ฮ่องเต้หวู่ราวกับว่ากลับไปเป็นหนุ่มอีกครั้ง เขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังยืนอยู่ท่ามกลางสนามรบที่เต็มไปด้วยควันไฟและเสียงระเบิด! ร่างกายของเขาสั่นสะท้าน แต่ยังพยายามยืนหยัดอยู่ได้ กลุ่มข้าราชการที่นำโดยตู้เหวินหยวน ต่างตกใจจนตัวสั่น กลัวจนแทบขาดใจ กอดหัวล้มลงกับพื้น และสั่นเทาด้วยความกลัว เซียวเม่ยเอ๋อร์ที่สุดท้ายแล้วก็เป็นแค่เด็กผู้หญิง ก็ถูกฉากที่น่ากลัวนี้ทำให้ร้องไห้ออกมา ป๊อก... กล้องส่องทางไกลในมือของเซียวเซวียนเช่อหล่นลงบนพื้น หัวใจของเขาแทบแตกสลาย! พลังของปืนใหญ่สายฟ้าเหินเวหามันเกินกว่าที่เขาจะเข้าใจได้ ถึงแม้จะเป็นปืนใหญ่หงอีร้อยกระบอก ก็ไม่น่าจะมีพลังทำลายล้างสูงขนาดนี้! และที่สำคัญ เขาได้เห็นด้วยตาของตัวเองผ่านกล้องส่องทางไกล หลี่หลงหลินไม่ได้ทำการหลอกลวง! กระสุนที่มีพลังมหาศาลนั้นพุ่งออกมาจากปืนใหญ่สายฟ้าเหินเวหาจริงๆ! เขาแพ้อีกครั้งแล้ว! แพ้อย่างสมบูรณ์! เซียวเซวียนเช่อไม่ได้กังวลว่าตนเองจะแพ้ในสัญญาเขาทิศประจิม การเสียหน้าเป็นเรื่องเล็กน้อย ยังไงเสีย การเดินทางมาต้าเซี่ยครั้งนี้ เขาก็เสียหน้าไปแล้ว! ก็ไม่แปลกอะไรที
ฮ่องเต้หวู่ทรงมองดูซากศพแกะที่นอนอยู่บนพื้น ทั่วทั้งร่างก็รู้สึกตกตะลึงไปชั่วขณะ! ซากศพส่วนใหญ่ของแกะ ไม่เห็นแม้แต่บาดแผลสักนิดเดียว ปืนใหญ่สายฟ้าเหินเวหา ที่ถูกเรียกว่า "ปืนไร้ความเมตตา" เนื่องจากมันมีขอบเขตทำลายล้างที่กว้างขวางมาก ไม่เหมือนกับปืนใหญ่หงอี ที่ต้องให้กระสุนโดนตัวเป้าหมายก่อน จึงจะทำให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตได้ เมื่อถุงดินปืนระเบิดขึ้น มันจะปล่อยแรงกระแทกที่รุนแรงออกมา สิ่งมีชีวิตในระยะไม่กี่จั้งจากจุดระเบิด จะได้รับแรงกระแทกจนลำไส้ฉีกขาด หูตาเลือดออก เสียชีวิตทันที สำหรับผู้ที่โดนถุงดินปืนตรงๆ ก็จะกลายเป็นผุยผง เนื้อหนังแหลกละเอียด ไม่มีชิ้นดี จนทำให้บริเวณที่โดนระเบิด ไม่มีผู้รอดชีวิตเลย พื้นดินถูกเผาจนดำสนิท มีหลุมบ่อกระจัดกระจาย ดูเหมือนพื้นผิวดวงจันทร์ “ฮ่า ฮ่า ฮ่า...” ฮ่องเต้หวู่อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเสียงดัง: “พลังของปืนใหญ่สายฟ้าเหินเวหานี้ เป็นพระพรจากฟ้าที่อวยพรแก่ต้าเซี่ยจริงๆ!” ขุนนางทั้งหลายที่มองเห็นเหตุการณ์ ต่างตกตะลึงและพากันคุกเข่าลง พร้อมกับกล่าวออกมา: “พลังของปืนใหญ่สายฟ้าเหินเวหา! เป็นพระพรจากฟ้าที่อวยพรแก่ต
หลี่หลงหลินยิ้มเย็น “ชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือของพวกเจ้า มีสิทธิ์อะไรเจรจากับต้าเซี่ย? ที่ให้คณะทูตของพวกเจ้ามาต้าเซี่ย ล้วนเป็นเพราะฝ่าบาทใจกว้างมีเมตตา ไว้หน้าพวกเจ้า!”“แข่งตำราพิชัยยุทธ์ พวกเจ้าแพ้แล้ว!”“แข่งบทกวี พวกเจ้าแพ้แล้ว!”“แข่งทหารม้า พวกเจ้าแพ้แล้ว!”“แข่งรถขนอาวุธปืน พวกเจ้าก็แพ้อีกแล้ว!”“ชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือมีสิทธิ์อะไรต่อสู้กับต้าเซี่ย?”“ไม่ยอมถอยใช่หรือไม่?”“จงรีบไสหัวออกจากต้าเซี่ยบัดเดี๋ยวนี้ บอกหัวหน้าชนเผ่าของพวกเจ้า!”“สักวันหนึ่ง ข้าจะนำทัพไปด้วยตนเอง เหยียบย่ำท้องพระโรงของเจ้า ทำให้บ้านเมืองของพวกเจ้าล่มสลาย บดขยี้ให้กลายเป็นเถ้าธุลี!”เจรจา?เจรจาบ้าบอนะสิ!นับตั้งแต่เริ่ม หลี่หลงหลินก็ไม่คิดเจรจากับชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือ!ต่อให้ต้าเซี่ยต้องจ่ายเงินชดเชยสงคราม แลกกับชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือออกจากตอนเหนือก็เป็นเรื่องน่าคับแค้นใจเกินพอแล้ว!สกุลซูจงรักภักดีทั้งตระกูล จะอธิบายเยี่ยงไร?ทหารตายในสนามรบของต้าเซี่ย จะอธิบายเยี่ยงไร?ราษฎร์ถูกชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือสังหารหมู่ จะอธิบายเยี่ยงไร?หลี่หลงหลินแสดงแสนยานุภาพทางทหารของต
เสียงโห่ร้องปีติยินดีดังไปทั่วทั้งภูเขาทิศประจิม“องค์ชายเก้า! วันนี้ ท่านสร้างบารมีให้ต้าเซี่ย ตบหน้าชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือ คลายโทสะได้จริงๆ! โปรดรับการคารวะจากข้าด้วย!”“หลังผ่านวันนี้ไป ชื่อเสียงขององค์ชายเก้าจะโด่งดังก้องหู สั่นสะเทือนไปทั่วทั้งแว่นแคว้น!”“องค์ชายเก้า คือวีรบุรุษของต้าเซี่ยโดยแท้!”เหล่าขุนนางชนชั้นสูงต่างพากันคารวะชื่นชมหลี่หลงหลินเสียงชื่นชม ดังกึกก้องไม่มีที่สิ้นสุดมีคนจริงใจจริงๆ ช่างรู้สึกมีความสุขยิ่งยังมีคนอย่างเช่นตู้เหวินยวนและคนอื่นๆ ที่กำลังยกย่องสรรเสริญ แต่เห็นได้ชัดว่ากำลังสรรเสริญให้หลงระเริงจนตายไปหลี่หลงหลินยิ้มน้อยๆ จับข้อมือซูเฟิ่งหลิง เดินออกจากกลุ่มคนต้าเซี่ยยอมนานเกินไปแล้ว!แต่นี่เป็นเพียงชัยชนะทางการทูตเท่านั้นก็เรียกว่าวีรบุรุษแล้วหรือ?หลี่หลงหลินไม่มีความคิดตื้นเขินเพียงนั้นในสายตาของเขา มีเพียงสกุลซูจงรักภักดียอมรบจนตายเพื่อบ้านเมือง นี่ต่างหากเรียกว่าวีรบุรุษ!ตนเองยังไม่คู่ควร!กลุ่มคนหลีกทางออกเป็นสองฝั่ง เสียงปรบมือดังก้อง ไม่มีที่สิ้นสุดต่อให้หลี่หลงหลินพาซูเฟิ่งหลิง กลับห้องหัวหน้าสำนักศึกษาของภูเขาทิศป
ชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือสมเป็นชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือ!ครู่ต่อมา ซูเฟิ่งหลิงเอ่ยปากว่า “แต่ ฝ่าบาทสั่งให้คณะทูตของชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือจากไปภายในสามวัน หรือพวกเขาจะกล้าขัดพระบัญชา?”หลี่หลงหลินส่ายหน้าเบาๆ อธิบาย “ปัญหาไม่ได้อยู่ที่กล้าหรือไม่กล้า! แต่เป้าหมายในการเดินทางมาต้าเซี่ยของคณะทูตของชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือยังไม่เสร็จสมบูรณ์! เซียวเซวียนเช่อไม่มีวันยอมกลับไปอย่างง่ายดาย!”ซูเฟิ่งหลิงงุนงง “ท่านกำลังพูดถึงการเจรจา?”หลี่หลงหลินยิ้มเย็น “ไม่! เงื่อนไขที่ชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือเสนอ ไม่มีความจริงใจเลยแม้แต่น้อย! ตั้งแต่เริ่มต้น ก็คือปิดบังเป้าหมายที่แท้จริง! เพียงแต่ ภายในราชสำนักมีแต่คนชั่วอยู่ในอำนาจ เหล่าขุนนางล้วนเป็นพวกโง่กลุ่มหนึ่ง ทั้งหมดถูกหลอกแล้ว!”ซูเฟิ่งหลิงตกตะลึง “หา? คณะทูตของชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือเดินทางมาต้าเซี่ย มิใช่เพื่อเจรจา? นั่นเพราะอะไร? คงมิใช่เพื่อหาราชบุตรเขยให้องค์หญิงเซียวเซวียนเช่อหรอกกระมัง?”แม้นางไม่เชี่ยวชาญกลยุทธ์แต่อาศัยเพียงสัญชาตญาณของผู้หญิง ก็สังเกตได้ว่าภายในนี้ต้องมีปัญหา!หลี่หลงหลินมองซูเฟิ่งหลิงแวบหนึ่ง “เจ้
“เว้นเสียแต่เรื่องนี้...”ดวงตาหลี่หลงหลินทอประกายวาวโรจน์เขาเกิดลางสังหรณ์บางอย่างคนบงการอยู่เบื้องหลัง ใกล้จะเผยตัวออกมาแล้ว!จากนี้ไป สถานการณ์ของเมืองหลวง จะเปลี่ยนแปลงจนไม่อาจคาดการณ์ได้ อันตรายอย่างมาก!วันต่อมาหลี่หลงหลินถูกเรียกตัวเข้าวัง เข้าเฝ้าฮ่องเต้หวู่ที่ตำหนักหยั่งซิน “เสด็จพ่อ!”หลี่หลงหลินทำความเคารพฮ่องเต้หวู่โบกมือ ออกคำสั่งเว่ยซวิน “ไปเฝ้าหน้าประตู!”เว่ยซวินไม่พูดมาก สบมองหลี่หลงหลินด้วยสายตาลุ่มลึกแวบหนึ่ง แล้วจึงออกไปตำหนักหยั่งซินกว้างใหญ่ มีเพียงสองพ่อลูก“เจ้าเก้า!”ฮ่องเต้หวู่ยิ้มกว้าง “เมื่อวาน เจ้าทำความดีความชอบครั้งใหญ่! แต่ เรามีหนึ่งเรื่อง คิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ”หลี่หลงหลินเงยหน้า “เสด็จพ่อ ตรัสเถิดพ่ะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้หวู่ขมวดคิ้ว “แสนยานุภาพของปืนใหญ่สายฟ้าเหินเวหา อยู่เหนือความคาดหมายของเรา! แต่ เราคิดว่า อาวุธสังหารเช่นนี้ เจ้าไม่สมควรเปิดเผยออกมาให้ชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือรู้! แต่สมควรนำไปใช้ในสนามรบโดยตรง!”“บัดนี้ชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือมีทางป้องกันแล้ว นี่มิใช่เรื่องดี!”หลี่หลงหลินพูดยิ้มๆ “เสด็จพ่อ ความนัยของพระองค์คือ
ฮ่องเต้หวู่ชะงัก “ย่อมเป็นเพราะป้องกันชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือ...”เพียงพูดออกจากปาก ฮ่องเต้หวู่ก็อึ้งงันอยู่กับที่แล้วพูดเช่นนี้แล้ว แม้ว่าต้าฉินมิได้ล่มสลายในเงื้อมมือของชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือ แต่ก็ล่มสลายเพราะชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือใช่หรือไม่?หลี่หลงหลินมองฮ่องเต้หวู่ พูดต่อ “บังอาจถามเสด็จพ่อ เหตุใดต้าฮั่นล่มสลายเพราะความอ่อนแอ...”ฮ่องเต้หวู่ตอบ “ขาดกำลังทหาร! เงินล้วนใช้ไปกับการขยายดินแดน ราษฎรถูกเรียกเก็บภาษีหนักเกินไป!”หลี่หลงหลินพูดยิ้มๆ “ขาดกำลังทหาร ศัตรูเป็นใครเล่า?”ฮ่องเต้หวู่ตกตะลึงพรึงเพริด ตอบว่า “เป็นชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือ!”หลี่หลงหลินถามต่อ “ที่ราชวงศ์ซ่งอ่อนแอเล่า? เหตุใดถึงอ่อนแอ?”ฮ่องเต้หวู่ตอบ “จ่ายส่วยหนัก คลังขาดดุล...”ครั้งนี้ ไม่รอให้หลี่หลงหลินถามแล้ว ฮ่องเต้หวู่ตอบอย่างเอือมระอา “เรารู้แล้ว เงินภายในท้องพระคลังหลวงของราชวงศ์ซ่งอ่อนแอ ล้วนเป็นเพราะจ่ายส่วย ให้กับชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือ!”ยังมีราชวงศ์อื่นยกตัวอย่างเช่นต้าถัง ล่มสลายเพราะชนกลุ่มน้อยสร้างความวุ่นวายคนกลุ่มน้อยเองก็เป็นชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือ!ฮ่องเต้หวู่ต
ฮ่องเต้หวู่ซาบซึ้งใจมาก ตบบ่าหลี่หลงหลิน น้ำตาร้อนผ่าวเอ่อคลอ “เจ้าเก้า ลำบากเจ้าแล้ว!”แต่ ฮ่องเต้หวู่สังเกตเห็นความผิดปกติอย่างว่องไวทั้งๆ ที่เราถามเจ้าเก้าว่า เพราะเหตุใดไม่เก็บซ่อนเอาไว้ ตรงข้ามกัน กลับเผยปืนใหญ่สายฟ้าเหินเวหาอาวุธสังหารร้ายแรงเพียงนี้ ต่อหน้าชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือ?เจ้าอ้อมค้อมอยู่นาน ให้เราแสดงความรู้ในประวัติศาสตร์มากมายแต่เจ้ายังไม่ได้ตอบปัญหาเลยนะ!หลี่หลงหลินเอือมระอา “เสด็จพ่อ! เมื่อครู่ลูกตอบคำถามไปแล้ว! ชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือเป็นปัญหาใหญ่ของต้าเซี่ย ต้องทำลายให้สิ้นซาก! แต่ ก็ต้องทำอย่างเต็มที่อย่าย่ามใจเป็นอันขาด!”“กองทัพใหม่สกุลซูถ้าไม่รบก็คือไม่รบ”“แต่ถ้ารบ ก็ต้องหลั่งเลือดเป็นสายธารา ไม่ละเว้นแม้คนเดียว!”“โจมตีไปที่รังของศัตรู โจมตีครั้งเดียวก็ปลิดชีพได้!”ฮ่องเต้หวู่เข้าใจในทันใด “อ้อ ความนัยของเจ้าคือ กองทัพใหม่สกุลซูมีความสามารถยังไม่พอ! ไม่สามารทำลายชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือให้สิ้นซากในคราวเดียวได้! มิสู้ทำตนเองให้ต่ำต้อย ซ่อนความสามารถต่อไป?”หลี่หลงหลินพูดยิ้มๆ “ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ!”ฮ่องเต้หวู่นวดขมับที่กำลังปวด “แต่นี่ไม่ถ
คนคำนวณ มิอาจสู้ฟ้าลิขิต องค์รัชทายาทก่อกบฏ เป็นเรื่องร้ายแรง ด้วยเหตุบังเอิญหลายประการ แผนการกบฏของหลี่เทียนฉี่ล้มเหลว เสิ่นชิงโจวในฐานะราชครู เป็นอาจารย์ของหลี่เทียนฉี่ ย่อมได้รับผลกระทบ อย่างไรก็ตาม เสิ่นชิงโจวเตรียมการไว้ ใช้ทรัพยากรมหาศาล ไม่เพียงแต่รักษาชีวิตตนเอง ยังรักษาชีวิตหลี่เทียนฉี่ และฮองเฮาหลู่พระมารดาเอาไว้ได้ และจากเหตุการณ์นี้เอง... ความผิดหวังของเสิ่นชิงโจวที่มีต่อฮ่องเต้หวู่ ก็ถึงขีดสุด มีข่าวลือว่า ฮ่องเต้หวู่ทรงเย็นชา ไร้หัวใจ เหลวไหล! ผู้เป็นจักรพรรดิ ต้องเด็ดขาด ฮ่องเต้หวู่ทรงมีพระทัยอ่อนโยน เป็นคนดี แต่ไม่ใช่ฮ่องเต้ที่ดี! ทว่า... เสิ่นชิงโจวไม่คาดคิดว่า ในช่วงเวลาที่เขาอยู่ในคุกหลวง นิสัยของฮ่องเต้หวู่ ดูเหมือนจะเปลี่ยนไป เป็นแข็งกร้าวขึ้นกว่าเดิม? ต้องรู้ว่า... ก่อนหน้านี้ ฮ่องเต้หวู่มีความเคารพตนอย่างมาก ไม่มีทางตะโกนใส่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการตำหนิต่อหน้าธารกำนัล ให้ตนเองหุบปากด้วย สันดอนขุดง่าย สันดานขุดยาก ฮ่องเต้หวู่อายุมากแล้ว นิสัยไม่อาจเปลี่ยนได้ในทันที นี่มันตะวันขึ้นทางทิศตะวันตกหรือ? “กระหม่อม ขอถวายบังคมฝ่าบาท!”
เสิ่นชิงโจวสองมือไพล่หลัง ท่าทางหยิ่งผยอง พยักหน้าเล็กน้อย ถือว่าเป็นการตอบรับ สมกับเป็นอาจารย์ของฮ่องเต้! สง่าผ่าเผย! ประชาชนนับไม่ถ้วนต่างก็รู้สึกทึ่งในใจ หลี่เทียนฉี่และกลุ่มข้าราชการ ก็มีสีหน้าฮึกเหิม ข้าราชการหลายคนยังคงกังวล เสิ่นชิงโจวถูกขังอยู่ในคุกหลวงเป็นเวลานาน ไม่มีข่าวคราว ถึงจะไม่ตาย ก็อาจจะถูกทรมานจนปางตาย ไร้ซึ่งความเฉียบคม ไม่อาจใช้งานได้ วันนี้ได้เห็น เสิ่นชิงโจวที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ ไม่เพียงแต่มีอารมณ์แจ่มใส แต่ยังคงไว้ซึ่งความหยิ่งทระนง องค์รัชทายาท คราวนี้ ท่านเดินหมากพลาดแล้ว! ท่านจัดการฉินฮั่นหยางและคนอื่นๆ ก็ยังพอมีหวังอยู่บ้าง แต่ท่านกลับให้อาจารย์ของฮ่องเต้ออกจากคุกมาด้วย? ศึกนี้ ท่านแพ้แน่นอน! “หึหึ...” หลี่หลงหลินเผชิญหน้ากับข้อสงสัย ก็หัวเราะเยาะในใจ เสิ่นชิงโจว เจ้าแสร้งทำตัวเป็นผู้สูงส่งเพื่อปลุกขวัญกำลังใจ สร้างภาพลักษณ์ที่ดูดีน่าเกรงขาม ช่วยเพิ่มขวัญกำลังใจได้จริงๆ! ทุกสิ่งมีราคา เจ้าโอหัง ไม่เห็นใครในสายตา ราคาของมันคืออะไร? หลี่หลงหลินเงยหน้า มองฮ่องเต้หวู่ เป็นไปตามคาด สีหน้าของฮ่องเต้หวู่ มืดครึ้มราวกับฝน ในดวงต
บนลานหยกขาว เกิดความโกลาหล ขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและบู๊ มองหน้ากันเลิ่กลั่ก ฮ่องเต้หวู่ตกตะลึง มองหลี่หลงหลินอย่างประหลาดใจ เจ้าเก้าจะไต่สวนบัณฑิตสิบคนที่นำโดยฉินฮั่นหยางนั้น ยังอยู่ในการคาดการณ์ของฮ่องเต้หวู่ แต่คาดไม่ถึงว่า... บัณฑิตสิบคนยังไม่พอ หลี่หลงหลินยังจะเพิ่มเสิ่นชิงโจว อาจารย์ของฮ่องเต้เข้ามาอีกคน? เขาละโมบเกินไปแล้ว! ต้องรู้ว่า... อาจารย์ของฮ่องเต้ไม่ใช่คนที่จะจัดการได้ง่ายๆ แม้ว่าเสิ่นชิงโจวจะถูกจับเข้าคุกหลวงเพราะข้อหากบฏ แต่เพราะไม่มีหลักฐาน จะไต่สวนก็ไม่ได้ จะปล่อยก็ไม่ได้ ทำได้เพียงขังไว้! ฮ่องเต้หวู่สีหน้าลังเล มองหลี่หลงหลิน: “เจ้าเก้า เจ้าต้องการไต่สวนเสิ่นชิงโจวจริงๆ หรือ?” บัณฑิตทรงคุณวุฒิสิบคน ก็ยุ่งยากพอแล้ว ยังเพิ่มเสิ่นชิงโจว อาจารย์ของฮ่องเต้เข้ามา เขาคืออดีตราชครูผู้มีอำนาจล้นฟ้า ฮ่องเต้หวู่กลัวว่าหลี่หลงหลินจะรับมือไม่ไหว จึงให้ทางลงแก่เขา หลี่หลงหลินไม่สนใจความหวังดีของฮ่องเต้หวู่ เพียงพยักหน้าอย่างหนักแน่น: “เสด็จพ่อ ครั้งนี้หากไม่กำจัดเสิ่นชิงโจว เกรงว่าจะมีภัยตามมา...” เขาไม่หลีกเลี่ยง สายตาจับจ้องไปที่หลี่เทียนฉี่ หลี่เ
“แต่ไม่ใช่ตอนนี้...” หลี่หลงหลินส่ายหน้า ยิ้มอย่างขมขื่น: “เสด็จพ่อ ลูกยังเยาว์วัย รอได้! แต่ต้าเซี่ยรอได้หรือ? ชาวบ้านที่ตกอยู่ในความทุกข์ยาก รอได้หรือ?” ฮือ! ประชาชนแตกตื่น! ดังที่ฮ่องเต้หวู่เอ่ย หลี่หลงหลินเป็นองค์รัชทายาท ถูกกำหนดให้สืบทอดราชบัลลังก์ ขึ้นครองราชย์ เขาจะรีบร้อนไปไย? เหตุใดเขาจึงต้องกำจัดสำนักปราชญ์? เหตุใดต้องเป็นศัตรูกับคนทั้งใต้หล้า? หลี่หลงหลินไม่ได้ทำเพื่อตนเอง แต่เพื่อพวกเรา ประชาชนทุกคน! ใบหน้าแต่ละคนต่างตกตะลึง ดวงตาแต่ละคู่ เต็มไปด้วยความซาบซึ้งและตื้นตัน ผู้มีอำนาจมักเห็นแก่ตัว ผู้สูงศักดิ์ ล้วนมีนิสัยเหมือนกัน มักจะคำนึงถึงผลประโยชน์ของตนเองก่อน ใครจะมาเห็นอกเห็นใจชาวบ้าน แม้แต่ขุนนางที่เรียกตัวเองว่าขุนนางตงฉิน อ้างตนว่าเป็นขุนนางที่ซื่อสัตย์สุจริต มักจะออกมาเรียกร้องความเป็นธรรมให้ประชาชน แท้จริงแล้ว พวกเขาก็ทำเพื่อตนเอง คนเราเกิดมา ก็หนีไม่พ้นชื่อเสียงและลาภยศ ขุนนางตงฉินเหล่านี้ ไม่ได้ต้องการลาภยศ แต่ต้องการชื่อเสียง กล่าวโดยสรุป... ประชาชนสำหรับพวกเขา เป็นเพียงเครื่องมือในการแสวงหาชื่อเสียงและลาภยศ เมื่อผลประ
“เสด็จพ่อ!” หลี่หลงหลินถอนหายใจ: “ลูก ตีกลองร้องทุกข์ เป็นเรื่องที่จำใจต้องทำ! เพราะผู้ที่ลูกจะร้องฎีกานั้น แม้แต่เสด็จพ่อก็ไม่อาจทำอะไรได้ ยากจะรับมือ” คำพูดนี้ ทำให้ทั่วทั้งลานหยกขาวเกิดความโกลาหล สีหน้าของฮ่องเต้หวู่มืดครึ้ม อัปลักษณ์ถึงขีดสุด เป็นผู้ใด? ที่ทำให้ข้าไม่อาจทำอะไรได้? เจ้าเก้า เจ้ากำลังทำให้ข้าเสียหน้าต่อหน้าประชาชน และเหล่าขุนนาง!ฮ่องเต้หวู่สูดลมหายใจลึก: “องค์รัชทายาท! เจ้าพูดให้ชัดเจน ว่าจะร้องฎีกาผู้ใด และข้าจะรับมือไม่ได้อย่างไร!” หลี่หลงหลินพูดอย่างหนักแน่น: “ผู้ที่ลูกจะร้องฎีกา คือสำนักปราชญ์!” สำนักปราชญ์? ทุกคนมองหน้ากันอย่างตื่นตระหนก แทบไม่อยากเชื่อหูตัวเองหลี่หลงหลินพูดชัดเจน เขาไม่ได้มุ่งเป้าไปที่คนหนึ่งหรือสองคน ไม่ใช่เสิ่นชิงโจว ไม่ใช่บัณฑิตทรงคุณวุฒิที่นำโดยฉินฮั่นหยาง แต่เป็นทั้งสำนักปราชญ์ กล่าวคือ... หลี่หลงหลินต้องการสั่นคลอนรากฐานของสำนักปราชญ์! นี่คือการเป็นศัตรูกับบัณฑิตทั้งใต้ทั่วหล้า เป็นศัตรูกับวิถีแห่งปราชญ์! เขาเสียสติไปแล้วหรือ? ฮ่องเต้หวู่ขมวดคิ้ว: “องค์รัชทายาท เจ้า...เจ้าพูดให้ชัดเจน! เจ้าจะร้องฎีกาบั
เหตุใดเขาจึงตีกลองร้องทุกข์ และเหตุใดจึงพาประชาชนมากมายขนาดนี้เข้ามา หรือว่า... ในสมองของหลายคน ปรากฏภาพที่คุ้นเคย ภาพและบรรยากาศตรงหน้า เหมือนกับตอนที่องค์ชายหกหลี่เซวียนนำทหารก่อกบฏ บุกเข้าวังหลวง ต่างกันตรงที่... ตอนที่หลี่เซวียนก่อกบฏ ยังมีหลี่หลงหลิน ซูเฟิ่งหลิง นำทหารพ่ายศึกของตระกูลซูมาพลิกสถานการณ์! แต่ตอนนี้... หลี่หลงหลินกลับพาชาวบ้านบุกเข้าวังหลวง หมายจะก่อกบฏ! ผู้พิชิตมังกร ในที่สุดก็กลายเป็นมังกรเสียเอง! หลี่เทียนฉี่เป็นคนแรกที่ตอบสนอง จึงตะโกนด่า: “องค์รัชทายาท นี่จะก่อกบฏ! เสด็จพ่อ นี่เป็นการกบฏ ถือเป็นความผิดร้ายแรง ไม่อาจให้อภัยได้! ขอเสด็จพ่อทรงมีราชโองการ ปลดหลี่หลงหลินจากตำแหน่งองค์รัชทายาท!” ขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ต่างเห็นพ้อง: “ฝ่าบาท การกระทำขององค์รัชทายาท เกินไปแล้ว!” “ที่องค์รัชทายาทเหิมเกริมเช่นนี้ เป็นเพราะฝ่าบาททรงโปรดปรานและตามใจ จนเกิดเรื่องในวันนี้!” “ใช่แล้ว ฝ่าบาท! ครั้งนี้ ต้องลงโทษองค์รัชทายาทอย่างหนัก!” ฮ่องเต้หวู่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร สีหน้าเคร่งขรึม เอ่ยด้วยเสียงดังกึกก้อง: “พวกเจ้าทุกคนจงเงียบ! พวกเจ้านี่ช่างด่วนส
ประตูอู่เหมิน ข้างกลองร้องทุกข์ ภายใต้สายตาของชาวบ้านนับพันนับหมื่น หลี่หลงหลินส่งไม้ตีกลองให้ซูเฟิ่งหลิงที่อยู่ข้างๆ สองมือไพล่หลัง เอ่ยด้วยท่าทางหยิ่งผยอง: “เว่ยกงกง พูดอะไรเช่นนี้ ชาวบ้านตีกลองร้องทุกข์ได้ เหตุใดองค์รัชทายาทจะตีไม่ได้?” เว่ยซวินพูดไม่ออก ยืนงงในสายลม จู่ๆ เขาก็คิดถึงองค์ชายเก้าในอดีต กินดื่มเที่ยวเล่น ฟังดนตรีในหอนางโลม ซ่อนคมอย่างสงบ เป็นขยะที่รอวันตาย แล้วตอนนี้ล่ะ? เรื่องที่หลี่หลงหลินทำ ช่างถี่กระชั้น! จากงานเลี้ยงชมดอกไม้ร้อยบุปผาในคืนส่งท้ายปีเก่า ถึงพิธีสักการะฟ้าดินในวันขึ้นปีใหม่ ช่วงปียังไม่ทันผ่านพ้น หลี่หลงหลินก็มาตีกลองร้องทุกข์ ร้องฎีกา! นี่จะไม่ให้ใครได้พักผ่อนกันสักวันเลยหรือ ยิ่งไปกว่านั้น... จุดประสงค์แรกเริ่มของการตั้งกลองร้องทุกข์นี้ ฮ่องเต้ผู้ก่อตั้งต้าเซี่ยทรงตั้งไว้ให้ชาวบ้านที่สิ้นไร้หนทาง ท่านเป็นถึงองค์รัชทายาท จะมีเรื่องอยุติธรรมใด? พระองค์จะมาสร้างเรื่องวุ่นวายอะไร! แม้ในใจเว่ยซวินจะบ่นพึมพำ แต่ใบหน้ากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม: “องค์รัชทายาท บ่าวพูดผิดไป! กลองร้องทุกข์นี้ ชาวบ้านตีได้ พระองค์ก็ย่อมตีได้ บ่าวจะกลับ
เจิ้งถูฮู่ดวงตาเป็นประกาย หัวเราะเสียงดัง: “ไม่มีประโยชน์หรือ? เจ้าจะไปรู้อะไร! พิธีสักการะฟ้าดิน ไม่มีประโยชน์อะไรจริงๆ แต่ตอนนี้มีคนตีกลองร้องทุกข์ ร้องฎีกา!” “เจ้ารู้กฎของกลองร้องทุกข์หรือไม่?” เจิ้งเทียนฉินส่ายหน้า สีหน้ามึนงง พูดตามตรง เขาไม่รู้จริงๆ ในสำนักศึกษา สอนแต่สี่ตำราห้าคัมภีร์ เรียงความของนักปราชญ์ ไม่สอนเรื่องพวกนี้เลย ที่จริง ตอนเด็กเจิ้งเทียนฉินก็เคยถามอาจารย์ว่า กลองร้องทุกข์มีไว้ทำอะไร ผลก็คือ อาจารย์สีหน้ามืดมน แล้วเอาไม้เรียวมาตีมือเขา การตีกลองร้องทุกข์ ในสายตาของสำนักปราชญ์ คือการที่ไพร่ก่อเรื่อง ในสำนักศึกษา สอนวิถีแห่งปราชญ์ ไม่ใช่สอนให้คนเป็นไพร่ เจิ้งถูฮู่ยิ้มพลางอธิบาย: “ตามกฎที่ฮ่องเต้ผู้ก่อตั้งต้าเซี่ยตั้งไว้! ไม่ว่าผู้ใด หากตีกลองร้องทุกข์ ร้องฎีกา ฮ่องเต้จะต้องเสด็จมาไต่สวนคดีนี้ด้วยพระองค์เอง!” “ยิ่งไปกว่านั้น ชาวบ้านมีสิทธิ์เข้าไปในพระราชวังต้องห้าม เพื่อชมการไต่สวน เป็นการแสดงถึงความยุติธรรม!” เจิ้งเทียนฉินตกตะลึง พระราชวังต้องห้าม สำหรับชาวบ้านทุกคนแล้ว เป็นสถานที่ลึกลับและศักดิ์สิทธิ์ เขาก็เช่นกัน ตอนเด็ก เจิ้งเทียนฉ
กลองร้องทุกข์ กลองนี้คือกลองที่ฮ่องเต้ผู้ก่อตั้งต้าเซี่ยทรงประดิษฐานไว้หน้าประตูอู่เหมิน หากชาวบ้านได้รับความอยุติธรรม ก็สามารถมาตีกลองร้องทุกข์นี้ เพื่อเป็นการยื่นฎีกา ให้เรื่องราวไปถึงเบื้องพระยุคลบาทได้ ทว่า... นับตั้งแต่ก่อตั้งต้าเซี่ยมา จำนวนครั้งที่กลองร้องทุกข์ถูกตีนั้น แทบนับครั้งได้ และล้วนเกิดขึ้นในช่วงต้นของการก่อตั้งอาณาจักร ร้อยปีให้หลังมานี้ กลองร้องทุกข์ไม่เคยถูกตีแม้แต่ครั้งเดียว กลายเป็นเพียงของประดับ เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น? สาเหตุก็แสนง่ายดาย ทุกครั้งที่กลองร้องทุกข์ดังขึ้น หมายความว่ามีคดีใหญ่สะเทือนฟ้าดินอุบัติขึ้น ฮ่องเต้จะต้องเสด็จมาไต่สวนคดีนี้ด้วยพระองค์เอง ทั้งยังมีชาวบ้านและขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ร่วมเป็นสักขีพยาน เพื่อแสดงถึงความยุติธรรม นั่นก็หมายความว่า... เมื่อใดก็ตามที่กลองร้องทุกข์ถูกตี ไม่รู้ว่าจะมีขุนนางกี่คนที่ต้องหัวหลุดจากบ่า เลือดนองแผ่นดิน ดังนั้น... เหล่าขุนนางจึงคิดหาวิธี โดยอ้างว่ากลองร้องทุกข์จะรบกวนเบื้องพระยุคลบาท ไม่เพียงแต่ส่งคนไปเฝ้ากลอง ยังซ่อนไม้ตีกลองเอาไว้ นอกเหนือจากนี้ ไม่ว่าผู้ใด หากตีกลองร้องทุกข