโฉ่หลี่หลงหลินกลับดี ถึงขั้นทำตรงข้ามกัน ล้างมลทินให้สำนักปราชญ์กระนั้น?ต่อให้ปากเขาพูดว่าหลักขงจื๊อ ไม่ใช่สำนักปราชญ์ ผิดไปหนึ่งคำแต่ในสายตาคนส่วนใหญ่ สำนักปราชญ์และหลักข
สำนักปราชญ์มีมาอย่างยาวนานนับพันปี เสิ่นชิงโจวก็เป็นเพียงหนึ่งเมล็ดข้าวในมหาสมุทรก็เท่านั้น!หรือว่า เราจะทำอย่างที่เจ้าเก้าพูด ใช้อำนาจล้มเลิกการสอบขุนนาง ทำลายสำนักปราชญ์ให้สิ้นซาก?ทว่าหากล้มเลิกการสอบขุนนาง แล้วจะใช้อะไรมาแทนที่เล่า?หรือว่าจะฟื้นฟูการสอบขุนนางในอดีต คัดเลือกขุนนางโดยยึดหลักความกตัญญูและคุณธรรม อาศัยการแนะนำจากชนชั้นสูง เลือกเฟ้นผู้มีความสามารถกระนั้น?นี่คือถอยหลังลงคลองกลับสู่ประวัติศาสตร์!ระบบในอดีตมีเล่ห์เหลี่ยมและทุจริตมากเสียยิ่งกว่า อำนาจตกอยู่ในมือของตระกูลขุนนาง!หลี่เทียนฉี่เห็นฮ่องเต้หวู่ลังเล ฉวยโอกาสนี้ลุกออกมา “เสด็จพ่อ สำนักปราชญ์เป็นรากฐานของต้าเซี่ย! สำนักปราชญ์จะล่มสลายไม่ได้! จะล้มเลิกการสอบขุนนางไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ! หากท่านคิดล้มเลิกการสอบขุนนาง นี่ไม่เพียงแค่ลูก ขุนนางบุ๋นบู๊ทั้งราชสำนัก ยังมีบัณฑิตทั่วหล้าล้วนไม่มีวันยอมรับ!”เหล่าขุนนางต่างพากันคุกเข่า พูดประสานเสียง “จะล้มเลิกการสอบขุนนางไม่ได้ สำนักปราชญ์จะล่มสลายไม่ได้! ฝ่าบาทโปรดวินิจฉัยด้วย ถอนรับสั่งเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”ภายในกลุ่มราษฎรเองก็มีคนลังเลไม่น้อยพวกเขามารับชมความครึกครื้น
“ยอมรับผิดอีกแล้ว?”หลี่หลงหลินขมวดคิ้ว “เสิ่นชิงโจว หรือว่าท่านตั้งใจยื้อเวลา? นี่น่าเบื่อเกินไปแล้ว”เขากลับอยากให้เสิ่นชิงโจวต่อต้านอย่างดื้อรั้น กัดฟันแน่น เป็นตายร้ายดีเยี่ยงไรก็ไม่ยอมแพ้เช่นนี้แล้วล่ะก็เขาสามารถตบหน้าเสิ่นชิงโจวแรงๆ อย่างถูกต้องตามครรลองครองธรรมได้สรุปคือเสิ่นชิงโจวไม่มีเจตนาต่อสู้ทำให้หลี่หลงหลินรู้สึกเบื่อหน่ายอาจารย์ของฮ่องเต้! ราชครู!แค่นี้เองหรือ?หลี่หลงหลินพูดเสียงเย็น “ความผิดครั้งนี้ของท่าน คงไม่คิดโยนความผิดให้เหล่าบัณฑิตทรงคุณวุฒิเพื่อเอาตัวรอดอีกหรอกกระมัง?”เสิ่นชิงโจวส่ายหน้า “ไม่! ครั้งนี้ข้ายอมรับผิดอย่างแท้จริง! ทุจริตการสอบขุนนาง ฆ่าคนปิดปาก รับสินบนทำผิดกฎหมาย ข้าขอยอมรับความผิดทั้งหมดเหล่านี้! ยิ่งไปกว่านั้น ไม่เพียงแค่ข้า ยังมีบัณฑิตทรงคุณวุฒิคนอื่นอีกด้วย!”“สำนักศึกษาทั้งหมดล้วนมีส่วนร่วม”ถ้อยคำนี้พูดออกมา ทุกคนล้วนเงียบงันลานไป๋อวี้ขนาดใหญ่ แม้แต่เข็มตกก็สามารถได้ยินไม่ว่าขุนนางหรือราษฎร สีหน้าล้วนแตกต่างกันออกไปโดยเฉพาะเหล่าบัณฑิตทรงคุณวุฒิ อ้าปากค้าง ลืมตากว้าง คล้ายเห็นผีก็มิปาน จับจ้องเสิ่นชิงโจวตาเขม็งอาจารย