ฮ่องเต้หวู่ต้องการไปเข้าร่วมงานชุมนุมวรรณกรรมด้วยตัวเอง ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยอย่างแน่นอนเมื่อข่าวนี้ออกมา ทั้งเมืองหลวงก็คึกคักสถานที่จัดงานชุมนุมวรรณกรรมจัดขึ้นที่วิหารขงจื๊อ!วิหารขงจื๊อเป็นสถานที่สำหรับสักการะนักปราชญ์ กว้างขวางพอที่จะรองรับคนได้นับพันคนในวันเดียวกันนั้นรถม้าก็วิ่งมาถึงหน้าวิหารขงจื๊อทีละคัน ชนชั้นสูงและขุนนางก็เดินลงมา“รีบไปดูสิ! พวกคนชั้นสูงมากันแล้ว!”“เสนาบดีกรมทั้งหกคน ปราชญ์มหาสำนักเลขาธิการ และอัครมหาเสนาบดี...”“คนใหญ่คนโตมากันมากขนาดนี้ ช่างเป็นการแข่งขันที่ใหญ่มากจริงๆ!”“ไม่เพียงแต่ชนชั้นสูงต่างๆ เท่านั้น แต่ฮ่องเต้ก็จะเสด็จมาเป็นประธานในงานชุมนุมวรรณกรรมด้วย!”“มันก็แค่งานชุมนุมวรรณกรรมเท่านั้นไม่ใช่หรือ? เหตุใดต้าเซี่ยถึงได้ให้ความสำคัญขนาดนี้ล่ะ?”“เรื่องนี้ทำอะไรกับมันไม่ได้หรอก! ใครใช้ให้สำนักศึกษาแห่งแคว้นและสำนักฮั่นหลินพ่ายแพ้กันล่ะ! หากสำนักศึกษาแพ้ ชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือจะต้องหัวเราะเยาะพวกเราต้าเซี่ยว่าไม่มีคนที่มีความสามารถ!”เหล่านักเรียนวัยรุ่นของสำนักศึกษาพากันพูดคุยในเวลานี้ คณะทูตชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือก็มาถึงเซ
พูดง่าย ๆ คือถ้าจะบอกว่าเซียวเม่ยเอ๋อร์เป็นเหมือนจิ้งจอกสาว มีเสน่ห์ที่สามารถทำให้ผู้คนหลงใหลได้ หลิ่วหรูเยียนก็คงเหมือนจิ้งจอกที่บำเพ็ญตบะมานานนับพันปี ไม่เพียงแต่สามารถทำให้ผู้คนหลงใหลได้ แม้แต่เทพเซียนยังต้องหวั่นไหว! “เจอคู่แข่งแล้ว!” เซียวเม่ยเอ๋อร์เหมือนถูกต่อยเข้าที่กลางอก สีหน้าไม่ค่อยดี “พวกนางเป็นใครกัน?” “ใต้หล้านี้ จะมีหญิงสาวที่งดงามถึงเพียงนี้ได้อย่างไร?” เซียวเซวียนเช่อเองก็ตกตะลึงไม่แพ้กัน “ได้ยินว่าองค์ชายเก้ามีสัญญาหมั้นหมายกับซูเฟิ่งหลิงแล้ว!” “หญิงสาวในชุดแดงคนนั้น น่าจะเป็นซูเฟิ่งหลิง เด็กกำพร้าแห่งตระกูลซู!” “ส่วนหญิงสาวอีกสี่คน คงเป็นพี่สะใภ้ขององค์ชายเก้า!” เซียวเม่ยเอ๋อร์กระจ่างแจ้งขึ้นมาทันที “ไม่แปลกใจเลยที่องค์ชายเก้าไม่สนใจข้า! ที่แท้ สตรีในเรือนเขา แต่ละคนงดงามกว่าข้าเสียอีก!” “แม้แต่ข้าเองยังรู้สึกอาย!” “เขาช่างมีวาสนาในเรื่องความรักจริง ๆ!” ไม่เพียงแต่เซียวเม่ยเอ๋อร์ ทุกคนที่อยู่ในที่นั้น ต่างก็มองไปที่หลี่หลงหลินด้วยแววตาอิจฉา! ซูเฟิ่งหลิงที่ว่าเป็นแม่เสือโคร่งขอเว้นไว้ก่อน หากพวกเขารู้ว่ามีหญิงม่ายสาวสวยในตระกูลซูมากมายขนาด
เมื่อฮ่องเต้หวู่เห็นท่าทางของบัณฑิตผู้มีชื่อเสียงในสำนักศึกษาเหล่านั้น ใบหน้าของเขาก็เคร่งขรึมขึ้น ในใจเขาเองก็เข้าใจดี สำนักศึกษาแห่งแคว้นและสำนักฮั่นหลินคงหวังพึ่งพาอะไรไม่ได้ หากพ่ายแพ้ให้กับเซียวเซวียนเช่อ เช่นนั้นเหล่าบัณฑิตผู้มีชื่อเสียงของสำนักศึกษาก็ดีขึ้นไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว เมื่อพิจารณาถึงรากเหง้าที่แท้จริงแล้ว พวกเขาก็เป็นพวกเดียวกัน! ยังไม่เริ่มสู้รบ แต่ก็กลัวเสียแล้ว จะสู้รบกันต่อไปได้อย่างไร? แต่อย่างไรก็ตาม ขนาดฮ่องเต้หวู่ก็ยังมา แม้เขาจะไม่สามารถกำหนดผลแพ้ชนะได้ แต่เขาก็สามารถรับรองได้ว่างานชุมนุมวรรณกรรมครั้งนี้จะมีความยุติธรรมที่สุด! จะไม่มีใครสามารถใช้เล่ห์เหลี่ยมใด ๆ ในงานนี้ได้! ถึงแม้ว่าจะหวังพึ่งพาบัณฑิตผู้มีชื่อเสียงเหล่านี้ไม่ได้ แต่ในสำนักศึกษาก็ยังมีคนหนุ่มสาวอยู่!ชาวต้าเซี่ยมีผู้มีความสามารถมากมาย บางทีอาจจะมีผู้ที่มีพรสวรรค์โดดเด่นออกมาช่วยกอบกู้สถานการณ์ก็ได้! ฮ่องเต้หวู่เดินไปยังรูปปั้นของนักปราชญ์ ก้มกราบอย่างเคารพ หลังจากจุดธูปสามดอกแล้ว จึงประกาศว่า "งานชุมนุมวรรณกรรมได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว! ประลองกลยุทธ์ทางทหาร!" งานชุมนุมวรรณกรรม
เซียวเซวียนเช่อเผยยิ้มเล็กน้อย และสั่งให้เยลู่เกอแบกหีบขนาดใหญ่ใบหนึ่งมาวางตรงหน้าฮ่องเต้หวู่ เขาพูดด้วยสีหน้าภาคภูมิใจว่า “ฝ่าบาท นี่คือตำรายุทธวิธีทั้งสิบสองเล่มที่ข้ารวบรวมมาด้วยความวิริยะอุตสาหะ!” “ขอฝ่าบาทช่วยชี้แนะสักหน่อย!” ฮ่องเต้หวู่เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ตำรายุทธวิธีสิบสองเล่ม ข้าได้ยินชื่อเสียงกิตติศัพท์มานานแล้ว...” ทางฝั่งสำนักศึกษา เหล่าบัณฑิตผู้มีชื่อเสียงก็รีบสั่งให้คนไปนำตำรายุทธวิธีที่เพิ่งรวบรวมเสร็จออกมาถวายเช่นกัน ซึ่งก็เป็นกล่องขนาดใหญ่อีกหลายใบ แม้คุณภาพจะไม่เท่าไหร่ แต่ปริมาณก็ช่วยได้! อย่างน้อยดูจากปริมาณก็ข่มขวัญไปได้บ้าง ฮ่องเต้หวู่เริ่มต้นด้วยการอ่านตำรายุทธวิธีที่สำนักศึกษาการรวบรวมขึ้นก่อน เมื่ออ่านผ่าน ๆ ไม่กี่หน้า ฮ่องเต้หวู่ก็ต้องอดทนกลั้นความโกรธเอาไว้! แย่มาก! ข้าให้สำนักศึกษารวบรวมตำรายุทธวิธี ผ่านมาตั้งหลายวันแล้ว กลับได้ผลงานห่วยแบบนี้หรือ? บัณฑิตพวกนี้ทำอะไรกันอยู่? นี่มันตำรายุทธวิธีตรงไหน? เป็นเหมือนเอาอะไรประหลาดๆมาปะติดปะต่อกันมั่วๆ พูดให้ชัดเจนเลยก็คือ การนำเอาหนังสือเกี่ยวกับยุทธวิธีของต้าเซี่ยมาทั้งหมด แล้วน
ทันทีที่คำพูดของฮ่องเต้หวู่ออกมา วิหารขงจื๊อก็เงียบสงัดราวกับตกอยู่ในห้วงความตาย! ฮ่องเต้หวู่ยอมแพ้! ต้าเซี่ยพ่ายแพ้แล้ว! ทุกคนต่างรู้สึกโศกเศร้าอย่างสุดซึ้ง! การแพ้สงครามให้กับชาวหมานยังไม่ใช่เรื่องน่าอับอาย! ทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งที่ต่ำต้อย มีแต่การอ่านหนังสือเท่านั้นที่สูงส่ง ต้าเซี่ยให้ความสำคัญกับวรรณกรรมมากกว่าการทหารมานานแล้ว แม้แต่ฮ่องเต้หวู่ก็ไม่สามารถพลิกกระแสความนิยมนี้ได้ สิ่งที่ชาวต้าเซี่ยภาคภูมิใจที่สุดคือประวัติศาสตร์อันยาวนานและวัฒนธรรมอันเจิดจรัส แต่ผลที่ได้คือ ในงานชุมนุมวรรณกรรมครั้งนี้ ต้าเซี่ยพ่ายแพ้ในด้านความรู้ให้กับชนเผ่าป่าเถื่อนทางตอนเหนือ! จะมีอะไรน่าอับอายไปกว่านี้อีก? บัณฑิตมากมายนับไม่ถ้วนต้องเอามือปิดหน้าร้องไห้โฮ! มันน่าอายเกินไปจริงๆ! เหล่าชนชั้นสูงและข้าราชการต่างส่ายหน้าถอนหายใจ สีหน้าหมองคล้ำราวกับตายแล้ว พวกเขามาร่วมงานชุมนุมวรรณกรรมเพื่อชมต้าเซี่ยเอาชนะคู่ต่อสู้ ไม่ใช่มาเพื่อดูชาวหมานมาโอ้อวด หากเป็นเหล่าบัณฑิตผู้มีชื่อเสียงที่ยอมแพ้ อาจจะยังหาทางแก้ไขได้ แต่ผู้ที่ยอมแพ้คือฝ่าบาท! นั่นก็เท่ากับการตบหน้าชาวต้าเซี่ย
เซียวเซวียนเช่อไม่พอใจกับผลของสถานการณ์ในตอนนี้ ต้องการตัดรากถอนโคน แม้แต่ตระกูลซูก็ไม่เว้น ฮูหยินผู้เฒ่าซูตัวสั่นด้วยความโกรธ “การทำอะไรควรเผื่อทางไว้ เพื่อที่จะได้พบกันอย่างสง่างามในวันหน้า!” “ท่านราชครู ท่านต้องโหดร้ายขนาดนี้เลยหรือ?” เซียวเซวียนเช่อหัวเราะดังลั่น “สงครามระหว่างสองแคว้น ไม่มีสิ่งใดที่เป็นไปไม่ได้!” “ขอให้ท่านฮูหยินผู้เฒ่าได้โปรดชี้แนะกลยุทธ์ทางการทหารด้วย!” ฮูหยินผู้เฒ่าซูโกรธจนควบคุมตนเองไม่ได้ แต่ก็ไม่มีทางตอบโต้ แม้ตัวเองจะเข้าใจเรื่องกลยุทธ์ แต่ก็เหมือนกับแม่ทัพทั่วไป ที่มีความรู้ไม่ลึกซึ้งพอ ทำให้เขียนอะไรออกมาไม่ได้ นอกจากนี้ ตัวเองก็มีอายุมากแล้ว ไม่ได้อยู่ในสนามรบมาหลายสิบปี ไม่คุ้นเคยกับการทำศึกอีกต่อไป ถึงแม้ว่าจะพยายามเขียนกลยุทธ์ออกมา ก็เป็นกลยุทธ์ที่ล้าสมัยแล้ว ส่วนซูเฟิ่งหลิง แม้จะได้รับการถ่ายทอดกลยุทธ์ทางการทหารจากตระกูลซู แต่นางก็ไม่เคยเข้าสนามรบ ขาดประสบการณ์ทางปฏิบัติ จึงไม่มีทางที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของเซียวเซวียนเช่อได้ จะทำอย่างไรดี? หรือว่าตระกูลซูก็ต้องยอมแพ้? แต่ถ้าตระกูลซูยอมแพ้ มันก็จะไม่มีข้อแก้ตัวอะไรอีกแล้ว ต้าเซี่ยจ
ตำราพิชัยสงครามซูจื่อ? หลี่หลงหลินตกใจเล็กน้อย พลางมองฮ่องเต้หวู่ด้วยความรู้สึกที่พูดไม่ออก เสด็จพ่อ พระองค์เริ่มอายุมากแล้วจริง ๆ หูพระองค์ไม่ค่อยดีแล้วหรือ? ข้าเพิ่งพูดไปว่าเป็น ‘ซุนจื่อ’ ไม่ใช่ ‘ซูจื่อ’... แต่หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง หลี่หลงหลินก็คิดว่า ‘ซูจื่อ’ ก็ ‘ซูจื่อ’ ในเมื่อเข้าใจผิดไปแล้วก็ปล่อยไปเลย ไม่เพียงแต่สามารถอธิบายที่มาของตำรานี้ได้ แต่ยังสามารถช่วยยกชื่อเสียงให้กับตระกูลซูได้อีกด้วย จะมีอะไรดีไปกว่านี้อีก? หลี่หลงหลินพยักหน้า “ใช่แล้ว! ตำราเล่มนี้เป็นผลงานที่ตระกูลซูแต่งขึ้นเอง!” เดิมทีฮ่องเต้หวู่ก็ไม่ได้รู้สึกสนใจอะไรมาก เพราะไม่มีใครรู้จักลูกดีเท่าพ่อ องค์ชายเก้ามีความฉลาดพอตัว ถือว่ามีความรู้ติดตัวอยู่บ้าง แต่ฮ่องเต้หวู่ไม่เชื่อว่า องค์ชายเก้าซึ่งไม่เคยออกรบ จะสามารถเขียนตำรายุทธวิธีที่ดีได้ และเกรงว่ามันจะยิ่งแย่กว่าตำรายุทธวิธีที่เหล่าบัณฑิตในสำนักศึกษารวบรวมขึ้นมาเสียอีก! ในงานชุมนุมวรรณกรรมวันนี้ ศักดิ์ศรีของพระองค์ถูกลดทอนลงมากพอแล้ว เจ้ายังจะซ้ำเติมเราอีกหรือ แล้วต่อไปเราจะเอาหน้าที่ไหนไปพบผู้คน? แต่ถ้าตำราเล่มนี้เป็นผลงาน
เซียวเซวียนเช่อมั่นใจว่าตำรายุทธวิธีใด ๆ ก็ตามไม่มีทางสู้กับตำรายุทธวิธีสิบสองบทของตนได้ เพราะท้ายที่สุดแล้ว... ในสายตาของเซียวเซวียนเช่อ แม่ทัพผู้เฒ่าซูเคยพ่ายแพ้ให้กับเขามาแล้ว ตำรายุทธวิธีที่เขาเขียนขึ้น แม้จะมีจุดที่โดดเด่นอยู่บ้าง แต่เมื่อเทียบกับตนเองแล้วยังห่างไกลนัก แต่ฮ่องเต้หวู่กลับส่งตำราพิชัยสงครามซูจื่อให้เซียวเซวียนเช่อทันทีโดยไม่มีท่าทีลังเล “เอาไปดูสิ!” ท่าทางของพระองค์นั้นเต็มไปด้วยความมั่นใจ เหมือนแน่ใจว่าเซียวเซวียนเช่อต้องแพ้อย่างแน่นอน! สีหน้าของเซียวเซวียนเช่อเปลี่ยนไปทันที เขารับตำราพิชัยสงครามซูจื่อมาด้วยมือที่สั่นเล็กน้อย แล้วเปิดอ่านอย่างละเอียด ทุกคนในที่นั้นต่างจับจ้องเซียวเซวียนเช่อ และสังเกตทุกอากัปกิริยาของเขา ในตอนแรก สีหน้าของเซียวเซวียนเช่อยังเต็มไปด้วยความหยิ่งยโสและดูแคลนอยู่บ้าง แต่ไม่นานนัก สีหน้าของเขาก็เริ่มเปลี่ยนไปอย่างน่าประหลาดใจ ร่างกายสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ ท้ายที่สุด นอกจากความตกตะลึงแล้ว ยังมีแววแห่งความดีใจอย่างสุดซึ้งอีกด้วย! เป็นแบบเมื่อได้ยินถึงหลักธรรมในตอนเช้า แม้ต้องตายในตอนเย็นก็ไม่เสียดายชีวิต! ผู้คนต่างส
หลังผ่านไปหนึ่งชั่วยามหลี่หลงหลินเปิดฝาโอ่งน้ำใหญ่ด้วยใบหน้าลึกลับเหล่าสะใภ้ต่างคาดหวัง เตรียมเป็นพยานความอัศจรรย์ซี้ด!ไอเย็นเสียดแทงกระดูกสายหนึ่งส่งเข้ามา ทำให้เหล่าสะใภ้ไม่เพียงตัวสั่น ภาพเบื้องหน้ายังชวนให้คนตกตะลึงพรึงเพริด!มองเห็นน้ำในโอ่งน้ำใหญ่ทั้งหมดกลายเป็นก้อนน้ำแข็ง เย็นจนคนรู้สึกหนาว!ทุกคนกลับหายใจเย็นเฮือกหนึ่ง หันมองทางหลี่หลงหลินด้วยสายตาตกตะลึงพรึงเพริด สีหน้าเผือดซีด!ใบหน้ากงซูหว่านล้วนคือความตกตะลึง ในสายตาของนางหลี่หลงหลินไม่ต่างอันใดจากตำนานเสกหินให้เป็นทอง เพียงใช้เกลือหมางเซียวก็สามารถทำให้น้ำกลายเป็นน้ำแข็งได้แล้วหรือ? นี่เหลือจะเชื่อเกินไปแล้ว!กงซูหว่านเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ “องค์ชาย นี่ทำได้เยี่ยงไร? นี่หรือว่าเป็นวิชาเซียนจริง?”หลี่หลงหลินหยิบถุงเกลือหมางเซียวในมือออกมาและพูดว่า “ตอนผสมเกลือหมางเซียวนี้กับน้ำจะสามารถดูดความร้อนมหาศาลได้ สามารถทำให้อุณหภูมิลดลงจนเหลือศูนย์องศา ดังนั้นภายใต้สถานการณ์เช่นนี้น้ำย่อมกลายเป็นน้ำแข็ง”หลี่หลงหลินไม่ปกปิด เล่าหลักการทั้งหมดให้กงซูหว่านฟัง อย่างไรเสียภายภาคหน้ายังต้องการให้มีคนไปสอนราษฎร์ตงไห่ทำน้ำแข็
ทุกคนล้วนตกตะลึง ไม่เคยได้ยินมาก่อน ทั้งยังไม่เคยพบเห็นแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยได้ยินผู้ใดเอ่ยถึงเจ้าสิ่งนี้ซูเฟิ่งหลิงแปลกใจอยู่บ้าง “องค์ชาย เหตุใดคนสามารถทำน้ำแข็งได้เล่า? ไม่ใช่ขุดมาจากพื้นที่หนาวแดนเหนือหรอกหรือ หรือว่าสามารถทำให้อุณหภูมิของตงไห่ลดลงได้?”ซูเฟิ่งหลิงรู้ว่าน้ำแข็งเป็นผลผลิตของฤดูหนาว แต่นางนึกไม่ออกว่าคนทำน้ำแข็งที่หลี่หลงหลินพูดคือสถานการณ์เช่นไร ในสายตานางมันเป็นเรื่องเพ้อฝัน และไม่มีวันเป็นจริงได้หลี่หลงหลินยิ้มน้อยๆ และพูดว่า “อีกเดี๋ยวเจ้าจะได้รู้”ทุกคนมองหลี่หลงหลินด้วยสายตาตกตะลึง คิดว่าเขาอาจเป็นเทพเซียนกลับชาติมาเกิด หาไม่แล้วจะทำเรื่องชวนให้คนรู้สึกเหลือจะเชื่อได้เยี่ยงไร?หลี่หลงหลินมองซุนชิงไต้และพูดว่า “พี่สะใภ้สาม ไม่รู้ท่านที่นั่นมีเกลือหมางเซียวหรือไม่?”เกลือหมางเซียวหรืออีกชื่อคือดินประสิว เป็นของสำคัญที่หลี่หลงหลินใช้รักษาโรคอยู่ที่ต้าเซี่ย เกลือหมางเซียวมิใช่ของหายาก เพียงแต่ถูกคนนำมาทำเป็นยาระบายขับพิษ ชนิดที่ว่ามีคนนำไปให้สัตว์ใช้แรงกิน สามารถเพิ่มความแข็งของเปลือกไข่ในสัตว์ปีกได้ สามารถพบเห็นได้ทั่วไปและราคาถูกมากซุนชิงไต้มองหลี่หลง
จวนอ๋องตงไห่ ลั่วอวี้จู๋มองเหล่าทหารที่ลำเลียงปลาหวงฮื้อใหญ่เข้ามาในวังทีละคันรถ ในดวงตาเต็มไปด้วยความยินดี “องค์รัชทายาท ท่านช่างยอดเยี่ยมจริงๆ! มีวิธีการจับปลานี้แล้ว ชาวบ้านทะเลตงไห่ทุกครัวเรือนก็จะได้กินเนื้อ ไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารอีกต่อไป” ความกังวลก่อนหน้านี้ของลั่วอวี้จู๋มลายหายไปสิ้น ขอเพียงชาวบ้านมีกินมีใช้ ก็จะไม่เกิดเรื่องราววุ่นวายขึ้นอีก ทุกคนอยู่อย่างสงบสุข ทะเลตงไห่ก็จะปรองดองสามัคคี การก่อกบฏก็จะสงบลงไปเอง มิเช่นนั้นหากมีคนชั่วก่อความวุ่นวาย คอยขัดขวางอยู่เบื้องหลัง สุดท้ายผู้ที่ได้รับผลกระทบก็คือเหล่าชาวบ้านอยู่ดี ซุนชิงไต้จ้องมองปลาหวงฮื้อใหญ่รถแล้วรถเล่าตาไม่กะพริบ น้ำลายไหลออกมาอย่างควบคุมไม่ได้: “ปลาหวงฮื้อใหญ่นี้ทั้งอ้วนทั้งอร่อย ชาวทะเลตงไห่คราวนี้จะได้ลิ้มรสของอร่อยแล้ว!” หลังจากได้ปลาหวงฮื้อใหญ่กลับมา ซุนชิงไต้ก็ลงครัวด้วยตนเอง ไม่ว่าจะทอด ผัด ต้ม ตุ๋น ล้วนเป็นรสเลิศแห่งโลกมนุษย์ เพียงแต่หากปลาหวงฮื้อใหญ่ไม่ได้รับการเก็บรักษาที่ดี ด้วยอุณหภูมิของทะเลตงไห่ในตอนนี้ ยิ่งปลาอ้วนเท่าใด ปริมาณโปรตีนในตัวก็ยิ่งสูง อัตราการเน่าเสียก็ยิ่งเร็วขึ้นเท่านั้น
“เปิดยุ้งฉางแจกข้าวหรือขอรับ?” พ่อบ้านชราประหลาดใจอย่างยิ่ง ข้าวสารเหล่านี้ซื้อมาเป็นพิเศษเพื่อปั่นราคา หลายวันก่อนหลู่จงหมิงเพิ่งจะกำชับไว้ว่า หากไม่มีคำสั่งของตน ห้ามผู้ใดเปิดฉางข้าวเป็นอันขาด เพียงไม่กี่วัน สถานการณ์ก็พลิกผัน การเปลี่ยนแปลงรวดเร็วจนน่าตกใจ ทำให้คนตั้งตัวไม่ติด พ่อบ้านยังไม่เข้าใจเจตนาของหลู่จงหมิง หลู่จงหมิงเอ่ยเสียงเข้ม: “ฉวยโอกาสตอนที่พวกตระกูลขุนนางยังไม่เริ่มเทขายข้าวสารในมือ ชิงลงมือก่อนได้เปรียบ! มิฉะนั้นราคาจะยิ่งต่ำลงไปอีก!” “บัดนี้จงนำข้าวสารในมือพวกเราทั้งหมดเทขายออกไปในราคาต่ำสุด! ขอเพียงขายออกไปได้ จะต่ำเพียงใดก็ได้!” หลู่จงหมิงกลัวสถานการณ์เช่นนี้ที่สุด หลี่หลงหลินสอนชาวบ้านจับปลา ไม่เพียงแต่ได้ใจประชาชน แต่ยังแก้ปัญหาเรื่องอาหารที่คับขันได้อีกด้วย สุดท้าย ก็เหลือเพียงตนเองที่ขาดทุนย่อยยับไม่เหลือแม้แต่กางเกงใน หลู่จงหมิงเอ่ยเสียงเข้ม: “ไม่ได้! ข้าจะไปขายข้าวด้วยตนเอง!” ผู้ได้ใจประชาชนย่อมได้ครอบครองแผ่นดิน ในความคิดของหลู่จงหมิง บัดนี้ขอเพียงยอมขายข้าวให้ชาวบ้าน ก็จะเป็นผู้ช่วยให้รอดในใจของชาวบ้านแล้วแม้ว่าจะช้ากว่าหลี่หลงหลิ
หญิงชรามองสุ่ยเซิง เอ่ยอย่างจริงจัง: “สุ่ยเซิง เจ้าบอกความจริงกับแม่มา เจ้าไปลักขโมยปลาของผู้อื่นมาพร้อมกับเถี่ยจู้ใช่หรือไม่?” ในความคิดของหญิงชรา หากไม่ใช่การลักขโมย วันเดียวจะหาปลาได้มากมายเช่นนี้ได้อย่างไร? สุ่ยเซิงยิ้มแล้วชี้ไปยังชาวประมงที่บรรทุกปลาเต็มลำกลับมา: “ท่านแม่! ลูกจะไปลักขโมยปลาของผู้อื่นได้อย่างไร ปลาเหล่านี้ล้วนจับมาได้จากทะเลตามวิธีที่องค์รัชทายาททรงสอนด้วยพระองค์เอง ท่านดูสิ ทุกคนก็จับมาได้ไม่น้อย” หญิงชรามองไป พบว่าชาวประมงที่กลับมาต่างก็มีปลาหวงฮื้อใหญ่ติดมือมาไม่มากก็น้อย เพียงแต่สุ่ยเซิงโชคดีกว่า จับปลาได้มากกว่าเล็กน้อย “องค์รัชทายาททรงสอนพวกเจ้าด้วยพระองค์เองหรือ?” หญิงชรามีสีหน้าลังเล สุ่ยเซิงพยักหน้า ชี้ไปยังท่าเทียบเรือที่ไม่ไกลนัก: “เมื่อวานก็ที่ตรงนั้น องค์รัชทายาทไม่เพียงแต่แบ่งปลาให้พวกเรา ยังทรงสอนวิธีการจับปลาให้พวกเราโดยเฉพาะ ถ่ายทอดเคล็ดวิชาให้พวกเราอย่างไม่ปิดบัง” ฟุบ! หญิงชราทรุดตัวลงนั่งกับพื้น พนมมือ ดวงตาพร่ามัวด้วยน้ำตา: “สวรรค์มีตา สวรรค์มีตาโดยแท้! ต้าเซี่ยมีองค์รัชทายาทเช่นนี้ วันคืนอันแสนลำบากของพวกเราชาวบ้าน ในที่สุดก็จ
เถี่ยจู้เริ่มเหนื่อยล้า อยากจะโยนไม้ท่อนสองอันในมือทิ้งลงทะเลเสียเดี๋ยวนี้ ไม่อยากเชื่อเรื่องเหลวไหลว่าจะมีโชคหล่นจากฟ้าอีกต่อไป แต่พอนึกถึงรสชาติอันโอชะของปลาหวงฮื้อใหญ่ ก็ทำให้เขายังคงยืนหยัดต่อไปได้ ตึง ตึง ตึง... สุ่ยเซิงพลันหรี่ตาลง ชี้ไปยังที่ไกลๆ แล้วเอ่ยว่า: “ทางนั้นดูเหมือนมีความเคลื่อนไหว!” ทุกคนพลันมีชีวิตชีวาขึ้นมา มองไปยังทิศที่สุ่ยเซิงชี้ ก็เอ่ยอย่างประหลาดใจว่า: “มีคลื่นนี่ หรือว่าลมใหญ่กำลังจะมา?” ไร้ลมไหนเลยจะมีคลื่น เพียงแค่ทะเลมีคลื่นซัดสาดขึ้นมากะทันหัน ก็บ่งบอกว่าอีกไม่นานลมใหญ่จะพัดมาถึง สุ่ยเซิงส่ายหน้า สีหน้าแน่วแน่ แล้วเอ่ยว่า: “ไม่...ไม่ใช่คลื่น แต่เป็นปลา!” “ฝูงปลา!” “ไม่! คือคลื่นปลา!” ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างตกตะลึงตาค้าง ราวกับอยู่ในความฝัน ปลาแหวกว่ายถาโถมเข้ามาหาพวกเขาราวกับกระแสน้ำ นานๆ ครั้งก็จะมีปลาใหญ่กระโดดขึ้นเหนือผิวน้ำ ดุจดังเกลียวคลื่นที่ม้วนตัว สุ่ยเซิงตะโกน: “เร็วเข้า! ตักปลา!” เพียงชั่วพริบตา ฝูงปลาก็เข้ามาล้อมเรือประมงไว้แล้ว เหวี่ยงอวน สาวอวน ทุกคนไม่กล้าลังเลแม้แต่น้อย ต่างกลั้นหายใจรวบรวมสมาธิ ออกเรี่ยวแรงทั้
รุ่งเช้า ณ ท่าเทียบเรือตงไห่ อรุณรุ่งตะวันออกฉาย แสงทองสาดส่องนภา เหล่าชาวประมงต่างแย่งกันเข็นเรือประมงลงสู่ทะเล ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความคาดหวังต่ออนาคต “ท่านแม่ ไม่ต้องมาส่งแล้ว ข้าไปกับเถี่ยจู้ไม่เป็นอันใดหรอก วางใจเถิด” สุ่ยเซิงเอ่ยลามารดา วิ่งเหยาะๆ มายังท่าเทียบเรือ ขึ้นเรือประมงไปพร้อมกับเถี่ยจู้และชาวประมงเพื่อนบ้านอีกสองสามคน “สุ่ยเซิง เร็วเข้าสิ เหลือแค่เจ้าแล้ว!” สุ่ยเซิงยิ้มซื่อๆ พลางล้วงห่อกระดาษเคลือบน้ำมันสองห่อออกมาจากอกเสื้อ ส่งให้เถี่ยจู้ เถี่ยจู้สงสัยเล็กน้อย: “นี่คืออันใด?” สุ่ยเซิงยิ้มแล้วเอ่ยว่า: “นี่เป็นสิ่งที่ท่านแม่ยัดเยียดให้ข้าตอนจะออกมา บอกว่าเป็นปลาทอดกรอบที่ทำจากปลาหวงฮื้อใหญ่เมื่อวานนี้ เก็บไว้หลายวันก็ไม่เสีย ให้พวกเราเอาไว้กินเป็นเสบียงแห้งในทะเล” เถี่ยจู้ทำหน้าอิจฉา: “สุ่ยเซิง ท่านแม่ของเจ้าช่างรอบคอบนัก ยังเตรียมเสบียงแห้งให้เจ้าด้วย แต่ว่าปลาที่องค์รัชทายาทแจกเมื่อวานหอมจริงๆ! เมื่อวานข้ากินไปตั้งสามตัว ทำเอาท้องที่หิวมาหลายวันของข้าอิ่มแปล้ไปเลย” คนอื่นๆ ที่มาด้วยกันต่างพูดคุยถึงวิธีการปรุงปลาหวงฮื้อใหญ่กันเซ็งแซ่ ทุกคนต่างบอกเป็นเส
หลู่จงหมิงไม่เคยเห็นปลามากมายเช่นนี้มาก่อน ช่างเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อเกินไป! เหล่าขุนนางที่อยู่รอบๆ ก็ยืนนิ่งตะลึงงัน พูดไม่ออก “องค์รัชทายาท แจกปลาเถิด!” “พวกเราต้องการกินปลา!” ชาวบ้านชูแขนโห่ร้อง แม้ว่าหลี่หลงหลินจะนำปลาทั้งหมดมากองไว้บนท่าเทียบเรือแล้ว แต่ก็ยังคงให้ทหารตระกูลซูเฝ้าไว้ ยังไม่มีทีท่าว่าจะแจกจ่ายปลาให้แก่ชาวบ้าน หลี่หลงหลินเอ่ยเสียงเข้ม: “ข้าเคยพูดเมื่อใด ว่าจะแจกปลาเหล่านี้ให้เปล่าๆ?” ทุกคนต่างส่งเสียงฮือฮา ชาวบ้านมองหลี่หลงหลินด้วยสีหน้าตกตะลึง ในแววตาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ ไม่ใช่ว่าหลี่หลงหลินรับปากเองหรอกหรือ ว่าจะทำให้ชาวบ้านได้กินเนื้อกันถ้วนหน้า? บัดนี้เหตุใดจึงกลับคำเล่า? “ทุกคนเห็นหรือไม่? นี่แหละองค์รัชทายาท ปากก็พร่ำบอกว่าจะให้ชาวบ้านได้กินเนื้อ แต่บัดนี้กลับตระบัดสัตย์!” หลู่จงหมิงเดินมาหน้าชาวบ้าน ใบหน้าเต็มไปด้วยการเย้ยหยัน หลู่จงหมิงฉวยโอกาสทันที ไม่อาจปล่อยให้หลี่หลงหลินชนะใจประชาชนไปง่ายๆ เช่นนี้ได้ หลี่หลงหลินเอ่ยเสียงเข้ม: “ข้าพูดเมื่อใดว่าจะไม่ให้ชาวบ้านกินเนื้อ?” หลู่จงหมิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่รู้ว่าในน้ำเต้าของหลี
ยามเย็น ณ ท่าเรือตงไห่ เรือลำใหญ่ค่อยๆ แล่นเข้าสู่ท่าเรือ บนท่าเทียบเรือมีผู้คนเนืองแน่น ล้วนเป็นชาวบ้านที่มามุงดูเรื่องสนุก ทั้งยังมีขุนนางผู้มีอำนาจไม่น้อยที่มารอสมน้ำหน้าหลี่หลงหลิน หลู่จงหมิงได้ยินว่าวันนี้หลี่หลงหลินออกทะเลไปจับปลา จึงมารออยู่ที่ท่าเทียบเรือตลอดทั้งวัน เพื่อรอที่จะหยามเกียรติหลี่หลงหลิน หลู่จงหมิงมองเรือใหญ่ที่กำลังเทียบท่า ใบหน้าเต็มไปด้วยความดูแคลน: “ยังกล้าคุยโวโอ้อวด ว่าจะทำให้ชาวบ้านได้กินเนื้อกันถ้วนหน้า? ช่างเพ้อฝันลมๆ แล้งๆ ปลาที่จับได้ในทะเลตงไห่แค่นั้น ยังไม่พอให้ตดด้วยซ้ำ!” ขุนนางผู้หนึ่งเอ่ยสมทบ: “พระเชษฐภาดา เดี๋ยวรอตอนที่เอาปลาออกมา พวกเราต้องหยามเกียรติเขาสักครา ต้องระบายความแค้นนี้ให้ได้!” พระเชษฐภาดาแค่นเสียงหัวเราะเย็นชา: “ชาวบ้านมากมายขนาดนี้กำลังจ้องมองอยู่ที่ท่าเรือ ถึงเวลานั้นหากหลี่หลงหลินเอาปลาออกมาไม่ได้ ดูสิว่าเขาจะจัดการอย่างไร!” เรือใหญ่เทียบท่า ชาวบ้านกรูกันเข้ามา ล้อมเรือใหญ่ไว้แน่นขนัด “กลิ่นคาวปลาแรงมาก!” พอชาวบ้านเข้าใกล้เรือใหญ่ กลิ่นคาวปลาก็ปะทะเข้าหน้าทันที “กลิ่นคาวปลาขนาดนี้ ต้องจับปลามาได้มากเท่าใดกัน?”