ท้องฟ้ายังไม่สว่างฮ่องเต้หวู่ตื่นบรรทมตั้งแต่เช้า และเสด็จไปเยี่ยมไทเฮาไทเฮาทรงหายจากอาการประชวร สีหน้าก็ดีขึ้นมาหลังจากฮ่องเต้หวู่ออกจากตำหนักชิงหนิง เขาก็ถอนหายใจ “ยานี้ของเจ้าเก้า เรียกว่าต้นจินจีน่าอะไรสักอย่าง มันวิเศษมาก! อาการประชวรของเสด็จแม่ดีขึ้นเร็วขนาดนี้ ก็เป็นความดีความชอบของเจ้าเก้า!”เว่ยซวินตามหลังมาอย่างใกล้ชิด แล้วเอ่ยเสียงต่ำ “ใช่พ่ะย่ะค่ะ”ทันใดนั้นฮ่องเต้หวู่ก็ถามว่า “จริงสิ! ที่ข้าสั่งให้รับซื้อต้นจินจีน่าในราคาสูง มีข่าวบ้างหรือยัง?”เว่ยซวินกล่าวด้วยใบหน้าเศร้าใจ “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมสั่งให้หน่วยองครักษ์เสื้อแพรไปสอบถามจนทั่ว ค้นหาไปทั่วเมืองหลวง ก็ยังไม่ได้ข่าวเลยแม้แต่น้อย...”ฮ่องเต้หวู่เป็นกังวล ทอดถอนใจว่า “ถ้าเป็นเช่นนี้! ต้นจินจีน่า เดิมทีก็ต้องให้ราชทูตจากต่างแดนนำเข้ามา เป็นของที่ขึ้นอยู่กับฟ้าบันดาล มิอาจร้องขอได้! สถานการณ์โรคมาลาเรียในวังหลวงเป็นอย่างไรบ้าง?”เว่ยซวินกระซิบว่า “เมื่อวานนี้มีพระสนมหลายนางติดเชื้อพ่ะย่ะค่ะ...”ฮ่องเต้หวู่สั่งว่า “ถ้าอย่างนั้นก็เอายาที่เจ้าเก้าเหลือเอาไว้ไปให้พวกนาง!”เว่ยซวินตกตะลึง แล้วรีบพูดว่า “ฝ่าบาท ไม
พวกขุนนางคุกเข่าลงพร้อมตะโกนพร้อมกันว่า “ฝ่าบาท ได้โปรดเสด็จออกจากวัง ไปทอดพระเนตรด้วยตาของตัวเองเถอะพ่ะย่ะค่ะ!”ฮ่องเต้หวู่เงียบขรึมเมื่อก่อนนี้ ข้าจะออกจากวังไปเยี่ยมราษฎรเป็นการส่วนตัว ขุนนางใหญ่ทุกคนห้ามสุดชีวิตราวกับท้องฟ้าจะถล่มฮ่องเต้หวู่ไม่ใช่คนโง่ ในใจรู้เหตุผลดีพูดตามตรงก็เพราะว่ากลัวว่าข้าจะเห็นราษฎร เห็นราษฎรที่ทุกข์ยาก แล้วเปิดโปงการกระทำชั่วของขุนนางที่ทุจริตและบิดเบือนกฎหมายคราวนี้ พวกขุนนางใหญ่ขอร้องให้ข้าออกจากวังหลวงหรือว่า...ค่ายผู้ลี้ภัยจะแย่จริงๆ?เจ้าเก้า หลอกข้าจริงๆ หรือ?คนเรามักจะเชื่อในสิ่งที่ตาเห็นเท่านั้นฮ่องเต้หวู่ก็ไม่มีข้อยกเว้นแม้ว่าหลี่หลงหลินจะพูดอย่างแน่ใจ ว่าโรคมาลาเรียติดต่อได้จากยุง และยังบอกอีกว่าพลาสโมเดียมไม่อาจมองเห็นด้วยตาเนื้อแต่ฮ่องเต้หวู่ไม่เคยเห็นพลาสโมเดียมด้วยตาของตัวเอง มักจะรู้สึกว่ามันคล้ายกับภูเขาเซียนนอกโพ้นทะเลที่ไม่มีอยู่จริงที่เหล่านักล่าเซียนและยาอายุวัฒนะ“ในเมื่อขุนนางทุกคนต้องการให้ข้าออกจากวังหลวง!”“ถ้าอย่างนั้น ข้าจะออกจากวัง ไปเยี่ยมราษฎรไปเยี่ยมเป็นส่วนตัว!”“จะว่าไปแล้ว”“ข้าก็ยังไม่เคยไปค่าย
เมื่อเลิกประชุมฮ่องเต้หวู่กลับมาที่ตำหนักหยั่งชินเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า วางแผนที่จะเดินทาง“ฝ่าบาท...”เว่ยซวินปรนนิบัติฮ่องเต้หวู่ สวมชุดธรรมดาให้กับเขา เขาลังเลที่จะพูด “บ่าวมีเรื่องอยากพูด ไม่รู้ว่าสมควรพูดหรือไม่”ฮ่องเต้หวู่พูดอย่างเย็นชา “พูดมาเถอะ”เว่ยซวินกระซิบว่า “บ่าวคิดว่า ฝ่าบาทที่มีพระวรกายล้ำค่า ไม่ควรเสด็จไปที่ค่ายผู้ลี้ภัยพ่ะย่ะค่ะ”ใบหน้าของฮ่องเต้หวู่มืดมน “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”เว่ยซวินลังเลที่จะพูด “ฝ่าบาท บ่าวเคยได้ยินข่าวลือ ในค่ายผู้ลี้ภัย โรคระบาดยังรุนแรง มีศพเกลื่อนทุกพื้นที่ และ...และ...”ดวงตาของฮ่องเต้หวู่หรี่ลงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “และอะไร? รีบพูดมาสิ!”ฟุบ!เว่ยซวินคุกเข่าลงบนพื้น สีหน้าเศร้าสร้อย “ความเดือดดาลของประชาชน จากนั้นก็จะเกิดการก่อจลาจล!”ฮ่องเต้หวู่ตะลึงอยู่กับที่ หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ส่ายหัวยิ้มอย่างขมขื่น “สถานการณ์แย่มากขนาดนั้นหรือ? แม้แต่ใต้ฝ่าเท้าของโอรสสวรรค์เช่นข้า ก็เกิดการก่อจลาจลของราษฎร...”“แต่ในเมื่อราษฎรก่อการจลาจล ข้ายิ่งต้องไป!”“มีเพียงข้าเท่านั้น ที่จะสามารถหยุดการก่อจลาจลของราษฎรได้!”“
“เจ้าเก้า...”“ข้าเข้าใจการตัดสินใจของเจ้า!”“แต่เส้นทางของการเป็นขุนนางผู้โดดเดี่ยว มันลำบากขนาดนี้ เจ้าจะเดินหน้าต่อไปได้จริงๆ หรือ?”ฮ่องเต้หวู่ถอนหายใจ แล้วสั่งเว่ยซวิน “ข้าต้องไปที่ค่ายผู้ลี้ภัย เจ้าระดมองครักษ์เสื้อแพร ปกป้องความปลอดภัยของข้า! เมื่อไหร่ก็ตามที่สถานการณ์แย่ลงให้ถอนกำลังออกมาทันที!”“ถ้า... สถานการณ์ในค่ายผู้ลี้ภัยเป็นไปตามที่ตู้เหวินยวนพูด และมีการลุกฮือของประชาชน เจ้าเตรียมตัวให้พร้อม ข้าจะเชือดไก่ให้ลิงดู!”“เพียงวิธีนี้เท่านั้น ถึงจะช่วยดับความโกรธของชาวบ้านได้ และความโกรธของขุนนาง...”เว่ยซวินตะลึงงันเชือดไก่ให้ลิงดู?ไก่คือใคร? ลิงคือใคร?หลังจากนั้นไม่นาน เว่ยซวินก็เข้าใจ สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปมาก เอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ฝ่าบาท ท่านคงไม่ได้คิดจะสังเวยองค์ชายเก้า มายับยั้งความโกรธของทุกคนหรอกกระมัง...”ฮ่องเต้หวู่พูดด้วยสีหน้าเย็นชา “ถ้าถึงจุดที่จำเป็น ก็คงมีเพียงแต่วิธีนี้! เจ้าไปจัดการเถอะ”เว่ยซวินอยากพูดแต่ก็หยุดไป ก่อนจะจากไปด้วยร่างที่สั่นเทาฮ่องเต้หวู่เอามือไพล่หลัง แล้วมองไปยังเขาทิศประจิมด้วยสายตาแน่วแน่ “เจ้าเก้า! เจ้าเป็นเด็กดีและกต
ตู้เหวินยวนก็ตะลึงเช่นกันเหตุใดผู้ลี้ภัยแห่งนี้ถึงได้ต่างจากที่ตนคิดเอาไว้มันควรจะมีศพตายเกลื่อนอยู่ทุกพื้นที่ มีเสียงร้องไห้ระงมสะเทือนท้องฟ้าไม่ใช่หรือ ผู้ลี้ภัยทั่วทุกที่สูญเสียญาติพี่น้อง ในใจเศร้าโศกไม่มีที่ให้ระบายมิใช่หรือ?“นี่...”ตู้เหวินยวนพยายามคิดหาแผน ทันใดนั้นแววตาของเขาก็เป็นประกาย “ฝ่าบาท! กระหม่อมรู้แล้ว! ต้องมีคนรู้ข่าวล่วงหน้า...”ใบหน้าของฮ่องเต้หวู่มืดมน “เจ้าหมายความว่าข่าวการมาเยือนเป็นการส่วนตัวของข้ารั่วไหลอย่างนั้นหรือ?”ตู้เหวินยวนเหลือบมองเว่ยซวิน “มีเพียงคำอธิบายนี้เท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ!”เว่ยซวินเดือดดาลอย่างหนัก จ้องมองตู้เหวินยวน “ปากเจ้ามันช่างร้ายกาจจริงๆ!”ตู้เหวินยวนหัวเราะเยาะ “เว่ยกงกง ข้าไม่ได้พูดถึงเจ้าเลย! เจ้าจะเสนอหน้าออกมาทำไม? ไม่ใช่ว่าเจ้าทำผิดอะไรใช่ไหม?”เว่ยซวินโกรธมากจนพูดไม่ออกด้านอำนาจและกลยุทธ์ เว่ยซวินไม่ได้ด้อยไปกว่าตู้เหวินยวนแต่ด้านคารมคมคาย เว่ยซวินยังตามหลังอยู่มากฮ่องเต้หวู่โบกมือแล้วพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “พวกเจ้าสองคนหยุดทะเลาะกันได้แล้ว! สหายเว่ยไปถามคนในค่ายผู้ลี้ภัยว่ามีคนติดเชื้อมาลาเรียกี่คน แล้วอยู่ที่ไหน
ฮ่องเต้หวู่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “แน่นอนว่าเป็นการยกขึ้นสู่สวรรค์” จางเฉวียนงุนงง “ฝ่าบาท คำพูดนี้พระองค์หมายความว่าอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ” ฮ่องเต้หวู่มองจางเฉวียนด้วยแววตาที่ล้ำลึก “ฐานะบุตรสาวของเจ้านั้นสูงส่ง เป็นกิ่งทองใบหยกสมดั่งชื่อเสียงที่ได้รับมา แต่กลับมีความเมตตาต่อประชาชน ป้อนยารักษาโรคให้ประชาชน นี่ไม่เพียงแต่เป็นหน้าเป็นตาให้เจ้า แต่เป็นหน้าเป็นตาให้เราด้วย” “เจ้ามีบุตรสาวเช่นนี้ ก็เพียงพอแล้วจริงๆ” จางเฉวียนหน้าแดงหูแดง ค้อมตัวลงแล้วเอ่ย “ฝ่าบาท พระองค์ชมเกินไปแล้ว” ฮ่องเต้หวู่กวาดสายตามองไปยังขุนนางที่ติดตามมา และเอ่ยติดตลก “มิน่าเล่า บุตรสาวของพวกเจ้าถึงได้หนีกลับมาจากเขาประจิม ก็จริงอย่างที่ว่า มีพ่อแบบไหน ก็ได้ลูกแบบนั้น เหล่าขุนนางต่างมีสีหน้าตะขิดตะขวง พวกเขาก้มหน้าลง ไม่กล้าพูดอะไรสักคำ ตู้เหวินยวนเอ่ยเยาะเย้ย”ฝ่าบาท องค์ชายเก้าทำเช่นนี้ เป็นเพียงการแสดงเพื่อให้ดูดีไปเท่านั้น ถ้าจะพูดให้ถึงที่สุดแล้ว คนไข้เหล่านี้ที่เป็นโรคมาลาเรีย อย่างน้อยครึ่งหนึ่งก็ต้องตาย! ฮ่องเต้หวู่ขมวดคิ้วมุ่น แม้ว่าตู้เหวินยวนจะทำเพื่อให้คนเกลียด แต่สิ่งที่พูดกลับเป็นเรื่องจริง เ
ฮ่องเต้หวู่มองไปทางหลี่หลงหลินด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ “ทุกคนที่อยู่ในรายชื่อนี้ เจ้าเป็นคนรักษาให้หายหรือ?” หลี่หลงหลินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หากเสด็จพ่อไม่เชื่อ สามารถส่งคนไปตรวจสอบได้” ฮ่องเต้หวู่เคร่งขรึมไป หลี่หลงหลินไร้ซึ่งความกลัว แสดงว่าต้องเตรียมการไว้นานแล้วแน่ ตู้เหวินยวนพูดแทรกขึ้น “มีรายชื่อคนไข้ที่หายดี แต่รายชื่อคนตายอยู่ไหนเล่า?” ขุนนางใหญ่คนอื่นๆก็ลุกขึ้นช่วยพูด “ใช่ๆ คนที่รักษาหายมีเยอะขนาดนี้ คนที่ตายต้องมีเยอะกว่าแน่” หลี่หลงหลินยิ้มเยาะ และออกคำสั่งว่า “พี่สะใภ้ใหญ่ ช่วยไปนำสมุดรายชื่อคนที่ตายมาด้วย” หลังจากนำสมุดรายชื่อมาส่ง ฮ่องเต้หวู่ก็อดใจรอไม่ไหวที่จะเปิดออกดู และก็ต้องตกตะลึงอีกครั้ง ข้างในมีชื่ออยู่แค่ไม่กี่สิบรายชื่อ ฮ่องเต้หวู่อุทานด้วยความประหลาดใจ “เจ้ารักษาคนให้หายได้นับพันคน แต่คนที่ตายมีแค่ไม่กี่สิบคนเองหรือ” ในยุคสมัยของต้าเซี่ย อัตราการเสียชีวิตจากโรคมาลาเรียสูงมาก ถึงเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว ผลคือ การเสียชีวิตกลับมีแค่ไม่กี่สิบคน ไม่อาจจินตนาการได้เลย! หลี่หลงหลินถอนหายใจออกมาหนึ่งครั้ง “ผู้ป่วยเหล่านี้ส่วนใหญ่มีอายุมากแล้ว
คำพูดนี้บีบหัวใจมาก! พวกเขาไม่เพียงแต่ทำลายล้างความสำเร็จทั้งหมดของหลี่หลงหลินและซุนชิงไต้เท่านั้น! แต่ยังพุ่งเป้าไปที่ทั้งสองคนโดยตรงด้วย! ใส่ร้ายพวกเขาว่าเป็นต้นเหตุหลักของการแพร่ระบาดโรคมาลาเรีย! ซูเฟิ่งหลิงทนฟังไม่ได้อีกต่อไป สีหน้านางแดงก่ำขึ้น นางจ้องตู้เหวินยวนด้วยความโกรธ ฝ่ามือนางกำทวนเงินไว้ในแน่น! หากไม่ได้อยู่ต่อหน้าฝ่าบาท! นางคงจะทำให้ตู้เหวินยวนขุนนางกังฉิน ได้อารมณ์เย็นลงอย่างแน่นอน! ในเวลานี้ ไม่เพียงแต่เหล่าสตรีในตระกูลซูเท่านั้น แม้แต่บุตรสาวตระกูลขุนนางก็ยังแสดงสีหน้าโกรธเคือง และเข้าข้างทั้งสองคนที่ได้รับความไม่เป็นธรรม! สูตรยาชิงไต้เป็นสิ่งที่พวกนางเห็นเองกับตาว่าซุนชิงไต้ได้ทดสอบซ้ำแล้วซ้ำกว่าจะนำออกมาใช้ ซุนชิงไต้ถึงขั้นไม่ลังเลเลยที่จะทดสอบยาบนร่างกายของนางเอง นางถูกยาพิษ อาเจียนจนหน้ามืดและเกือบเอาชีวิตไม่รอด ผลคือ แค่ตู้เหวินยวนขยับปากพูดนิดหน่อย น้ำสกปรกก็สาดใส่สองคนนั้นแล้วหรือ? แบบนี้มันมากเกินไป! ฮ่องเต้หวู่ขมวดคิ้วแน่น นิ่งเงียบไปโดยไม่พูดอะไร เขารู้อยู่ในใจแล้วว่าตู้เหวินยวนกำลังสาดน้ำสกปรก ใส่ร้ายหลี่หลงหลินและซุนชิงไต้ อย่